Home Blog Page 174

มัลเบอร์รี่ ( Mulberry ) สารอาหารมหัศจรรย์ในผลจิ๋ว

0
สารอาหารมหัศจรรย์ในมัลเบอร์รี่ (Mulberry)
มัลเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีงิตามินซีและแอนโทไซยานิน สามารถช่วยลดน้ำหนักและต้านมะเร็งได้
สารอาหารมหัศจรรย์ในมัลเบอร์รี่ (Mulberry)
เป็นผลไม้ที่มีงิตามินซีสูง สามารถช่วยลดน้ำหนักและต้านมะเร็งได้

มัลเบอร์รี่

มัลเบอร์รี่ ( Mulbery ) หรือหม่อน เป็นพืชเมืองร้อนมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศแถบเอเซีย อยู่ในกลุ่มเดียวกับพืชตระกูลเบอร์รี่อย่างเช่น บลูเบอรี่และราสเบอรี่ จัดเป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดกลางมีอายุยืน ลำต้นมีเปลือกหุ้มสีเขียวเข้มหรือสีน้ำตาล ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวมีสีเขียวเข้ม ลักษณะของใบเป็นแฉกและใบรูปไข่ปนอยู่ในต้นเดียวกัน ขอบใบเรียบ ใบหยาบมีขนบนใบ ก้านใบเรียวเล็ก ดอกออกเป็นช่อทรงกระบอกยาวคล้ายหางกระรอกยาว 2 เซนติเมตร ดอกจะออกตามซอกใบ กลีบดอกมีสีขาวหรือสีขาวเขียวอ่อน ดอกตัวเมียและดอกตัวผู้จะอยู่แยกกันคนละช่อแต่จะอยู่บนต้นเดียวกัน ดอกทุกดอกจะติดผลเมื่อได้รับการผสมแล้ว ผลมีเป็นทรงกลมเล็กๆ อยู่รวมกันเป็นช่อยาวเรียกว่า ผลรวม มีขนาดประมาณ 8-10 เซนติเมตร ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อสุกผลจะค่อยเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นชมพู แดงและแก่จัดจะมีสีม่วงเข้มหรือสีแดงดำ รสชาติหวานอมเปรี้ยวหรือหวานเพียงอย่างเดียว ผลสุกสามารถรับประทานสดได้ เจริญเติบโตได้ในดินร่วนที่ระบายน้ำได้ดี ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำ การเสียบยอด การติดตา การแยกรากและการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

มัลเบอร์รี่ มีหน้าตาคล้ายกับพวงองุ่นขนาดเล็ก โดยผลไม้ชนิดนี้ก็จะมีชื่อเรียกต่างกันออกไปในแต่ละท้องถิ่น เช่น ภาคอีสาน เรียกว่า มอน คนไทยทั่วไปเรียกว่า ลูกหม่อน และภาษาจีนแต้จิ๋ว เรียกว่า ซิวเอียะ เป็นต้น โดยมัลเบอร์รี่มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Morus Alba มีลักษณะเป็นไม้พุ่มขนาดกลางสูงประมาณ 2-5 เมตร และมีเปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลแดง ซึ่งมีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน โดยจะมีอายุยาวนานกว่า 80-100 ปีเลยทีเดียว

มัลเบอร์รี่ นอกจากจะมีประโยชน์ในการนำมาเป็นอาหารเลี้ยงตัวไหมเพื่อผลิตเส้นไหมแล้ว มัลเบอร์รี่ยังเป็นยาสมุนไพรโดยเฉพาะในประเทศจีนนั้นจะนำส่วนของต้นหม่อน ทั้งส่วนของลำต้น เปลือกราก กิ่งอ่อน ใบและผลมาผสมกันเพื่อรักษาโรคที่เกิดจากความผิดปกติ โรคปวดข้อ และยาถ่ายพยาธิ โดยใบนำมาเป็นส่วนผสมของยาจีนหรือนำมาทำเป็นชาใบหม่อนมีสรรพคุณขับเหงื่อ แก้ไข แก้ร้อนในกระหายน้ำ หรือใช้เป็นยาอมแก้เจ็บคอ ช่วยให้ชุ่มคอ ต้มด้วยน้ำสะอาดแล้วปล่อยให้เย็นนำไปล้างหน้าแก้โรคตาแดง ตาแฉะ สายตาพร่า และยังเป็นยาระบายอ่อนๆ อีกด้วย

สายพันธุ์ของมัลเบอร์รี่

คนไทยจะรู้จัก มัลเบอร์รี่ ในชื่อ “ หม่อน ” ในอดีตนิยมปลูกกันมามากในภาคเหนือและอีสานเพื่อนำใบมาเป็นอาหารในการเลี้ยงหนอนไหมเพื่อผลิตเส้นไหมสำหรับการทอเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม มัลเบอร์รี่แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

1. หม่อนสายพันธุ์สำหรับเลี้ยงไหมได้แก่ สายพันธุ์ White Mulberry เป็นหม่อนสายพันธุ์ที่มีใบดกและมีขนาดใหญ่เหมาะแก่การนำมาเลี้ยงไหม เพราะให้ปริมาณใบมากเพียงพอต่อการเลี้ยงไหม ผลมีขนาดช่อเล็กและมีรสเปรี้ยวแม้จะแก่จัดแล้วก็ตาม จึงไม่นิยมรับประทานผลของม่อนชนิดนี้

2. หม่อนสายพันธุ์สำหรับรับประทานผล หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “ มัลเบอร์รี่ ” ได้แก่ สายพันธุ์ Black Mulberry หม่อนสายพันธ์ุนี้จะมีช่อผลขนาดใหญ่กว่าสายพันธุ์แรก เมื่อสุกจะมีรสหวานหรือหวานอมเปรี้ยวซึ่งนิยมนำมารับประทานทั้งสดและนำมาแปรรูปเป็นอาหารและเครื่องดื่มหลายอย่าง เช่น แยมมัลเบอร์รี่ น้ำมัลเบอร์รี่ เป็นต้น ปัจจุบันได้มีการพัฒนาสายพันธุ์มัลเบอร์รี่สำหรับรับประทานเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณของลูกมัลเบอร์รี่เพิ่มขึ้นมากกว่า 20 สายพันธุ์ 

โดยหม่อนที่กินผลไม้ก็จะเป็นคนละชนิดกับหม่อนที่รู้จักในตอนแรกอีกด้วย เพราะเป็นสายพันธุ์ที่ได้ทำการพัฒนาขึ้นมา เช่น หม่อนผลสดพันธุ์เชียงใหม่ หม่อนพันธุ์นครราชสีมา 60 และหม่อนพันธุ์สกลนคร 72 เป็นต้นโดยผลหม่อนที่กินได้นั้น เริ่มแรกเลยจะมีลักษณะเป็นสีขาวเขียว ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีชมพูและสีแดงเมื่อเริ่มห่าม และเมื่อสุกเต็มที่ก็จะเป็นสีม่วงอมดำ ทั้งยังมีรสชาติหวานจัด ซึ่งก็นิยมกินผลสดๆ และนำมาปั่นเป็นน้ำมัลเบอร์รี่กันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นอาหารหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้อีกมากมายอีกด้วย รวมถึงการนำไปทำเป็นไอศกรีม ซึ่งก็มีรสชาติอร่อยไม่แพ้กันเลยทีเดียว

คุณค่าทางสารอาหารของมัลเบอร์รี่ หรือลูกหม่อน

มัลเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางสารอาหารสูงมาก โดยพบว่าในมัลเบอร์รี่มีสารแอนโทไซยานิน ( Anthocyanin ) สูงมาก ซึ่งจะช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคมะเร็งและลดการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมองได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังพบว่าหากกินลูกหม่อนอย่างต่อเนื่อง ก็จะช่วยลดการตายของเซลล์ประสาท ทำให้ไม่เสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ และสามารถบรรเทาอาการของโรคพิษสุราเรื้อรังได้เช่นกัน และด้วยคุณค่าทางสารอาหารที่ดีนี่เอง จึงทำให้มัลเบอร์รี่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางเลยทีเดียว

คุณประโยชน์มหาศาลในมัลเบอร์รี่ หรือ หม่อน ( Mulberry )

นอกจากต้นมัลเบอร์รี่จะสรรพคุณทางยาแล้วมัลเบอร์รี่ยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการต่อร่างกาย

1. ป้องกันโรคมะเร็ง ผลมัลเบอร์รี่นั้นมีสารแอนโทไซยานิน ( Anthocyanin ) ในปริมาณที่สูงมาก สารแอนโทไซยานินคือรงควัตถุหรือสารให้สีตามธรรมชาติ ซึ่งสีที่ได้จากสารแอนโทไซยานิน คือ สีแดง สีน้ำเงินและสีม่วงที่มีอยู่ในผลเบอร์รี่ และยิ่งสีของผลมัลเบอร์รี่เข้มมากปริมาณสารแอนโทไซยานินก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย สารแอนโทไซยานิทมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ( Anti Oxidant ) ชั้นยอดอีกชนิดหนึ่ง ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นกับเซลล์ในร่างกาย ลดการอักเสบของเซลล์ตามส่วนต่างๆ ที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เซลล์เกิดการกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็ง จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง

2. ชะลอการแก่ก่อนวัย โดยสารแอนโทไซยานินในมัลเบอร์รี่จะเข้าไปจับตัวกับอนุมูลอิสระที่อยู่ในร่างกาย ทำให้อนุมูลอิสระไม่สามารถเข้าไปทำลายเซลล์และผนังเซลล์ในร่างกายได้ เซลล์คงน้ำที่ให้ความชุ่มชื้นและแข็งแรงมีอายุอยู่ได้นานขึ้น ซึ่งถ้าเซลล์สูญเสียน้ำและอาหารออกจากเซลล์จะทำให้เซลล์เสื่อมสภาพจนเป็นสาหตุของการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ดังนั้นการรับประทานมัลเบอร์รี่เป็นประจำจะช่วยชลอการเกิดริ้วรอยบนผิวหนังได้

3. ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันและโรคหัวใจ สารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในผลมัลเบอร์รี่จะเข้าไปขัดขวางไม่ให้ไขมันที่มีความหนาแน่นต่ำเกิดปฏิกิริยากับอนุมูลอิสระและจับตัวตามผนังหลอดเลือดจนเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โรคหัวใจ โรคสมองขาดเลือด ดังนั้นการรับประทานมัลเบอร์รี่จะทำช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้

4. ป้องกันโรคเบาหวาน ใบของต้นมัลเบอร์รี่มีสาร Deoxynojirimysin ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ สาร Deoxynojirimysin ชนิด 1-deoxynojirimysin ( DNJ ) เป็นสารแอลคาลอยด์ที่มีโครงสร้างเหมือนกับน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ( Monosacchaides ) โดยสารdeoxynojirimysin จะเข้าไปยับยั้งการทำงานของเอนไซต์ที่มีหน้าที่ในการย่อยแป้ง เอนไซต์จึงไม่สามารทำการย่อยแป้งจากอาหารที่รับประทานให้เปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลได้ เป็นผลให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดลดลงและยังช่วยลดการหลั่งของสารอินซูลิน ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน

5. ลดความดันโลหิตและโรคอัสไซเมอร์ มัลเบอร์รีมีสารกาบา ( Gaba ) ที่เป็นกรดอะมิโนที่มีความสำคัญในการเป็นสารสื่อประสาท ( Neurotransitter ) ที่ทำหน้าที่ในส่วนของการยับยั้งประสาทส่วนกลางให้ทำงานปกติ ทำให้สมองรู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับสนิท ลดความเครียดซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคความดันโลหิต ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์ที่เกิดจากความผิดปกติของสารสื่อประสาท และยังทำหน้าที่กระตุ้นต่อมไร้ท่อ (Anterior Pituitary) ที่ผลิตออร์โมนที่ช่วยด้านการเจริญเติบโต ( HGH ) ทำให้มีการสร้างเซลล์ใหม่เกิดขึ้นในร่างกายจึงเพิ่มความกระชับให้กับกล้ามเนื้อส่งผลให้ผิวพรรณกระชับไม่เหี่ยวย่น

6. ลดการสะสมของไขมัน สารต้านไขมัน ( Lipotropic ) เช่น สารกาบา โคลีน เมไทโอนีน อินอซิทอล เป็นต้น สารต้านไขมันในมัลเบอร์รี่จะเข้าไปช่วยป้องกันการสะสมของไขมัน โดยที่สารต้านไขมันนี้จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างเลซิทินที่ช่วยให้คอเลสเตอรอลละลายได้ดีขึ้น เป็นผลให้คอเลสเตอรอลไม่สะสมอยู่ตามหลอดเลือหรือเกาะอยู่บนผนังหลอดเลือด ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ ช่วยให้ตับสามารถทำการสารพิษที่เข้าสู่ร่างกายออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงการเกิดโรคจากสารตกค้างภายในร่างกาย เช่น โรคนิ่ว โรคติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นต้น และช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมไทมัสที่มีหน้าที่สร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้ทำงานเต็มที่ ร่างกายจึงแข็งแรงไม่เจ็บป่วย

7. ลดการดูดซึมคอเลสเตอรอล เนื่องจากในมัลเบอร์รี่มีสารไฟโตสเอตรอล ( Phytosterols ) เป็นสารที่ได้จากพืชที่มีโครงสร้างทางเคมีคล้ายกับโครงสร้างของคอเลสเตอรอล แต่สารไฟโตสเอตรอลไม่สะสมในหลอดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไขมันอุดตัน เนื่องจากการที่โครงสร้างของสารไฟโตสเอตรอลเหมือนกับคอเลสเตอรอลทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารสารไฟโตสเอตรอลแทนคอเลสเตอรอลเข้าสู่ร่างกาย จึงเป็นการลดคอเลสเตอรอลได้ นิยมใช้สารไฟโตสเอตรอลเป็นสารลดหรือควบคุมคอเลสเตอรอลในร่างกาย เนื่องจากไม่มีโทษและยังใช้ได้ผลดีด้วย

8. สารพอลิฟีนอล ( Polyphenol ) สารพอลิฟีนอลเป็นสารกลุ่มฟีนอลที่พบได้ในพืช เช่น โพลีฟีนอล แทนนิน ( สารให้รสขมหรือฝาด ) ลิกนิน เป็นต้น ซึ่งสารกลุ่มนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการทำงานของอนุมูลอิสระบางชนิดได้เป็นอย่างดี ลดความเสี่ยงในการเป็นหลอดเลือดหัวใจตีบตัน โรคไขมันอุดตัน โรคหัวใจ ยับยั้งการทำงานของ Angiotensis-I Converting Enzyme ( ACE ) ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคความดันโลหิต และเข้าไปช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างความร้อนของร่างกายทำให้ร่างกายมีความร้อนเหมาะสมกับการเผาพลาญพลังงานลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน โดยการลดการปล่อยกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือด เมื่อกระแสเลือดมีกลูโคสน้อยลงร่างกายจึงสร้างอินซูลินลดลงตามไปด้วย ซึ่งถ้าร่างกายมีอินซูลินมากจะทำให้เกิดการสะสมของไขมันตามร่างกาย ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับสารพอลิฟีนอลร่างกายจะเกิดกระบวนการเผาพลาญไขมันมากกว่ากระบวนการสะสมไขมัน เมื่อการเผาพลาญไขมันมากขึ้นปริมาณน้ำตาลในเลือดลดลงจึงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานได้อีกด้วย

9. วิตามินเอสูง ผลมัลเบอร์รี่มีวิตามินเอในปริมาณที่สูง ช่วยบำรุงสายตา ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวกับตาและระบบประสาทตา เช่น โรคต้อกระจก การมองไม่เห็นในเวลากลางคืน ตาพร่า เป็นต้น ลดการอักเสบของสิวบนผิวหน้าที่เกิดจากการสะสมของสิ่งสกปรก ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับเหงือกและฟันภายในช่องปาก ลดความเสี่ยงในการอักเสบของเหงือก

10. วิตามินบี 6 วิตามินที่ช่วยป้องกันการเกิดนิวในไต ตับ วิตามินบี 6 ช่วยบำรุงเลือดลดความเสี่ยงในการเป็นโรคโลหิตจาง ช่วยให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนและไขมันได้ดีขึ้น และช่วยบำรุงเส้นประสาทลดการเกิดตะคริว มือชาหรือโรคปลายประสาทแขนขาอักเสบ

11. วิตามินซี วิตามินซีเป็นวิตามินที่พบได้ในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวหรือเปรี้ยวอมหวานทุกชนิด วิตามินซีมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ลดการเป็นไข้หวัด วิตามินซีจัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยให้ผิวพรรณดีไม่เหี่ยวย่น และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ผิวจึงดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลมากขึ้น

12. กรดโฟลิก ( Folic ) เป็นกรดที่มีความสำคัญต่อร่างกายโดยเฉพาะคนท้อง เพราะว่ากรดโฟลิกช่วยในกระตุ้นหรือเสริมสร้างการผลิตเซลล์ใหม่หรือเพิ่มจำนวนเซลล์ที่มีคุณภาพมากขึ้นโดยเฉพาะทารกในครรภ์ เซลล์ที่เกิดขึ้นใหม่เมื่อมีปริมาณกรดโฟลิกที่เพียงพอจะความแข็งแรงทำให้ร่างกายแข็งแรงมีภูมิต้านทานโรคสูง ยังช่วยในการสังเคราะห์และซ่อมแซมสารพันธุกรรมอย่างดีเอ็นเอ ( DNA ) และอาร์เอ็นเอ ( RNA ) ป้องกันการกลายพันธ์ของสารพันธุ์กรรมลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง

13. ป้องกันโรคติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร นอกจากลูกมัลเบอร์รี่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาแล้ว ใบมัลเบอร์รี่ก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน โดยสารสกัดจากใบมัลเบอร์รี่นั้นมีสารแทนนินที่มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตและทำลายเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา เช่น Escherichia coli, Pseudomonas aeruginosa, Proteus vulgaricus, Staphylococcus aureus, Streptococcus เป็นต้น ที่เป็นสาเหตุของโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคท้องเสีย อาหารเป็นพิษ ลำไส้อักเสบหรือติดเชื้อ เป็นต้น และยังช่วยยับยั้งการเกิดโรคผิวหนัง โรคติดเชื้อในหูได้อีกด้วย

เทคนิคการปลูกมัลเบอร์รี่

การปลูกมัลเบอร์รี่ให้มีผลตลอดปีโดยปกติแล้วมัลเบอร์รี่หรือลูกหม่อนจะมีผลให้กินได้ตลอดปี แต่ก็ขึ้นอยู่กับวิธีการปลูกด้วย ซึ่งมีเทคนิคในการปลูกดังนี้

1. ควรปลูกหม่อนอย่างน้อย 4-8 ต้น เพื่อที่ลูกหม่อนแต่ละต้นจะได้สุกเหลื่อมกันแบบไม่ขาดช่วงมากนัก

2. ให้โน้มกิ่งหม่อน 2 ต้นให้เข้าหากันเป็นทรงโค้ง เพื่อให้ต้นหม่อนได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอและทำให้ลูกดกขึ้น

3. ควรตัดกิ่งแขนงต้นหม่อนอยู่เสมอ เพื่อให้ออกกิ่งใหม่ในทุกปี โดยตัดปีละ 2 ครั้งพร้อมกับรูดเอาใบออกด้วย

4. สามารถเก็บผลหม่อนได้ตั้งแต่ลูกหม่อนเป็นสีแดง สีแดงอมม่วงหรือสีม่วงอมดำ ขึ้นอยู่กับว่าชอบกินรสชาติแบบไหน สำหรับระยะเวลาการเก็บผลของต้นหม่อนแต่ละต้นนั้น จะสามารถเก็บได้ประมาณ 1 เดือน และสามารถกินได้เลยโดยไม่ต้องล้างน้ำ เพราะการปลูกเองจะมีความปลอดภัยมากกว่า เนื่องจากไม่ได้ใช้สารเคมีหรือยาพ่นแมลงนั่นเอง แต่หากมีฝุ่นละอองเกาะติดอยู่ ก็ควรล้างทำความสะอาดก่อนเสมอ

นับว่ามัลเบอร์รี่เป็นพืชที่มีประโยชย์และคุณค่าทางโภชนาการที่สูงมาอีกชนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นส่วนผล ลำต้นหรือใบ โดยเฉพาะผลมัลเบอร์รี่ที่แก่จัดจะมีสารอาหารที่ทรงคุณค่าหลายชนิด รวมถึงรสชาติที่อร่อยจึงทำให้มัลเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่กำลังได้รับความนิยมอีกชนิดหนึ่งของกลุ่มคนรักสุขภาพ ด้วยราคาที่ไม่สูง หาทานได้ง่ายในประเทศไทยเพราะมีการส่งเสริมการปลูกกันมากขึ้น จนในปัจจุบันนี้มีการปลูกมัลเบอร์รี่กันทั่วประเทศไม่ได้ทำการปลูกแค่ที่ภาคเหนือเพียงอย่างเดียว การรับประทานมัลเบอร์รี่นอกจากจะรับประทานผลสดแล้ว ยังมีการนำผลมัลเบอร์รี่มาแปรรูปเป็นสินค้าหลากหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการและง่ายต่อการบริโภค เช่น แยมมัลเบอร์รี่ น้ำมัลเบอร์รี่ ไวน์มัลเบอร์รี่ มัลเบอร์รี่แช่อิ่ม เป็นต้น และยังมีการนำสารสกัดจากมัลเบอร์รี่ไปเป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางด้วย มัลเบอร์รี่จึงนับเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพอีกชนิดหนึ่งที่ควรบริโภค

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

แอพเพิลเกต, ลิซ. 101 อาหารรักษาหัวใจ.–กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2547. 342 หน้า. 1. อาหารเพื่อสุขภาพ. 2.โภชนบำบัด. I.จงจิต อรรถยุกติ, ผู้แปล. II.ชื่อเรื่อง. 641.56311 ISBN 974-00-8692-6.

Wilson, Charles L. “Tree pollen and hay fever”. Food and Agriculture Organization of the United Nations. Retrieved 17 May 2014.

Mulberry Tree. Pasadena, California. Retrieved 20 October 2012.

ข้าวไรซ์เบอร์รี่มีประโยชน์อย่างไร

0
ข้าวไรซ์เบอรี่ มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ชะลอวัย ควบคุมน้ำหนัก และลดการเสี่ยงการเป็นมะเร็ง
ข้าวไรซ์เบอรี่ มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ชะลอวัย ควบคุมน้ำหนัก และลดการเสี่ยงการเป็นมะเร็ง
ข้าวไรซ์เบอรี่ มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ชะลอวัย ควบคุมน้ำหนัก และลดการเสี่ยงการเป็นมะเร็ง
ข้าวไรซ์เบอรี่ มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ชะลอวัย ควบคุมน้ำหนัก และลดการเสี่ยงการเป็นมะเร็ง

ข้าวไรซ์เบอร์รี่

ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ( Riceberry Rice ) คือ ข้าวที่เกิดจากการผสมระหว่างข้าวเจ้าหอมนิลและข้าวขาวดอกมะลิ 105 จนทำให้กลายเป็นข้าวเกษตรอินทรีย์สายพันธ์ุใหม่ ที่มีลักษณะเด่นเป็น สีม่วงเข้ม ผิวมันเมล็ดเรียวยาวคล้ายกับข้าวเจ้า สามารถปลูกได้ตลอดปี ที่สำคัญคุณค่าทางอาหารอยู่ครบถ้วน เพราะผ่านการขัดสีแค่บางส่วน

สำหรับคนรักสุขภาพ ข้าวไรซ์เบอรี่ จัดได้ว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีเวลาออกกำลังกายน้อยหรือแทบไม่มีเลย การใส่ใจในอาหารการกินจึงเป็นสิ่งทำได้ง่ายและสะดวกมากที่สุด สำหรับ “ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ” ข้าวเมล็ดสีม่วงที่อุดมไปด้วยสารอาหารและคุณประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยแก้ปัญหาภาวะโรคต่างๆ ให้ทุเลาเบาบางได้อย่างเห็นได้ชัดหรือคุณประโยชน์อื่นๆอีก เรามาลองทำความรู้จักกับข้าวไรซ์เบอรี่กันดีกว่าทำไมจึงมีดีขนาดนี้ และทำไมจึงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ข้าวหอมนิล มีลักษณะอย่างไร ?

ข้าวหอมนิล มีชื่อเรียกหลายชื่อ ดังนี้ ข้าวสีนิล ข้าวหอมนิล และข้าวก่ำ ข้าวหอมนิลเป็นข้าวสายพันธุ์เดียวกับข้าวกล้อง ซึ่งได้รับการปรับปรุงพันธุ์มาจากข้าวเหนียวดำต้นเตี้ยจากประเทศจีน สารอาหารในข้าวหอมนิลนั้นมีมาก เช่น มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ มีโปรตีนและธาตุเหล็กสูงกว่าข้าวชนิดอื่น และยังให้กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ข้าวกล้อง คือ ?

ข้าวกล้อง เป็นข้าวที่มีสีน้ำตาลอ่อน เป็นข้าวที่สีเอาเปลือกออกโดยที่ยังมีจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวอยู่ มีใยอาหารเหลืออยู่มากกว่าข้าวขัดสี 3 เท่า ซึ่งมีคุณค่าอาหารที่มีประโยชน์มากและอุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลากชนิด เช่น วิตามินบี 1 ป้องกันโรคเหน็บชา, ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน, แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ป้องกันอาการตะคริว, ธาตุเหล็ก ป้องกันโรคโลหิตจาง เป็นต้น และการกินข้าวกล้องทุกวันจะช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น

ข้าวหอมมะลิ 105 หรือข้าวขาวดอกมะลิ 105 คืออะไร?

ข้าวหอมมะลิ ชื่อก็บ่งบอกว่า ข้าวนั้นต้องมีกลิ่นหอมมากเหมือนดอกมะลิส่งกลิ่นยามเช้า ข้าวหอมมะลิมีลักษณะโดดเด่นคือมีเมล็ดเรียวยาวสีขาวสวยและมีกลิ่นหอมจรุงใจ จึงเป็นที่นิยมนำมารับประทาน และเป็นส่วนหนึ่งของสายพันธุ์ข้าวไรซ์เบอร์รี่ นั่นเอง

ประโยชน์อันโดดเด่นของข้าวไรซ์เบอรี่คือ มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าข้าวสายพันธุ์อื่นๆ ช่วยชะลอวัยและบำรุงผิวพรรณให้อ่อนเยาว์ ช่วยลดน้ำหนักและมีสารอาหารบำรุงร่างกาย

ข้าวไรซ์เบอร์รี่ เหมาะกับใคร?

ข้าวไรซ์เบอรี่ เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะคนรักสุขภาพ เพราะถือได้ว่าเป็นข้าวที่มีสารอาหารและคุณประโยชน์สูง โดยจำแนกออกเป็นกลุ่มต่างๆ ได้ดังนี้

สตรีมีครรภ์ จะช่วยให้บุตรในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรง เพราะในข้าวไรซ์เบอรี่มีธาตุอาหารโฟเลต อีกทั้งยังมีน้ำตาลต่ำ ช่วยให้มารดาควบคุมน้ำหนักไม่ให้ครรภ์เป็นพิษ นอกจากนี้ยังมีธาตุเหล็กสูงซึ่งในหญิงมีครรภ์จะมีความต้องการแร่ธาตุโฟเลตมากกว่าคนปกติ

ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคอ้วน ที่สามารถเปลี่ยนมารับประทานข้าวไรซ์เบอรี่ที่มีคุณสมบัติช่วยควบคุมน้ำตาลและน้ำหนักได้ เนื่องจากในข้าวสายพันธุ์นี้มีดัชนีน้ำตาลที่ต่ำกว่าข้าวทั่วไป

ผู้สูงวัย ควรได้รับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์เพราะข้าวไรซ์เบอรี่มีสารอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกายเสริมสร้างประสิทธิภาพในการไหลเวียนของเลือดชะลอความแก่ชราและบำรุงสายตาและระบบประสาทของคุณสูงวัย

ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก หากรับประทานข้าวไรซ์เบอรี่เป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหาร โดยเฉพาะธาตุเหล็ก ช่วยในการบำรุงโลหิตและบำรุงร่างกายให้แข็งแรง

ประโยชน์ของข้าวไรซ์เบอร์รี่

เปรียบเสมือนเป็นยาที่ทำจากธัญพืช มีคุณประโยชน์เต็มเมล็ดอุดมไปด้วยธาตุอาหารของสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยควบคุมน้ำตาลและควบคุมน้ำหนักได้ เนื่องจากมีเส้นใยอาหารที่ทำให้คนที่รับประทานข้าวประเภทนี้จะรู้สึกอิ่ม ซึ่งมีสาเหตุมาจากในระบบการย่อยกากเส้นใยนั้นร่างกายจะใช้เวลานาน ทำให้น้ำตาลในแป้งของข้าวค่อยๆย่อย ไม่เร็วจนเกินไปจึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่ ช่วยลดระดับไขมันและคอเรสเตอรอล เส้นใยจะถูกขับถ่ายออกมาเป็นกากอุจจาระ เมื่อมีกากอุจจาระมากขึ้น ก็ทำให้ช่วยในการขับถ่ายได้ดีขึ้น และยังช่วยลดอาการท้องผูก และป้องกันโรคหัวใจได้อีกด้วยอีก

ตารางโภชนาการของข้าวไรเบอรี่ 100 กรัม

พลังงานทั้งหมด 370 กิโลแคลอรี               (พลังงานจากไขมัน 30 กิโลแคลอรี)
ไขมันทั้งหมด   3     กรัม
ไขมันอิ่มตัว     1     กรัม
โคเลสเตอรอล  0     มก.
โปรตีน           9     กรัม
คาร์โบไฮเดรตทั้งหมด 77 กรัม
ใยอาหาร        5      กรัม
น้ำตาล           8      กรัม
โซเดียม          0      มก.
โอเมก้า3      25.51  มก.
วิตามิน อี       678    ไมโครกรัม
โฟเลต          48.1   ไมโครกรัม
เบต้า-แคโรทีน   63   ไมโครกรัม
โพลีฟีนอล    113.5  มก.
แกมมาโอไรซานอล    462   ไมโครกรัม
แอนโทไซยานิน    15.7     มก.

ข้าวไรซ์เบอร์รี่ มีสารอาหารอะไรบ้าง ?

แร่ธาตุและวิตามินในข้าว ไรซ์เบอร์รี่
วิตามินบี จำเป็นต่อการทำงานของสมอง ระบบประสาท ระบบย่อยอาหาร ป้องกันโรคเหน็บชา
เบต้าแคโรทีน ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ชะลอความแก่ของเซลล์ และบำรุงสายตา
แกมมาโอไรซานอล ลดระดับคอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในหลอดเลือด ทำให้เลือดหมุนเวียนไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างเป็นปกติ ลดอัตราเสี่ยงของโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง สมองเสื่อม
กากใยอาหาร ช่วยลดระดับไขมันและคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ ช่วยควบคุมน้ำหนัก และช่วยระบบขับถ่าย
โอเมก้า 3 มีความสำคัญต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง ตับและระบบประสาท ทั้งยังลดระดับคอเลสเตอรอล
ธาตุสังกะสี สังเคราะห์โปรตีน สร้างคอลลาเจน รักษาสิว ป้องกันผมร่วง และกระตุ้นรากผม
แทนนิน แก้ท้องร่วง แก้บิด ช่วยสมานแผล
ธาตุเหล็ก สร้างและจ่ายพลังงานในร่างกายเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง และเป็น ส่วนประกอบของเอนไซม์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้ออกซิเจนในร่างกายและสมอง
วิตามินอี ชะลอความแก่ บำรุงผิวพรรณ ลดอัตราเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและหัวใจทำให้ปอดทำงานดีขึ้น
ลูทีน ป้องกันจอประสาทตาเสื่อม เพิ่มการไหลเวียนของเลือดในเส้นเลือดฝอยที่หล่อเลี้ยงตา
โพลิฟีนอล ทำลายฤทธิ์ของอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้

ข้าวไรซ์เบอรี่ หุงอย่างไรให้อร่อย

ข้าวไรซ์เบอรี่ จัดเป็นข้าวกล้องชนิดหนึ่ง ดังนั้นหากต้องการหุงให้อร่อยก็ควรที่จะนำไปผสมกับข้าวหอมมะลิเพื่อให้ข้าวที่รับประทานเหนียวนุ่มมากขึ้น แต่ถ้าหากต้องการหุงข้าวชนิดนี้เพียงอย่างเดียวก็ควรจะใช้สัดส่วนดังนี้ ข้าว 1 ส่วน : น้ำ 2 ส่วน โดยหุงต้มประมาณ 35 นาที แล้วปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ก็จะได้รับประทานข้าวไรซ์เบอรี่ที่นุ่มและมีสีสันน่ารับประทาน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผัก. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 128 หน้า 1.ผัก-แง่โภชนาการ-ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641.303 ISBN 978-974-484-346-3.

แอพเพิลเกต, ลิซ. 101 อาหารรักษาหัวใจ.–กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2547. 342 หน้า. 1. อาหารเพื่อสุขภาพ. 2.โภชนบำบัด. I.จงจิต อรรถยุกติ, ผู้แปล. II.ชื่อเรื่อง. 641.56311 ISBN 974-00-8692-6.

ขอขอบคุณคลิปดูแลสุขภาพ : หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ สุขภาพดี คุณมีได้

Konczak, I.; & Zhang, W. (2004). Anthocyanins-more than natures colours. Journal of
Biomedicine and Biotechnology. 5: 239-240.

Lule, S.U.; & Xia, W. (2005). Food phenolics, pros and cons: A review. Food Reviews
International. 21: 367-388.

“ฝรั่ง” ชื่อผลไม้ที่มาได้อย่างไร? ไขความลับที่ซ่อนอยู่

0
"ฝรั่ง" ชื่อผลไม้ที่มาได้อย่างไร? ไขความลับที่ซ่อนอยู่
ฝรั่ง มีที่มาอย่างไร ทำไมถึงเรียกว่าฝรั่ง
ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีและเอสูง และช่วยต้านหวัดได้ ผลสีเขียว เนื้อในมีทั้งสีขาว และสีชมพู

ฝรั่ง ( Guava )

ฝรั่ง (Guava) มีต้นกำเนิดจากประเทศในทวีปอเมริกากลางและหมู่เกาะอินดีสต์ตะวันตก หลักฐานทางโบราณคดียืนยันว่าฝรั่งมีมาตั้งแต่ 800 ปีก่อนคริสตกาล การเผยแพร่ฝรั่งเริ่มจากพ่อค้าชาวสเปนและโปรตุเกส โดยคำว่า Guava เป็นชื่อที่ใช้ในภาษาอังกฤษ สำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฝรั่งเริ่มแพร่หลายราวศตวรรษที่ 17 และคาดว่าถูกนำเข้าสู่ไทยในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

>> ประโยชน์ของวิตามินซีต่อร่างกายมีอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ

ลักษณะของฝรั่ง

ลักษณะของฝรั่ง - "ฝรั่ง" ชื่อผลไม้ที่มาได้อย่างไร? ไขความลับที่ซ่อนอยู่ฝรั่ง มีลักษณะเป็นไม้ยืนต้นแบบทรงพุ่ม มีความสูงประมาณ 3-10 เมตรเท่านั้น ซึ่งการปลูกฝรั่งควรตัดแก่งกิ่งอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อให้ใบได้รับแสงแดดอย่างทั่วถึงและสามารถสังเคราะห์แสง รวมถึงมีการเจริญเติบโตได้ดี และสำหรับการออกลูกนั้น ฝรั่งสามารถออกลูกได้มากถึงปีละ 3 รอบ และต้นฝรั่งเองก็มีอายุได้นานถึง 10 ปีขึ้นไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของฝรั่งด้วย

คุณค่าของฝรั่ง

ฝรั่ง เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย โดยเฉพาะวิตามินซี และวิตามินเอ ที่พบมากกว่าในมะนาวถึง 4 เท่า แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 1 วิตามินบี2 แคลเซียม ฟอสฟอรัส และมีสารจำพวกเพคติน แทนนิน เป็นจำนวนมาก โดยประโยชน์หลักๆ ที่พบก็คือ จะช่วยต้านการป่วยด้วยโรคหวัดได้ดี และช่วยลดความอ้วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะฝรั่งมีไฟเบอร์สูง ทำให้อิ่มเร็ว และมีแคลอรีต่ำ จึงไม่ทำให้อ้วน

ฝรั่ง ( Guava ) มีที่มาอย่างไร ทำไมถึงเรียกว่าฝรั่ง
ฝรั่งมีสรรพคุณทางตำรับยาสมุนไพรพื้นบ้านใช้รักษาอาการต่างๆ สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย

สรรพคุณทางตำรับยาสมุนไพร

ภูมิปัญญาชาวบ้านที่นิยมใช้ใบฝรั่งเป็นสมุนไพรพื้นบ้านใช้รักษาอาการต่างๆ ที่หลายคนยังไม่เคยทราบมาก่อน ใบฝรั่งมีสรรพคุณทางตำรับยาสมุนไพรที่น่าสนใจที่มีงานวิจัยค้นพบว่าใบฝรั่งนั้นสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย โดยนำใบฝรั่งที่แกสมบูรณเต็มที่ และผลดิบออน รสฝาด มีฤทธิ์ฝาดสมานแก้ท้องเสีย ในใบฝรั่งมีสารที่เรียกว่า แทนนิน 8-15 เปอร์เซ็นต์ สารชนิดนี้มีฤทธิ์ในการรักษาอาการต่างๆดังต่อไปนี้   

  • แก้ท้องเสีย
  • แก้บิดมูกเลือด
  • ช่วยขับปัสสาวะ
  • ลดการสูญเสียน้ำ
  • ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
  • ช่วยลดอาการอักเสบ
  • ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย
  • รักษาโรคเหงือกอักเสบ
  • ช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน
  • ลดอาการปวดประจำเดือน
  • ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
  • ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
  • ช่วยลดการระคายเคืองของลำไส้
  • ช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้
  • ใช้ใบฝรั่งสดโขลกให้ละเอียด นำไปพอกที่แผลสด
  • ช่วยต้านเชื้อเซลล์มะเร็งไฟโบรซาร์โคมา และช่วยต้านเชื้อเซลล์มะเร็งเต้านมได้

สายพันธุ์ของฝรั่ง

สายพันธุ์ของฝรั่งฝรั่งมีหลากหลายสายพันธุ์ แต่ที่นิยมปลูกมากที่สุด มี 5 สายพันธุ์ดังนี้

1.ฝรั่งกลมสาลี่ เป็นฝรั่งสายพันธุ์แรกๆ ที่นำเข้ามาปลูกกันมากที่สุด ก่อนจะมีการนำฝรั่งสายพันธุ์อื่นๆ เข้ามาปลูกและเริ่มมีการปลูกสายพันธุ์นี้น้อยลง
2.ฝรั่งแป้นสีทอง มีการนำเข้ามาปลูกเริ่มแรกที่อำเภอสามพราน ซึ่งเมื่อโตเต็มที่ผลของมันจะมีสีขาว ฟูและกรอบอร่อยมาก
3.ฝรั่งกิมจู ฝรั่งสายพันธุ์นี้จะไม่มีเมล็ดหรือมีอยู่น้อยมาก ผิวของฝรั่งจะมีสีนวลสวยและมีความเรียบเนียน แถมมีรสชาติหวาน กรอบอร่อยอีกด้วย
4.ฝรั่งแป้นยอดแดง เป็นฝรั่งที่มีขนาดผลใหญ่มาก และมีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5 ขีด – 1 กิโลกรัมต่อผล และมีเนื้อหนา หวานกรอบอร่อย ส่วนเมล็ดจะมีปานกลางไม่เยอะมาก
5.ฝรั่งไร้เมล็ด ฝรั่งชนิดนี้จะมีรูปทรงรียาวและไม่มีเมล็ด ผลขนาดใหญ่ มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ส่วนผิวที่เปลือกก็จะมีสีเขียวอมเหลือง 

และนอกจากสายพันธุ์ฝรั่งเหล่านี้แล้ว ก็มีการนำฝรั่งไปแปรรูปอีกด้วย เช่น ฝรั่งพันธุ์คาฮังคู่ล่าและฝรั่งพันธุ์บังมองท์ ซึ่งมีกลิ่นหอมและรสชาติหวานกลมกล่อม โดยส่วนใหญ่จะนิยมนำมาใช้ทำน้ำฝรั่งโดยเฉพาะ

ทำไมคนไทยจึงเรียกชาวต่างชาติว่าฝรั่ง?

ทำไมคนไทยจึงเรียกชาวต่างชาติว่าฝรั่ง?ยังคงเป็นข้อสงสัยสำหรับหลายๆ คน ว่าเพราะอะไรชาวไทยจึงเรียกชาวต่างชาติว่าฝรั่ง มีความเกี่ยวข้องกับฝรั่งที่เป็นผลไม้หรือไม่ ซึ่งจากประเด็นดังกล่าว ก็ได้มีหลายคนพยายามอธิบายถึงที่มาไว้อย่างหลากหลายด้วยกัน เช่น ในศตวรรษที่ 17 นั้นได้มีชาวฝรั่งเศสเข้ามาสร้างความสัมพันธ์กับประเทศไทยเป็นชาติแรก โดยคนไทยจะเรียกชาวฝรั่งเศสสั้นๆ ว่าฝรั่ง และต่อมาเมื่อมีชาวยุโรปผิวขาวเข้ามาในประเทศ ชาวไทยจึงเรียกเหมารวมชาวยุโรปที่มีผิวขาวว่าฝรั่งนั่นเอง และยังรวมถึงกลุ่มคนผิวขาวที่มาจากอเมริกาใต้ อมริกาเหนือและออสเตรเลียอีกด้วย

หรืออีกเรื่องเล่าหนึ่งก็คือ ในสมัยอยุธยานั้นได้มีการยกที่ดินให้กับพ่อค้าชาวโปรตุเกส โดยที่ดินผืนนั้นก็ได้มีการปลูกต้นฝรั่งไว้เป็นจำนวนมาก ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาจึงเรียกบ้านหลังนั้นว่าบ้านฝรั่ง และได้มีการเรียกเจ้าของบ้านว่าฝรั่ง และอีกนัยหนึ่งก็คือ คำว่าฝรั่งเริ่มมาจากที่พ่อค้าชาวอาหรับเดินทางเข้ามายังเอเชียตะวันออกเพื่อการเผยแพร่ภาษาอาหรับ และชอบออกเสียงว่า ฟะรอน์จิ บ่อยๆ จนมีการเรียกเพี้ยนเสียงมาเป็นคำว่าฝรั่ง จากนั้นคนไทยจึงเรียกชาวต่างชาติฝรั่งตั้งแต่นั้นมา

จะเห็นได้ว่าที่มาของคำว่าฝรั่งนั้นยังไม่ทราบแน่นอน แต่ที่แน่ๆ คือฝรั่งล้วนมีประโยชน์และมีรสชาติกรอบอร่อยสุดๆ แถมยังให้พลังงานแคลอรี่ต่ำมาก จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักที่สุด และยังประกอบไปด้วยไฟเบอร์ โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายของคนเราอีกด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Guava, in Fruits of Warm Climates,. Center for New Crops & Plant Products, Department of Horticulture and Landscape Architecture, Purdue University, West Lafayette, Indiana. Retrieved 24 April 2015.

แก้วมังกร ผลไม้เสริมสุขภาพและความงาม ( Dragon Fruit )

0
แก้วมังกร ผลไม้เสริมสุขภาพและความงาม
แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิดและช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้
แก้วมังกร ผลไม้เสริมสุขภาพและความงาม (Dragon Fruit)
แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิดและช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้

แก้วมังกร ( Dragon Fruit ) คือ

แก้วมังกร ( Dragon Fruit ) คือผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดมาจากอเมริกากลาง โดยค้นพบตั้งแต่ประมาณ 100 ปีที่แล้ว ซึ่งบาทหลวงชาวฝรั่งเศสได้นำแก้วมังกรเข้ามาปลูกที่เวียดนาม โดยเน้นปลูกตามแถบชายฝั่งทะเลตะวันออกจากเมืองนาตรังทางเหนือลงไปทางใต้เป็นหลัก จนกลายเป็นผลไม้ที่ชาวเวียดนามนิยมปลูกจนถือได้ว่าเป็นผลไม้ท้องถิ่นของเวียดนามเลยทีเดียว และสำหรับในประเทศไทยนั้น แก้วมังกรได้มีการนำเข้ามาในราวๆ 50 ปีก่อน แต่เริ่มแรกจะยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก จนเวลาล่วงเลยมาประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้ ก็ได้มีการนำเข้าแก้วมังกรสายพันธุ์ดีมาปลูกอีกครั้ง โดยแก้วมังกรชนิดนี้จะมีรสชาติหวาน ชุ่มฉ่ำจึงเริ่มกลายเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งก็ถือเป็นพืชเศรษฐกิจของไทยเราเลยทีเดียว

แก้วมังกร นั้นถูกจัดอยู่ในจำพวกเดียวกันกับกระบองเพชร ที่ลำต้นจะมีแฉกสามแฉกคล้ายกับมังกรและมีหนามเป็นกระจุก มีลักษณะเป็นไม้เลื้อยซึ่งมีลำต้นยาวประมาณ 5 เมตร ทำให้ต้องมีการทำค้างเพื่อพยุงลำต้นเอาไว้ ส่วนดอกของแก้วมังกร ก็จะมีลักษณะคล้ายกรวยขนาดใหญ่ สีขาว นิยมบานในเวลากลางคืน จึงถูกเรียกว่า Moon Flower นั่นเอง ส่วนผลของแก้วมังกร เมื่อดิบจะมีเปลือกสีเขียว มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ตามเปลือก และเมื่อสุกผิวเปลือกจะกลายเป็นสีแดงอมม่วงดูน่าทาน ส่วนเนื้อด้านในก็จะมีทั้งสีแดงและสีขาวเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีเมล็ดสีดำฝังอยู่ทั่วเนื้อผลอีกด้วย แต่สามารถทานได้โดยไม่ต้องเอาออก และในแก้วมังกรยังมีสารสีแดงที่ชื่อว่า เบตาเลน ( Betalain ) มากที่สุด

สายพันธุ์ของแก้วมังกร

สายพันธุ์แก้วมังกรที่นิยมปลูกสำหรับสายพันธุ์ของแก้วมังกรที่นิยมนำมาปลูกก็จะมี 3 สายพันธุ์ คือ

1.แก้วมังกรสายพันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง สายพันธุ์นี้จะมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Hylocercus Undatus
ชื่อสามัญ : White Dragon Fruit โดยจะมีลักษณะผลเป็นทรงกลมรี เปลือกเป็นสีชมพูสดและมีปลายกลีบสีเขียว เนื้อจะมีสีขาวและมีเมล็ดสีดำแทรกอยู่ ส่วนรสชาติก็จะมีทั้งหวานอมเปรี้ยวจนถึงหวานจัดกันเลยทีเดียว

2.แก้วมังกรสายพันธุ์เนื้อแดงเปลือกแดง สายพันธุ์นี้จะมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Hylocereus Polyrhizus
ชื่อสามัญ : Red Dragon Fruit ซึ่งผลจะเป็นทรงกลมมีเปลือกสีแดงจัด ผลเล็กกว่าแบบแรกเล็กน้อยและมีรสชาติที่หวานกว่าอีกด้วย ส่วนเนื้อก็จะเป็นสีแดงและมีเมล็ดสีดำแทรกกระจายอยู่เช่นกัน โดยสายพันธุ์นี้ก็มีการนำเข้ามาจากไต้หวันนั่นเอง แถมยังมีคุณสมบัติที่จะช่วยควบคุมน้ำตาลกลูโคสในผู้ป่วยเบาหวานได้ดีอีกด้วย พร้อมทั้งช่วยลดระดับ LDL และไตรกลีเซอไรด์ให้ต่ำลงได้เช่นกัน

3.แก้วมังกรสายพันธุ์เนื้อขาวเปลือกเหลือง สายพันธุ์นี้จะมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Hylocercus megalanthus
ชื่อสามัญ : Yellow Dragon มีลักษณะผลรูปไข่ เปลือกหนาสีเหลือง เนื้อสีขาว ผลเล็กกว่าพันธุ์อื่น ๆ เนื้อสีขาว เมล็ดขนาดใหญ่และมีน้อยกว่าพันธุ์อื่น มีรสหวาน

แก้วมังกร คุณค่าสารอาหารทางโภชนาการ

เนื้อแก้วมังกรสดในปริมาณ 100g มีพลังงานทั้งหมด 66 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 1.4 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 12.4 กรัม
ฟอสฟอรัส 32 มิลลิกรัม
วิตามิน 7 มิลลิกรัม
แลเศียม 9 มิลลิกรัม
น้ำ 85.4 กรัม
ไขมัน 0.57 กรัม

แก้วมังกรสรรพคุณ

  • บรรเทาอาการเลือดจาง และเสริมธาตุเหล็กให้กับร่างกาย
  • ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน และมะเร็ง
  • เสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับกระดูกและฟัน จึงช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุนในสาววัยทองได้ดี
  • แก้วมังกร อุดมไปด้วยสารอาหารและวิตามินมากมาย เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ธาตุเหล็กและวิตามินบี 3 รวมถึงวิตามินซีด้วย
  • ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สวยกระจ่างใสและเรียบเนียนยิ่งขึ้น
  • สามารถบำรุงและป้องกันโรคต่างๆ เกี่ยวกับสายตาได้ดี
  • แก้วมังกรมี ไลโคปีนสูง ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ โดยมีฤทธิ์ในการต้านได้สูงกว่าวิตามินอีถึง 100 เท่า และสูงกว่ากลูตาไธโอนถึง 125 เท่าอีกด้วย โดยจะช่วยชะลอความเสี่ยมของเซลล์และทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ลงได้เป็นอย่างดี
  • ลดความเสี่ยงการตาบอดในผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป
  • อุดมไปด้วยกากใยสูง ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและจะช่วยการทำงานของระบบขับถ่ายได้ดี
  • เมล็ดมีไขมันชนิดไม่อิ่มตัวที่จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูสดชื่น ผ่องใสและดูมีสุขภาพผิวที่ดีสุดๆและนี่ก็คือแก้วมังกรที่นิยมปลูกมากในไทยเราและประโยชน์อีกมากมายที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง โดยเฉพาะแก้วมังกรที่มีเนื้อสีแดงเพราะจะอุดมไปด้วยสารอาหารและวิตามินที่มากกว่านั่นเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“Dragon fruit surprisingly easy to grow”. Miami Herald. Retrieved 19 March 2017.

“Dragon fruit”. National Library Board, Singapore Government. 2017. Retrieved 19 March 2017.

ประโยชน์และคุณค่าสารอาหารจาก เสาวรส ( Passion Fruit )

0
ประโยชน์และคุณค่าสารอาหารจากเสาวรส (Passion Fruit)
เสาวรสเป็นผลไม้รสเปรี้ยว บางสายพันธุ์อมหวาน ภายในมีเมล็ดสีดำจำนวนมาก มีวิตามินแร่ธาตุหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระ
ประโยชน์และคุณค่าสารอาหารจากเสาวรส (Passion Fruit)
เสาวรสเป็นผลไม้รสเปรี้ยว บางสายพันธุ์อมหวาน ภายในมีเมล็ดสีดำจำนวนมาก มีวิตามินแร่ธาตุหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระ

เสาวรส ( Passion Fruit )

เสาวรส ( passion fruit ) เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่บรรดาผู้รักสุขภาพมักรู้จักเป็นอย่างดี  เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กะทกรกฝรั่ง เป็นพืชอยู่ในตระกูล Passifloraceae มีลักษณะเป็นไม้เถ้าขนาดกลาง มีต้นกำเนิดอยู่ในแถบทวีปอเมริกาใต้ บริเวณประเทศบราซิล ปารากวัย อาร์เจนตินา มีใบเป็นหยัก ดอกของเสาวรสมีสีขาวอมม่วงสวยงาม กลีบดอกเป็นเส้นๆ ซ้อนกันหลายชั้น ออกดอกตลอดทั้งปี ผลเป็นรูปกลมมีขนาดตั้งแต่ไข่ไก่ จนขนาดใหญ่เกือบเท่าลูกแอปเปิล ผลอ่อนจะสีเขียวแต่เมื่อสุกแล้วจะมีสีต่างกันออกไปแล้วแต่สายพันธุ์ เช่น สีส้ม สีเหลือง สีม่วง เป็นต้นผลมีรสชาติอมเปรี้ยวอมหวาน

ชื่อ : เสาวรส 

ชื่อภาษาอังกฤษ : Passion Fruit

ชื่อวิทยาศาสตร์ :  PassifloraEdulis

ในปัจจุบันสามารถพบเห็นการปลูกเสาวรสได้อย่างแพร่หลาย ทั้ง ในแคลิฟอร์เนีย ฟลอริด้า บราซิล แอฟริกา อินเดีย นิวซีแลนด์และฮาวาย รวมถึงประเทศไทยด้วย ผลไม้อย่าง เสาวรสนอกจากเป็นพืชที่ทานผลได้แล้ว ยังเป็นไม้ประดับที่สวยงามอีกด้วย

ประวัติความเป็นมาของชื่อเสาวรส

ชาวตะวันตกเรียกเสาวรสว่า พาสชั่นฟรุ๊ต ( Passion Fruit ) ซึ่งมีความหายว่า ผลไม้แห่งความปรารถนา ที่มาของชื่อนี้มาจาก มิชชั่นนารีชาวสเปนท่านหนึ่งได้ไปพบเห็นผลไม้ชนิดนี้ในทวีบอเมริกาใต้ แล้วเกิดความประทับใจกับความสวยงามของดอกต้นเสาวรส ซึ่งมีความคล้ายกับน้ำพระทัยของพระเยซูในยามถูกตรึงบนไม้กางเขน จึงตั้งชื่อเสียว่า “ดอกพาสชั่น” สำหรับในประเทศไทยเนื่องจากเสาวรสมีรูปร่างคล้ายกับต้นกะทกรก แต่มีขนาดใหญ่กว่า จึงเรียกว่ากะทกรกยักษ์ ซึ่งเป็นชื่อที่ไม่ค่อยไพเราะสักเท่าไหร่นัก จึงมีการเปลี่ยนจากกะทกรกยักษ์ มาเป็นเสาวรสในที่สุด

สรรพคุณที่น่าสนใจของเสาวรส

เสาวรส หรือกะทกรกยักษ์ มีสรรพคุณทางยามากมาย โดยเนื้อของเสาวรสนั้นจะประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์และร่างกายต้องการอย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โซเดียม โปแตสเซียม แมกนีเซียม วิตามินเอ และวิตามินซีเป็นต้นการทานเสาวรสนั้นโดยส่วนมากจะใช้วิธีคั้นเป็นน้ำแล้วนำมาดื่ม หรือหากจะทานเป็นผลไม้สดก็สามารถทำได้เหมือนกันซึ่งการทานเสาวรสนั้นหากทานในปริมาณที่เหมาะสมจะมีสรรพคุณที่ดีต่อร่างกาย

สรรพคุณของเสาวรส

  • ช่วยบำรุงสายตา ถือว่าเป็นสรรพคุณที่โดดเด่นของเสาวรสข้อมูลจากการศึกษาพบว่าชาวอินเดียโบราณในแถบลุ่มน้ำอะเมซอนใช้น้ำเสาวรสในการรักษาอาการตาอักเสบ หรือ รักษาอาการตาพร่ามั่วกับผู้สูงอายุ
  • บรรเทาอาการโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ซึ่งเป็นอาการที่มักพบได้บ่อยๆในเพศหญิง
  • บรรเทาอาการเจ็บคอ เสาวรสยังสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอให้ดีขึ้นได้เป็นอย่างดีด้วย
  • ช่วยให้นอนหลับได้ง่าย สำหรับผู้ที่มีปัญหาในการนอนหลับ เสาวรสยังมีสรรพคุณที่ช่วยให้การนอนหลับดียิ่งขึ้น สามารถแก้ปัญหาโรคนอนไม่หลับได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
  • ช่วยบำรุงผิวพรรณ เนื่องจากเสาวรสมีสารอาหารอย่างวิตามินบี 2 จึงช่วยในการบำรุงผิวพรรณส่วนต่างๆในร่างกายให้ดีขึ้น

ทั้งนี้ก็มีข้อควรระวังในการรับประทานเสาวรสคือ การทานเสาวรสส่วนมากจะทานโดยการคั้นเป็นน้ำ ซึ่งอาจมีการเติมปริมาณของน้ำตาลลงไปเพื่อให้ได้รสชาติที่ดียิ่งขั้น ดังนั้นผู้ที่จะทานเสาวรสควรจำกัดและระมัดระวังในการบริโภคน้ำตาลที่เติมลงไปด้วย โดยให้เติมน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น หรือหากเป็นไปได้ควรทานแบบไม่ใส่น้ำตาลเลยจะดีที่สุด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“Passion flower”. Royal Horticultural Society. 2015. Retrieved 1 October 2015.

“Passion fruit farming the next frontier in agribusiness”. The Star, Nairobi, Kenya. Retrieved, 2014.

ประโยชน์ของส้มและสรรพคุณของส้ม ( Orange )

0
ส้มเป็นผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานเต็มไปด้วยวิตามินต่างๆโดยเฉพาะวิตามินซีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ส้ม คุณค่าสารอาหารและประโยชน์ของส้ม (Orange)
ส้มเป็นผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานเต็มไปด้วยวิตามินต่างๆโดยเฉพาะวิตามินซีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ส้ม

ส้ม ( Orange ) เป็นผลไม้ที่ชาวไทยชอบรับประทาน หาง่าย ราคาถูก และมีให้รับประทานตลอดทั้งปี ส้มมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Citrus คือ ผลไม้ที่ให้รสชาติเปรี้ยวนำและตามด้วยอมหวาน สรรพคุณของส้มมีกลิ่นหอมของเปลือกซึ่งนำไปสกัดน้ำมันหอมระเหยได้ ส้มเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่นิยมปลูกทั่วโลก ส้มมีหลากหลายสายพันธุ์ ส้มเป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ใช้ชื่อเรียกชื่อเดียวกับสีในภาษาอังกฤษ คือ Orange ซึ่งมีการบัญญัติคำนี้เรียกกันมาตั้งแต่ในปี คริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา โดยในภายหลังจึงมีคำเรียกเฉดสีส้มที่นิยมใช้ เกิดขึ้นมาอีกหนึ่งคำคือคำว่า แทงเจอร์รีน ( Tangerine ) หรือ ส้มเขียวหวานนั่นเอง

คำว่า “ Orange ” ที่แปลว่าส้มในภาษาอังกฤษ มีรากมาจากคำภาษาสันสกฤต Naranga ที่แปลว่า “ ซ่อนกลิ่น ” หรือ Perfume Within เนื่องจาก ในส้มจะมีกลิ่นที่หอมสมชื่น ชวนให้อยากกิน โดยเฉพาะดอกของต้นส้มจะมีสีขาวบริสุทธิ์จะให้กลิ่นที่หอมชวนให้น่าดมมาก ทำให้ดอกและผลของส้มจึงเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆคน

ส้ม ( Orange ) ผลไม้ที่ให้รสชาติเปรี้ยวนำและตามด้วยอมหวาน กลิ่นหอมของเปลือกนำไปสกัดน้ำมันหอมระเหย นิยมปลูกทั่วโลก และมีหลากหลายสายพันธุ์

สรรพคุณของส้ม

สรรพคุณของส้ม การปลูกส้มมีมานานตั้งแต่สมัยโบราณ นานหลายพันปีแล้ว  ส้ม เป็นพันธุ์ไม้ในสกุลซิตรัส ( Citras ) เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อน และเขตกึ่งร้อนของทวีปเอเชียและกลุ่มเกาะมลายู พืชตระกูลส้มออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้  6 ชนิด คือ

1 ส้ม ( Orange )
2 ส้มเขียวหวาน ( Mandarin หรือ Tangerines )
3 ส้มโอ ( Pomelo )
4 เกรฟฟรุ๊ต ( Grapefruits )
5 มะนาว ( Lemon or Lime )
6 มะงั่ว ( Citron )

 

โดยส่วนมากมักมีการสับสนระหว่างกลุ่มของส้มและส้มเขียวหวาน สามารถอธิบายความแตกต่างได้ คือ ส้มเขียวหวาน ( Mandarin หรือ Tangerines ) นั้นจะมีเปลือกล่อนทำให้สามารถปอกออกได้ง่ายกว่าส้ม นักวิชาการด้านเกษตรของไทยมีการเรียกส้ม เป็น “ ส้มเกลี้ยง ” ซึ่งอาจทำให้สับสนได้ เนื่องจากแท้จริงแล้วส้มเกลี้ยงเป็นเพียงสายพันธุ์ย่อยอย่างหนึ่งในตระกูลส้มเท่านั้น  จึงเรียกเพียงสั้นๆว่า “ส้ม” จึงจะถูกต้อง และในส่วนของส้มเขียวหวานจะเรียกแยกออกไปเลยให้เห็นความต่างคือ Mandarin หรือ Tangerines แต่ในกรณีที่ใช้คำว่าส้มในความหมายทั่วไป ก็อนุโลมให้หมายถึงทั้งส้มและส้มเขียวหวานได้เช่นกัน

นอกจากสกุลซิตรัส แล้ว ส้มยังมีชนิดที่มาจาก ไม้ในวงศ์ Rutaceae เช่น คัมควอท ( Kumquat ) หรือ “ ส้มกินทั้งเปลือก ” ซึ่งอยู่ในสกุลของ Fortunella sp. ส้มพันธุ์นี้ มีถิ่นกำเนิดจากในประเทศจีนแล้วแพร่หลายเข้าไปในญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน  คัมควอท คือ ส้มพันธุ์เล็กมีรูปทรงรี  ขนาดเล็กกว่าลูกปิงปองเล็กน้อย มีสีเหลืองทอง สามารถกินได้ทั้งเนื้อทั้งเปลือก รวมถึงชานด้วย โดยชื่อของส้มคัมควอทเพี้ยนมาจากภาษากวางตุ้งในคำว่า Camquit ชาวตะวันตกเพิ่งรู้จักส้มชนิดนี้ในศตวรรษที่ 17 เป็นพันธุ์ส้มที่สามารถดึงดูดความสนใจจากคนทั่วโลกได้เป็นอย่างดีเนื่องจากผลของส้มพันธุ์นี้มีรูปทรงสวยน่ารับประทาน อีกทั้งยังมีความแปลกกว่าส้มชนิดอื่นๆที่สามารถกินได้ทั้งลูกอีกด้วยนั้นเอง

ส้ม เป็นพันธุ์ไม้ที่ค่อนข้างมีความหลากหลายทางพันธุกรรม มีทั้งการผสมในพันธุ์เดียวกัน ผสมข้ามสายพันธุ์กัน หรือแม้กะทั่งผสมข้ามสกุลก็ยังมีจึงเกิดการพันธุ์ผสมแบบ ( Hybrid ) กันมากมาย เช่น ส้มจี๊ด อาจเป็นการไฮบริดของส้มเขียวหวานและคัมควอทหรือในส้มแทงจีโล ( Tangelo ) เป็นไฮบริดของส้มเขียวหวานและส้มโอ เป็นต้น

นอกจากนี้ ส้มยังเป็นผลไม้ที่สามารถกลายพันธุ์ได้ง่ายมาก หากเปลี่ยนสภาพดินและอากาศ รสชาติและสีก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย ซึ่งสามารถสรุปได้ก็คือ ส้มเป็นพืชที่มีการพัฒนาพันธุ์ไปได้หลากหลายมาก ยกตัวอย่างง่ายๆ ส้มเขียวหวานในเมืองไทย แต่เดิมมีแต่สายพันธุ์บางมดเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน ส้มเขียวหวานมีด้วยกันมากมายหลากหลายสายพันธุ์ เช่น ส้มโชกุน ส้มฟรีมองต์ ส้มสีทอง ส้มสายน้ำผึ้ง เป็นต้น ถึงแม้ ส้ม จะเป็นไม่ที่มีหลากหลายสายพันธุ์แต่ ก็สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้คือ

1. ส้มชนิดที่มีรสหวาน ( Sweet Orange ) มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Citras Sinensis เช่น ส้มวาเลนเซีย ที่รู้จักในนามซันควิก ส้มนาเวล ( Navels ) ส้มเกลี้ยง และส้มเช้งของไทย เป็นต้น

2.ส้มชนิดที่มีรสเปรี้ยว หรือขม ( Sour or Bitter Orange ) ปัจจุบันมีปลูกน้อยมาก ส่วนใหญ่ใช้ทำแยมผิวส้ม ( Marmalade ) เท่านั้น

ประโยชน์ของส้ม

ประโยชน์ของส้ม ส้มถือว่าเป็นผลไม้สุขภาพชนิดหนึ่ง ที่มีสรรพคุณและประโยชน์ที่ดีมากมาย โดยสามารถใช้ได้ทั้งเนื้อส้มและน้ำมันละเลยจากในส่วนของเปลือกส้ม เช่น

ส่วนต่างๆของส้ม ประโยชน์ที่ได้
เนื้อส้ม  • ช่วยให้เจริญอาหาร
• มีวิตามินซีป้องกันโรคลักปิดลักเปิด
• รักษาเหงือก
• ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอในร่างกาย
เปลือกส้ม • เป็นยาบำรุงใช้ทาใบหน้าใช้ป้องกันและรักษาสิวฝ้า
ชานของส้ม • ช่วยการขับถ่าย
• ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ และปัญหาอื่นๆ เกี่ยวกับกระเพาะและลำไส้

ประโยชน์ของส้ม เนื้อส้ม มีรสชาติหวาน อร่อย รับประทานแล้วสดชื่น ประโยชน์ของส้มยังมีอีกมากมาย สารอาหารในส้มมีหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม วิตามินเอ วิตามินซี ธาตุเหล็ก เกลือแร่ โซเดียม ส้มมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่ามะนาวในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณของวิตามินซีในส้มจะสูงกว่าในมะนาวเป็นอย่างมากโดยส้มเกลี้ยงจะมีปริมาณของวิตามินซี ที่สูงกว่าส้มเขียวหวานเล็กน้อย

ตารางแสดงปริมาณสารอาหารประโยชน์ของ ส้ม และมะนาว

ประเภท  น้ำมะนาว น้ำส้มเกลี้ยงคั้นสด น้ำส้มเขียวหวานคั้นสด
แคลเซียม 1 mg. 27 mg.  44 mg.
ฟอสฟอรัส 2 mg. 42 mg.  35 mg.
โปแตสเซียม 16 mg. 400 mg. 440 mg.
วิตามินซี 5 mg. 124 mg. 124 mg.
เหล็ก 0.5 mg. 0.5 mg.
โซเดียม 2 mg. 2 mg.
วิตามินเอ 500 I.U. 1040 I.U.

 

จากข้อมูลจะเห็นได้ว่าปริมาณของวิตามินในส้มจะสูงกว่ามะนาวมาก ซึ่งวิตามินซีจะทำหน้าที่เป็นประโยชน์ของส้มมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ป้องกันและรักษามะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็งที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีในร่างกายกับสารพิษก่อมะเร็งจากสิ่งแวดล้อม

โดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์เรามีความต้องการวิตามินซีประมาณ 150 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งการทานเพียงน้ำส้มคั้นหนึ่งแก้วก็เพียงพอแล้วแต่ถ้าหากร่างกายได้รับปริมาณของวิตามินซีมากเพียงพอถึงในระดับ 2,000 – 4,000  มิลลิกรัม ก็จะช่วยให้สามารถเป็นพลังเสริมในการต้านทานโรคมะเร็งได้ ดังนั้นควรเลือกรับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงอย่างส้มให้เป็นประจำ และทานในปริมาณที่มากเพียงพอ นอกจากช่วยป้องการอาการจากโรคหวัดได้แล้วยังช่วยในเรื่องการป้องกันโรคมะเร็งได้ด้วย นอกจากวิตามินซีแล้ว ส้มยังมีวิตามินบี ซึ่งเป็นโฟเลท มีสรรพคุณที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจได้อีกด้วยดังนั้นเมื่อรู้แบบนี้แล้วอย่าลืมซื้อส้มติดบ้านไว้บ้างก็จะดีไม่น้อยเลยทีเดียว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“Citrus phylogeny and genetic origin of important species as investigated by molecular markers”. TAG Theoretical and Applied Genetics. 100 (8): 1155–1166.

พืชผลไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ส้มเขียวหวาน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/use/fruit.htm.

ประโยชน์ของสตรอว์เบอร์รี ( Strawberry ) และวิธีเลือกซื้อ

0
สตรอว์เบอร์รี (Strawberry) ประโยชน์มากมายคุณค่าหลากหลาย
สตรอว์เบอร์รีผลไม้ที่มีสีและกลิ่นหอม มีคุณประโยชน์ทางอาหารมากมาย มีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงสายตาและวิตามินซีสูง
สตรอว์เบอร์รี (Strawberry) ประโยชน์มากมายคุณค่าหลากหลาย
สตรอว์เบอร์รีผลไม้ที่มีสีและกลิ่นหอม มีคุณประโยชน์ทางอาหารมากมาย มีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงสายตาและวิตามินซีสูง

สตรอว์เบอร์รี

สตรอว์เบอร์รี ( Strawberry ) คือ ผลไม้เศรษฐกิจยอดฮิตชนิดหนึ่งที่นิยมทานกันทั่วโลก มีสีสันสวยสดใสน่ารับประทานและยังมาพร้อมกับรสชาติอร่อย ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Fragaria × Ananassa เป็นพืชสกุลไม้ดอกในวงศ์กุหลาบ แต่เดิมถูกใช้เป็นพืชปลูกคลุมดินในอดีตให้กับต้นไม้ปลูกเลี้ยงชนิดอื่น ๆ สามารถพบเห็นการปลูกสตรอว์เบอร์รีได้ในทั่วโลก หลากหลายสภาพภูมิอากาศ สำหรับประเทศไทยจะพบได้มากในบริเวณภาคเหนือ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน เป็นต้น สตรอว์เบอร์รีมีมากมายหลากหลายกว่า 20 สายพันธุ์  โดยพันธุ์สตรอว์เบอร์รีที่ในปัจจุบันนิยมนำมาปลูกกัน คือ  สตรอว์เบอร์รีสวน ผลของสตรอว์เบอร์รี มีรสชาติหลากหลายขึ้นอยู่กับแต่สายพันธุ์ มีตั้งแต่รสหวานจนถึงสตรอว์เบอร์รีสายพันธุ์ที่มีรสเปรี้ยว สตรอว์เบอร์รีเป็นผลไม้ที่สามารถหาทานได้ทั้งปี แต่ผลผลิตจะออกมามากสุดและหาซื้อได้ราคาถูกสุดในช่วงเดือน มีนาคม – เดือนเมษายน ไปจนถึงเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป

สตรอว์เบอร์รี มีสารต้านอนุมูลอิสระ และเป็นผลไม้เศรษฐกิจยอดฮิตชนิดหนึ่ง ที่นิยมทานกันทุกประเทศทั่วโลก

ประโยชน์ของสตรอว์เบอร์รี

สตรอว์เบอร์รีเต็มไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงถึง 140% ของความต้องการต่อวันในหนึ่งถ้วย และยังมี เฟลโวนอยด์ ( Flavonoids ) อาหารประเภทแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติพิเศษช่วยในการต่อต้านการเกิดออกซิเดชัน โดยเฟลโวนอยด์ ที่พบได้ในสตรอว์เบอร์รี มี 2 ชนิดคือ เควอร์เซทิน ( Quercetin ) และ คะเอมพ์เฟอโรล ( Kaempferol ) จะไปช่วยป้องกัน LDL จากการเกิดออกซิเดชันอันเป็นอันตรายต่อผนังหลอดเลือดแดง และยังช่วยป้องกันให้เกล็ดเลือดเกาะตัวเป็นลิ้มได้ดียิ่งขึ้นด้วย ดังนั้นจึงช่วยให้ไม่เกิดการอุดตันในหลอดเลือดต่างๆ ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จากภาวะหัวใจล้มเหลวหรือเส้นเลือดในสมองตีบ

มีสารต้านอนุมูลอิสระและสตรอว์เบอร์รี ยังเป็นผลไม้เศรษฐกิจยอดฮิตชนิดหนึ่ง ที่นิยมทานกันอย่างมาก มีสีสันสวยสดใสน่ารับประทานและยังมาพร้อมกับรสชาติอร่อย เฟลโวนอยด์ ที่ได้จากสตรอว์เบอร์รี เป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย โดยจากผลการทดลองของสถาบันต่างๆได้ให้ข้อมูลไปในทางเดียวกัน คือ เฟลโวนอยด์ จะช่วยให้สามารถป้องกันโรคที่เกี่ยวกับหัวใจได้เป็นอย่างดี ซึ่งสถาบันการสาธารณสุขและพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งชาติในเนเธอร์แลนด์ ได้ทำการทดสอบเรื่องนี้ โดยให้กลุ่มตัวอย่าง 800 คน แบ่งเป็นคนอายุ 65 ถึง 85 ปี ใช้ระยะเวลาทดสอบกว่า 5 ปี เพื่อติดตามดูสุขภาพหัวใจและจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจผลการทดสอบพบว่าเมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างผู้บริโภค

เฟลโวนอยด์ นี้ในปริมาณต่ำ กับผู้ที่บริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยเฟลโวนอยด์อย่างเช่น สตรอว์เบอร์รี หัวหอม แอปเปิล และชา อย่างสม่ำเสมอแล้ว กลุ่มแรกที่ผู้บริโภคเฟลโวนอยด์ในปริมาณที่น้อย จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคหัวใจได้มากกว่าครึ่งเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับผู้ที่บริโภคเฟลโวนอยด์อย่างเป็นประจำ

การเลือกซื้อสตรอว์เบอร์รี

การเลือกซื้อสตรอว์เบอร์รีนั้น ต้องเลือกซื้อสตรอว์เบอร์รีที่สดใหม่ มีสีสันสดใส สุกได้ที่ ประโยชน์ของสตรอว์เบอร์รี เพื่อให้ได้สตรอว์เบอร์รีที่อร่อยและมีคุณภาพดี  ก่อนการรับประทานก็ควรล้างให้สะอาดเสียก่อน เพราะเป็นผลไม้ชนิดที่ต้องทานทั้งเปลือกนั้นเอง มีการวิจัยจาก มหาวิทยาลัยเทิฟทน์ ในบอสตัน พบว่า การทานผลของสตรอว์เบอร์รี จะมีสรรพคุณที่ช่วยในการป้องกันอันตรายจากการปฏิกิริยาออกซิเดชันประเภทที่จะนำไปสู่การมีคอเลสเตอรอลจับเกาะผนังหลอดเลือดและโรคหัวใจ ได้มากกว่าผลไม่ชนิดอื่นๆที่ทดสอบร่วมกัน 11 ชนิด อย่างเช่น แอปเปิล ส้ม องุ่น เป็นต้น อีกด้วย 

นอกจากนี้การทานสตรอว์เบอร์รี ที่สดใหม่มีคุณภาพดีในปริมาณที่เหมาะสม ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในอีกหลายๆอย่าง เช่น ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้สะดวก มีสรรพคุณเป็นยาระบายอย่างอ่อน ช่วยบำรุงสายตา  ป้องกันโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ ช่วยบรรเทาโรคตับอักเสบ ท้องร่วง และโรคเหน็บชา ช่วยในการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยบำรุงร่างกายหลังฟื้นไข้ เป็นต้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม 

เอกสารอ้างอิง

www.cm-fruit.com, en.wikipedia.org/wiki/Strawberry

Hancock, J.F. (1999). Strawberries (Crop Production Science in Horticulture). CABI.

สรรพคุณและประโยชน์ของมะขามมีอะไรบ้าง ( Tamarind )

0
สรรพคุณและประโยชน์ของมะขามมีอะไรบ้าง (Tamarind)
มะขาม เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีทั้งหวานและเปรี้ยว มีวิตามินหลากหลายชนิด
สรรพคุณและประโยชน์ของมะขามมีอะไรบ้าง (Tamarind)
มะขาม เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีทั้งหวานและเปรี้ยว มีวิตามินหลากหลายชนิด

มะขาม

มะขาม ( Tamarind ) คือ ไม้พันธุ์ยืนต้นที่มีขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่  มีใบเขียวทั้งปี ปลูกง่าย ทนทานต่อลมพายุไม่หักโค่นง่าย ผลเป็นฝักยาวโค้งงอคอดเป็นข้อ เปลือกฝักแข็ง และเปราะ เนื้อในฝักมีรสเปรี้ยว แต่ผลสุก บางพันธุ์มีรสหวาน นิยมใช้ในการปรุงอาหาร โดยฝักอ่อนจะมีสีเขียวอมเทา ส่วนฝักที่แก่แล้วจะมีสีน้ำตาลเข้ม กรอบหักง่าย

มะขาม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tamarindus Indica คือ ไม้พันธุ์ยืนต้นที่มีขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่  มีใบเขียวทั้งปี ปลูกง่าย ทนทานต่อลมพายุไม่หักโค่นง่าย ประโยชน์ของมะขามจากผล ผลเป็นฝักรูปร่างยาวและโค้ง นิยมใช้ในการปรุงอาหาร โดยฝักอ่อนจะมีสีเขียวอมเทา ส่วนฝักที่แก่แล้วจะกรอบหักง่ายและมีสีน้ำตาลเข้ม ผลมีรสเปรี้ยวหรือหวาน มะขามนิยมปลูกไว้ในบริเวณรอบๆบ้านเพื่อให้ร่มเงาและนำผลที่ออกมาไปใช้ในการปรุงอาหารได้นั้นเองโดยเฉพาะบริเวณริมถนนราชดำเนินนอก ที่สามารถพบเห็นต้นมะขามปลูกไว้อย่างมากมายในศตวรรษที่ 17 จักรวรรดินิยมสเปนได้นำต้นมะขามเข้าไปปลูกเผลแพร่ในแถบหมู่เกาะอินเดียตะวันตก และยังนำเข้าไปยังดินแดนลาตินอเมริกาอย่าง ทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ด้วย มะขามจึงปลูกแพร่หลายในดินแดน แถบนี้ โดยเฉพาะในประเทศเม็กซิโก และประเทศกัวเตมาลาทำให้เกิดเมนูอาหารยอดนิยมที่ปรุงด้วยมะขามและเป็นที่ชื่นชอบของคนไทย เช่น น้ำมะขาม เครื่องดื่มรสมะขาม ไอศกรีมมะขาม แยมมะขาม และกระทั่งไวน์มะขามส่วนในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ประเภทของมะขาม

มะขามหวาน ( Sweet Tamarind ) หารับประทานได้ทั่วไป นิยมรับประทานเนื้อมะขาม พบมากที่จังหวัดเพชรบูรณ์มะขามหวานมีหลายสายพันธุ์เช่น พันธุ์น้ำผึ้ง พันธุ์สีชมภู พันธุ์อินทผาลัม พันธุ์ขันตี พันธุ์สีทอง ( นายหยัด ) พันธุ์หมื่นจง พันธุ์เพชรเกษตร เป็นต้น แต่พันธุ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือสายพันธุ์ประกายทอง หรือ ที่ชาวบ้านเรียกว่าพันธุ์ตาแป๊ะ ซึ่งเป็นมะขามหวานที่มีขนาดฝักตรงและใหญ่กว่าฝักมะขามปกติให้เนื้อนุ่มหนาชุ่มฉ่ำและรสชาติหวานมาก และ

มะขามเปรี้ยว ( Sour Tamarind ) มะขามเปรี้ยว เป็นมะขามที่ให้เนื้อรสเปรี้ยว ฝักใหญ่กว่ามะขามหวาน นิยมนำมาประกอบอาหารและแปรรูป เช่น ใช้ทำน้ำมะขามใส่อาหารจำพวกต้มยำเพื่อให้รสชาติเปรี้ยวเป็นธรรมชาติ บางเมนูใช้แทนมะนาว เนื้อมะขามเปรี้ยวยังนำมาแปรรูปเป็นมะขามดอง มะขามกวนได้อีกด้วย

ประโยชน์ของมะขาม มีอะไรบ้าง

ต้นมะขามนั้น สามารถนำส่วนประกอบต่างๆ มาปรุงอาหารได้หลากหลายชนิด เช่น  ใบมะขาม  ดอกมะขาม  ฝักมะขาม เป็นต้น

ประโยชน์ของมะขามที่จะนำมาปรุงอาหารนั้น ต้องเป็นมะขามพันธุ์ที่มีรสออกเปรี้ยวเท่านั้น ส่วนพันธุ์ที่มีรสหวานนั้นไม่นิยมใช้ปรุงอาหาร นิยมรับประทานจากมะขามฝักสดสุก มะขามเปรี้ยวที่ปลูกกันมากที่สุดในประเทศไทยคือ มะขามพันธุ์กระดาน การเพาะมะขามเปรี้ยวส่วนมากเป็นจะสวนขนาดเล็ก ฝักมะขามเปรี้ยวจะมีขนาดที่ใหญ่และแบนกว่าฝักมะขามหวาน โดยช่วงทีมะขามจะออกดอกออกผลจะอยู่ในช่วงระหว่าง เดือนเมษายน จนไปถึงเดือนตุลาคม

ประโยชน์ของต้นมะขาม

  • ดอกมะขามสด จะมีสีเหลืองอมส้มโดยส่วนมากจะนิยมนำดอกมะขามสดไปปรุงเป็นอาหารอย่างเช่น ต้มโคล้งกุ้งสดกับดอกมะขาม ต้มโคล้งปลาช่อนแห้งดอกมะขามหรือ แกงจืดดอกมะขาม ต้มโคล้งปลาช่อนแห้งดอกมะขาม เป็นต้น
  • ใบมะขามทั้งใบมะขามหวานและใบมะขามเปรี้ยว มีสรรพคุณทางยา เราใช้ใบมะขามอ่อนยอดใบมะขามที่ยังอ่อนอยู่ จะมีสีเขียวอ่อน จะมีรสชาติออกเปรี้ยวนิดๆ ส่วนใบยอดมะขามที่เป็นสีแดงจะให้รสชาติที่ฝาด  ใบมะขามมีประโยชน์คือ อุดมไปด้วยแคลเซียมที่สูง เมนูที่นิยมนำไปประกอบเป็นอาหาร เช่น ต้มกะทิปลาสลิดใบมะขามอ่อน แกงยอดมะขามหมูย่าง  ต้มโคล้งปลาแห้ง แกงใบมะขามหอยเสียบ แกงจืดยอดมะขามเป็นต้น นอกจากใช้ประกอบอาหารแล้ว ใบมะขามใบอ่อนหรือยอดอ่อนยังใช้สำหรับขัดถูเครื่องเรือนโลหะจะช่วยในการขจัดคราบให้โลหะสะอาดและใสขึ้น โดยเฉพาะโลหะทองเหลืองและทองแดง ใบมะขามแก่นำมาขยำใช้น้ำล้างทำความสะอาดอุปกรณ์ครัว ลดคราบมันของจานชามได้เป็นอย่างดี
  • ใบมะขามแก่ สามารถนำมาต้มย้อมผ้าสีธรรมชาติ ให้สีเขียวขี้ม้า
  • ใบมะขามแห้ง ล้างใบผึ่งลมให้แห้ง บดละเอียดทำเป็นชาชงใบมะขามได้ ใบมะขามแห้งมีสรรพคุณชะลอวัยชรา ลดการเกิดอนุมูลอิสระ เป็นยาอายุวัฒนะ
  • ฝักมะขามอ่อน ฝักมะขามอ่อนมีรูปฟักที่เป็นสีเขียว มีรสเปรี้ยวอ่อนๆ และจะฝาดนิดๆ มีประโยชน์คือ มากไปด้วยวิตามินซี ( Vitamin C ) และวิตามินเอ ( Vitamin A ) ช่วยให้ชุ่มคอ ฝักมะขามอ่อนใช้ทำอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น ใช้ทั้งเปลือกทำน้ำพริกมะขาม ส้มตำมะขามอ่อน ข้าวคลุกน้ำพริกมะขาม ยำปูเค็มมะขามอ่อน และพริกเกลือมะขามสด เป็นต้น
  • ฝักมะขามแก่ มีสีออกน้ำตาลเข้ม มีรสเปรี้ยวอมหวานเล็กน้อย ใช้ประกอบอาหารได้ เช่น ใช้ทั้งฝักไม่แกะเปลือกต้มจนเละในแกงส้มผักบุ้งพริกสด หลนพริกขี้หนู ต้มยำบางชนิด เป็นต้น
  • มะขามเปียก เป็นส่วนผสมที่ถูกนำมาใช้ประกอบอาหาร และเครื่องดื่มมากที่สุด โดยการทำมะขามเปียกนั้น ต้องนำมะขามแก่ที่แกะเปลือกและเมล็ดออกแล้วตากแดดให้แห้งและทำเป็นก้อนเป็นมัดมีขายเพียง 3 แบบคือ มะขามก้าน เนื้อมะขามไร้เมล็ดแต่มีซังติดอยู่ มะขามหัวโล้นหรือมะขามเม็ด  เนื้อมะขามที่มีเมล็ดข้างใน ไม่มีซัง เนื้อมะขามล้วน มีแต่เนื้อมะขามล้วนๆในการนำมะขามเปียกไปปรุงอาหารจะนิยมใช้ แบบมะขามก้านและมะขามเนื้อล้วนเนื่องจากมะขามก้านนั้นสามารถคั้นน้ำได้ง่ายกว่ามะขามชนิดอื่นๆ เพราะมีซังช่วยให้เนื้อมะขามไม่เล็ดออกมาส่วนมะขามเนื้อล้วนจะเหมาะสำหรับการปรุงอาหารที่ต้องการเนื้อมะขามเป็นส่วนผสมและมะขามหัวโล้น จะนิยมใช้แปรรูปเป็นมะขามหยี มะขามคลุก และมะขามกวนเป็นต้นมะขามเปียกที่ใช้ในการปรุงอาหาร
  • น้ํามะขามเปียกมีสรรพคุณเป็นยาลดความอ้วนตามธรรมชาติ ชงน้ำมะขามเปียกแช่เย็นดื่มได้สบายท้องโดยไม่ต้องหายาลดความอ้วนรับประทาน
  • เนื้อมะขามเปียกสับละเอียด ทำน้ำพริกมะขามเปียก น้ำพริกปลาย่าง น้ำพริกนรก ปลาร้าสับเป็นต้น- นำมะขามเปียกมาผสมกับน้ำอุ่น จากนั้นค่อยๆคั้นน้ำมะขามเปียกออกมาจนได้ที่ อาจจะใช้เป็นแบบเข้มข้น หรือจะใช้วิธีการกรองเอาแต่น้ำก็ได้การปรุงอาหารส่วนใหญ่จะใช้วิธีนี้
  • เนื้อมะขามหวานประโยชน์มากมาย ไม่ได้มีเพียงแค่อร่อย เนื้อมะขาวหวานสามารถรับประทานได้เลย ให้รสชาติหวานตามธรรมชาติ เนื้อมะขามหวานมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ หากรับประทานมากเกินไปจะทำให้ท้องเสียได้

นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีมะขามเปียกสำเร็จรูปออกมาจำหน่าย เช่น รูปแบบชนิดผง ซึ่งเมื่อต้องการใช้ก็นำผงนี้ไปผสมน้ำให้ละลายก่อนใช้ แต่ก็ยังไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดเวลาในการปรุงอาหารสรรพคุณ มะขามเป็นพืชสมุนไพร ที่มีสรรพคุณที่ดีมากมาย เช่น  ช่วยในการขับถ่ายแก้อาการท้องผูก ช่วยบรรเทาอาการไอ ขับเสมหะหรือมีเสลดติดคอ ช่วยบำรุงผิวให้สดใส จากวิตามินซีในมะขาม ช่วยถ่านพยาธิตัวกลมในลำไส้ เป็นต้น

นอกจากสรรพคุณของต้นมะขามตามที่กล่าวมาแล้ว เนื้อไม้ของต้นมะขามที่มีเนื้อหนาแน่นและละเอียด ยังนิยมนำมาทำอุปกรณ์ใช้ในครัวเรือน เช่น เขียง กระบวยตักน้ำ เป็นต้น 

จะเห็นได้ว่า ต้นมะขาม และผลผลิตจากส่วนประกอบของต้นมะขามนั้นเราสามารถใช้งานได้ทั้งหมด หากปลูกไว้ตามบ้านเรือนก็ให้ร่มเงา และในปัจจุบันยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะขามที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมความงามและเครื่องประดับอีกด้วย

ข้อควรระวังในการใช้ประโยชน์จากมะขาม

มะขาม มีรสเปรี้ยว มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม ก็เกิดโทษได้ สำหรับข้อควรระวังในการใช้ประโยชน์จากมะขาม มีดังนี้

  • มะขามเปียก ที่ซื้อในตลาดอาจมีสิ่งสกปรกเจือปน หากนำมาทำอาหาร หรือ รับประทานแบบไม่สะอาด อาจทำให้ท้องเสียอย่างหนัก ซึ่งมะขามมีสรรพคุณเป็นยาระบายอยู่แล้ว อาจเป็นอันตรายได้หากเกิดภาวะติดเชื้อที่ระบบทางเดินอาหาร และ ภาวะร่างกายขาดน้ำ
  • มะขามเปียกใช้ขัดผิว หรือ พอกหน้า แต่หากใช้มะขามเปียกเกินอาทิตย์ละ 2 ครั้ง อาจทำให้ผิวระคายเคืองได้
    สำหรับการขัดผิว หรือพอกหน้าด้วยมะขามปียก อย่าลืมบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นด้วยครีมบำรุงผิว และครีมกันแดด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

สมพร ภูติยานันต์, 2551. สมุนไพรใกล้ตัว เล่ม 13 : สมุนไพรแต่งสี กลิ่น รส. วิทยาศาสตร์เภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ตุลย์การพิมพ์, เชียงใหม่.

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN), เว็บไซต์สรรพคุณสมุนไพร (www.rspg.or.th), USDA Nutrient database

เต็ม สมิตินันทน์,2544. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ. เต็ม สมิตินันทน์,2544. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ. 

ฟักทอง ( Pumpkin ) สรรพคุณและประโยชน์ของฟักทอง

0
ฟักทอง
ฟักทอง มีกากใยอาหารสูง มีแคลอรีและไขมันน้อย ใช้ได้ทั้งอาหารคาวและหวาน มีวิตามินแร่ธาตุมากมายที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ฟักทอง (Pumpkin) สรรพคุณและประโยชน์ของฟักทอง

ฟักทอง

ฟักทอง ( Pumpkin ) แบ่งออกเป็น 2 ตระกูล คือ ตระกูลฟักทองอเมริกัน ผลใหญ่เนื้อนุ่ม และตระกูลสควอช ( Squash ) เนื้อแน่นหนัก ได้แก่ฟักทองไทยและฟักทองญี่ปุ่น โดยฟักทองไทยผิวมีลักษณะขรุขระเล็กน้อย เปลือกจะแข็ง เนื้อด้านในเป็นสีเหลืองสดธรรมชาติให้สีสันน่ารับประทาน ชนิดของฟักทองที่นิยมนำมารับประทานได้แก่ ฟักทองของไทย พันธุ์คางคก พันธุ์ญี่ปุ่น พันธุ์คิงคอง พันธุ์ผลมะพร้าว พันธุ์เนื้อสีส้ม เป็นต้น นอกจากนี้ฟักทอง ถือเป็นอาหารที่อุดมด้วยสารอาหาร เเต่อย่างไรก็ตามพบว่า ฟักทองให้พลังงานแคลอรี่ต่ำมากอย่างเหลือเชื่อ ถึงเเม้ว่าจะเต็มไปด้วยสารอาหารก็ตาม ฟักทองปริมาณ 245 กรัม (ถ้วย) ให้พลังงานที่ต่ำกว่า 50 แคลอรี่ต่อถ้วย และประกอบด้วยประมาณของน้ำมากถึง 94 เปอร์เซนต์ นอกจากนี้ยังพบว่า ฟักทองยังเป็นแหล่งของใยอาหาร หรือไฟเบอร์ที่ดีอีกด้วย ซึ่งสามารถช่วยลดความอยากอาหารได้

ฟักทองชื่อวิทยาศาสตร์ คือ :  Cucurbita maxima ‘Kabocha Group’ หรือ Cucurbita moschata Duchesne จัดอยู่ในวงศ์แตง ( CUCURBITACEAE ) 

ฟักทอง ประโยชน์

ประโยชน์ของฟักทองในส่วนประกอบของฟักทองที่ให้คุณค่าสารอาหารมีอะไรบ้าง?

  • เปลือกฟักทอง ประโยชน์ของเปลือกฟักทองมีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ประโยชน์ของฟักทองใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียม ( Calcium ) และฟอสฟอรัส ( Phosphorus ) สูงกว่าในเนื้อ นิยมเด็ดยอดอ่อนมาลวดจิ้มน้ำพริกในตำรับอาหารไทย
  • ประโยชน์ของฟักทองตรงเนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ ” เบต้าแคโรทีน ” ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี
  • ประโยชน์ของฟักทองที่เยื่อกลางผลฟักทอง สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้
  • ฟักทองเหมาะเป็นอาหารของคนที่กำลังลดน้ำหนัก เพราะไขมันน้อย น้ำตาลน้อย กากใยอาหารสูง พลังงานต่ำ ใยอาหารสูง
  • ประโยชน์ของฟักทองที่ดอกฟักทอง ( Pumpkin Flower ) มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย
  • เมล็ดฟักทอง ประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน รวมทั้งสารที่ชื่อว่า ” คิวเคอร์บิติน ” ( Cucurbitine ) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ
  • รากฟักทอง น้ำมาต้มน้ำใช้ดื่มแก้อาการไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย ถอนพิษของฝิ่นได้

คนส่วนมากมักเข้าใจผิดว่าฟักทองเป็นผัก แต่แท้จริงแล้วฟักทองจัดอยู่ในกลุ่มของผลไม้

ฟักทอง สรรพคุณ

  • ช่วยในเรื่องรักษาและบำรุงสุขภาพหัวใจ  เนื่องจากในฟักทองประกอบด้วยแคโรทีนชนิดต่างๆเช่น เบต้าแคโรทีนอัฟฟาแคโรทีน ซึ่งช่วยให้บำรุงสุขภาพของหัวใจให้แข็งแรงนอกจากนี้ในฟักทองยังมีไฟเบอร์และโพแทสเซียมซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบหัวใจด้วยเช่นกันโดยการทานฟักทองแค่เพียง 1 ถ้วยเล็กสามารถเพิ่มแคโรทีนต่างๆให้กับร่างกายได้มากถึง 1,000 มิลลิกรัมเลยทีเดียว 
  • ประโยชน์ของฟักทองช่วยลดความดันโลหิต เนื่องจาก ในฟักทองนั้นมากไปด้วย โพแทสเซียมและไฟเบอร์ต่างๆซึ่งสองสิ่งนี้เป็นตัวช่วยอย่างดีในการไปลดและควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีโดยฟักทองปริมาณหนึ่งเสิร์ฟมีโพแทสเซียมเกือบ 300 มิลลิกรัม หรือ 10% ของความต้องการ พร้อมด้วยใยอาหาร 4 กรัม หรือ 20% ของความต้องการต่อวัน  นอกจากนี้สารแคโรทีนในฟักทองอย่างเบต้าและอัลฟ่า ยังช่วยไปต่อต้านอนุมูลอิสละช่วยคุ้มครองมิให้ LDL ซึ่งเป็นพาหะนำคอเลสเตอรอล ( Cholesterol ) ไหลเวียนไปทั่วร่างกายถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระ
  • ฟักทองช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลเนื่องจาก มีผลการทดลองกับสัตว์โดยเพิ่มเมนูฟักทองลงมื้ออาหารประจำวันสามารช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในสัตว์ตัวนั้นๆได้ซึ่งก็น่าจะมีผลที่ดีเหมือนกันในร่างกายของมนุษย์เราได้เช่นกันด้วยคุณประโยชน์ที่มากมายของฟักทองทุกบ้านควรนำฟักทองมาประกอบเป็นอาหารมื้อหลักให้บ่อยๆ
  • สารเคอร์บิซินในเมล็ดฟักทอง ช่วยให้ปัสสาวะคล่อง ช่วยชะลอความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก ลดอาการต่อมลูกหมากโต

ข้อควรระวังในการทาน ฟักทอง

ฟักทอง มีฤทธิ์อุ่นดังนั้นคนที่กระเพาะร้อน จะมีอาการเบื้องต้น เช่น กระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้อง และตัวเหลือง

ฟักทอง เมนูของหวาน

  • ฟักทองเชื่อม
  • ฟักทองนึ่ง
  • ฟักทองแกงบวด
  • พายฟักทอง
  • ขนมปังหรือคุกกี้ฟักทอง
  • ชีสเค้กฟักทอง
  • สังขยาฟักทอง
  • คัสตาร์ดเค้กฟักทอง
  • เค้กฟักทอง
  • แกงบวดฟักทองนมสด
  • น้ำฟักทอง
  • ฟักทองฉาบ
  • ก๋าบองทอด (ฟักทองแท่งทอด)

ฟักทอง เมนูอาหารคาว

  • แกงป่าฟักทองใส่ไก่ หรือหมู
  • แกงเผ็ดฟักทองใส่หมู หรือไก่
  • ซุปฟักทอง
  • ผัดฟักทองใส่ไข่
  • แกงเลียงฟักทอง
  • แกงอ่อมฟักทองหมูสามชั้น
  • แกงส้มฟักทอง
  • โจ๊กฟักทองหมูสับ 

แม้ว่าประโยชน์ของฟักทองมีมากมายแต่การที่นำฟักทองไปประกอบเป็นอาหารต่างๆก็ควรระมัดระวังเรื่องของส่วนผสมในอาหารชนิดนั้นๆ ไม่ให้ในอาหารนั้นมีปริมาณของไขมันและน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะเมนูอาหารหวานปกติฟักทองเองก็สามารถทานเป็นผลสดๆเลยก็ได้ สามารถหาทานได้ง่ายทุกฤดูการหรือจะเลือกทานแบบอัดกระป๋องก็ยังได้โดยฟักทองแบบอัดกระป๋องนั้นจะมีคุณค่าทางอาหารที่สูงกว่าแบบการทานสดๆเนื่องจากมีปริมาณน้ำน้อยกว่า และมากไปด้วยแคโรทีน

ตารางคุณค่าทางโภชนาการของฟักทอง

เนื้อฟักทองปริมาณ 100 กรัม มีสารอาหารอะไรบ้าง

พลังงาน 26 กิโลแคลอรี
วิตามินเอ 476 ไมโครกรัม 53%
เบตาแคโรทีน 3,100 ไมโครกรัม 29%
ลูทีนและซีแซนทีน 1,500 ไมโครกรัม
วิตามินบี 1 0.05 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 2 0.11 มิลลิกรัม  9%
วิตามินบี 3 0.6 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 5 0.298 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 6 0.061 มิลลิกรัม 5%
ฟักทองวิตามินบี 9 16 ไมโครกรัม 4%
วิตามินซี  9 มิลลิกรัม  11%
วิตามินอี 0.44 มิลลิกรัม 3%
วิตามินเค 1.1 ไมโครกรัม 1%
ธาตุแคลเซียม 21 มิลลิกรัม 2%
ธาตุเหล็ก 0.8 มิลลิกรัม 6%
ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.125 มิลลิกรัม 6%
ธาตุฟอสฟอรัส 44 มิลลิกรัม 6%
ธาตุโพแทสเซียม 340 มิลลิกรัม 7%
ธาตุโซเดียม 1 มิลลิกรัม 0%
ธาตุสังกะสี 0.32 มิลลิกรัม 3%
คาร์โบไฮเดรต 6.5 กรัม
น้ำตาล 2.75 กรัม
เส้นใยกากใย 0.5 กรัม
โปรตีน 1 กรัม
ไขมัน 0.1 กรัม

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ( ข้อมูลจาก : USDA Nutrient Database )

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง 

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. 

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, USDA National Nutrient Database

“Pumpkin seed (Cucurbitae peponis semen)”. Heilpflanzen-Welt Bibliothek. Retrieved March 25, 2015.

Pumpkin. (1992). In The Encyclopedia Americana International Edition. Danbury, Connecticut: Grolier Incorporated.

ใบชิโสะ หรือใบโอบะ ความลับของพืชญี่ปุ่นเพื่อสุขภาพที่ดี

0
ใบชิโสะ หรือใบโอบะ ความลับของพืชญี่ปุ่นเพื่อสุขภาพที่ดี
ชิโสะ (Green Shiso) คุณค่าทางโภชนาการที่ให้วิตามินเอ บี ซีสูง
ชิโสะ (Green Shiso) มีวิตามินเอ บี ซี ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เป็นพืชสมุนไพรล้มลุกชนิดหนึ่งของญี่ปุ่น

ใบโอบะ หรือใบชิโสะ

ใบโอบะ หรือใบชิโสะ ( Green Shiso ) เป็นพืชสมุนไพรจากประเทศญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณทางยา ที่ได้รับความนิยมในการใช้ประกอบอาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเมนูซาชิมิและอาหารประเภทต่างๆ ใบชิโสะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น วิตามิน C และฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงจากโรคต่างๆ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการช่วยย่อยอาหาร ลดการอักเสบ และบำรุงตับ การรับประทานใบชิโสะเป็นประจำจึงสามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Perilla frutescens ( L. ) Britt. Var. crispa ( Thunb. ) Hand-mazz.
ชื่อท้องถิ่น : งาขี้ม้อน งาพื้นเมือง งาหอม งาดอย งาม่อน(ไทย) งาเจียง (ลาว) Perilla (อิตาลี โปรตุเกส สเปน รัสเซีย) งาป่า (อังกฤษ เยอรมนีฝรั่งเศส) ไบซูเกง (จีน) เตียโต๋ (เวียดนาม) ชิโสะ (ญี่ปุ่น) steak plant (สหรัฐอเมริกา) และชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า นอ

ลักษณะใบโอบะหรือใบชิโสะ

ลักษณะใบโอบะหรือใบชิโสะใบโอบะ หรือใบชิโสะ เป็นพืชประเภทไม้ล้มลุกที่มีอายุสั้นใช้ระยะเวลาการปลูก 50 – 60 วัน ก็สามารถนำผลผลิตมารับประทานได้แล้ว และสามารถเก็บเกี่ยวต่อไปได้อีกในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี เท่านั้นสามารถปลูกได้ทั้งปี เป็นพันธุ์ไม้ที่ชอบดินที่มีความร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบให้มีน้ำขัง  ต้นใบโอบะหรือ ใบชิโสะ จะมีลักษณะคือ  เป็นไม้ลำต้นตั้งตรง จะมีความสูงเพียงแค่ 30 –100 เซนติเมตร เท่านั้น  มีสีม่วงหรือสีม่วงอมเขียว ใบมีรูปทรงกลมปลายแหลม ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย ผิวใบย่นไม่เรียบตัวใบยาว 4 – 12 เซนติเมตร กว้าง 2.5 -10 เซนติเมตร ก้านใบยาว 2.5 -7.5 เซนติเมตร ดอกจะออกที่โคนก้านใบหรือบนยอดกิ่ง ด้านล่างดอกมีขนอ่อนขึ้นหน้าแน่น ดอกมีสีม่วง มีขนอ่อนยาวสีม่วงตรงส่วนข้อของกิ่งและลำต้น ซึ่งเรียกว่า ” เจียมชิโสะ ” มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Perilla frutescens ( L. ) Britt. Var. Acuta ( Thunb. ) Kido. โดยชิโสะชนิดนี้จะมีลักษณะทางพฤษศาสตร์คล้ายกับชิโสะประเภทแรกเกือบทุกอย่าง ยกเว้น จะมีสีม่วงและขนอ่อนคลุมอยู่ ดอกมีสีม่วงอมแดงหรือแดงอ่อนจากข้อมูลพบว่า ชิโสะทั้ง 2 ประเภทนี้ มีสรรพคุณทางยาด้วยกันทั้งคู่  เกือบทุกส่วนของชิโสะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ทั้งราก กิ่ง ก้าน ใบ และเมล็ดเช่น เมล็ดชิโสะ ( เฮ็กโซวจี้ ) สามารถช่วยแก้พิษจากอาหารทะเลได้โดยให้นำเมล็ดไปคั่วจนสุกแล้วนำมาผสมเปลือกส้มดองเกลือแล้วนำมารับประทาน

ใบโอบะหรือ ใบชิโสะ มีรสเผ็ดร้อนอ่อน ๆ ใบย่นทั้งต้นจะประกอบไปด้วยน้ำมันหอมระเหย 0.5% ซึ่งในน้ำมันหอมระเหยนี้จะประกอบได้ด้วยสาร Perillaldehyde ประมาณ 55% Limonene ประมาณ 20-30% และอัลฟาร์-pinene อีกจำนวนเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมี Arginie, Cumic acid เป็นต้น ในส่วนน้ำมันหอมระเหยจากใบจะประกอบด้วยสาร เช่น  Isoegomaketone เป็นต้น

สำหรับชิโสะชนิดเรียบจะประกอบไปด้วยน้ำมันหอมระเหยเช่นกัน ซึ่งในน้ำมันหอมระเหยนี้จะมีสารเช่น Isoamyl 3-Furylketone, Perillal Alcohol, Linalool, Camphene, Menthol, Menthorne, Dihydroperilla Alcohol, Eugenol เป็นต้น

ใบโอบะ หรือใบชิโสะ สรรพคุณ (สีเขียว)

ใบโอบะ หรือใบชิโสะ สรรพคุณ (สีเขียว)(Green Shiso)ประกอบด้วยสารต่อต้านมะเร็งและเพิ่มภูมิคุ้มกัน มีประโยชน์ทางโภชนาการ ให้สารอาหารประเภทวิตามินเอ วิตามินบี และวิตามินซี ส่วนเมล็ดมาสกัดน้ำมันมาปรุงอาหารซึ่งจะช่วยบำรุงหัวใจและตับ สาร Phytol component ในใบชิโสะกระตุ้นการทำงานของ เซลล์ที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกายโดยธรรมชาติให้ทำหน้าที่กำจัดเซลล์มะเร็ง รวมทั้งช่วยยกระดับการทำงานของเซลล์ Macrophages ที่มีหน้าที่กำจัดเชื้อโรคและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายมีกลิ่นหอม รสชาติออกเผ็ดเล็กน้อยมีฤทธิ์อุ่นไม่มีพิษ

  • ในทางการแพทย์จีน พบว่า ชิโสะจะมีสรรพคุณที่ช่วยให้สามารถบำบัดอาการหวัด มีไข้  ไอ หอบหืด แน่นท้อง และแน่นหน้าอก นอกจากนี้ยังใช้บำรุงครรภ์ และแก้พิษอาหารจำพวกปูและปลาได้อีกด้วยเนื่องจากในชิโสะจะออกฤทธิ์ไปตามเส้นจิงหลอของปอดและม้าม ( เส้นจิงหลอคือเส้นที่มีจุดแทงเข็มกระจายอยู่ โดยเส้นจิงหลอแต่ละเส้นจะเดินผ่านอวัยวะสำคัญของร่างกายแตกต่างกันไป ) ชิโสะจะไปขับเหงื่อในระยะเริ่มแรกของโรค ปรับอุณหภูมิในร่างกายให้เหมาะสมและ ปรับการไหลเวียนของลมในร่างกายให้เป็นปกติ
  • ใน Compendium of Materia Medica หรือ ปึงเช่ากังมักได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับชิโสะว่า สามารถช่วยให้ลมในร่างกายไหลเวียนได้เป็นปกติ ขจัดเสมหะและบำรุงปอด บำรุงเลือด แก้ปวด แก้หอบหืดและเป็นยาบำรุงสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์
  • ในหยิกหั่วจื้อปึงเช่าให้ข้อเกี่ยวกับชิโสะว่า สามารถใช้บำบัดอาการแน่นท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้อาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อน่อง ลดอาการอาเจียน ช่วยในเรื่องถ่ายเหลวจนร่างกายสูญเสียน้ำมากเกินไป ช่วยให้เจริญอาหารและบำบัดโรคอันเกิดจากพิษความเย็นทุกชนิด แก้อาการเหน็บชา
  • ในตำราสมุนไพรของทางยูนนาน เตียงน้ามปึงเช่าได้ให้ข้อมูลว่า ชิโสะ มีสรรพคุณสามารถช่วยรักษาแผลเลือดออกที่เกิดจากของมีคม หรือแผลจากริดสีดวงทวารได้ โดยจะใช้วิธีนำชิโสะไปต้มน้ำอาบ

ใบโอบะ หรือใบชิโสะ สรรพคุณ (สีแดง)

ใบโอบะ หรือใบชิโสะ สรรพคุณ (สีแดง)ใบชิโสะแดง (Red Shiso) เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมของคนญี่ปุ่นอุดมไปด้วยแอนโทไซยานิน กรดไขมันโอเมก้า 3 6 และ 9 แคลเซียม โพแทสเซียม เหล็ก วิตามิน A B2 และ C สารสำคัญในใบชิโสะแดงมีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สารต้านไวรัส ซึ่งใบชิโสะสีแดงจะไม่ค่อยนิยมกินแบบสด ส่วนมากจะนำมาทำเมนูดังนี้

1. น้ำใบชิโสะ เครื่องดื่มที่ช่วยสร้างความสดชื่น ดับร้อน ทำง่ายคล้ายวิธีต้มน้ำกระเจี๊ยบบ้านเรา เพียงแต่ใช้ใบชิโสะแดงสดล้างทำความสะอาดต้มในน้ำ 2 ลิตร ประมาณ 5 นาที แล้วตักใบออก เติมน้ำตาล 300 กรัม หรือตามชอบ และน้ำเลม่อน 2 ผล (หรือน้ำส้มข้าวหมัก 1 ถ้วยตวง จะทำให้น้ำเป็นสีแดงสวย) สุดท้ายนำมากรองใส่ขวดเก็บแช่เย็น เวลาดื่มให้นำมาผสมน้ำเย็นหรือโซดาโดยน้ำชิโสะ1ส่วน ต่อน้ำ3 ส่วน

2. ชาใบชิโสะแดง นำใบชิโสะแดงตากแห้งเพื่อใช้ดื่มเป็นชา บรรเทาอาการไอและมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรีย

3. ใช้เป็นสีเติมแต่งธรรมชาติของผักดอง ใบชิโซะแดงทำปฏิกิริยากับกรดแลกติกที่เกิดขึ้นในขณะการดองผักจะเป็นสีแดงสวยงาม เช่น บ๊วยดอง หัวไชเท้าดอง แตงกวาดอง และขิงดอง

4. ทำเป็นผงโรยข้าวยูคาริ ผงยูคาริโรยคลุกเคล้ากับข้าวหรืออาหารต่าง ๆ เพื่อเพิ่มสีสันและให้รสชาติที่อร่อยกลมกล่อมแล้วยังมีสารเซซามอลซึ่งเป็นสารที่ช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระและยังช่วยป้องกันโรคมะเร็ง

ข้อควรระวัง

การทานใบโอบะ หรือใบชิโสะ ผู้ที่มีอาการไข้เฉียบพลันหรือปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว กลัวหนาว ไม่ควรรับประทาน นอกจากนี้ผู้ที่ต้องการทานชิโสะในการเลือกซื้อให้ได้ชิโสะที่มีคุณภาพดี มีเทคนิคและวิธีในการเลือกคือ ควรเลือกใบชิโสะที่มีขนาดใหญ่ มีสีม่วง มีกลิ่นหอม โดยต้องไม่มีกิ่งก้านปนมาด้วย การทานชิโสะต้องทานในปริมาณที่เหมาะสมไม่มากจนเกินไป หากมีอาการแพ้หรือผิดปกติอย่างไรต้องหยุดทานและไปพบแพทย์ทันที

นอกจากนี้ ชิโสะ ยังมีสรรพคุณในการช่วยรักษาโรคโลหิตจางได้ โดยให้ใช้วิธีนำใบชิโสะมาปรุงอาหาร และรับประทานเป็นประจำ เมนูที่ทำได้จากใบชิโสะ เช่น ทานสดๆเป็นผักสลัดควบคู่กับปลาดิบ อาหารจำพวกซูชิ  หรือ นำมาปรุงเป็นซุป ก็ได้โดยในแต่ละมื้อควรทานในปริมาณที่เหมาะสมประมาณ 10-15 กรัม

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

He-ci Yu. “Perilla: The Genus Perilla”. Medicinal & Aromatic Plants, Industrial Profiles. ISBN 90-5702-171-4.