มะเร็งถุงน้ำดี ( Gallbladder Cancer )

0
โรคมะเร็งถุงน้ำดี (Gallbladder Cancer)
เป็นมะเร็งที่ถุงน้ำดีจะมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง ซึ่งเป็นโรคที่พบได้น้อยมาก
โรคมะเร็งถุงน้ำดี (Gallbladder Cancer)
เป็นมะเร็งที่ถุงน้ำดีจะมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง ซึ่งเป็นโรคที่พบได้น้อยมาก

มะเร็งถุงน้ำดี

มะเร็งถุงน้ำดี ( Gallbladder Cancer ) เป็น มะเร็งที่เกิดขึ้นที่ถุงน้ำดีใต้ตับ อยู่บริเวณชายโครงด้านขวา ซึ่งถุงน้ำดีมีหน้าที่ผลิตสารที่ช่วยย่อยอาหารประเภทไขมัน เป็นมะเร็งอีกชนิดหนึ่งที่ตรวจพบและวินิจฉัยได้ยากมาก โดยทางแพทย์ผู้ตรวจจะใช้วิธีต่างๆในการตรวจ เช่น การตรวจร่างกาย การสอบถามประวัติอาการ การใช้วิธีการอัลตราซาวด์ หรือ ใช้การเอกซเรย์ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ แต่วิธีที่ดีและให้ผลได้ชัดเจนที่สุดคือ การผ่าตัดถุงน้ำดีแล้วนำชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยา

ถุงน้ำดี คือ หนึ่งในอวัยวะร่างกายของมนุษย์เราทำหน้าที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร โดยถุงน้ำดีจะกักเก็บน้ำดีที่ผลิตออกมาจากตับและทำให้มีความเข้มข้นขึ้น เพื่อนำไปใช้ในการช่วยย่อยอาหาร ถุงน้ำดีเป็นอวัยวะในช่องท้องส่วนบนด้านขวา ซึ่งแน่นอนว่าป็นอวัยวะหนึ่งที่สามารถเกิดเป็นโรคมะเร็งถุงน้ำดีได้เช่นกัน

ส่วนมากเกือบทั้งหมดจะเกิดจากเซลล์เยื่อเมือกบุภายในถุงน้ำดี เป็นมะเร็งชนิดที่พบได้ค่อนข้างน้อย โดยจะพบมากในผู้สูงอายุ ( อายุเฉลี่ย 50-60 ปี ขึ้นไป ) ส่วนในผู้ป่วยที่เป็นวัยเด็กก็อาจจะพบได้บ้างแต่น้อยมาก และมักจะเกิดในผู้หญิงมากว่าผู้ชายถึง 2 เท่าตัว โรคมะเร็งถุงน้ำดีมีหลายชนิดแต่ส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมา ซึ่งเป็นเซลล์ชนิดที่มีความรุนแรงของโรคปานกลาง

การมีเนื้องอกร้ายเกิดขึ้นภายในเนื้อเยื่อถุงน้ำดีซึ่งในถุงน้ำดีจะ ประกอบไปด้วยเซลล์หลายชนิดเช่น เซลล์เยื่อเมือกบุภายในถุงน้ำดี กล้ามเนื้อ และเส้นเลือด โดยสามารถเกิดเป็นโรคมะเร็งได้ทุกชนิดของเซลล์

สาเหตุของมะเร็งถุงน้ำดี

สำหรับสาเหตุของโรคมะเร็งในถุงน้ำดี ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่จากการศึกษาก็เชื่อกันว่าโรคนี้อาจจะมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยเสี่ยงหลายๆอย่างร่วมกัน เช่น
• ความอ้วน หรือมีน้ำหนักเกินมาตรฐานปกติ
• เป็นนิ่วในถุงน้ำดี
• เกิดการอักเสบเรื้อรังจากสาเหตุต่างๆของถุงน้ำดี
• การสูบบุหรี่
• ความผิดปกติจากพันธุกรรมบางชนิดที่ถ่ายทอดได้ เนื่องจากพบว่าผู้ที่มีคนในครอบครัวเคยป่วยเป็นมะเร็งถุงน้ำดี
• มีการเกิดโรคที่สูงกว่าคนทั่วไปปกติที่ในครอบครัวไม่เคยมีประวัติการป่วยเป็นโรคนี้มาก่อน

อาการของมะเร็งถุงน้ำดี

โดยทั่วไปมะเร็งถุงน้ำดี จะไม่มีอาการเฉพาะตัวของโรคเอง แต่จะมีอาการที่แสดงออกมาคล้ายกับอาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดี หรือ การอักเสบของถุงน้ำดี ซึ่งจะมีอาการลักษณะ ดังต่อไปนี้

  1. จะรู้สึกปวดท้องด้านขวาบน ซึ่งเป็นตำแหน่งของถุงน้ำดี โดยอาการปวดจะเป็นๆ หายๆ สลับกันไป
  2. มีอาการท้องอืด แน่นเฟ้อ
  3. มีอาการบวมบริเวณท้องด้านขวาบน หรือ สามารถคลำเจอถุงน้ำดีที่มีขนาดโตกว่าปกติได้ที่หน้าท้อง

ระยะของมะเร็งถุงน้ำดี

โรคมะเร็งถุงน้ำดีสามารถแบ่งระยะของโรคออกได้ เป็น 4 ตามอาการของโรคเหมือนมะเร็งชนิดอื่นๆดังนี้

ระยะที่ 1 เป็นระยะเริ่มแรกของโรค ซึ่งก้อนมะเร็งยังไม่ลุกลามเกินผนังชั้นกล้ามเนื้อของถุงน้ำดี

ระยะที่ 2 ก้อนมะเร็งจะเริ่มลุกลามจนเข้าไปถึงชั้นเยื่อหุ้มถุงน้ำดี แต่ก็ยังไม่ไม่ทะลุเข้าเนื้อเยื่อหรืออวัยวะข้างเคียง

ระยะที่ 3 ก้อนมะเร็งลุกลามเข้าไปถึงเนื้อเยื่อหรืออวัยวะต่างๆ หรือต่อมน้ำเหลืองบริเวณที่ใกล้เคียงถุงน้ำดี

ระยะที่ 4 ก้อนมะเร็งจะแพร่กระจายตัวเข้าไปสู่ช่องท้อง และอวัยวะต่างๆที่สำคัญ หรือลุกลามเข้าไปถึงจนเข้าเส้นเลือดใหญ่ ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ไกลออกไป เช่น ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง หรือเข้ากระแสเลือดไปยังอวัยวะอื่นๆที่อยู่ไกลออกไป โดยอวัยวะที่พบบ่อยๆคือในปอดและตับ

การรักษามะเร็งถุงน้ำดี

การรักษาทำได้โดยวิธีการผ่าตัด  โดยการผ่าตัดแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ การผ่าตัดถุงน้ำดีออกไปเท่านั้น การผ่าตัดถุงน้ำดีในวงกว้าง การผ่าตัดอวัยวะภายในต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง ส่วนวิธีอื่นๆ เช่นการให้เคมีบำบัดหรือการใช้รังสีรักษา เป็นขั้นตอนที่อยู่ในการศึกษาของแพทย์ เพราะเซลล์มะเร็งที่เกิดที่ถุงน้ำดีมักจะมีอาการดื้อต่อยาเคมีบำบัดและรังสีรักษา สำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งถุงน้ำดีมีโอกาสจะรักษาให้หายได้เป็นปกติ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระยะของโรค ความสามารถในการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก และรวมไปถึงอายุและสุขภาพของผู้ป่วย

การป้องกันมะเร็งถุงน้ำดี

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีในการป้องกันโรคมะเร็งถุงน้ำดี รวมถึงยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งชนิดนี้ด้วย เนื่องจากเป็นโรคที่พบได้น้อยเหมือนกับโรคมะเร็งในท่อน้ำดีนั้นเอง

หากลองดูจากข้อมูลต่างๆ จะพบว่ามะเร็งถุงน้ำดีมีความคล้ายคลึงกันเกือบทุกอย่างกับโรคมะเร็งท่อน้ำดี แต่จะแตกต่างกันก็ที่อวัยวะที่เป็นเท่านั้น และเป็นมะเร็งชนิดที่ตรวจพบได้ยาก ดังนั้นหากรู้สึกว่ามีความผิดปกติในร่างกายอะไรก็แล้วแต่ ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจจะดีที่สุด เพราะหากรู้ตั้งแต่อาการระยะแรก ก็จะสามารถรักษาได้ง่ายกว่าการที่อาการลุกลามไปมากแล้วนั้นเอง

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Prasad AR, Bernstein H (March 2013). “Epigenetic field defects in progression to cancer”. World Journal of Gastrointestinal Oncology.

Thun MJ, Hannan LM, Jemal A (September 2006). “Interpreting cancer trends”. Annals of the New York Academy of Sciences.

มะเร็งท่อน้ำดี ( Cholangiocarcinoma หรือ CCA )

0
โรคมะเร็งท่อน้ำดี (Cholangiocarcinoma, CCA) คืออะไร
มะเร็งท่อน้ำดี เป็นมะเร็งชนิดหนึ่งที่เกิดกับเซลล์เยื่อบุผนังของท่อน้ำดีซึ่งเป็นอวัยวะที่นำน้ำดีจากตับมายังลำไส้เล็ก
โรคมะเร็งท่อน้ำดี (Cholangiocarcinoma, CCA) คืออะไร
มะเร็งท่อน้ำดี เป็นมะเร็งชนิดหนึ่งที่เกิดกับเซลล์เยื่อบุผนังของท่อน้ำดีซึ่งเป็นอวัยวะที่นำน้ำดีจากตับมายังลำไส้เล็ก

มะเร็งท่อน้ำดี

มะเร็งท่อน้ำดี ( Cholangiocarcinoma, CCA ) คือ ก้อนเนื้อร้ายที่เกิดจากเซลล์เยื่อบุผนังของท่อทางเดินน้ำดี ท่อน้ำดีภายในตับ และท่อน้ำดีภายนอกตับ ส่วนมากพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ซึ่งมีอายุ 40 ปีขึ้นไป ในประเทศไทยโรคนี้ทางสาธารณสุขเชื่อว่าสาเหตุเกิดจากการรับประทานปลาน้ำจืดแบบดิบๆ ทำให้ได้รับตัวอ่อนของพยาธิใบไม้ตับ

มะเร็งของท่อน้ำดีที่ตับ ซึ่งเป็นโรคที่ไม่มีการแสดงอาการ ส่วนใหญ่จะตรวจพบเมื่ออยู่ในระยะที่มีการพัฒนาของมะเร็งเต็มขั้นแล้ว การตรวจโรคมะเร็งท่อน้ำดีทำได้ค่อนข้างยาก ไม่สามารถตัดชิ้นเนื้อออกไปตรวจได้เนื่องจากเป็นอวัยวะที่อยู่ลึกติดกับเส้นเลือด ใหญ่และลำไส้

ท่อน้ำดีเป็นอวัยวะในทางเดินระบบอาหารอย่างหนึ่งในร่างกายของมนุษย์เรา มีลักษณะเป็นท่อขนาดใหญ่อยู่บริเวณภายนอกตับ ท่อน้ำดีเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างถุงน้ำดีและสำไส้เล็ก มีหน้าที่นำน้ำดีจากถุงน้ำดีไปยังลำไส้เล็กเพื่อช่วยในการย่อยอาหารซึ่งท่อน้ำดีก็เป็นอวัยวะอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถเกิด มะเร็งท่อน้ำดีได้เหมือนกับอวัยวะอื่นๆในร่างกาย ลองมาดูกันว่าโรคมะเร็งท่อน้ำดีนี้มีข้อมูลอย่างไร ดังต่อไปนี้

การที่ท่อน้ำดีมีเชื้อของมะเร็งเกิดขึ้น โดยปกติในท่อน้ำดีจะประกอบด้วยเซลล์หลากหลายชนิด  เช่น เยื่อเมือกบุภายในท่อน้ำดีเส้นเลือด กล้ามเนื้อ และเซลล์ต่อมน้ำเหลืองซึ่งเซลล์ทุกชนิดในท่อน้ำดีสามารถเกิดเป็นโรคมะเร็งได้ทั้งหมด แต่โดยส่วนมากจะเกิดขึ้นกับเยื่อเมือกบุภายในท่อน้ำดี โรคมะเร็งท่อน้ำดี เป็นโรคมะเร็งชนิดที่พบได้ไม่มากหรือบ่อยนัก สามารถเป็นได้ทั้งเพศชายหรือเพศหญิงโรคมะเร็งในท่อน้ำดีมีด้วยกันหลายชนิด แต่ในส่วนมากที่พบจะเป็นชนิด โคแลงจิโอคาร์ซิโนมา หรือ ซีซีเอ ( CCA : Cholangiocarcinoma ) ซึ่งจะเป็นชนิดเดียวกับอะดีโนคาร์ซิโนมา เป็นเซลล์มะเร็งที่มีความรุนแรงของโรคระดับปานกลาง

การตรวจโรคมะเร็งท่อน้ำดีทำได้ค่อนข้างยาก ไม่สามารถตัดชิ้นเนื้อออกไปตรวจได้ เนื่องจากเป็นอวัยวะที่อยู่ลึกติดกับเส้นเลือดใหญ่และลำไส้ ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ดังนั้นแพทย์จะใช้วิธีการวินิจฉัยมะเร็งท่อน้ำดีได้จาก การสอบถามประวัติอาการ การตรวจร่างกาย หรือ การตรวจภาพท่อน้ำดีด้วยการอัลตราซาวด์หรือการเอกซเรย์ด้วยคอมพิวเตอร์

ชนิดของมะเร็งท่อน้ำดี

มะเร็งท่อน้ำดีแบ่งเป็น 2 ชนิดหลัก ขึ้นอยู่กับว่ามะเร็งเริ่มต้นเกิดขึ้นที่ใด

  • มะเร็งเริ่มต้นขึ้นที่ส่วนของท่อน้ำดีที่อยู่ภายในตับ หรือเรียกว่า intrahepatic bile duct cancer (มะเร็งท่อน้ำดีภายในตับ) เกิดจากเซลล์ของเยื่อบุท่อน้ำดีในตับและขยายออกสู่เนื้อตับข้างๆ ทำให้มีลักษณะคล้ายมะเร็งตับ จึงเป็นโรคที่มักถูกวินิจฉัยผิดว่าเป็นมะเร็งตับ
  • มะเร็งเริ่มต้นขึ้นที่ส่วนของท่อน้ำดีนอกตับ หรือเรียกว่า extrahepatic bile duct cancer (มะเร็งท่อน้ำดีภายนอกตับ) เกิดที่ท่อน้ำดีใหญ่ตั้งแต่ขั้วตับจนถึงท่อน้ำดีร่วมส่วนปลาย มะเร็งชนิดนี้ทำให้เกิดการอุดตันของท่อน้ำดี ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง   

สาเหตุของมะเร็งท่อน้ำดี

ในทางการแพทย์ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่า โรคมะเร็งในท่อน้ำดีเกิดจากสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงอะไร แต่ก็มีข้อมูลบางส่วนพบว่าอาจจะเกิดจากสาเหตุการเป็นนิ่วในท่อน้ำดีก็เป็นได้

อาการของมะเร็งท่อน้ำดี

อาการของมะเร็งท่อน้ำดีจะมีลักษณะอาการที่แสดงออกมาคล้ายกับการเป็นนิ่วในถุงน้ำดีหรือท่อน้ำดี ซึ่งจะมีอาการที่พบได้บ่อยๆจากโรค ดังนี้ มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดบริเวณใต้ชายโครงฝั่งขวา ( บริเวณตำแหน่งของท่อน้ำดี ) แบบเรื้อรัง มีอาการตัวและตาเหลือง คันทั่วตัว ปัสสาวะมีสีเข้ม และอุจจาระมีสีซีดซึ่งเป็นสาเหตุจาก การอุดตันของท่อน้ำดี โรคมะเร็งท่อน้ำดี เกิดขึ้นที่บริเวณท่อน้ำดีซึ่งทำหน้าที่ในการระบายของเสียซึ่งออกจากตับไปสู่ลำไส้เล็กตอนต้น ( Duodenum ) องค์ประกอบของท่อน้ำดีจะประกอบด้วยท่อน้ำดีเล็ก ( Ductules ) และถุงน้ำดี ( Gallbladder ) ท่อน้ำดีที่อยู่ภายในตับเรียกว่า Intrahepatic Bile Duct ซึ่งเป็นท่อที่มีส่วนที่ยู่ภายในตับและเชื่อมต่อกับท่อน้ำดีใหญ่ที่ตับ ( Common Hepatic Duct ) บริเวณท่อน้ำดีที่ออกจากตับ ( Hilum ) ส่วนท่อน้ำดีรวม ( Common Bile Duct ) คือ บริเวณที่ถุงน้ำดีเชื่อมต่อกับท่อขนาดเล็กที่เรียกว่า Cystic Duct

ระยะของมะเร็งท่อน้ำดี

เราสามารถแบ่งระยะของโรคมะเร็งท่อน้ำดีได้เป็น 4 ระยะตามอาการที่พบดังนี้

ระยะที่ 1 เชื้อก้อนมะเร็งเกิดขึ้นในท่อน้ำดี ยังไม่ลุกลามไปอวัยวะใกล้เคียงอื่นๆ

ระยะที่ 2 ก้อนมะเร็งเริ่มลุกลามเข้าเนื้อเยื่อหรืออวัยวะข้างเคียง หรือลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงท่อน้ำดี

ระยะที่ 3 ก้อนมะเร็งลุกลามเข้าไปถึงถุงน้ำดี และอวัยวะข้างเคียง เส้นเลือดแดง หรือต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงท่อน้ำดี

ระยะที่ 4 อาการมะเร็งท่อน้ำดีระยะสุดท้าย โรคมะเร็งจะแพร่กระจายเข้าช่องท้องหรือต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ไกลออกไป หรือเข้าสู่กระแสเลือดไปยังอวัยวะอื่นๆที่อยู่ไกลออกไป อวัยวะที่พบได้บ่อยๆคือ ปอดและตับ

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งท่อน้ำดี

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งท่อน้ำดีที่สำคัญ ได้แก่ การรับประทานปลาน้ำจืดแบบดิบๆ ทำให้ได้รับตัวอ่อนของพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งจะเจริญเติบโตอยู่ในท่อน้ำดี

สำหรับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจมีผลทำให้เกิดมะเร็งท่อน้ำดีมีดังนี้
1. ภาวะท่อน้ำดีอักเสบเรื้อรัง
2. โรคของระบบทางเดินน้ำดี
3. มีนิ่วในตับ
4. โรคทางพันธุกรรมผิดปกติแต่กำเนิด เช่น โรคมีถุงน้ำผิดปกติในระบบทางเดินน้ำดี

การรักษามะเร็งท่อน้ำดี

มะเร็งท่อน้ำดี เป็นโรคมะเร็งที่มีความรุนแรงของโรคสูง เนื่องจากกว่าจะตรวจพบโรคได้ อาการก็มักลุกลามแพร่กระจายเชื้อไปทั่วแล้ว แต่ทั้งนี้ผู้ป่วยก็มีโอกาสรักษาให้หายได้โดยจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น ระยะของโรคที่เป็น ความสามารถในการผ่าตัดเอาก้อนเนื้อมะเร็งออก รวมถึงอายุและสุขภาพของผู้ป่วยด้วย 

ในการรักษามะเร็งท่อน้ำดีจะใช้วิธีการผ่าตัดเป็นหลัก ส่วนการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ  เช่น การให้เคมีบำบัด การรักษาด้วยรังสี หรือการให้ยาแบบเฉพาะ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาทางการแพทย์ เนื่องจากเซลล์มะเร็งในท่อน้ำดีมักจะดื้อต่อการใช้เคมีบำบัดหรือการรักษาด้วยรังสีซึ่งหากผู้ป่วยรายไหนที่ไม่สามารถใช้วิธีผ่าตัดในการรักษาได้ แพทย์ก็จะต้องใช้การรักษาแบบประคับประคองอาการไว้เท่านั้น ไม่สามารถรักษาให้หายด้วยวิธีอื่นได้

การป้องกันมะเร็งในท่อน้ำดี

สำหรับมะเร็งท่อน้ำดี ปัจจุบันยังไม่มีวิธีไหนที่สามารถป้องกันได้ เนื่องจากเป็นโรคมะเร็งชนิดที่พบได้ไม่บ่อยจึงยังไม่สามารถทราบปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคได้ อีกทั้งในปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีวิธีในการตรวจคัดกรองโรคนี้อีกด้วย

อาจจะพบผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งท่อน้ำดีอยู่ไม่มากนัก หลายคนอาจจะมองว่ามะเร็งท่อน้ำดีเป็นโรคที่ไกลตัวพอสมควร และถึงแม้ว่าโรคมะเร็งท่อน้ำดีจะตรวจพบได้ยากและไม่มีวิธีในการป้องกันได้ในปัจจุบันได้ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ควรที่จะประมาณต่อการใช้ชีวิต ควรจะดูแลร่างกายตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ รู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมและปัจจัยที่จะก่อให้เกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ  เพราะการดูแลตนเองก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคมะเร็งชนิดต่างๆได้

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อน เข้าใจว่า การตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น,2557. 240 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1647-7

WHO (October 2010). Cancer. World Health Organization. Retrieved 5 January 2011.

มะเร็งย้อนกลับเป็นซ้ำและโรคมะเร็งชนิดที่ 2

0
โรคมะเร็งย้อนกลับเป็นซ้ำและโรคมะเร็งชนิดที่ 2
โรคมะเร็งย้อนกลับเป็นซ้ำและโรคมะเร็งชนิดที่ 2 เกิดจากร่างกายดื้อต่อยาสารเคมีบำบัดหรือรังสีรักษาเซลล์มะเร็ง
โรคมะเร็งย้อนกลับเป็นซ้ำและโรคมะเร็งชนิดที่ 2
โรคมะเร็งย้อนกลับเป็นซ้ำและโรคมะเร็งชนิดที่ 2 เกิดจากร่างกายดื้อต่อยาสารเคมีบำบัดหรือรังสีรักษาเซลล์มะเร็ง

มะเร็งกลับมาเป็นซ้ำ

มะเร็งกลับมาเป็นซ้ำ หรือเป็นมะเร็งซ้ำ ( Recurrence ) คือ คือการที่ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่ได้รับการรักษาจนครบหายดีแล้ว แต่ถูกพบว่ามีเซลล์มะเร็งชนิดเดิม ตำแหน่งเดิมหรือบริเวณตำแหน่งใกล้เคียงเกิดขึ้นอีกครั้ง โดยแพทย์จะใช้วิธีการตรวจทาง เซลล์วิทยาหรือพยาธิวิทยาเช่น การตรวจร่างกาย ตรวจทางเอกซเรย์และอาจจะดูด เจาะ หรือตัดบริเวณที่เคยเป็นมะเร็ง ( รอยโรค ) หรือต่อมน้ำเหลืองเป็นต้น ซึ่งบางครั้งอาการมะเร็งที่เกิดซ้ำก็อาจจะต้องใช้เวลานานกว่า 6 เดือนเลยทีเดียวที่จะตรวจเจอจัดเป็นโรคมะเร็งที่มีความรุนแรงสูง โอกาสรักษาหายมีน้อยการรักษาส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาแบบบรรเทาอาการหรือประคับประคองพยุงอาการเท่านั้นเอง ในแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งนี้ในทั่วโลกเป็นจำนวนมากซึ่งผู้ที่เป็นโรคนี้แล้วสามารถรักษาให้หายได้ถือว่าโชคดีไม่น้อย แต่ทั้งนี้ผู้ที่เคยเป็นโรคมะเร็งแล้วรักษา หายเป็นปกติ ก็มีสิทธิ์เป็นมะเร็งซ้ำได้อีกครั้ง โดยอาจจะเป็นมะเร็งชนิดเดิม หรือ เป็นมะเร็งชนิดใหม่ก็ได้ ซึ่งจะมีข้อมูลรายละเอียดดังต่อไปนี้

สาเหตุของการเป็นมะเร็งซ้ำ ( Recurrence / Relapse )

  • มะเร็งกลับมาเป็นซ้ำมีปัจจัยที่ทำให้กลับมาเป็นเป็นมะเร็งซ้ำ เกิดจากการที่ร่างกายดื้อต่อยาสารเคมีบำบัดหรือรังสีรักษาเซลล์มะเร็ง ข้อนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในการเกิดโรคมะเร็งย้อนกลับ
  • การผ่าตัดเอาก้อนเนื้อที่เป็นมะเร็งออกไม่หมด ทำให้มีโอกาสเกิดเป็นมะเร็งซ้ำ หรือมะเร็งชนิดที่2 ( Recurrence ) ได้ค่อนข้างสูง
  • ผู้ป่วยไม่ยอมหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งชนิดนั้นๆ เช่น สูบบุหรี่และดื่มเหล้า จึงมีโอกาสเกิดเป็นมะเร็งซ้ำค่อนข้างสูง ระยะของมะเร็งยิ่งมากขึ้น โอกาสมะเร็งกลับมาเป็นซ้ำก็มีมากขึ้นตามไปด้วย สาเหตุอื่นๆ ที่บางครั้งแพทย์ไม่สามารถหาสาเหตุได้

โรคมะเร็งชนิดที่ 2 ( Secondprimary Cancer )

มะเร็งกลับมาเป็นซ้ำแล้วเป็นชนิดที่ 2 คือ การที่ผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่งแล้ว และถูกตรวจพบว่ามะเร็งกลับมาเป็นซ้ำ และมะเร็งชนิดอื่นๆเพิ่มขึ้นมาอีกภายหลัง หรืออาจจะตรวจพบพร้อมกันก็ได้ แต่เป็นมะเร็งคนละชนิดกัน โดยอาจจะเกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อหรืออวัยวะอื่นๆที่ไม่ใช่เนื้อเยื่อหรืออวัยวะหรือรอยโรคเดิมซึ่งในผู้ป่วยบางราย อาจเกิดโรคมะเร็งชนิดที่ 3 ชนิดที่ 4 และอีกหลายชนิดได้แต่ก็มีโอกาสเกิดได้น้อยมาก

สาเหตุที่ทำให้เป็นมะเร็งชนิดที่ 2

การมีพันธุกรรมที่ผิดปกติบางชนิด ทั้งชนิดที่ถ่ายทอดได้หรือถ่ายทอดไม่ได้จะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น หากมีผู้ป่วยหญิงเป็นมะเร็งเต้านมอยู่ก่อนแล้ว การมีพันธุกรรมที่ผิดปกติบางชนิดก็อาจทำให้หญิงคนดังกล่าวเป็นมะเร็งรังไข่ได้อีกด้วย กลายเป็นโรคมะเร็งชนิดที่ 2

การที่มะเร็งกลับมาเป็นซ้ำ มีปัจจัยเสี่ยงเดิมของผู้ป่วย ตัวอย่าง เช่น กรณีผู้ป่วยเป็นมะเร็งคอหอยในส่วนของกล่องเสียง ซึ่งมีสาเหตุมากจาก การสูบบุหรี่และการดื่มเหล้า ซึ่งการสูบบุหรี่และการดื่มเหล้านี้ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็งชนิดที่ 2 อย่างโรคมะเร็งหลอดอาหารได้นั้นเอง ไม่หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ตัวอย่างเช่น ปัจจัยอย่างเหล้าและบุหรี่ ทำให้เป็นสาเหตุโรคมะเร็งโพรงจมูกแต่ผู้ป่วยยังคงดื่มเหล้าและสูบบุหรี่เป็นปกติเหมือนเดิมไม่ยอมหลีกเลี่ยงก็อาจจะมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งกล่องเสียง ที่เป็นโรคมะเร็งชนิดที่ 2 ได้ 

มะเร็งกลับมาเป็นซ้ำมีผลข้างเคียง หรือแทรกซ้อนระยะยาว

กรณีนี้เกิดจากการที่ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีการใช้รังสีรักษาหรือใช้เคมีบำบัดเป็นระยะเวลานานๆ ก็อาจจะส่งผลให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดที่ 2 ได้โดยมักจะเกิดภายหลังจากครบการรักษาไปแล้ว นาน 10 ปีขึ้นไปและในเด็กจะมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ใหญ่
การตรวจและวินิจฉัยโรค

มะเร็งกลับมาเป็นซ้ำ คือโรคมะเร็งย้อนกลับเป็นซ้ำ หรือโรคมะเร็งชนิดที่ 2  วิธีทางการแพทย์ที่จะตรวจสอบ ทำได้เหมือนกัน ดังนี้

  • การตรวจร่างกายของผู้ป่วยป้องกันการเป็นมะเร็งซ้ำ
  • การตรวจโดยใช้วิธีการเอกซเรย์
  • การสอบถามประวัติอาการต่างๆ
  • การตรวจเลือดดูหาค่าทูเมอร์มาร์กเกอร์ ซึ่งใช้ได้กับโรคมะเร็งบางชนิดเท่านั้น
  • การดูด เจาะ และการตัดชิ้นเนื้อจากก้อนเนื้อหรือรอยโรค ไปตรวจทางเซลล์วิทยาและพยาธิวิทยา
  • การตรวจพิเศษอื่นๆ ตามอาการของผู้ป่วยและข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ เช่นการส่องกล้องตรวจทวารหนัก เมื่อผู้ป่วยอุจจาระเป็นเลือด

มะเร็งกลับมาเป็นซ้ำ มีวิธีการรักษาอย่างไร

สำหรับการรักษาผู้ป่วยทั้ง 2 ประเภท ไม่ว่าจะเป็น มะเร็งกลับมาเป็นซ้ำ ( Recurrence ) หรือโรคมะเร็งชนิดที่ 2  ก็จะใช้วิธีการรักษาของโรคมะเร็งตามปกติ แล้วแต่อาการหรือแล้วแต่ชนิดของมะเร็งที่พบเช่นการผ่าตัด  การให้เคมีบำบัด การใช้ยารักษามะเร็งชนิดต่างๆ  การใช้รังสีรักษาเป็นต้น ส่วนการที่แพทย์จะเลือกวิธีใดรักษานั้นก็จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยหลายๆอย่าง  ทั้งระยะของโรค อายุของผู้ป่วย การลุกลามของโรค  ผลจากการรักษาและผลข้างเคียงแทรกซ้อนจากวิธีการเดิมที่เคยรักษามาแล้ว

นอกจากนี้ยังมีมะเร็งบางชนิดที่ต้องใช้การรักษาเฉพาะด้าน เช่น กรณีป่วยเป็น มะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemia )  และ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ( Lymphoma ) แพทย์อาจจะต้องใช้การปลูกถ่ายไขกระดูกหรือสเต็มเซลล์ หรือใช้ยารักษาแบบตรงชนิดเฉพาะ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก

ซึ่งโดยปกติแล้ว หลังจากที่ผู้ป่วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาจากแพทย์จนครบแล้ว ทางแพทย์ก็ยังคงต้องนัดผู้ป่วยมาตรวจอย่างต่อเนื่องเป็นระยะๆ เพื่อเป็นการตรวจติดตามผลการรักษา และป้องกันการเป็นมะเร็งซ้ำนั้นเอง

จะเห็นได้ว่าโรคมะเร็งนอกจากจะอันตราย รักษาได้ยากแล้ว ยังสามารถกลับมาเป็นมะเร็งซ้ำอีกได้เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นชนิดเดิมหรือชนิดใหม่ ดังนั้นสิ่งที่ตัวเราจะสามารถทำได้และเป็นการป้องกันการเกิด มะเร็งกลับมาเป็นซ้ำ ( Recurrence ) หรือโรคมะเร็งชนิดที่ 2  ได้ดีที่สุดคือ รักษาสุขภาพตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ และต้องรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆอันที่จะก่อให้เกิดโรคมะเร็งในรูปแบบต่างๆ  ส่วนผู้ที่เคยป่วยเป็นมะเร็งแล้วสามารถรักษาจนหายเป็นปกติ ก็ต้องดูแลสุขภาพตนเองเหมือนเดิม คงไม่มีผู้ป่วยรายใดที่อยากจะกลับไปเป็นโรคร้ายนี้อีก  เพราะนอกจากจะทรมานทางร่างกายและจิตใจแล้ว ก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะโชคดีรักษาให้หายเหมือนครั้งก่อนๆได้หรือไม่นั้นเอง

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Prasad AR, Bernstein H (March 2013). “Epigenetic field defects in progression to cancer”. World Journal of Gastrointestinal Oncology.

Thun MJ, Hannan LM, Jemal A (September 2006). “Interpreting cancer trends”. Annals of the New York Academy of Sciences.

ความเสี่ยงโรคมะเร็งกับการติดเชื้อ HIV เกิดได้อย่างไร

0
โรคมะเร็งกับการติดเชื้อ HIV มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคติดเชื้อเอชไอวี จะมีภาวะร่างกายที่ภูมิคุ้มกัน บกพร่องสามารถเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆรวมถึงโรคมะเร็งด้วย
โรคมะเร็งกับการติดเชื้อ HIV มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคติดเชื้อเอชไอวี จะมีภาวะร่างกายที่ภูมิคุ้มกัน บกพร่องสามารถเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆรวมถึงโรคมะเร็งด้วย

มะเร็งกับการติดเชื้อ HIV

เชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ซึ่งย่อมาจากคำว่า Human immunodeficiency virus จัดเป็นไวรัสในกลุ่มรีโทรไวรัส (Retro virus) เป็นโรคที่ติดต่อผ่านการสัมผัสเลือด น้ำเมือก น้ำอสุจิ น้ำหล่อเลี้ยงช่องคลอด น้ำเหลืองและการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เพิ่มโอกาสเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง เซลล์ร่างกายจึงมีโอกาสกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งได้ง่ายหรือสูงกว่าคนปกติ ซึ่งมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งได้ในทุกช่วงอายุ และมีโอกาสเกิดโรคได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย

ผู้ป่วยเอชไอวี HIV จะมีภาวะร่างกายที่ภูมิคุ้มกัน บกพร่องสามารถเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆได้มากมายหลายชนิด รวมถึงโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งด้วย

ลักษณะของโรคมะเร็งในผู้ป่วยที่ติดเชื้อHIV

โรคมะเร็งในผู้ติดเชื้อเอชไอวี จะมีลักษณะเหมือนโรคมะเร็งที่เกิดกับคนทั่วไปปกติ ทั้งชนิดของโรค ระยะอาการของโรคและการรักษาจะต่างกันตรงที่ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ร่างกายมักดื้อต่อยาและมีความรุนแรงของโรคสูงกว่า โดยชนิดมะเร็งที่พบได้บ่อยๆในผู้ติดเชื้อเอชไอวี ได้แก่ โรคมะเร็งซาร์โคมาเนื้อเยื่อชนิดคาร์โปซิ โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคมะเร็งทวารหนัก โรคมะเร็งปากมดลูก เป็นต้น

การรักษามะเร็งในผู้ป่วยHIV

วิธีการรักษาโรคมะเร็งในผู้ติดเชื้อเอชไอวีก็มีวิธีรักษาเช่นเดียวกับโรคมะเร็งในคนปกติที่ไม่ได้ติดเชื้อ แต่แพทย์ต้องคำนึงถึงผลข้างเคียงแทรกซ้อนต่างๆ โดยเฉพาะการติดเชื้อรุนแรงในขณะรับการรักษาทั้งนี้โรคมะเร็งในผู้ติดเชื้อเอชไอวีก็มีโอกาสที่จะรักษาให้หายได้ขึ้นอยู่กับระยะโรคชนิดของเซลล์มะเร็งอายุและสุขภาพของผู้ป่วยและยังรวมถึงระดับของภูมิคุ้มกันต้านทานโรครวมทั้งการรับยาต้านไวรัสอย่างครบถ้วนและถูกต้องอีกด้วย

วิธีการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งในผู้ติดเชื้อHIV

ในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีป้องกันการเกิดโรคมะเร็งในผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี แต่หากผู้ป่วยทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอและทานต่อเนื่อง รู้จักดูแลร่างกายตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำความเสี่ยงในการเกิดโรคก็จะลดลงไปได้มากในปัจจุบันมีการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งในผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเอชไอวีเช่นเดียวกับผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งทั่วไปซึ่งจะเป็นไปตามชนิดของโรคมะเร็งไม่ได้ขึ้นกับการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี

ดังนั้นผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเอชไอวีควรต้องดูแลตนเองเป็นพิเศษให้มากกว่าคนปกติทั่วไป เพราะมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งได้สูงกว่า  หากผู้ป่วยพบสิ่งผิดปรกติต่างๆที่เกี่ยวกับร่างกายควรรีบปรึกษาแพทย์ให้ตรวจทันที เพื่อที่จะได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลาโรคมะเร็งในผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเอชไอวีนั้นหากได้รับการรักษาแล้วก็มีโอกาสหายได้เป็นปกติ แต่ทั้งนี้ผู้ป่วยก็ต้องดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรง และทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Thun MJ, Hannan LM, Jemal A (September 2006). “Interpreting cancer trends”. Annals of the New York Academy of Sciences.

Prasad AR, Bernstein H (March 2013). “Epigenetic field defects in progression to cancer”. World Journal of Gastrointestinal Oncology.

มะเร็งต่อมไทรอยด์ ( Thyroid Cancer )

0
โรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ (Thyroid Cancer)
เกิดขึ้นบริเวณต่อมไทรอยด์ สามารถเกิดได้ทุกเซลล์ของต่อมไทรอยด์ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่เซลล์ของเนื้อเยื่อต่อมไทรอยด์
โรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ (Thyroid Cancer)
โรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ เกิดขึ้นบริเวณต่อมไทรอยด์ สามารถเกิดได้ทุกเซลล์ของต่อมไทรอยด์ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่เซลล์ของเนื้อเยื่อต่อมไทรอยด์

มะเร็งต่อมไทรอยด์

มะเร็งต่อมไทรอยด์ ( Thyroid Cancer ) เป็นโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นบริเวณต่อมไทรอยด์ ซึ่งต่อมไทรอยด์จะมีลักษณะเป็นท่อขนาดใหญ่ อยู่บริเวณด้านหน้าของลำคอ ใกล้ๆ กับลูกกระเดือก แบ่งออกเป็นสองกลีบซ้ายขวา โดยต่อมไทรอยด์จะมีหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนโดยเฉพาะเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ต่างๆ และควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในร่างกาย ซึ่งฮอร์โมนที่มีความสำคัญที่ได้ก็คือ ไทรอยด์ฮอร์โมนนั่นเอง

โดยการเกิดมะเร็งไทรอยด์สามารถเกิดได้ทุกเซลล์ของต่อมไทรอยด์ ซึ่งต่อมไทรอยด์ก็มีเซลล์หลายชนิดด้วยกัน เช่น เซลล์ต่อมน้ำเหลือง เซลล์เนื้อเยื่อไทรอยด์ เซลล์สร้างฮอร์โมนและเซลล์ของต่อมไทรอยด์ เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่แล้วโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์มักจะเกิดขึ้นที่เซลล์ของเนื้อเยื่อต่อมไทรอยด์เองมากกว่า

สาเหตุของมะเร็งต่อมไทรอยด์

ในปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุแน่ชัดที่ทำให้เกิด มะเร็งต่อมไทรอยด์ แต่คาดว่าน่าจะเกิดจากหลายปัจจัยเสี่ยงร่วมกัน จึงก่อให้เกิดเป็นมะเร็งขึ้นมา

ฮอร์โมนเพศเกิดความผิดปกติ ซึ่งก็ส่งผลให้เซลล์กลายพันธุ์เป็นมะเร็ง โดยส่วนมากจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จากการสำรวจพบว่าคนเอเชียจะมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์มากกว่าคนเชื้อชาติอื่นๆ

พันธุกรรมบางชนิดเกิดความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรมชนิดที่ถ่ายทอดได้หรือชนิดที่ไม่สามารถถ่ายทอดได้
มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งหรือโรคต่างๆเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์มาก่อน โดยเฉพาะ พ่อ แม่
ได้รับรังสีบางชนิดมากเกินไป เช่น รังสีจากการรั่วไหลของโรงงานพลังงานนิวเคลียร์ทำให้รังสีเหล่านี้เข้าไปทำลายเซลล์เนื้อเยื่อต่อมไทรอยด์จนกลายเป็นมะเร็งในที่สุด

โดยจากสถิติพบว่ามะเร็งต่อมไทรอยด์ติดอันดับต้นๆ ใน 10 อันดับแรกของโรคมะเร็งที่พบในผู้หญิงไทยเลยทีเดียวและพบได้ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยสูงอายุอีกด้วย แต่จะพบในผู้หญิง มากกว่าผู้ชายถึง 3-4 เท่า จึงอาจกล่าวได้ว่าผู้หญิงต้องระมัดระวังการป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์มากที่สุดโดยสำหรับชนิดของมะเร็งต่อมไทรอยด์ก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดหลักๆ คือ ชนิดจับกินแร่รังสีไอโอดีน และชนิดรุนแรงสูงไม่จับกินแร่รังสีไอโอดีน

อาการของมะเร็งต่อมไทรอยด์

มะเร็งต่อมไทรอยด์ เป็นโรคร้ายที่ไม่มีอาการเฉพาะของโรค แต่จะมีอาการที่สามารถสังเกตได้ โดยจะคล้ายกับอาการของโรคคอพอกหรือโรคต่อมไทรอยด์อักเสบ ซึ่งอาการที่มักจะพบบ่อยที่สุด ได้แก่ คลำเจอก้อนเนื้อในต่อมไทรอยด์โต โดยอาจมีอาการเจ็บร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ หากเป็นระยะที่มะเร็งได้ลุกลามไปมากแล้ว จะพบว่าเสียงแหบ เนื่องจากมะเร็งได้ลุกลามเข้าสู่เส้นประสาทสายเสียงนั่นเอง ในบางคนอาจมีอาการกลืนติดขัดได้ เนื่องจากก้อนเนื้อมีขนาดโตจนไปเบียดกับหลอดอาหาร ทำให้กลืนอาหารได้ลำบาก คลำเจอต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอโตผิดปกติ โดยอาจพบข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้

ระยะมะเร็งต่อมไทรอยด์

การวินิจฉัยโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์แพทย์จะทำการสอบถามประวัติอาการของผู้ป่วย พร้อมกับตรวจร่างกาย ตรวจด้วยการคลำหาต่อมไทรอยด์ และทำการดูดเอาเซลล์จากก้อนเนื้อของต่อมไทรอยด์ออกมาตรวจทางเซลล์วิทยาเพื่อความแน่นอนในการตรวจสอบมากขึ้น และยังสามารถตรวจหาระยะของอาการป่วยได้อีกด้วย โดยระยะโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม เนื่องจากแต่ละกลุ่มจะมีระยะอาการของโรคที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถจำแนกได้ดังนี้

กลุ่มที่ 1 : ผู้ป่วยมะเร็งที่มีอายุน้อยกว่า 45 ปี โดยระยะของมะเร็งจะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ

  • ระยะที่ 1 เป็นระยะที่โรคมะเร็งยังไม่มีการแพร่กระจาย
  • ระยะที่ 2 เป็นระยะที่มะเร็งได้แพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว และอาจแพร่เข้าสู่ปอด สมองและกระดูกอีกด้วย

กลุ่มที่ 2 : ผู้ป่วยมะเร็งที่มีอายุมากกว่า 45 ปี โดยจะแบ่งระยะของมะเร็งได้เป็น 4 ระยะคือ

  • ระยะที่ 1 เป็นระยะที่ก้อนมะเร็งยังมีขนาดเล็ก ไม่เกิน 2 เซนติเมตร
  • ระยะที่ 2 เป็นระยะที่ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ขึ้นจาก 2 เซนติเมตรและยังไม่เกิน 4 เซนติเมตร
  • ระยะที่ 3 เป็นระยะที่ก้อนมะเร็งมีขนาดที่ใหญ่กว่า 4 เซนติเมตรและเริ่มลุกลามเข้าสู่เนื้อเยื่อใกล้เคียง โดยเฉพาะต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้กับต่อมไทรอยด์
  • ระยะที่ 4 เป็นระยะที่มะเร็งมีความรุนแรงมากที่สุด โดยระยะนี้มะเร็งได้ลุกลามเข้าสู่เนื้อเยื่อและอวัยวะข้างเคียง ซึ่งก็ได้มีการลุกลามเข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง และแพร่กระจายไปสู่อวัยวะต่างๆ ที่ไกลออกไปผ่านการแพร่เข้าสู่กระแสเลือดนั่นเอง

กลุ่มที่ 3 : กลุ่มคนที่เป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ชนิดรุนแรงสูงแบบไม่จับกินแร่รังสีไอโอดีน โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้จะไม่มีระยะของโรค ซึ่งความรุนแรงจะอยู่ในระยะที่ 4 ทันที และมีโอกาสรักษาให้หายขาดต่ำมาก

การรักษามะเร็งต่อมไทรอยด์

สำหรับวิธีการรักษาเมื่อป่วยด้วยมะเร็งต่อมไทรอยด์แพทย์จะรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเพื่อดูระยะการลุกลามและชนิดของมะเร็งก่อน จากนั้นจึงประเมินวิธีที่จะนำมาใช้เพื่อการรักษาในลำดับต่อไป โดยอาจใช้วิธีการฉายรังสีรักษาหรือการรับแร่รังสีไอโอดีนอย่างต่อเนื่อง ส่วนกรณีที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ชนิดไม่จับกินแร่รังสี แพทย์จะพิจารณาเลือกใช้วิธีการรักษา 3 วิธีด้วยกัน คือ การใช้รังสีรักษา การผ่าตัดและการใช้เคมีบำบัด เป็นต้น

นอกจากนี้สำหรับผู้ที่รักษาด้วยการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ทั้งสองกลีบพร้อมกับรับรังสีไอโอดีนในการรักษาไปด้วย ผู้ป่วยจะต้องกินยาไทรอยด์ฮอร์โมนอย่างต่อเนื่องไปจนตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าจะหายจากอาการป่วยแล้วก็ตาม ทั้งนี้ก็เพื่อชดเชยไทรอยด์ฮอร์โมนที่ได้สูญเสียไปจากการรักษานั่นเอง อีกทั้งการกินยาไทรอยด์ฮอร์โมนก็จะช่วยป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ซ้ำอีกด้วย

สำหรับโอกาสในการรักษาให้หายขาดจากโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ กรณีที่มีอายุน้อยกว่า 45 ปีและป่วยด้วยมะเร็งชนิดเซลล์จับกินแร่รังสีไอโอดีน จะมีโอกาสรักษาหายได้สูงมากถึง 80-90 เปอร์เซ็นต์

ส่วนผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งชนิดเซลล์มะเร็งไม่จับกินแร่รังสีไอโอดีน จะมีอัตราการอยู่รอดต่ำมาก เนื่องจากเป็นชนิดของมะเร็งที่มีความรุนแรงสูง โดยพบว่าหากผู้ป่วยไม่สามารถทำการรักษาด้วยการผ่าตัดได้หรือไม่ตอบสนองต่อการทำเคมีบำบัดและรังสีรักษา ก็จะมีอัตราการรอดอยู่ที่ประมาณ 3-6 เดือนเท่านั้น แต่หากผู้ป่วยสามารถรักษาด้วยการผ่าตัดและมีการตอบสนองต่อการทำเคมีบำบัดและรักษารักษา ก็จะมีอัตราการอยู่รอดที่ 1-2 ปี

โดยมะเร็งต่อมไทรอยด์ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองหรือวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นแพทย์จึงแนะนำให้ทำการตรวจคัดกรองทันทีที่สงสัยว่าเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะเมื่อมีอาการเสียงแหบ กลืนลำบากพร้อมกับคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณลำคอ และที่สำคัญพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดเป็นโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ได้ เท่านี้ก็จะช่วยป้องกันการป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ได้ในระดับหนึ่ง

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

WHO (October 2010). Cancer. World Health Organization. Retrieved 5 January 2011.

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง.กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

Cancer risk. British Journal of Cancer. 2010.

มะเร็งต่อมน้ำลาย ( Salivary Gland Cancer )

0
โรคมะเร็งต่อมน้ำลาย (Salivary Gland Cancer)
มะเร็งต่อมน้ำลาย คือ ความผิดปกติของพันธุกรรมแบบไม่ถ่ายทอด เกิดได้กับต่อมน้ำลายทั้งหมด พบในผู้ใหญ่
โรคมะเร็งต่อมน้ำลาย (Salivary Gland Cancer)
มะเร็งต่อมน้ำลาย คือ ความผิดปกติของพันธุกรรมแบบไม่ถ่ายทอด เกิดได้กับต่อมน้ำลายทั้งหมด พบในผู้ใหญ่

มะเร็งต่อมน้ำลาย

ต่อมน้ำลายเป็นอวัยวะอีกส่วนหนึ่งของระบบศีรษะ หูคอจมูกและลำคอ ที่มีโอกาสเป็นมะเร็งต่อมน้ำลาย ( Salivary Gland Cancer ) ได้ โดยต่อมน้ำลายจะมี 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ต่อมน้ำลายขนาดใหญ่ ( Major Sali Glands ) และต่อมน้ำลายขนาดเล็ก ( Minor Salivary Glands ) มีหน้าที่ในการสร้างน้ำลายเพื่อใช้ในการย่อยอาหารและหล่อเลี้ยงช่องปากและลำคอ โดยต่อมน้ำลายทั้ง 2 กลุ่มมีลักษณะดังนี้

ต่อมน้ำลายขนาดใหญ่มี 3 คู่ 3 ตำแหน่ง คือต่อมน้ำลายหน้าหูซึ่งเป็นต่อมน้ำลายที่ใหญ่ที่สุด รองลงมาจะเป็นต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร และต่อมน้ำลายใต้ลิ้น โดยจะอยู่บริเวณซ้ายขวาของใบหน้าและบริเวณใต้ขากรรไกร ซึ่งก็จะมีท่อน้ำลายเพื่อส่งน้ำลายที่ผลิตออกมาแล้วเข้าสู่ช่องปากตลอดเวลา

ต่อมน้ำลายขนาดเล็กจะมีขนาดที่เล็กมากและกระจายอยู่ทั่วช่องปาก คอหอย ลำคอและกล่องเสียง รวมถึงในเยื่อเมือกของเนื้อเยื่ออวัยวะทั่วร่างกาย เช่น ในช่องคลอด ในหลอดลมซึ่งต่อมน้ำลายเหล่านี้จะไม่มีท่อส่งน้ำลายเหมือนกับต่อมน้ำลายขนาดใหญ่ แต่จะสร้างน้ำลายออกมาหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณนั้นโดยตรง

สาเหตุการเกิดมะเร็งต่อมน้ำลาย

ปัจจัยการเกิดมะเร็งต่อมน้ำลายมักจะพบได้บ่อยในต่อมน้ำลายขนาดใหญ่ ส่วนต่อมน้ำลายขนาดเล็กจะพบได้น้อยมาก แต่ยังไม่สามารถหาสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่ สันนิษฐานว่ามะเร็งต่อมน้ำลายน่าจะเกิดจากปัจจัยเสี่ยงรวมกันดังต่อไปนี้

มะเร็งต่อมน้ำลาย คือ ความผิดปกติของพันธุกรรมแบบไม่ถ่ายทอด ซึ่งเป็นพันธุกรรมที่ทำหน้าที่ในการควบคุมการแบ่งตัวและการตายของเซลล์ปกตินั่นเอง เกิดจากการที่ร่างกายขาดสารอาหารสำคัญบางชนิด จึงทำให้ต่อมน้ำลายเกิดการกลายพันธุ์และเป็นมะเร็งต่อมน้ำลายในที่สุดขาดวิตามินเอและวิตามินซี ซึ่งเป็นวิตามินสำคัญที่จะช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับต่อมน้ำลายได้รับสารรังสีบางชนิดที่มีผลกระทบต่อต่อมน้ำลาย เช่น รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ รังสีที่ใช้ในการรักษาโรคบางชนิด

มะเร็งต่อมน้ำลาย ( Salivary Gland Cancer ) เป็นโรคที่สามารถพบได้กับทุกเพศทุกวัยแต่ส่วนใหญ่จะพบในผู้ใหญ่มากกว่าในเด็ก และมีโอกาสพบได้สูงมากในคนที่มีอายุช่วง 50-55 ปี

อัตราการเกิดมะเร็งต่อมน้ำลายในผู้หญิงและผู้ชาย ก็จะอยู่ในระดับที่เท่าๆ กัน นอกจากนี้มะเร็งต่อมน้ำลายก็มีหลายชนิดย่อยๆ ไปอีก แต่ที่พบได้มากและบ่อยที่สุดได้แก่มะเร็งต่อมน้ำลายชนิดคาร์ซิโนมาซึ่งมีความรุนแรงในระดับปานกลาง หากพบในระยะเริ่มแรกสามารถรักษาให้หายขาดได้

มะเร็งต่อมน้ำลาย มีอาการอย่างไร

มะเร็งต่อมน้ำลาย ไม่มีอาการเฉพาะ แต่จะมีอาการที่คล้ายคลึงกับอาการของโรคเนื้องอกธรรมดา ซึ่งหากมีอาการดังกล่าวก็ควรรีบพบแพทย์ เพื่อตรวจหาความเสี่ยงมะเร็งทันที โดยอาการที่มักจะพบได้บ่อยคือ คลำเจอก้อนเนื้อผิดปกติโดยอาจมีลักษณะอาการบวมออกมา ใบหน้าตรงส่วนที่เป็นมะเร็งอาจมีอาการชาและเบี้ยวเนื่องจากมะเร็งได้ลุกลามเข้าไปสู่เส้นประสาท ต่อมน้ำเหลือบริเวณลำคอ ตรงฝ่ายใบหน้าที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำลายจะมีขนาดโตอย่างเห็นได้ชัด

การวินิจฉัยและระยะของมะเร็งต่อมน้ำลาย

การวินิจฉัยว่ากำลังป่วยด้วยมะเร็งต่อมน้ำลายหรือไม่ แพทย์จะสอบถามประวัติอาการป่วยพร้อมทั้งตรวจร่างกาย และทำการผ่าตัดเอาต่อมน้ำลายไปตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อความแน่ชัดมากขึ้น โดยสำหรับโรคนี้แพทย์จะไม่ตัดเอาชิ้นเนื้อไปตรวจเหมือนกับโรคมะเร็งชนิดอื่นๆ เพราะการตัดเอาไปแต่ชิ้นเนื้อจะทำให้เกิดการลุกลามของมะเร็งอย่างรวดเร็วจึงต้องใช้วิธีการผ่าตัดเอาต่อมน้ำลายไปตรวจแทนนั่นเอง

ระยะของโรคมะเร็งต่อมน้ำลายจะถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 ระยะ

เหมือนกับมะเร็งชนิดอื่นๆ ทั่วไป โดยแบ่งได้เป็น

ระยะที่ 1 เป็นระยะที่ก้อนมะเร็งยังมีขนาดเล็ก ไม่เกิน 2 เซนติเมตรและไม่รุนแรงมาก

ระยะที่ 2 เป็นระยะที่ก้อนมะเร็งมีขนาดโตมากกว่า 2 เซนติเมตร แต่ยังไม่เกิน 4 เซนติเมตร และมีความรุนแรงในระดับปานกลาง

ระยะที่ 3 เป็นระยะที่มะเร็งเริ่มลุกลามเข้าสู่เนื้อเยื่อข้างเคียงและมีขนาดที่โตกว่า 4 เซนติเมตร แต่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอยังมีขนาดโตไม่เกิน 3 เซนติเมตร

ระยะที่ 4 เป็นระยะที่ก้อนมะเร็งได้ลุกลามเข้าสู่ผิวหนัง เส้นประสาท กระดูก ลำคอและอวัยวะอื่นๆ ที่อยู่ไกลออกไป โดยระยะนี้จะพบต่อมน้ำเหลืองมีขนาดโตกว่า 3 เซนติเมตรและเป็นระยะที่อันตรายมาก ซึ่งจะมีโอกาสในการรักษาให้หายขาดแค่เพียงน้อยนิดเท่านั้น

การรักษามะเร็งต่อมน้ำลาย

สำหรับการรักษามะเร็งต่อมน้ำลายแพทย์จะใช้วิธีการผ่าตัด การทำเคมีบำบัด การใช้รังสีรักษาและการรักษาด้วยยาแบบตรงเป้า แต่ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาซึ่งยังไม่สามารถสรุปได้ว่าวิธีนี้จะให้ผลลัพธ์ที่ดีแค่ไหน อย่างไรก็ตามโรคมะเร็งต่อมน้ำลายก็สามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้หากพบในระยะเริ่มแรกของโรค ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอายุและสุขภาพของผู้ป่วย รวมถึงผลของการผ่าตัดว่าสามารถเอาก้อนเนื้อมะเร็งออกมาได้จนหมดหรือไม่ 

ส่วนการตรวจหามะเร็งต่อมน้ำลายตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ทำได้ด้วยการสังเกตตัวเองหากมีความผิดปกติโดยมีอาการบวมหรือพบก้อนเนื้อบริเวณต่อมน้ำลาย ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ ส่วนการป้องกันยังไม่มีวิธีที่มีประสิทธิภาพ โดยแพทย์แนะนำให้พยายามหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เป็นมะเร็งต่อมน้ำลายจะดีที่สุด

ผลกระทบจากการฉายแสงรักษามะเร็งของต่อมน้ำลาย

การรักษาโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นในบริเวณของคอและศีรษะด้วยการฉายรังสีนั้นแน่นอนว่าเมื่อทำการฉายรังสีที่คอแล้วย่อมสร้างผลกระทบต่อต่อมน้ำลายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นกับต่อมน้ำลายจะส่งผลให้มีการผลิตน้ำลายออกมาน้อยลง ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย คือ

  • ทำให้ผู้ป่วยมีภาวะน้ำลายแห้ง ( Xerostomia )
  • นอนไม่หลับ
  • ปวดในช่องปาก
  • สุขภาวะภายในช่องปากไม่ดี
  • โอกาสในการติดเชื้อในช่องปากสูงกว่าปกติ
  • เคี้ยวและกลืนลำบาก

อาการที่เกิดขึ้นล้วนส่งผลกระทบให้ผุ้ป่วยดำเนินชีวิตประจำวันอย่างยากลำบาก ซึ่งเราสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ด้วยการกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำลายหลัก เช่น ต่อม Submandibular ต่อม Sublinggual เป็นต้น รวมถึงการกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำลายเล็กอื่นที่อยู่ภายในช่องปากด้วยซึ่งผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยมักจะเกิดขึ้นหลังจากที่ได้รับการฉายรังสีไปแล้วประมาณ 7 วันและจะมีอาการข้างเคียงเช่นนี้ประมาณ 2 ปีและจะกลับเข้ามาสู่สภาวะปกติได้ดังเดิม

การแบ่งระดับความรุนแรงของอาการข้างเคียงโดย LENT-SOMA : Late Effects Normal Tissue Subjective, Objective, Management,Analytic Scal คือ การประเมินระดับความรุนแรงของผุ้ป่วยโดยที่ทำการประเมินจากการวัดเชิงประมาณของน้ำลาย ขั้นตอนการรักษา ซึ่งทำจากการวัดปริมาณน้ำลายของผู้ป่วยในขณะที่ไม่มีการกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำลายเปรียบเทียบกับปริมาณน้ำลายที่มีในขณะที่มีการกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำลาย วิธีการวัดทำได้ด้วยการเก็บน้ำลายในขณะที่ผู้ป่วยอยู่ในสภาวะปกติเป็นเวลา 5 นาทีและทำการเก็บน้ำลายในขณะที่มีการกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำลายเป็นเวลา 5 นาทีเช่นกัน จึงจะสามารถช่วยประเมินได้ว่าอาการข้างเคียงของผู้ป่วยอยู่ที่ระดับใด ในการรักษาด้วยรังสีสามารถป้องกันไม่ให้ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับต่อมน้ำลายได้ ด้วยการใช้เทคนิค การฉายรังสี ตั้งแต่ 3 มิติเข้ามาช่วย เพราะว่าต่อมพาโรติดและต่อม Submandibular นั้นสามารถมองเห็นได้ด้วยการทำ Contrast-enhanced CT

ปริมาณรังสีที่สร้างผลกระทบต่อต่อมน้ำลาย 
1.เมื่อได้รับปริมาณรังสีน้อยกว่า 10-15 Gy จะส่งผลกระทบต่อต่อมน้ำลายเพียงเล็กน้อย
2.เมื่อได้รับปริมาณรังสีน้อยกว่า 20-40 Gy ต่อมน้ำลายจะเริ่มมีการทำงานที่น้อยลงอย่างชัดเจน
3.เมื่อได้รับปริมาณรังสีมากกว่า 40 Gy ประสิทธิภาพการทำงานของต่อมน้ำลายจะลดลงถึง 75 % ส่งผลให้เกิดภาวะน้ำลายแห้งที่รุนแรง

ซึ่งการป้องกันการเกิดภาวะน้ำลายแห้งอย่างได้ผลจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสามารถทำการรักษาต่อมพาโรติดไว้ได้อย่างน้อย 1 ข้าง ซึ่งคาดว่าถ้าได้รับ การฉายรังสี แต่ถ้าได้รับปริมาณรังสีน้อยกว่า 25 Gy แล้วต่อมพาโรติดจะสามารถทำงานได้อย่างปกติไม่ก่อให้เกิดภาวะน้ำลายแห้งเกิดขึ้น ซึ่งสามารถสรุป Dose-Volume ปริมาณรังสีและผลต่อต่อมพาโรติดได้ดังนี้

1.ปริมาณรังสีเฉลี่ยไม่เกิน 20 Gy จะสามารถรักษาต่อมพาโรติดไว้ได้ทั้ง 2 ข้าง

2.ปริมาณรังสีเฉลี่ยไม่เกิน 26 Gy จะสามารถรักษาต่อมพาโรติดไว้ได้ 1 ข้าง

3.ปริมาณรังสีเฉลี่ยมากกว่า 30 Gy จะไม่สามารถรักษาต่อมพาโรติดไว้ได้เลย

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

WHO (October 2010). Cancer. World Health Organization. Retrieved 5 January 2011.

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง.กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด มีข้อบ่งชี้วิธีการใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสมอย่างไร

0
ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด มีข้อบ่งชี้วิธีการใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสมอย่างไร
อินซูลินเป็นยาชนิดฉีดที่ใช้สำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยให้เป็นปกติหรือใกล้เคียงปกติ
ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด มีข้อบ่งชี้วิธีการใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสมอย่างไร
อินซูลินเป็นยาชนิดฉีดที่ใช้สำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยให้เป็นปกติหรือใกล้เคียงปกติ

อินซูลิน ( Insulin )

โรคเบาหวานเป็นโรคที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกิดจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินสุลินได้ในปริมาณที่สูงพอที่จะจัดการเก็บน้ำตาลจากเลือดเข้าเซลล์เพื่อทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดกลับสู่ค่าปกติ ผู้ป่วยจึงเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาด แต่ก็สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ โดยการ ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และใช้ยา เพียงเท่านี้ผู้ป่วยก็จะมีชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุขเหมือนคนทั่วไป ในเรื่องการใช้ยา มียาอยู่ 2 ประเภทได้แก่ ยารับประทาน และยาฉีด อินซูลิน ( Insulin )

ยาชนิดรับประทาน ( Oral Hypoglycemic Agents )

ใช้สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ประกอบด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ( ได้แก่ โภชนบำบัด การออกกำลังกาย การเรียนรู้โรคเบาหวานและการดูแลตนเอง ) ร่วมกับการใช้ยาเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีนั้นเพื่อที่จะป้องกันและรักษาภาวะแทรกซ้อนของโรคทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง รวมทั้งรักษาอาการที่เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีใกล้เคียงคนปกติ ยาลดระดับน้ำตาลในเลือดชนิดรับประทานแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ

ยากลุ่มไบกัวไนด์ Biguanide
ยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย Sulfonylurea
ยาต้านแอลฟากลูโคซิเดส L-Glucosidase Inhibitor
ยาเพิ่มความไวต่ออินซูลิน Insulin Sensitizer

1.1 ยากลุ่มไบกัวไนด์

ทางการแพทย์ นำมาใช้เป็นยารักษาโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ข้อดีของยานี้คือ ไม่ก่อให้เกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ สารอนุพันธ์ไบกัวไนด์ที่มีการใช้บ่อยที่สุดคือ ยา Metformin ข้อดีของ ยา Metformin ได้แก่ก่อให้มีความเสี่ยงน้อยต่อการ เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นยาที่ไม่ส่งผลกระทบต่อความดันโลหิต และช่วยลดไขมัน ไตรกลีเซอไรด์อีกด้วย

ยาในกลุ่มนี้เท่าที่เคยมีจำหน่าย คือเฟนฟอร์มิน PHENFORMIN บูฟอร์มิน BUFORMINแต่ปัจจุบันเลิกจำหน่ายไปแล้วเหลือเฉพาะ เมตฟอร์มิน METFORMIN ตัวเดียวที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน

Metformin มีชื่อการค้าต่างๆ เช่น กลูโคเฟจ Glucophage ไดอะเมต Diamet เป็นต้น

1.2 ยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย

ยานี้ใช้ได้ผลดีในผู้ป่วเบาหวานที่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไปและเป็นชนิดไม่มีอาการแทรกซ้อนประสิทธิภาพของยากลุ่มนี้ขึ้นกับว่าตับอ่อนของผู้ป่วยเบาหวานยังสามารถทำงานได้มากน้อยเพียงใดยากลุ่มนี้ใช้ไม่ได้กับผู้ป่วยที่ตับอ่อนไม่ทำงานแล้ว  

กลไกการออกฤทธิ์ของยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย

1.เพิ่มประสิทธิ์ภาพของอินซูลินในการนำน้ำตาลเข้าสู่เนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย

2.ช่วยลดการเกาะกันของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นช่วยป้องกันการเกิดอาการแทรกซ้อนทางหลอดเลือด

3.กระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลินออกมามากขึ้น

4.ระงับการสร้างน้ำตาลจากตับ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารลดลง

ยากลุ่มนี้ได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ

กลุ่มที่สังเคราะห์ขึ้นมารุ่นแรก First Generation ได้แก่
ทอลบูตาไมด์ Tolbutamide มีระยะเวลาการออกฤทธิ์สั้นประมาณ 4-6 ชั่งโมง ต้องรับประทานวันละ 2-3 ครั้ง จึงจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไปได้ทั้งวัน
อะซีโตเฮกซะไมด์ Acetohexamide  ออกฤทธิ์ยาวปานกลาง
คลอร์โพรพาไมด์ Chlorpropamide ออกฤทธิ์ยาวประมาณ 30-36 ชั่วโมง รับประทานเพียงวันละครั้ง
กลุ่มที่สังเคราห์รุ่นที่ 2 second generation มีฤทธิ์แรงขึ้นออกฤทธิ์ยาวปานกลางประมาณ 5-8 ชั่วโมง รับประทานวันละ 2 ครั้ง จะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไปได้ทั้งวัน ได้แก่
กลิเบนคลาไมด์ Glibenclamide
กลิคลาไซด์ Gliclazide
กลิพิไซด์ Gligizide

ยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรียทุกชนิดดูดซึมได้ดีเมื่อรับประทานก่ออาหาร  ถ้ารับประทานยาพร้อมอาหารหรืออาหารการดูดซึมของยาจะลดลง

การเปลี่ยนยาจากชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่งอาจได้ผลที่แตกต่างกันได้ เนื่องจากการดูดซึมยาต่างกันและการตอบสนองของผู้ป่วยต่อตัวยาอาจแตกต่างกันได้ ดังนั้นในกรณีที่ใช้ยาชนิดหนึ่งไม่ได้ผลอาจจะลองเปลี่ยนยาเป็นอีกชนิดหนึ่งในกลุ่มเดียวกันได้

1.3 ยาต้านแอลฟากลูโคซิเดส

ยาแอลฟา-กลูโคซิเดส เป็นหมวดยาสังเคราะห์ ที่ใช้รักษาโรคเบาหวานประเภทที่ 2 โดยจะใช้กลไกป้องกันมิให้ร่างกายย่อยคาร์โบไฮเดรตให้กลาย เป็นน้ำตาลโมเลกุลเล็ก ( น้ำตาลชนิดสัมพันธ์กับโรคเบาหวาน ) ในธรรมชาติต้นพืชหลายชนิดก็มีสารประเภทแอลฟา-กลูโคซิเดสอยู่ด้วยเช่น ในเห็ดไมตาเกะ ( Maitake mushroom ) ซึ่งนัก วิจัยค้นพบว่าการบริโภคเห็ดชนิดนี้สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดลงได้ 

ปัจจุบันยาในกลุ่มนี้มีขายในประเทศไทยแล้ว 2 ชนิด คือ

อะคาร์โบส Acarbose มีชื่อการค้าว่ากลูโคเบย์ Glucobay

และโวกลิโบส Voglibose มีชื่อการค้าว่าเบเซน Basen

1.4 ยาเพิ่มความไวต่ออินซูลิน

ยาเพิ่มความไวต่ออินซูลินเป็นพัฒนาการใหม่ล่าสุดของยารักษาโรคเบาหวานชนิดรับประทาน ยาใหม่ในกลุ่มนี้คือกลุ่มไทเอโซลิดีนไดโอน Thiazolidinedione ซึ่งปัจจุบันมีใช้แล้ว 2 ชนิด คือ

ยาโรซิกลิตาโซน Rosiglitazone เช่น ยาอะแวนเดีย เป็นต้น
ยาไพโอกลิตาโซน Pioglitazone เช่น ยาแอกทอส Actos เป็นต้น
ภาวะดื้อต่ออินซูลินมีผลกระทบต่อการเผาผลาญไขมันด้วย จึงพบว่าในผู้ที่มีภาวะดื้ออินซูลินจะมีระดับไขมันในโลหิตสูงขึ้น รวมทั้งสารต่างๆ ที่ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นยาที่ช่วยลดภาวะดื้ออินซูลินอาจมีประโยชน์ในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดีกว่ายาในกลุ่มอื่นๆ ที่ใช้รักษาเบาหวาน

อาการข้างเคียงของยาชนิดรับประทาน

ยากลุ่มไบกัวไนด์มีอาการข้างเคียงที่พบได้บ่อย แต่ก็ไม่รุนแรงมากนัก เป็นอาการเกี่ยวกับทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เป็นต้น

ยาต้านแอลฟากลูโคซิเดสมีอาการข้างเคียง คือ อาการท้องอืด ซึ่งเป็นผลมาจากการหมักหมมของคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ถูกย่อยแต่ถูกแบคทีเรียในลำไส้เล็กย่อยแทน ทำให้เกิดแก๊สขึ้นในทางเดินอาหาร นอกจากนี้อาการข้างเคียงอื่นๆ ที่พบได้ คือ ท้องเดิน ถ่ายเหลว เรอ คลื่นไส้ อาเจียน แต่อาการเหล่านี้จะลดน้อยลงเมื่อใช้ยาต่อๆ ไป

ยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรียมีอาการข้างเคียงคืออาการแพ้ยาจะเกิดขึ้นใน 2-6 สัปดาห์ หลังเริ่มให้การรักษา โดยจะเป็นผื่นแดงคันบางรายอาจมีตับอักเสบ ปริมาณเม็ดเลือดขาวลดต่ำลงได้ แต่พบน้อยมากส่วนอาการอื่นๆได้แก่ คลื่นไส้ ท้องอืด ปวดศีรษะ ชาตามแขนขา อาการเหล่านี้ไม่รุนแรงและเป็นอยู่ไม่นานก็หายได้ 

การฉีดอินซูลิน ( Insulin preparations )

อินซูลิน ( Insulin ) เป็นยาชนิดฉีดที่ใช้สำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานให้เป็นปกติหรือใกล้เคียงปกติเท่าที่ทำได้ ซึ่งเป็นยาที่ใช้ในการรักษาหลักสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ทุกราย และผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีด้วยการควบคุมอาหารและการใช้ยาเม็ดลดระดับน้ำตาลอินซูลินต้องใช้โดยการฉีดเท่านั้น ไม่สามารถรับประทานได้ทางปากโดยทั่วไปจะมีอินซูลิน 100 ยูนิตต่อ 1 มิลลิลิตร ( ซีซี ) ของน้ำยาซึ่งเรียกว่า ยู 100 อินซูลิน ( U 100 insulin ) แหล่งที่มาของอินซูลินมี 2 แหล่ง คือ ได้มาจากการสกัดจากตับอ่อนจองหมูและวัว ส่วนอีกแหล่งได้มาจากการสังเคราะห์โดยวิธีทางพันธุวิศวกรรม Genetic Engineering ทำให้ได้อินซูลินที่เหมือนกับอินซูลินของมนุษย์ ซึ่งนิยมใช้กนในปัจจุบัน

ชนิดของอินซูลิน

แบ่งออกได้ตามการออกฤทธิ์ของอินซูลินได้เป็น 4 ชนิด คือ

อินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็วมาก ( Rapid-acting Insulin ) อินซูลินชนิดนี้ถูกเรียกว่า อินซูลินชนิดน้ำใส (ตามลักษณะทางกายภาพของยา) ใช้ฉีดในเวลาที่ต้องการลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหาร เมื่อฉีดอินซูลินเข้าใต้ผิวหนังจะออกฤทธิ์เร็วภายใน 10-15 นาทีและมีฤทธิ์อยู่นาน 3-5 ชั่วโมง
อินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็วและสั้น ( Short-acting Insulin ) ใช้ฉีดก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหลังอาหารหรือใช้ฉีดเมื่อมีภาวะฤทธิ์ในเวลา 30 – 60 นาทีและมีฤทธิ์อยู่นาน 5 – 7 ชั่วโมง
อินซูลินชนิดออกฤทธิ์ปานกลาง ( Intermediate-acting Insulin ) อินซูลินชนิดนี้จะมีลักษณะเป็นน้ำสีขาวขุ่นจึงมักเรียกกันว่า อินซูลินชนิดน้ำขุ่น โดยทั่วไปจะใช้เป็นอินซูลินตัวหลักในการรักษาโรคเบาหวานโดยฉีดเข้าใต้ผิวหนังวันละ 1-2 ครั้ง หลังฉีดอินซูลินแล้วจะออกฤทธิ์ในเวลา 2 – 4 ชั่วโมงและมีฤทธิ์อยู่นาน 18-24 ชั่วโมง
อินซูลินชนิดออกฤทธิ์ยาว ( Long-acting Insulin ) มีลักษณะเป็นน้ำใสใช้เพื่อปรับระดับอินซูลินในเลือดให้สูงขึ้นในปริมาณหนึ่งตลอดวันและป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เมื่อฉีดอินซูลินชนิดออกฤทธิ์ยาวเข้าใต้ผิวหนังอินซูลินจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 2 ชั่วโมงและมีฤทธิ์นาน 24 ชั่วโมง

วิธีการฉีดอินซูลิน

ปัจจุบันแพทย์จะแนะนำให้ฉีดอินซูลินเข้า บริเวณหน้าท้อง เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากสามารถดูดซึงยาได้ดีในอัตราที่สม่ำเสมอ และมีชั้นไขมันหนาผู้ป่วยจะเจ็บน้อยที่สุด 

ขั้นตอนในการฉีดอินซูลินควรปฏิบัติดังนี้

1.ควรล้างมือให้สะอาดแล้วเช็คให้แห้งทุกครั้งก่อนฉีดอินซูลิน
2.คลึงขวดยาอินซูลินไปมาในฝ่ามือทั้งสองข้างห้ามเขย่าขวดอินซูลินโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดฟอง
3.ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดจุกยางของขวดยาอินซูลิน
4.ดูดอากาศเข้ามาในหลอดฉีดยาให้มีจำนวนเท่ากับปริมาณยา หน่วยเป็นยูนิต ที่จะต้องใช้
5.แทงเข็มฉีดยาให้ผ่านจุกยางเข้าไปในขวดยาแล้วดันอากาศเข้าไปในขวด
6.คว่ำขวดยาลงแล้วค่อยๆ ดูดยาอินซูลินเข้าหลอดฉีดยาในปริมาณที่ต้องการ
หากมีฟองอากาศให้ฉีดยากลับเข้าไปในขวดใหม่แล้วดูดยากลับเข้ามาช้าๆ จนได้ปริมาณที่ต้องการ
7.ตรวจดูขนาดของยาอินซูลินก่อนที่จะฉีดให้แน่ใจอีกครั้งจากนั้น ปิดปลอกเข็มฉีดยาเตรียมฉีดได้เลย

ในกรณีที่ต้องการฉีดอินซูลิน 2 ชนิด ควรปฏิบัติ ดังนี้

1.กลิ้งขวดยาชนิดน้ำขุ่นไปมาบนฝ่ามือให้ยาผสมเป็นเนื้อเดียวกันอย่าเขย่าขวดอินซูลินเพราะจะทำให้เกิดฟอง
2.เช็ดปากขวดยาทั้งสองด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์
3.ก่อนปักเข็มลงในปากขวดยา ดูดลม…ยูนิต ( เท่าจำนวนยาน้ำขุ่นที่ต้องการ )
4.ปักเข็มลงไปในปากขวดยาชนิดน้ำขุ่นแล้วดันลมที่ดูดไว้ทั้งหมดใส่ลงไปในขวดยา ก่อนดึงหลอดฉีดยาเปล่าออกมา
ดูดลด…ยูนิต ( เท่าจำนวนยาน้ำใสที่ต้องการ ) ปักเข็มลงไปในขวดยาน้ำใสแล้วดันลมลงไปทั้งหมดก่อนคว่ำขวด ดึงยาใสออกมา…ยูนิต ( เท่าจำนวนยาน้ำใสที่ต้องการ )
5.จากนั้นปักเข็มลงไปในขวดยาน้ำขุ่นแล้วดูดยาน้ำขุ่นออกมาอีก…ยูนิต ( เท่าจำนวนยาน้ำขุ่นที่ต้องการรวมกันเป็น…ยูนิต )
การดูดยา 2 ชนิดผสมในเข็มเดียวควรฉีดทันทีหรือภายใน 15 นาทีเพราะหากทิ้งไว้นานจะทำให้การออกฤทธิ์ของยาเปลี่ยนไป

อินซูลินที่เปิดใช้แล้ว และเก็บอยู่ในปากกาฉีดอินซูลิน สามารถเก็บที่อุณหภูมิห้อง ( 25 องศาเซลเซียส ) ได้นานประมาณ 30 วัน

หลังจากได้บรรจุยาอินซูลินในหลอดฉีดยาแล้ว การฉีดยาเข้าไปในบริเวณที่ต้องการควรปฏิบัติดังนี้

ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่จะฉีดยา
ใช้มือข้างหนึ่งดึงบริเวณที่จะฉีดยาให้สูงขึ้น แล้วแทงเข็มฉีดยาลงไปตรงๆ ให้ตั้งฉากกับผิวเข้าชั้นใต้ผิวหนังให้มิดเข็ม ค่อยๆ ดึงก้านสูบขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อดูว่าแทงเข็มเข้าไปในหลอดเลือดหรือไม่ ถ้ามีเลือดเข้าไปในหลอดฉีดยาให้ถอนเข็มออกแล้วเปลี่ยนที่ฉีดใหม่ถ้าไม่มีเลือดออกก็ค่อยๆ เดินยาจนหมด
ถอนเข็มฉีดยาออก ใช้สำสีแห้งกดตำแหน่งที่ฉีดยาไว้ชั่วขณะ
นอกเหนือจากการใช้หลอดฉีดยาธรรมกาดังกล่าวแล้วยังมีการฉีดอินซูลินแบบใหม่ 2 แบบ คือ 

1.ปากกาฉีดอินซูลิน ลักษณะคล้ายกับปากกาหมึกซึมขนาดใหญ่ โดยมีอินซูลินบรรจุในหลอดแก้วขนาดเล็กใส่เข้ากับตัวปากกาพอดี ซึ่งปัจจุบันนี้นิยมใช้กันมาก เนื่องจากสะดวกในการพกพาและการใช้สอย ทำได้โดยการหมุนเกลียวไปตามตัวเลขที่ต้องการก็จะได้ปริมาณอินซูลินตามนั้น ไม่ต้องใช้วิธีดูดยาออกจากขวด แต่มีราคาค่อนข้างสูง

2.อินซูลินปัมพ์ เป็นเครื่องมือที่จะติดอยู่กับตัวผู้ป่วยตลอดเวลาโดยมีเข็มแทงเข้าใต้ผิวหนังซึ่งต่อกับตัวเครื่องซึ่งควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะตั้งโปรแกรมให้ฉีดอินซูลินขนาดต่ำ ๆ เข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา และฉีดอินซูลินปริมาณเพิ่มขึ้นก่อนอาหาร เป็นการเลียนแบบคนปกติ

การเก็บรักษาอินซูลิน

อินซูลินที่ยังไม่ได้เปิดใช้ หากเก็บที่อุณหภูมิ 2 – 8 องศาเซลเซียส เก็บได้นานเท่ากับอายุยาข้างขวดแต่สามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง ( ประมาณ 25 องศาเซลเซียส ) ได้นานประมาณ 30 วัน อินซูลินที่เก็บในอุณหภูมิสูง เช่น กลางแดดจัด หรือที่อุณหภูมิต่ำมากๆ เช่น ในช่องแช่แข็งของตู้เย็น ไม่ควรใช้เป็นอย่างยิ่งเนื่องจากยาเสื่อมคุณภาพ และไม่แนะนำเก็บที่ฝาตู้เย็น เนื่องจาก อาจทำให้อุณหภูมิไม่ค่อยคงที่ จากการปิด-เปิดตู้เย็น

อินซูลินแบบขวดที่เปิดใช้แล้วและเก็บในตู้เย็น ( 2-8 องศาเซลเซียส ) จะเก็บได้นานประมาณ 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่เปิดขวด ถ้าเก็บที่อุณหภูมิห้อง ( 25 องศาเซลเซียส ) ได้นานประมาณ 30 วัน

ผู้ป่วยเบาหวาน นอกจากรับอินซูลินไปฉีดตามแพทย์สั่งแล้ว ยังต้องระวังการติดเชื้อให้ดีๆ ด้วยการรักษาอนามัยส่วนตัวให้สะอาด โดยเฉพาะฟันและเท้า รวมทั้งบาดแผล รอยข่วน หรือแผลเปื่อยยิ่งต้องระมัดระวังความสะอาดเป็น พิเศษ รวมทั้งหมั่นออกกำลังกาย  ควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด อย่าลืมทำจิตใจให้สบาย  และสุดท้ายควรมีบัตรประจำตัวระบุชื่อนามสกุล ชื่อแพทย์ประจำตัว เบอร์โทรศัพท์ ชื่อชนิดและขนาดของอินซูลินที่ใช้พกติดตัวเสมอ เผื่อยามฉุกเฉินคนรอบข้างจะได้ช่วยเหลือทัน

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน พ.ศ.2557. กรุงเทพฯ: หจก. อรุณการพิมพ์, 2557.

Hutton B, McGill S. “Home telehealth for diabetes management: a systematic review and meta-analysis”. Diabetes Obes Metab 11 (10): 913–30.

เบาหวานลงไตคืออะไร ( Diabetic Kidney Disease, DKD )

0
โรคเบาหวานลงไตคืออะไร (Diabetic Kidney Disease, DKD)
ไตทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกายทางปัสสาวะ คอยควบคุมระดับเกลือแร่ต่างๆ ให้เป็นปกติ
โรคเบาหวานลงไตคืออะไร (Diabetic Kidney Disease, DKD)
โรคเบาหวานลงไต คือ การที่มีภาวะเลือดหรือสารน้ำไปเลี้ยงไตน้อยลงส่งผลกระทบต่อการทำงานของไต

เบาหวานลงไต

โรคเบาหวานลงไต ( Diabetic Kidney Disease, DKD ) เป็นโรคหนึ่งที่ผู้ป่วยอาจจะมีการเกิดภาวะของโรคแทรกซ้อนต่างๆได้มากมายหลายโรค ซึ่งโรคไตวายเรื้อรังก็เป็นภาวะแทรกซ้อนชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานหลายคนต้องเจอ โดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 30 – 40 ของผู้ ป่วยไตวายทั้งหมด จะมีสาเหตุมาจากโรคเบาหวานลงไต  โดยสาเหตุของไตวายเฉียบพลันที่สำคัญ คือ การที่มีภาวะเลือดหรือสารน้ำไปเลี้ยงไตน้อยลง การได้รับยาหรือสารพิษต่างๆที่ไปส่งผลกระทบต่อการทำงานของไต ส่วนสาเหตุอื่นที่ทำให้เป็นโรคไตวายเรื้อรังนอกจากโรคเบาหวานก็มี เช่น การอักเสบเรื้อรังของตัวกรองของไตหรือหลอดไต  มีความดันโลหิตสูง การอุดตันของระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น โดยปกติร่างกายคนเราจะมีไต 2 ข้าง เป็นอวัยวะที่มีรูปร่างคล้ายถั่วคอยทำหน้าที่หลักๆในร่างกาย  2 ประการ

ไตทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกายทางปัสสาวะ คอยควบคุมระดับเกลือแร่ต่างๆ ให้เป็นปกติ และทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนและสารต่างๆ

ฮอร์โมนที่สำคัญคือ เออริโทรพอยเอติน ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง

ทั้งนี้มนุษย์เราก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้เพียงแค่มีไตข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น  โรคไตวายจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อไตทั้ง  2 ข้าง มีความผิดปกติจนไม่สามารถทำหน้าที่ตามธรรมชาติได้ ซึ่งอาจเป็นชนิดไตวายเฉียบพลันหรือไตวายแบบเรื้อรังก็ได้ ผลกระทบที่ตามมาของไตวาย คือ การมีของเสีย เกลือแร่ และน้ำค้างอยู่ในร่างกาย มีภาวะซีดเนื่องจากไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง ส่วนในกรณีไตวายเฉียบพลัน หากสามารถแก้ไขต้นเหตุได้แล้วไตก็จะกลับมาทำหน้าที่ได้ตามปกติ แต่ในกรณีเป็นไตวายชนิดเรื้อรัง หากว่าทำการรักษาแล้วยังไตยังไม่สามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติก็อาจจะนำไปสู่ภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายในที่สุดนั้นเอง

อาการผิดปกติของโรคไตวาย

สามารถตรวจหาสาเหตุจากค่าในไต 2 ค่าดังนี้ คือ

ค่ายูเรียไนโตรเจนในเลือดหรือบียูเอ็น (ฺ Blood urea nitrogen ) จะแสดงถึงระดับของเสียที่เกิดจากการย่อยสลายโปรตีนและคั่งค้างอยู่ในเลือดในร่างกายมีค่าปกติเท่ากับ 10 – 20 มิลลิกรัม / เดซิลิตร หากไตทำหน้าที่ลดลงก็จะมีของเสียคั่งค้างสูงขึ้นค่าบียูเอ็นสูงขึ้นตามไปด้วย
ค่าไตคือค่าครีเอตินีน ( Creatinine ) จะแสดงถึงการทำงานของไต มีค่าปกติอยู่ในช่วง 0.7 – 2.0 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หากการทำงานของไตลดลงจะทำให้ค่าครีเอตินีนในเลือดสูงขึ้น

โรคเบาหวานลงไตมีกี่ระยะ?

โรคเบาหวานทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อไตเป็นขั้นตอนตามลำดับ 5 ระยะ ดังนี้

โรคเบาหวานลงไต ระยะที่ 1  ในระยะแรกของผู้ป่วยจะยังไม่มีอาการใดๆ ที่แสดงออกให้ผู้ป่วยทราบ เป็นระยะที่ไตมีขนาดใหญ่ขึ้น เลือดไปเลี้ยงไปเลี้ยงไตมากขึ้น โดยจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อเริ่มเป็นโรคเบาหวาน 

โรคเบาหวานลงไต ระยะที่ 2 จะเกิดขึ้นหลังจากที่เป็นโรคเบาหวานประมาณ 2 ปี แต่ก็ยังไม่แสดอาการใดๆให้ผู้ป่วยทราบเหมือนระยะที่ 1 ในระยะนี้จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพที่ตัวกรองของไต หรือไตไม่สามารถรักษาสมดุลของตัวเองได้

โรคเบาหวานลงไต ระยะที่ 3 ระยะนี้จะเกิดขึ้นหลังจากเป็นโรคเบาหวานมาแล้ว 10 – 15 ปี ร่างกายของผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการผิดปกติแสดงออกมา เช่น ตรวจพบไข่ขาวหรือโปรตีนปริมาณน้อยในปัสสาวะและจะมีปริมาณค่อยๆเพิ่มขึ้นในทุกๆปีเริ่มมีความดันโลหิตสูง มักจะเกิดขึ้นภายหลังการตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะเป็นเวลา 2 ปีแต่การตรวจเลือดหาค่าบียูเอ็นและค่าครีเอตินีน เพื่อดูหน้าที่ของไตยังให้ผลอยู่ในเกณฑ์ปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

โรคเบาหวานลงไต ระยะที่ 4 จะเกิดขึ้นหลังจากป่วยเป็นโรคเบาหวานมาแล้ว 15-25 ปี  โดยผู้ป่วยประมาณ ร้อยละ  25-40 สามารถตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะมากกว่า 0.5 กรัมต่อวัน ในระยะนี้จะเริ่มมีการเสื่อมของไตอย่างต่อเนื่องมากกว่าคนปกติ โดยคนปกติที่อายุ 40 ปีขึ้นไป ไตจะเสื่อมร้อยละ 1 ต่อปี แต่ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีโรคไตจะมีการเสื่อมของไตมากถึง ร้อยละ 10 หากปล่อยให้การทำงานของไตลดลงเหลือเพียงร้อยละ 20 ของภาวะปกติ จะมีของเสียคั่งค้างมากในร่างกาย จนผู้ป่วยจะเกิดอาการ เช่น คลื่นไส้อาเจียนเบื่ออาหาร ไม่มีแรง รู้สึกหนาวง่าย อาการเหล่านี้จะเพิ่มมากขึ้นหากผู้ป่วยมีอาการซีดเนื่องจากปริมาณเม็ดเลือดแดงต่ำลงกว่าปกติ

โรคเบาหวานลงไต ระยะที่ 5 ระยะนี้เรียกว่าเป็นระยะของไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งการทำงานของไตจะลดลงจนเหลือไม่ถึงร้อยละ 5 จะมีของเสียตกข้างที่ร่างกายจำนวนมากค่าบียูเอ็นสูงกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ค่าครีเอตินีนสูงกว่า 10 มิลลิกรัม/เดซิลิตรส่วนอาการที่จะพบและสังเกตได้จากผู้ป่วยคือ ซึมไม่รู้ตัว บวมตามร่างกาย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะลดลงจนเกือบไม่มีหากปล่อยไว้อาจจะเสียชีวิตได้ ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างเร่งด่วน โดย การล้างไต เป็นต้น

แต่ทั้งนี้ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานทุกคนก็อย่าเพิ่งตกใจไป  ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานจะไม่ได้มีอาการแทรกซ้อนจากโรคไตวายทุกคน จะขึ้นอยู่ขึ้นกับปัจจัยต่างๆ เช่น  ระดับน้ำตาลในเลือด  เชื้อชาติ ประวัติครอบครัวและความแตกต่างทางพันธุกรรม เป็นต้น

จะรู้ได้อย่างไรว่าโรคเบาหวานลงไตแล้วและอยู่ในระยะใด?

โดยปกติอาการของโรคไตวายในผู้ป่วยเบาหวานจะเริ่ม มีอาการแสดงออกตั้งแต่ในระยะที่ 3 ซึ่งสามารถเช็คได้จากการตรวจปัสสาวะ หากในปัสสาวะมีโปรตีนแอลบูมินหลั่งออกมา ในช่วงแรกจะออกมาปริมาณน้อยอยู่ แต่ก็สามารถตรวจหาได้ด้วนวิธีการพิเศษที่เรียกว่าไมโครแอลบูมินยูเรีย Microalbuminuria

หากเข้าสู่ภาวะไตเสื่อมในระยะที่ 4 สามารถตรวจได้จากการตรวจปัสสาวะปกติ โดยจะมีโปรตีนแอลบูมินรั่วออกมาในปัสสาวะมากขึ้น และหากไตเสื่อมมากขึ้นจนทำงานน้อยกว่าร้อยละ 50 ก็สามารถตรวจหาจาก ค่าบียูเอ็น ( BUN )และครีเอตินีนในเลือดซึ่งค่าทั้งสองนี้จะไม่สูงขึ้นอย่างชัดเจนจนกว่าไตจะเสื่อมไปกว่าร้อยละ 50 แล้วทั้งนี้ ผู้ที่ไตเสื่อมในระยะที่ 4 และ 5 ควรได้รับการตรวจเลือดเพื่อสังเกตการณ์ทำงานของไตเป็นระยะ   

วิธีรักษาโรคไตที่มีอาการเบาหวานร่วมด้วยในเบื้องต้น

ผู้ป่วยต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเคร่งครัด มีความสำคัญต่อการรักษาโรคไตเกือบทุกระยะ ยกเว้นระยะท้ายๆโดยผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจใช้วิธีทานยาคุมระดับน้ำตาลหรือใช้การฉีดอินซูลิน เพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีค่าปกติมากที่สุด เนื่องจากในภาวะไตวาย ไตจะขจัดอินซูลินได้น้อยลง จึงมีระดับอินซูลินในเลือดสูงขึ้น ทำให้น้ำตาลในเลือดผู้ป่วยลดต่ำลง คุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

เนื่องจากความดันโลหิตสูงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งจะไปส่งผลทำให้เกิดภาวะไตเสื่อมได้เร็วกว่าปกติ ควบคุมปริมาณการกินโปรตีน ข้อนี้เป็นสิ่งที่สำคัญและควรทำในทุกระยะของโรคเนื่องจากโปรตีนทำให้เลือดไปเลี้ยงไตมากขึ้น

ซึ่งมีความสำคัญในการเกิดโรคไต โปรตีนจะถูกย่อยสลายในร่างกายเป็นบียูเอ็นในเลือดทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนและโปรตีนยังทำให้ไตเสื่อมมากขึ้นไปอีกกว่าปกติ สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานในระยะที่ไตเสื่อมหน้าที่แล้ว ควรทานโปรตีนให้น้อยกว่าคนปกติ ในขนาดไม่เกิน 6 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน

การรักษาโดยการใช้ยา โดยแพทย์จะเริ่มให้ยากหากป่วยเป็นถึงระยะที่ 4 แล้ว เช่น ยาแคลเซียมคาร์บอเนตหรือแคลเซียมแอซีเทตย ยาในกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์จับกับฟอสรัสในอาหารโดยฟอสฟอรัสเป็นเกลือแร่ที่ถูกขับออกทางไตนอกจากนี้ยาโซเดียมไบคาร์บอเนตซึ่งมีฤทธิ์เป็นบัฟเฟอร์ ( Buffer ) สารที่ใช้แก้ไขความเป็นกรดด่าง แก้ไขความเป็นกรดในเลือด และยังลดการเกิดพังผืดในบริเวณเนื้อเยื่อหลอดไต ทำให้การเสื่อมของไตลดลงสำหรับผู้ป่วยเบาหวานระยะที่ 4 มักมีอาการซีดจากการสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง จึงควรให้เสริมด้วยธาตุเหล็กและกรดโฟลิกเข้าไป
เมื่อการเสื่อมของไตมีมากขึ้นไปเรื่อยๆ  แพทย์ก็จะรักษาผู้ป่วยตามอาการที่เกิดขึ้น  เมื่ออาการเริ่มหนักขึ้นก็ต้องรักษาโดยการฟอกเลือดหรือล้างไตทางเส้นเลือดโดยอาศัยเครื่องไตเทียม หรือล้างไตทางหน้าท้อง  ซึ่งมักจะเข้าใจกันผิดบ่อยๆว่าการล้างไตทั้งสองวิธีเป็นการรักษาต้นเหตุของโรคไตได้ การล้างไตนั้นโดยทั่วไปมักเริ่มต้นการล้างไตในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย เมื่อระดับ ครีเอตินีนในเลือดสูงกว่า 10 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ทั้งนี้ ขึ้นกับสภาพการทำงานของหัวใจผู้ป่วยด้วย

นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ผิดๆเกี่ยวกับการล้างไต เช่น  การล้างไตเพียงหนึ่งถึงสองครั้งสามารถทำให้เสียชีวิตได้ หรือ ยิ่งล้างไตร่างกายยิ่งแย่ลง แต่ความเป็นจริงคือ การตายหรือการที่ผู้ป่วยมีอาการทรุดลงเป็นเพราะเริ่มการล้างไตช้าเกินไปนั่นเอง ไม่ได้เป็นผลร้ายจากการล้างไตแต่อย่างใดทั้งนี้  ส่วนการรักษาที่ดีที่สุดของผู้เป็นโรคไตคือ  การผ่าตัดเปลี่ยนไตหรือการผ่าตัดปลูกไตในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย     

แนวทางการป้องกันและการรักษาโรคไตจากเบาหวาน

1. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับดี
2. ควบคุมระดับความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งในข้อนี้มีการแนะนำเกี่ยวกับกลุ่มของยาลดความดันโลหิตที่สามารถเลือกใช้ตัวใดตัวหนึ่ง หรือใช้ร่วมกัน หากไม่มีข้อห้าม และควรมีการปรึกษาแพทย์
3. ผู้ป่วยเบาหวานที่มีอัลบูมินในปัสสาวะ และ/หรือมีภาวะความดันโลหิตสูงต้องได้รับการรักษา ควบคุมระดับความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท เพื่อช่วยชะลอการเสื่อมของไต
4. ควรให้รับคำแนะนำและการรักษาปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อย่างเหมาะสม ได้แก่ การควบคุมระดับไขมันในเลือด การควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และงดสูบบุหรี่
5. ควรได้รับการดูแลรักษาเช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง เช่น จำกัดปริมาณโปรตีนในอาหารให้เหมาะสม

การปลูกถ่ายไตมีขั้นตอนอย่างไร

การปลูกถ่ายไตเป็นการรักษาที่ดีที่สุด สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นไตวายระยะสุดท้าย  โดยการรักษาเมื่อได้รับไตใหม่แล้ว ปกติแพทย์จะไม่ตัดไตเดิมทิ้งแต่อย่างใด ยกเว้นกรณีที่ไตติดเชื้อ หรือไตมีขนาดใหญ่มาก แต่จะใช้วิธีการใส่ไตใหม่เข้าไปโดยให้อยู่ที่ด้านหน้าของช่องท้อง และไตเดิมอยู่ด้านหลังของช่องท้องตามปกติจึงทำให้เรียกวิธีการนี้ว่าการปลูกถ่ายไต นั่นเอง โดยไตใหม่ที่ได้มาในการรักษา อาจจะมาจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่หรือ อาจจะได้ไตมาจากผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว และได้ทำเรื่องการบริจาคไตไว้ตั้งแต่ช่วงมีชีวิตอยู่ก็ได้

สำหรับผู้รับบริจาคไตหลังจากการปลูกถ่ายไตเสร็จแล้ว ก็ยังต้องทานยากดภูมิคุ้มกันไตไปตลอดชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายต่อต้านไตใหม่ของร่างกายและยังอาจต้องรับประทานยาชนิดอื่นๆ ด้วย เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาลดระดับไขมันในเลือด เป็นต้น และการปลูกถ่ายไตยังมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากๆด้วย ทั้งการรักษาและยาที่ต้องทาน

ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานไม่จำเป็นต้องเป็นโรคไตวายทุกคน แต่ทั้งนี้หากรู้ตัวว่าเป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว ก็ควรหมั่นสำรวจร่างกายตัวเองว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับโรคไตวายหรือไม่อย่างไร หากมีอาการควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว และที่สำคัญต้องอย่าลืมดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วย เพราะหากเป็นไปได้ก็คงไม่อยากจะต้องฟอกเลือดหรือล้างไตหรอก จริงไหม

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน พ.ศ.2557. กรุงเทพฯ: หจก. อรุณการพิมพ์, 2557.

แก้ว กังสดาลอำไพ. ความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์กับอาหาร [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. หมอชาวบ้าน, 2531.

ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4.

Dr.Per Grinsted (2005-03-02). “Kidney failure (renal failure with uremia, or azotaemia)”. 2009-05-26.

เป็นเบาหวานควรออกกำลังกายอย่างไรดี

0
เป็นเบาหวานควรออกกำลังกายอย่างไรดี
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงได้
43 เป็นเบาหวานควรออกกำลังกายอย่างไรดี 1 - เป็นเบาหวานควรออกกำลังกายอย่างไรดี
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงได้

การออกกำลังกาย ที่เหมาะกับคนเป็นเบาหวาน

โรคเบาหวานกับ การออกกำลังกาย จะช่วยได้อย่างไร หากอธิบายให้ง่ายๆก็คือ โรคเบาหวานเกิดจากเซลล์ในร่างกายของเราอยู่ในภาวะ “ดื้อต่ออินซูลิน” ที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ใช่เพียงแค่ทานอาหารรสหวานจัดอย่างที่เข้าใจกัน แต่ยังรวมไปถึงการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง และขาดการออกกำลังกายจนกลายเป็นอ้วนลงพุง น้ำหนัก เกินเกณฑ์มาตรฐาน สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เสี่ยงต่อภาวะร่างกายดื้ออินซูลิน จนนำไปสู่โรคเบาหวานได้ในที่สุดการออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานจะให้ผลดีคือ จะไปช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ไขมัน ลดระดับความดันโลหิต และยังช่วยลดการเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย

ข้อดีของการออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวาน

การออกกำลังกายที่ทำให้กล้ามเนื้อหลายๆ ส่วนได้เคลื่อนไหวได้ออกแรงพร้อมๆกัน และไม่ต้องใช้แรงต้านมากเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคเบาหวานมากที่สุด เช่น วิ่ง เดินเร็ว ว่ายน้ำ  เป็นต้น หรือจะเลือกตามความถนัดที่ตนเองชอบก็ได้  ควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยในแต่ละครั้งให้อยู่ในช่วงเวลา 20 – 45 นาที เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการออกกำลังกาย แต่ทั้งนี้กิจกรรมการออกกำลังกายบางอย่าง ก็ไม่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน  การออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงมากๆ เช่น การยกน้ำหนักหรือ การออกกำลังกายที่หนักจนเกินไป เพราะอาจจะไปทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดและระบบหัวใจได้นั้นเอง ดังนั้นผู้ป่วยโรคเบาหวานควรหากิจกรรมการออกกำลังกายให้เหมาะสม และไม่ฝืนร่างกายตนเองจนเกินไป

ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวาน

หากผู้ป่วยโรคเบาหวาน ยังไม่เคยออกกำลังกาย หรือ ไม่ได้ออกกำลังกายมานานแล้ว ควรให้คุณหมอตรวจสอบความพร้อมของร่างกายก่อนก็จะดีไม่น้อยเลยและอาจจะขอคำแนะนำจากคุณหมอเพิ่มเติมว่าควรเริ่มจากอะไรดีแล้วควรออกกำลังกายเวลาใด เนื่องจากสภาพโรคและร่างกายผู้ป่วยทุกคนย่อมมีความแตกต่างกันออกไป

ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมโดยส่วนมาก ก็จะเน้นเอาช่วงเวลาที่ผู้ป่วยสะดวกนั้นเอง อาจจะเป็นช่วงเย็นๆที่แดดไม่ร้อนจนเกินไป ( 15.00 – 17.00 น. ) สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 1 ( แบบพึ่งอินซูลิน ) ควรทานอาหารว่างก่อนไปออกกำลังกายอย่างน้อย 30 – 60 นาที เพื่อช่วงป้องกันปัญหาระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงเกินปกติ เพราะช่วงนี้เป็นเวลาที่อินซูลินจะถูกดูดซึมเต็มที่และออกฤทธิ์สูงสุดหากผู้ป่วยเลือกที่จะออกกำลังกายในเวลาอื่นๆ หรือเมื่อออกกำลังแล้วเกิดอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ ควรรับประทานอาหารว่างก่อนออกกำลังกายประมาณ 30-60 นาทีเสมอ

ข้อควรระวังเพิ่มเติมสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการออกกำลังกายมากกว่าปกติ ต้องคอยตรวจระดับน้ำตาล โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทานยาหรือต้องฉีดอินซูลินอยู่ตลอด ควรเช็คระดับน้ำตาลทุกครึ่งชั่วโมงชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย และเบรกเพื่อเช็คอีกครั้ง ทุกๆครึ่งชั่วโมง เพราะร่างกายเมื่อได้เผาผลาญแล้ว อาจทำให้ระดับน้ำตาลที่มียาช่วย ลดต่ำลงไปได้อีก อาจจะเกิดความไม่ปลอดภัยต่อผู้ป่วยได้ 

ข้อควรระวังในผู้ป่วยเบาหวานสำหรับการออกกำลังกาย

หากออกกำลังกายให้เพียงพอและเหมาะสม ร่างกายจะนำน้ำตาลในเลือดไปเปลี่ยนเป็นพลังงานช่วยให้สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดลงได้การออกกำลังกายนอกจากมีผลตีต่อระดับน้ำตาลในเลือดแล้ว ยังก่อให้เกิดประโยชน์อีกหลายประการ เช่น

  1. ไขมันในเลือดลดต่ำลง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดจากอาการเส้นเลือดหัวใจอุดตัน
  2. น้ำหนักตัวลดลง ทำให้เป็นผลดีในการควบคุมเบาหวานได้ง่ายขึ้น
  3. อาการน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น หิว เหงื่อออก หรือใจสั่น
  4. ตาพร่ามัว หน้ามืด
  5. เป็นแผลที่เท้า
  6. เหนื่อยมากผิดปกติ

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงได้ เพราะในขณะที่เราออกกำลังกายนั้น ร่างกายจะต้องใช้พลังงาน ซึ่งแหล่งพลังงานในร่างกายคนเราก็คือน้ำตาล

ข้อควรระวังสำหรับการออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคเบาหวาน แม้การออกกำลังกายจะมีผลดี แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานบางคน ก็มีโอกาสที่จะเกิดภาวะผิดปกติที่ทำให้ไม่สามารถออกกำลังกายบางชนิดได้และนอกจากนี้ควรระวังไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการออกกำลังกาย เช่น สำหรับผู้ป่วยที่ควบคุมเบาหวานได้ไม่ดีเพียงพอ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานแบบที่ 1 (แบบพึ่งอินซูลิน) การออกกำลังกายที่มากเกินไปและไม่เหมาะสมจะยิ่งทำให้การควบคุมเบาหวานที่ไม่ดีอยู่แล้วเป็นมากขึ้นได้อีก อาจจะทำให้เกิดภาวะกรดคั่งในเลือดจากสารคีโทนได้ ส่วนผู้ที่ควบคุมเบาหวานได้ดีอยู่แล้ว ก็มีสิ่งที่ควรระวังคือ ในระหว่างออกกำลังกายอย่าปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจนเกินไปนั้นเอง ควรหลีก เลี่ยงการออกกำลังกายที่มีการกระทบกระแทกที่เท้ามากๆเพราะผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอาการเท้าชาจากปลายประสาทเสื่อมต้องระวังไม่ให้เกิดแผลที่เท้า เพราะจะกลายเป็นแผลเบาหวานได้ซึ่งอาจจะหายช้าและเสี่ยงการติดเชื้อได้ง่าย ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบสูงคือผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงหรือไขมันในเลือดสูง ก่อนเริ่มวางแผนการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องควรได้รับการตรวจให้แน่ชัดเสียก่อนว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจเพราะหากออกกำลังกายมากเกินไปจะทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หัวใจเต้นผิดปกติอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ 

การออกกำลังกายนั้นส่งผลดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานเช่นทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นร่างกายแข็งและสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ลดต่ำลงได้แต่ถ้าเราออกกำลังกายหนักเกินไปหรือออกกำลังกายที่ไม่ถูกวิธีก็จะทำให้เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่างๆซึ่งอาจจะทำให้อาการของโรคเบาหวานรุนแรงยิ่งขึ้นดังนั้นก่อนการวางแผนออกำลังกายควรปรึกษาแพทย์ถึงวิธีออกำลังกายที่เหมาะสมก่อนจะดีที่สุด และควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ: บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์

0
เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
เป็นภาวะที่หญิงตั้งครรภ์มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเนื่องจากร่างกายผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ มักเกิดขึ้นทุกช่วงระยะของการตั้งครรภ์
เบาหวานกับการตั้งครรภ์
เป็นภาวะที่หญิงตั้งครรภ์มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเนื่องจากร่างกายผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ มักเกิดขึ้นทุกช่วงระยะของการตั้งครรภ์

โรคเบาหวานขณะมีการตั้งครรภ์

กรณีนี้จะเกิดได้กับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานทั้งแบบประเภทที่ 1 ( เบาหวานแบบพึ่งอินซูลิน )และโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ( เบาหวานแบบไม่พึ่งอินซูลิน ) หากผู้ป่วยตรวจพบว่าตัวเองเป็น โรคเบาหวานขณะมีการตั้งครรภ์ ต้องทำการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในอยู่ในเกณฑ์ที่ดีตลอดเวลา แต่หากตรวจพบว่าระดับน้ำตาลเกินค่ามาตรฐานปกติ ต้องทำการใช้ยาช่วยเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลทันที แต่มีข้อแม้ว่าผู้ป่วยต้องใช้วิธีการแบบฉีดอินซูลินได้เพียงอย่างเดียวเท่า นั้น ห้ามรับประทานยาชนิดเม็ดโดยเด็ดขาด เนื่องจากยาดังกล่าวจะไปส่งผลให้เกิดอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ อาจจะพิการหรือเกิดความผิดปกติในร่างกายของเด็กได้ หากจะใช้ยาอะไรควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์เสียก่อน

คำแนะนำก่อนการตั้งครรภ์

ผู้หญิงที่เป็นโรคเบาหวานมีความตั้งใจจะมีบุตร ต้องมีการวางแผนอย่างดีเสียก่อน โดยควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย และต้องหมั่นดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรง คอยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่ดีเสมอ นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรได้รับความร่วมมือและการประสานงานกันแบบเป็นทีม ทั้งจากคนใกล้ตัวญาติพี่น้อง หรือทีมแพทย์ต่างๆ เช่น แพทย์ดูแลโรคเบาหวาน กุมารแพทย์ สูติแพทย์ พยาบาลด้านเบาหวาน และนักโภชนาการ เพื่อที่จะช่วยให้ว่าที่คุณแม่และลูกในครรภ์ มีร่างกายสมบรูณ์แข็งแรงและปลอดภัยที่สุด 

หลายคนมักจะมีความเข้าใจที่ผิดว่าผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานนั้น ไม่สามารถที่จะมีบุตรได้ แต่ในความเป็นจริงทางการแพทย์สรุปไว้ว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานยังคงสามารถมีบุตรได้ตามคนทั่วไปปกติ เพียงแต่จะต้องดูแลตนเองให้มากขึ้นกว่าเดิม

เป็นโรคเบาหวานหลังจากมีการตั้งครรภ์แล้ว

เมื่อมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ว่าที่คุณแม่หลายคนอาจจะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานได้ เนื่องจากขณะมีการตั้งครรภ์จะมีปัจจัยไปกระตุ้นให้มีการสร้างฮอร์โมนบางชนิดขึ้นมา ที่มีฤทธิ์ต่อต้านฮอร์โมนอินซูลินที่ทำหน้าที่คอยคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้หากไม่ได้รับการควบคุมที่ดีพอ จะทำให้มีผลกระทบต่อตัวคุณแม่และลูกในครรภ์ได้ ดังนั้นเพื่อให้การตั้งครรภ์เป็นไปได้อย่างราบรื่นและมีความปลอดภัย จึงควรมีการตรวจคัดกรองในหญิงมีครรภ์เพื่อหาโรคเบาหวาน ซึ่งจะสามารถเริ่มทำได้เมื่ออายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์โดยให้ผู้ป่วยดื่ม น้ำตาลกลูโคส 50 กรัม ละลายในน้ำ 1 แก้ว หลังจากนั้น 1 ชั่วโมง จึงตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหากพบว่ามีระดับน้ำตาลเท่ากับหรือมากกว่า 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร

ปัจจัยอะไรบ้างที่เสี่ยงเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์

1.อายุมากกว่า 30 ปี
2.มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน
3.เป็นคนอ้วนมาก ( น้ำหนักมากกว่า 70 กิโลกรัมขึ้นไป )
4.เคยมีประวัติการตั้งครรภ์และการคลอดที่ผ่านมาผิดปกติ เช่น การแท้ง  ครรภ์เป็นพิษ ลูกที่คลอดออกมามีน้ำหนักมากกว่า 4 กิโลกรัมหรือเคยตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ
5.เป็นโรคความดันโลหิตสูง
6.มีประวัติเกิดการติดเชื้อง่าย บริเวณอวัยวะเพศ ทางเดินปัสสาวะและในผิวหนัง

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

ผลกระทบต่อมารดา

การตั้งครรภ์อาจจะทำให้เกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงกว่าปกติ เกิดภาวะกรดคั่งในเลือดจากสารคีโทน มีภาวะเสื่อมของอวัยวะต่างๆ เช่น ตา ไต ระบบหลอดเลือด และระบบปลายประสาท มีความดันโลหิตสูง ติดเชื้อต่างๆได้ง่ายกว่าปกติโดยเฉพาะการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น

ผลกระทบต่อลูกในครรภ์

สำหรับทารกในครรภ์ก็อาจจะได้รับผลกระทบคือ ร่างกายโตกว่าปกติทำให้คลอดด้วยวิธีปกติได้ยากจนอาจเป็นอันตรายในขณะคลอด อาจจะแท้งหรือคลอดกก่อนกำหนด มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หัวใจล้มเหลว มีอาการตัวเหลือง หรืออาจจะพิการตั้งแต่กำเนิดได้ เป็นต้น 

ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่ควรมีการตั้งครรภ์

แม้ว่าผลทางการแพทย์จะยืนยันว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจะสามารถมีลูกหรือตั้งครรภ์ได้ปกติ แต่ทั้งนี้ก็มีข้อยกเว้นสำหรับผู้ป่วยบางคนที่ไม่ควรมีการตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจจะเกิดอันตรายต่อตนเองและลูกในครรภ์ได้ ดังนี้

1.มีอาการหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง
2.มีภาวะไตเสื่อม
3.เป็นโรคเบาหวานชนิดขึ้นตาอย่างรุนแรงและยังไม่ได้รับการรักษา
4.มีความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอททั้งที่อยู่ในระหว่างการได้รับการรักษา
5.มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสียอย่างรุนแรง
ทั้งนี้ผู้ที่ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานอย่าเพิ่งหมดกำลังใจไป ยังคงสามารถมีลูกและตั้งครรภ์ได้ตามเช่นคนปกติ แต่ควรมีการวางแผนที่ดีและได้รับคำแนะนำจากแพทย์ตลอดตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์จนกระทั้งคลอดลูกออกมา ผู้ป่วยควรดูแลรักษาร่างกายตนเองให้แข็งแรง และคอยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในภาวะปกติเสมอ เพื่อสุขภาพความปลอดภัยของตัวว่าที่คุณแม่เองและเพื่อลูกน้อยตัวเล็กๆที่กำลังจะลืมตาดูโลกเกิดขึ้นมา

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ: บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัดม 2557.