Home Blog Page 178

Bladder Tumor Antigen (Urine BTA) คืออะไร? ค่าที่บ่งบอกมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นในเยื่อบุกระเพาะอาหาร
Urine BTA,มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ,มะเร็ง,สารวัดค่ามะเร็ง
การตรวจค่ามะเร็งกะเพาะปัสสาวะโดยใช้ปัสสาวะในการตรวจหาสารแปลกปลอมและสัญญาณของโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

Bladder Tumor Antigen (Urine BTA) คืออะไร?

Bladder Tumor Antigen (Urine BTA) คือสารโปรตีนที่พบในปัสสาวะของผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ การตรวจวัดระดับ BTA ในปัสสาวะเป็นวิธีหนึ่งในการคัดกรองและติดตามมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

ความสำคัญของการตรวจ Bladder Tumor Antigen (BTA) ในปัสสาวะ

การตรวจ BTA ในปัสสาวะมีความสำคัญในการคัดกรองและติดตามมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ โดยเป็นวิธีที่ไม่รุกล้ำและสามารถทำได้ง่าย

Bladder Tumor Antigen (BTA) เป็นสารบ่งชี้มะเร็งกระเพาะปัสสาวะอย่างไร?

BTA เป็นโปรตีนที่ผลิตโดยเซลล์มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ระดับ BTA ที่สูงในปัสสาวะอาจบ่งชี้ถึงการมีเซลล์มะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ

การตรวจ Urine BTA มีบทบาทอย่างไรในการคัดกรองและติดตามมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ?

การตรวจ Urine BTA ช่วยในการคัดกรองเบื้องต้นและติดตามการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง

การตรวจ BTA มีข้อดีและข้อจำกัดอย่างไรเมื่อเทียบกับวิธีอื่น เช่น การส่องกล้องกระเพาะปัสสาวะ (Cystoscopy)?

ข้อดีของการตรวจ BTA คือไม่รุกล้ำและทำได้ง่าย แต่มีข้อจำกัดคือความแม่นยำอาจไม่สูงเท่าการส่องกล้อง จึงมักใช้ร่วมกับวิธีอื่น

วิธีการตรวจ Urine BTA ทำได้อย่างไร?

การตรวจ Urine BTA ทำได้โดยการเก็บตัวอย่างปัสสาวะและนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ

ขั้นตอนการเก็บตัวอย่างปัสสาวะเพื่อตรวจ BTA

เก็บปัสสาวะช่วงกลาง (midstream) ในภาชนะสะอาด แล้วนำส่งห้องปฏิบัติการทันที

ต้องเตรียมตัวก่อนตรวจ Urine BTA หรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักก่อนตรวจ

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อค่าผลตรวจ เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะหรือภาวะอื่น ๆ

การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ นิ่ว หรือการอักเสบอาจทำให้ค่า BTA สูงขึ้นได้ แม้ไม่มีมะเร็ง

ค่าปกติของ Urine BTA และเกณฑ์บ่งชี้ภาวะผิดปกติ

ค่า BTA ในปัสสาวะมีเกณฑ์ปกติและผิดปกติที่ใช้ในการแปลผล

ค่าปกติของ BTA ในปัสสาวะควรอยู่ที่เท่าใด?

ค่า BTA ปกติมักต่ำกว่า 14 U/mL แต่อาจแตกต่างกันตามห้องปฏิบัติการ

ค่า BTA สูงกว่าปกติสามารถบ่งบอกถึงอะไรได้บ้าง?

ค่า BTA สูงอาจบ่งชี้ถึงมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ แต่อาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้เช่นกัน

ค่าผิดปกติของ Urine BTA ต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติมหรือไม่?

ค่า BTA ผิดปกติควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องกระเพาะปัสสาวะ

อะไรเป็นสาเหตุของค่า Urine BTA สูงกว่าปกติ?

ค่า Urine BTA สูงอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่เฉพาะมะเร็งกระเพาะปัสสาวะเท่านั้น

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะส่งผลต่อระดับ BTA อย่างไร?

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะทำให้มีการผลิต BTA มากขึ้น ส่งผลให้ระดับ BTA ในปัสสาวะสูงขึ้น

ภาวะอื่น ๆ ที่อาจทำให้ค่า BTA สูง เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะและนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

การติดเชื้อ นิ่ว หรือการอักเสบในระบบทางเดินปัสสาวะอาจทำให้ค่า BTA สูงได้

การแปลผลค่า BTA ควรพิจารณาควบคู่กับการตรวจอื่น ๆ อย่างไร?

ควรแปลผลร่วมกับอาการ ประวัติ และการตรวจอื่นๆ เช่น การส่องกล้องหรือการตรวจภาพถ่ายรังสี

โรคและภาวะที่เกี่ยวข้องกับค่าผิดปกติของ Urine BTA

ค่า Urine BTA ผิดปกติอาจเกี่ยวข้องกับโรคหรือภาวะต่างๆ ของระบบทางเดินปัสสาวะ

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีอาการเริ่มต้นอย่างไร?

อาการเริ่มต้นอาจรวมถึงเลือดในปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อย หรือปวดเวลาปัสสาวะ

ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เช่น การสูบบุหรี่และสารเคมีอันตราย

การสูบบุหรี่ การสัมผัสสารเคมีบางชนิด และอายุที่มากขึ้นเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ

โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะสามารถทำให้ค่า BTA ผิดปกติหรือไม่?

ใช่ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะอาจทำให้ค่า BTA สูงขึ้นได้ แม้ไม่มีมะเร็ง

วิธีดูแลสุขภาพกระเพาะปัสสาวะเพื่อลดความเสี่ยงของมะเร็ง

การดูแลสุขภาพกระเพาะปัสสาวะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งและโรคอื่นๆ

อาหารและเครื่องดื่มที่ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

รับประทานผักและผลไม้มาก ดื่มน้ำสะอาดเพียงพอ และลดการบริโภคอาหารแปรรูป

พฤติกรรมที่ช่วยรักษาสุขภาพของระบบทางเดินปัสสาวะ

เลิกสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีอันตราย และปัสสาวะเมื่อรู้สึกปวด

การตรวจคัดกรองและติดตามสุขภาพของผู้ที่มีความเสี่ยงสูง

ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงควรรับการตรวจคัดกรองเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่าผลตรวจ Urine BTA?

ควรพบแพทย์เมื่อมีผลตรวจ BTA ผิดปกติหรือมีอาการผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ

อาการที่ควรเฝ้าระวัง เช่น เลือดในปัสสาวะและปัสสาวะผิดปกติ

หากพบเลือดในปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ หรือปวดเวลาปัสสาวะ ควรปรึกษาแพทย์

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจ Urine BTA สูงหรือต่ำกว่าปกติ

ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รับการตรวจเพิ่มเติมตามที่แนะนำ และติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ

การตรวจ Urine BTA เป็นเครื่องมือสำคัญในการคัดกรองและติดตามมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อย่างไรก็ตาม ควรใช้ร่วมกับการตรวจวิธีอื่นๆ เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผลการตรวจหรือมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าการตรวจ Urine BTA เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพระบบทางเดินปัสสาวะโดยรวม ค่า BTA ที่ผิดปกติไม่ได้หมายความว่าเป็นมะเร็งเสมอไป และในทางกลับกัน ค่า BTA ปกติก็ไม่ได้รับประกันว่าไม่มีมะเร็ง การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจประเมินอย่างครอบคลุม รวมถึงการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้นในการวินิจฉัยและรักษาโรค

การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาสุขภาพระบบทางเดินปัสสาวะในระยะยาว การตรวจสุขภาพเป็นประจำและการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้สามารถป้องกันและตรวจพบโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการรักษาและคุณภาพชีวิตในระยะยาว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 

ตรวจค่าเลือดเฟอร์ริติน สำคัญแค่ไหนต่อสุขภาพของเรา?

สารตรวจค่าเลือดเฟอร์ริติน ( Ferritin )
เฟอร์ริติน ( Ferritin ) คือ โปรตีนในเซลล์ทั่วไปที่ถูกธาตุเหล็ก ซึ่งในการตรวจหาเฟอร์ริตินต้องใช้การตรวจหาค่าในเลือดโดยตรง

เฟอร์ริติน ( Ferritin )

การตรวจค่าเลือด เฟอร์ริติน ( Ferritin )เป็นการทดสอบที่ช่วยให้เราทราบถึงระดับธาตุเหล็กในร่างกาย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการทำงานของเซลล์และระบบต่างๆ ภายในร่างกาย โดยเฉพาะในการขนส่งออกซิเจนในเลือด หากค่าเฟอร์ริตินต่ำอาจส่งผลให้เกิดภาวะขาดธาตุเหล็กและทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ขณะที่ค่าเฟอร์ริตินสูงอาจบ่งชี้ถึงปัญหาการสะสมธาตุเหล็กที่เกินความจำเป็น ซึ่งอาจนำไปสู่โรคต่างๆ เช่น โรคตับหรือโรคหัวใจ การตรวจค่าเลือดเฟอร์ริตินจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินสุขภาพและการดูแลตัวเองในด้านของธาตุเหล็กอย่างมีประสิทธิภาพ.

การตรวจหาค่าธาตุเหล็กในเลือดด้วยค่า จะทำให้ทราบว่าขณะนี้ธาตุเหล็กอยู่ในระดับความพร่อง ที่อาจนำไปสู่ผลเลือดที่แสดงออกว่าเป็นโรคโลหิตจาง หรือมีธาตุเหล็กสูงเกินไปที่อาจนำไปสู่การเกิดสภาวะเป็นพิษจากธาตุเหล็กที่มีความอันตรายเช่นกัน และนอกจากนี้การตรวจหาค่า Ferritin ก็สามารถตรวจวัดสัญญาณบ่งชี้โรคมะเร็ง ( Tumor marker ) ได้อีกด้วย เมื่อพบว่าระดับของ Ferritin มีค่าที่สูงผิดปกติในเลือดนั่นเอง 

โดยส่วนใหญ่แล้วธาตุเหล็กภายในร่างกายมักจะรวมอยู่กับโปรตีนเสมอ ทำให้ร่างกายต้องมีการสร้างกรดชนิดหนึ่งขึ้นมา คือ กรดเซียลิค ( Sialic Acid ) โดยเป็นกรดที่จะทำให้โปรตีนสามารถเก็บรักษาธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเมื่อกรดเซียลิค รวมกับโปรตีนและน้ำตาล ( จากเลือด ) ก็จะทำให้เกิดเป็นสารประกอบชนิดหนึ่งที่เรียกว่า SAG หรือ Siakicasid – Rich Glycoprotein นั่นเอง

โดยสาร SAG นี้จะทำให้ธาตุเหล็กทำปฏิกิริยากับออกซิเจนได้ว่องไวมากขึ้น จนเปลี่ยนสถานภาพกลายเป็นสารอนุมูลอิสระ ที่อาจจะทำให้ก่อให้เกิดมะเร็งกับเนื้อเยื่อที่สารตัวนี้ไปสัมผัสกระตุ้นให้เซลล์โรคมะเร็งที่มีอยู่ก่อนแพร่กระจายตัวออกไปอย่างรวดเร็วและลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆเนื่องจากภาวะที่ร่างกายมีระดับของธาตุเหล็กสูงเกินกว่าปกติ จะนำไปสู่การเกิดมะเร็งหรือส่งผลให้มะเร็งเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว

ดร.เออยีน ดี.ไวน์เบิร์ก ( Dr.EugeneD.Weinberg ) ผู้เป็นศาสตราจารย์แห่งภาคชีววิทยาของมหาวิทยาลัยอินเดียนา สหรัฐฯ และตัวแทนหอสมุดการแพทย์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกา จึงได้ทำการจัดทำรายงานขึ้นมาเพื่อเผยแพร่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวและแถลงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1996 เพื่อให้ประชาชนได้ทราบและตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดจากการได้รับธาตุเหล็กมากเกินไปนั่นเอง

ภาวะธาตุเหล็กเกิน นอกจากจะทำให้เกิดการก่อเซลล์มะเร็งในร่างกายได้แล้ว ก็มีฤทธิ์ในการลดภูมิต้านทาน จนทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวไม่สามารถทำหน้าที่ในการปกป้องร่างกายจากเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ จึงทำให้ร่างกายอ่อนแอลงและมีโอกาสที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่ายขึ้น

จากการรวบรวมข้อมูลของผลการค้นคว้าวิจัยถึงภาวะธาตุเหล็กของ ดร.ไวน์เบิร์ก ก็ได้ผลสรุปอย่างเข้าใจว่า
เมื่อร่างกายได้รับปริมาณของธาตุเหล็กที่เกินพอดี จะทำให้เกิดการสิ้นเปลืองโปรตีน เนื่องจากร่างกายจากนำโปรตีนจำนวนหนึ่งมาสร้างเฟอร์ริตินและสร้าง Transferrin เพื่อห่อหุ้มธาตุเหล็กเอาไว้ส่งผลให้ร่างกายมีโปรตีนน้อยลงและไม่สามารถนำมาทดแทนในยามที่ร่างกายทรุดโทรมได้อย่างเพียงพอ ส่งผลให้ร่างกายเกิดการเจ็บป่วย ติดเชื้อได้ง่าย และมีโอกาสเป็นมะเร็งได้

สารในเลือด หรือธาตุเหล็กส่วนเกินในร่างกายส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบไหน มันมักจะนำพาเอาออกซิเจนติดตัวไปด้วยเสมอ เป็นผลให้เกิดประจุไฟฟ้าของเหล็กที่มีความว่องไวมากในรูปแบบของอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจเรียกได้ว่ามันมีความว่องไวในระดับ มหาอนุมูลอิสระ ( Super Radicals ) เลยทีเดียว และเมื่อมันได้ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ก็จะกลายเป็นอภิมหาวายร้ายอนุมูลอิสระ ( Hydroxyl Radicals ) ที่สามารถเข้าไปทำลาย DNA ของเซลล์ต่างๆ ภายในร่างกายได้อย่างง่ายดาย และส่งผลให้เซลล์บางส่วนเกิดการกลายพันธุ์จนเป็นเซลล์มะเร็งที่พร้อมจะคร่า ชีวิตผู้ป่วยได้ง่าย และสำหรับใครที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งอยู่แล้ว มันก็จะยิ่งไปกระตุ้นให้เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วอีกด้วยซึ่งก็จะเห็นได้ว่าการมีภาวะเหล็กเกินในร่างกาย เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด

ในขณะที่ธาตุเหล็กส่วนเกินภายในร่างกายกำลังแผลงฤทธิ์อยู่นั้น หากมีจุลชีพหลุดเข้าไปในร่างกายก็จะยิ่งไปกระตุ้นและเสริมฤทธิ์ให้สามารถสร้างความเสียหายต่อเซลล์ต่างๆ ในร่างกายและก่อให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ในรูปของการติดเชื้อหรือการอักเสบได้สูงมากอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการก่อโรคจากธาตุเหล็กอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

ดังนั้นโดยสรุปแล้ว การตรวจวัดค่าเฟอร์ริตินนอกจากจะช่วยวัดปริมาณของธาตุเหล็กภายร่างกายได้ดีแล้ว ก็เป็นเครื่องมือในการบ่งชี้สัญญาณของโรคมะเร็งได้อีกด้วย การวัดค่า Ferritin จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการนำมาตรวจหาสัญญาณบ่งชี้มะเร็งควบคู่ไปกับวิธีอื่นๆ เพื่อยืนยันความแม่นยำ
ค่าความปกติของ Ferritin

ค่าธาตุเหล็กหรือค่าปกติของ Ferritin คือเท่าไหร่?

ค่าธาตุเหล็กหรือค่าปกติของ Ferritin คือเท่าไหร่?

ค่าเฟอร์ริตินของผู้ชาย 12 – 300  ng / mL
ค่าเฟอร์ริตินของผู้หญิง 10 – 150  ng / mL

ค่าผิดปกติของ Ferritin คือ

การตรวจหาค่าความผิดปกติของ เฟอร์ริติน ( Ferritin ) จะถือเอาตามผลการตรวจค่าที่ได้ออกมาดังนี้

ตรวจค่าเลือดพบ Ferritin น้อยกว่าค่าปกติ

ผู้ป่วยอาจกำลังป่วยด้วยโรคโลหิตจางชนิดขาดธาตุเหล็ก โดยเฉพาะหากพบว่าค่าเฟอร์ริตินมีค่าเท่ากับหรือต่ำกว่า 10 ng / mL ซึ่งจะให้ความแม่นยำสูงมาก มีการตกเลือดภายในอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะช่องทางเดินอาหาร และลำไส้ หรืออาจเป็นโรคบางชนิดที่ทำให้มีเลือดออกภายในอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งในร่างกาย ประจำเดือนมามากกว่าปกติ หรือมานานกว่าปกติ และเป็นต่อเนื่องหลายเดือน

ตรวจค่าเลือดพบ Ferritin สูงกว่าค่าปกติ

ตรวจค่าเลือดพบ Ferritin สูงกว่าค่าปกติหากตรวจค่าเลือดเฟอร์ริตินพบว่าสูงกว่าปกติ อาจเป็นโรคทั่วๆ ไปที่มีความเกี่ยวพันธ์กับธาตุเหล็ก เช่น
1.โรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงโตผิดปกติ โดยโรคนี้เม็ดเลือดแดงจะมีความเปราะบางและอาจแตกได้ง่าย หรือโรคโลหิตจางชนิดสร้างฮีโมโกลบินไม่ได้แต่ไม่ได้ขาดธาตุเหล็ก รวมถึงอาจเป็นโรคโลหิตจางชนิดทาลัสซีเมียด้วย

2.มีการอักเสบของอวัยวะภายในร่างกาย เช่น ตับอักเสบจากพิษแอลกอฮอล์ ( Alcoholic Liver Disease ) การพยาบาลภาวะธาตุเหล็กเกินนั้นไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบให้เร็วที่สุด

ค่าเฟอร์ริตินที่สูงผิดปกตินั้น อาจเกิดจาก tumor marker ตรวจค่าเลือดบ่งชี้ว่า เป็นโรคมะเร็ง เช่น
โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemia ) โรคมะเร็งตับ ( Hepatocellular Carcinoma ) และ โรคมะเร็งปุ่มน้ำเหลือง ( Lymphoma ) เพราะเป็นมะเร็งที่สัมพันธ์กับธาตุเหล็กโดยตรง นอกจากนี้ก็อาจพบเป็นโรคมะเร็งชนิดอื่นๆ ด้วยก็ได้ทั้งนี้ อาจเป็นโรคมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งชนิดอื่นๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อตรวจค่าเลือด เฟอร์ริติน ( Ferritin ) พบว่ามีค่าที่สูงกว่าปกติ พร้อมกับการตรวจค่า CEA มีค่าที่สูงด้วยที่อาจเกิดเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่อีกด้วย

จะเห็นได้ว่าการที่ร่างกายได้รับธาตุเหล็กเกิน ไม่เป็นผลดี จึงควรควบคุมปริมาณธาตุเหล็กให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจะดีที่สุด

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4.

Nussey S, Whitehead S (2001). Endocrinology: an integrated approach. Oxford: Bios Scientific Publ. ISBN 978-1-85996-252-7.

Free PSA คืออะไร? สารวัดค่ามะเร็งต่อมลูกหมากแบบใหม่

Free PSA สารวัดค่าโรคมะเร็งต่อมลูกหมากชนิดใหม่
Free PSA เป็นสารที่ได้มาจากสารชีวเคมีแปลกปลอมจากต่อมลูกหมาก สารตัวนี้จะลอยอยู่ในกระแสเลือดอย่างอิสระ
Free PSA สารวัดค่าโรคมะเร็งต่อมลูกหมากชนิดใหม่
Free PSA เป็นสารที่ได้มาจากสารชีวเคมีแปลกปลอมจากต่อมลูกหมาก สารตัวนี้จะลอยอยู่ในกระแสเลือดอย่างอิสระ

Free PSA คืออะไร?

Free PSA (Free Prostate-Specific Antigen) คือโปรตีนที่ผลิตโดยเซลล์ต่อมลูกหมาก โดยอยู่ในรูปแบบอิสระในกระแสเลือด การตรวจ Free PSA ใช้เพื่อช่วยในการวินิจฉัยและประเมินความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมาก

ความสำคัญของ Free PSA ในการตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมาก

Free PSA มีบทบาทสำคัญในการช่วยแยกแยะระหว่างภาวะต่อมลูกหมากโตแบบไม่ร้ายแรง (Benign Prostatic Hyperplasia – BPH) และมะเร็งต่อมลูกหมาก

Free PSA แตกต่างจาก Total PSA อย่างไร?

Total PSA คือการวัดค่า PSA ทั้งหมดในเลือด ซึ่งรวมทั้ง Free PSA และ PSA ที่จับกับโปรตีนอื่น ขณะที่ Free PSA วัดเฉพาะส่วนที่ไม่ได้จับกับโปรตีน

Free PSA มีบทบาทอย่างไรในการวินิจฉัยมะเร็งต่อมลูกหมาก?

ระดับ Free PSA ที่ต่ำเมื่อเทียบกับ Total PSA อาจบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นของมะเร็งต่อมลูกหมาก การใช้สัดส่วน Free PSA/Total PSA ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย

การใช้ Free PSA ช่วยลดความจำเป็นในการตัดชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากหรือไม่?

ใช่ การตรวจ Free PSA ช่วยลดจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการตัดชิ้นเนื้อโดยไม่จำเป็น โดยการประเมินความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทำหัตถการ

วิธีตรวจ Free PSA ทำได้อย่างไร?

การตรวจ Free PSA ทำได้โดยการเจาะเลือดและวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ

ขั้นตอนการตรวจเลือดเพื่อวัดค่า Free PSA

แพทย์จะเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำที่แขน และส่งตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจวิเคราะห์

ต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจหรือไม่?

ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก การขี่จักรยาน หรือกิจกรรมที่กดทับบริเวณต่อมลูกหมากก่อนตรวจ 24-48 ชั่วโมง และแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อค่าผลตรวจ Free PSA เช่น การอักเสบหรือการออกกำลังกายหนัก

ภาวะอักเสบของต่อมลูกหมาก การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ หรือกิจกรรมที่กดทับบริเวณต่อมลูกหมาก อาจทำให้ค่า Free PSA สูงขึ้นชั่วคราว

การแปลผลค่า Free PSA และความสัมพันธ์กับโรคต่อมลูกหมาก

ผลตรวจ Free PSA ต้องพิจารณาร่วมกับ Total PSA และปัจจัยอื่นๆ เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคต่อมลูกหมาก

ค่าปกติของ Free PSA ควรอยู่ที่เท่าใด?

ค่าปกติของ Free PSA จะแตกต่างกันไปตามอายุและสถานการณ์ทางสุขภาพ โดยทั่วไป สัดส่วน Free PSA/Total PSA ควรอยู่มากกว่า 25% ในผู้ชายที่มี Total PSA ระหว่าง 4-10 ng/mL

อัตราส่วน Free PSA/Total PSA มีความสำคัญอย่างไร?

อัตราส่วนต่ำกว่า 10% บ่งชี้ถึงความเสี่ยงสูงของมะเร็งต่อมลูกหมาก ขณะที่อัตราส่วนมากกว่า 25% บ่งชี้ถึงความเสี่ยงต่ำ

ค่า Free PSA ต่ำสามารถบ่งบอกถึงความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากได้อย่างไร?

ค่า Free PSA ต่ำเมื่อเทียบกับ Total PSA อาจบ่งชี้ถึงโอกาสที่สูงขึ้นของเซลล์ผิดปกติในต่อมลูกหมาก ซึ่งควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม

อะไรเป็นสาเหตุของค่า Free PSA ผิดปกติ?

ค่า Free PSA ผิดปกติอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรคและปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพต่อมลูกหมาก

ค่า Free PSA ต่ำกว่าปกติสามารถเป็นสัญญาณของมะเร็งต่อมลูกหมากหรือไม่?

ใช่ ค่า Free PSA ที่ต่ำกว่าเกณฑ์อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของเซลล์ผิดปกติหรือเนื้องอกในต่อมลูกหมาก

ภาวะต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia – BPH) ส่งผลต่อค่า Free PSA อย่างไร?

BPH อาจทำให้ทั้ง Total PSA และ Free PSA สูงขึ้น แต่สัดส่วนระหว่างสองค่ามักยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ

ภาวะอักเสบของต่อมลูกหมาก (Prostatitis) มีผลต่อค่า Free PSA หรือไม่?

ภาวะอักเสบสามารถทำให้ค่า Total และ Free PSA สูงขึ้นชั่วคราว แต่ไม่ได้บ่งชี้ถึงมะเร็งเสมอไป

Free PSA เทียบกับการตรวจมะเร็งต่อมลูกหมากแบบอื่น

Free PSA เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ร่วมกับวิธีอื่นๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการประเมินสุขภาพต่อมลูกหมาก

Free PSA มีข้อดีเมื่อเทียบกับ Total PSA เพียงอย่างเดียวหรือไม่?

Free PSA ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการแยกระหว่างภาวะร้ายแรงและไม่ร้ายแรง เมื่อเทียบกับการใช้ Total PSA เพียงอย่างเดียว

การใช้ Free PSA ควบคู่กับการตรวจค่าอื่น เช่น PHI (Prostate Health Index) และ MRI

การใช้ Free PSA ร่วมกับ PHI หรือ MRI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประเมินและลดความจำเป็นในการตัดชิ้นเนื้อโดยไม่จำเป็น

เมื่อไรควรทำการตรวจชิ้นเนื้อต่อมลูกหมาก (Biopsy)?

ควรทำเมื่อ Total และ Free PSA บ่งชี้ถึงความเสี่ยงสูง หรือเมื่อมีผล MRI ที่พบสิ่งผิดปกติในต่อมลูกหมาก

วิธีดูแลสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมาก

การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยลดความเสี่ยงของโรคและรักษาสุขภาพต่อมลูกหมากให้อยู่ในเกณฑ์ดี

อาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมาก

รับประทานอาหารที่มีไลโคปีนสูง เช่น มะเขือเทศ ผักใบเขียว ธัญพืชเต็มเมล็ด และปลาไขมันดี เช่น แซลมอน ลดอาหารไขมันสูงและอาหารแปรรูป

การออกกำลังกายและการดูแลฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพต่อมลูกหมาก

ออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยควบคุมน้ำหนักและสมดุลฮอร์โมน ซึ่งลดความเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมากได้

การตรวจสุขภาพต่อมลูกหมากเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างไร?

การตรวจสุขภาพเป็นประจำช่วยให้สามารถตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งเพิ่มโอกาสในการรักษาให้สำเร็จมากขึ้น

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่าผลตรวจ Free PSA?

ควรพบแพทย์เมื่อค่าผลตรวจผิดปกติหรือมีอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคของระบบทางเดินปัสสาวะ

อาการที่ควรเฝ้าระวัง เช่น ปัสสาวะผิดปกติและปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน

หากมีอาการปัสสาวะติดขัด ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน หรือปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน ควรปรึกษาแพทย์ทันที

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจ Free PSA ต่ำกว่าปกติ

ผู้ที่มีค่าผลต่ำควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนถัดไป เช่น การทำ MRI หรือตรวจชิ้นเนื้อ

Free PSA เป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยประเมินสุขภาพต่อมลูกหมาก แต่ควรใช้ร่วมกับวิธีอื่นๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ หากมีข้อสงสัยหรือผลตรวจผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าการตรวจ Free PSA เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพต่อมลูกหมากโดยรวม ค่า Free PSA ที่ผิดปกติไม่ได้หมายความว่าเป็นมะเร็งเสมอไป และในทางกลับกัน ค่า Free PSA ปกติก็ไม่ได้รับประกันว่าไม่มีความผิดปกติ การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจ Total PSA, PHI, MRI หรือการตัดชิ้นเนื้อ จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้นในการวินิจฉัยและรักษา

การดูแลสุขภาพต่อมลูกหมากเชิงป้องกัน เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ และการตรวจสุขภาพต่อมลูกหมากเป็นประจำ ยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากและโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และการเฝ้าระวังอาการผิดปกติจะช่วยให้สามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันเวลา

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม 

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.

Total PSA คืออะไร? การตรวจวัดค่ามะเร็งต่อมลูกหมาก

Total PSA สารตรวจวัดค่ามะเร็งต่อมลูกหมาก
PSA เป็นสารที่ใช้ในการวัดค่ามะเร็งต่อมลูกหมาก ทำให้ทราบถึงความผิดปกติของต่อมลูกหมาก
Total PSA สารตรวจวัดค่ามะเร็งต่อมลูกหมาก
PSA เป็นสารที่ใช้ในการวัดค่ามะเร็งต่อมลูกหมาก ทำให้ทราบถึงความผิดปกติของต่อมลูกหมากในเพศชาย

Total PSA คืออะไร?

Total PSA (Prostate-Specific Antigen) คือโปรตีนที่ผลิตโดยต่อมลูกหมากและพบในเลือด การตรวจ Total PSA ใช้ในการประเมินสุขภาพของต่อมลูกหมากและช่วยคัดกรองโรค เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก

ความสำคัญของ Total PSA ในการตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมาก

Total PSA เป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่ใช้ในการตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมาก รวมถึงภาวะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับต่อมลูกหมาก

Total PSA เป็นสารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมากอย่างไร?

ระดับ Total PSA ที่สูงผิดปกติอาจบ่งชี้ถึงการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์ในต่อมลูกหมาก เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก หรือภาวะอื่นๆ เช่น การอักเสบ

ทำไมผู้ชายควรตรวจ Total PSA เป็นประจำ?

การตรวจ Total PSA ช่วยคัดกรองและวินิจฉัยโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เพิ่มโอกาสในการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในผู้ชายที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้

Total PSA สามารถใช้ตรวจคัดกรองโรคอื่นนอกจากมะเร็งต่อมลูกหมากได้หรือไม่?

ใช่ Total PSA ยังสามารถใช้ประเมินภาวะอื่น เช่น ต่อมลูกหมากโต (BPH) และการอักเสบของต่อมลูกหมาก (Prostatitis)

วิธีการตรวจ Total PSA ทำได้อย่างไร?

การตรวจ Total PSA ทำได้ง่ายโดยการเจาะเลือดและวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ

ขั้นตอนการตรวจเลือดเพื่อวัดค่า Total PSA

แพทย์จะเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำที่แขน และส่งตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจวิเคราะห์ระดับ PSA

ต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจ PSA หรือไม่?

ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจส่งผลต่อค่า PSA เช่น การขี่จักรยาน หรือการมีเพศสัมพันธ์ ก่อนตรวจ 24-48 ชั่วโมง และแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อค่าผลตรวจ เช่น การอักเสบของต่อมลูกหมากและการออกกำลังกาย

ภาวะอักเสบ การติดเชื้อ หรือกิจกรรมที่กดทับบริเวณต่อมลูกหมาก อาจทำให้ค่า PSA สูงขึ้นชั่วคราว

การแปลผลค่า Total PSA และความสัมพันธ์กับโรคต่อมลูกหมาก

ผลตรวจ Total PSA ต้องพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่นๆ เพื่อประเมินสุขภาพของต่อมลูกหมากอย่างแม่นยำ

ค่าปกติของ Total PSA ควรอยู่ที่เท่าใด?

ค่าปกติของ Total PSA อยู่ที่ต่ำกว่า 4.0 ng/mL แต่ในบางกรณี ค่า 2.5 ng/mL อาจถือว่าปกติสำหรับผู้ชายอายุน้อยกว่า 50 ปี

ค่า Total PSA สูงกว่าปกติหมายถึงอะไร?

ค่า Total PSA ที่สูงกว่าเกณฑ์อาจบ่งชี้ถึงความผิดปกติ เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก ต่อมลูกหมากโต หรือการอักเสบของต่อมลูกหมาก

อัตราการเปลี่ยนแปลงของค่า PSA (PSA Velocity) บ่งบอกถึงอะไร?

PSA Velocity คือความเร็วในการเพิ่มขึ้นของค่า PSA หากเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจบ่งชี้ถึงความเสี่ยงสูงของโรค เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก

อะไรเป็นสาเหตุของค่า Total PSA สูงกว่าปกติ?

ค่า Total PSA สูงอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรคและปัจจัยภายนอก

มะเร็งต่อมลูกหมากส่งผลต่อค่า PSA อย่างไร?

เซลล์มะเร็งในต่อมลูกหมากผลิต PSA ในปริมาณมาก ทำให้ระดับในเลือดสูงขึ้นผิดปกติ

ภาวะต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia – BPH) มีผลต่อค่า Total PSA หรือไม่?

BPH ทำให้เซลล์ในต่อมลูกหมากเพิ่มจำนวน ส่งผลให้ระดับ PSA สูงขึ้น แต่ไม่ได้บ่งชี้ถึงโรคร้ายแรงเสมอไป

การอักเสบของต่อมลูกหมาก (Prostatitis) ทำให้ค่า PSA ผิดปกติหรือไม่?

การอักเสบหรือการติดเชื้อทำให้เซลล์ในต่อมลูกหมากปล่อย PSA เข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น ส่งผลให้ค่าเพิ่มขึ้นชั่วคราว

ปัจจัยที่ทำให้ค่า PSA ผันผวน เช่น การมีเพศสัมพันธ์และการขี่จักรยาน

กิจกรรมเหล่านี้อาจกระตุ้นให้ระดับ PSA เพิ่มขึ้นชั่วคราว แต่ไม่ได้หมายความว่ามีโรคร้ายแรง

Total PSA เทียบกับ Free PSA และการตรวจมะเร็งต่อมลูกหมากแบบอื่น

Total และ Free PSA ใช้ร่วมกันเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการประเมินสุขภาพของต่อมลูกหมาก

Free PSA คืออะไร และแตกต่างจาก Total PSA อย่างไร?

Free PSA คือส่วนของโปรตีนที่ไม่ได้จับกับโปรตีนอื่นในเลือด ขณะที่ Total PSA รวมทั้ง Free และ Bound PSA การเปรียบเทียบสัดส่วนช่วยแยกระหว่างภาวะร้ายแรงและไม่ร้ายแรงได้ดีขึ้น

เมื่อไรควรใช้ Free PSA ควบคู่กับ Total PSA?

ควรใช้เมื่อค่า Total PSA อยู่ในช่วง 4.0-10.0 ng/mL เพื่อช่วยประเมินความเสี่ยงของมะเร็งและลดความจำเป็นในการตัดชิ้นเนื้อโดยไม่จำเป็น

การใช้ Total PSA ร่วมกับการตรวจชิ้นเนื้อต่อมลูกหมาก (Biopsy) เพื่อยืนยันผล

หากค่า Total และ Free PSA บ่งชี้ถึงความเสี่ยงสูง แพทย์อาจแนะนำให้ทำ Biopsy เพื่อยืนยันการวินิจฉัย

วิธีดูแลสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมาก

การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยลดความเสี่ยงและรักษาสุขภาพของต่อมลูกหมากให้อยู่ในเกณฑ์ดี

อาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมาก

รับประทานอาหารที่มีไลโคปีนสูง เช่น มะเขือเทศ ผักใบเขียว ธัญพืชเต็มเมล็ด และปลาไขมันดี ลดอาหารไขมันสูงและอาหารแปรรูป

การออกกำลังกายและการควบคุมน้ำหนักที่ส่งผลต่อระดับ PSA

ออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดไขมันสะสม และรักษาสุขภาพฮอร์โมน ซึ่งช่วยลดระดับความเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมากได้

การตรวจสุขภาพต่อมลูกหมากเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างไร?

การตรวจสุขภาพเป็นประจำช่วยให้สามารถตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งเพิ่มโอกาสในการรักษาได้สำเร็จมากขึ้น

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่าผลตรวจ Total PSA?

ควรพบแพทย์เมื่อค่าผลตรวจผิดปกติหรือมีอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคของระบบทางเดินปัสสาวะ

อาการที่ควรเฝ้าระวัง เช่น ปัสสาวะผิดปกติและอาการเจ็บปวดในอุ้งเชิงกราน

หากมีอาการปัสสาวะติดขัด ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน หรือปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน ควรปรึกษาแพทย์ทันที

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจ Total PSA สูงกว่าปกติ

ผู้ที่มีค่าผลสูงควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนถัดไป เช่น การทำ MRI หรือตรวจชิ้นเนื้อ

Total PSA เป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยประเมินสุขภาพต่อมลูกหมาก แต่ควรใช้ร่วมกับวิธีอื่นๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ หากมีข้อสงสัยหรือผลตรวจผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าการตรวจ Total PSA เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพต่อมลูกหมาก ค่า PSA ที่สูงหรือต่ำอาจไม่ได้บ่งชี้ถึงโรคร้ายแรงเสมอไป และในบางกรณี ผู้ป่วยที่มีค่า PSA ปกติอาจยังมีความผิดปกติในต่อมลูกหมาก การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจเพิ่มเติม เช่น Free PSA, MRI หรือการตรวจชิ้นเนื้อ จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้นในการวินิจฉัยและรักษา

การดูแลสุขภาพต่อมลูกหมากเชิงป้องกัน เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ และการตรวจสุขภาพต่อมลูกหมากเป็นประจำ ยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากและโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และการเฝ้าระวังอาการผิดปกติจะช่วยให้สามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันเวลา

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 

Catalona WJ, Richie JP, Ahmann FR, Hudson MA, Scardino PT, Flanigan RC, deKernion JB, Ratliff TL, Kavoussi LR, Dalkin BL (May 1994). “Comparison of digital rectal examination and serum prostate specific antigen in the early detection of prostate cancer: results of a multicenter clinical trial of 6,630 men”. The Journal of Urology. 151 (5): 1283–90. PMID 7512659.

Velonas VM, Woo HH, dos Remedios CG, Assinder SJ (2013). “Current status of biomarkers for prostate cancer”. International Journal of Molecular Sciences. 14 (6): 11034–60. doi:10.3390/ijms140611034. PMC 3709717 Freely accessible. PMID 23708103.

“Prostate cancer – PSA testing – NHS Choices”. NHS Choices. 3 January 2015.

“Talking With Your Patients About Screening for Prostate Cancer” (PDF). Retrieved 2012-07-02.

Cancer Antigen 15-3 (CA 15-3) คืออะไร? การตรวจสารบ่งชี้มะเร็งเต้านม

Cancer Antigen
CA 15-3 เป็นสารที่จะใช้ในการวัดค่าเพื่อหามะเร็งเต้านม ว่าผู้ป่วยกำลังป่วยด้วยมะเร็งเต้านมจริงๆ และติดตามผลการรักษามะเร็งเต้านม
CA 15-3 สารวัดค่ามะเร็งเต้านม
CA 15-3 เป็นสารที่จะใช้ในการวัดค่าเพื่อหามะเร็งเต้านม ว่าผู้ป่วยกำลังป่วยด้วยมะเร็งเต้านมจริงๆ และติดตามผลการรักษามะเร็งเต้านม

Cancer Antigen 15-3 (CA 15-3) คืออะไร?

Cancer Antigen 15-3 (CA 15-3) เป็นสารโปรตีนที่ผลิตโดยเซลล์มะเร็งเต้านม การตรวจวัดระดับ CA 15-3 ในเลือดเป็นวิธีหนึ่งในการติดตามการรักษาและการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านม

ความสำคัญของการตรวจ CA 15-3 ในมะเร็งเต้านม

การตรวจ CA 15-3 มีบทบาทสำคัญในการติดตามการรักษาและการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านม แต่ไม่ใช่การตรวจเพื่อวินิจฉัยในระยะแรก

CA 15-3 เป็นสารบ่งชี้มะเร็งเต้านมได้อย่างไร?

CA 15-3 เป็นโปรตีนที่ผลิตโดยเซลล์มะเร็งเต้านม ระดับที่สูงขึ้นในเลือดอาจบ่งชี้ถึงการเจริญเติบโตหรือการแพร่กระจายของมะเร็ง

การตรวจ CA 15-3 ใช้สำหรับวินิจฉัยและติดตามโรคมะเร็งเต้านมอย่างไร?

การตรวจ CA 15-3 ใช้ในการติดตามการตอบสนองต่อการรักษาและการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านม แต่ไม่ใช้ในการวินิจฉัยเริ่มแรก

CA 15-3 มีความแม่นยำแค่ไหนในการตรวจหามะเร็งเต้านม?

CA 15-3 ไม่มีความแม่นยำเพียงพอสำหรับการวินิจฉัยมะเร็งเต้านมในระยะแรก แต่มีประโยชน์ในการติดตามการรักษาและการกลับเป็นซ้ำ

วิธีการตรวจ CA 15-3 ทำได้อย่างไร?

การตรวจ CA 15-3 ทำได้โดยการเจาะเลือดและวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ

ขั้นตอนการตรวจเลือดเพื่อวัดค่า CA 15-3

แพทย์จะเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำที่แขน และส่งตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจวิเคราะห์ระดับ CA 15-3

ต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจ CA 15-3 หรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ แต่ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่และภาวะสุขภาพอื่นๆ

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อค่าผลตรวจ เช่น การอักเสบของเต้านมและภาวะอื่น ๆ

การอักเสบของเต้านม การตั้งครรภ์ หรือโรคตับอาจทำให้ค่า CA 15-3 สูงขึ้นได้

การแปลผลค่า CA 15-3 และความสัมพันธ์กับมะเร็งเต้านม

การแปลผลค่า CA 15-3 ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยพิจารณาร่วมกับอาการและการตรวจอื่นๆ

ค่าปกติของ CA 15-3 ควรอยู่ที่เท่าใด?

ค่าปกติของ CA 15-3 มักต่ำกว่า 30 U/mL แต่อาจแตกต่างกันตามห้องปฏิบัติการ

ค่า CA 15-3 สูงหมายถึงอะไร?

ค่า CA 15-3 สูงอาจบ่งชี้ถึงการเจริญเติบโตหรือการแพร่กระจายของมะเร็งเต้านม แต่ต้องพิจารณาร่วมกับการตรวจอื่นๆ

ค่า CA 15-3 ต่ำสามารถบ่งบอกถึงอะไรได้บ้าง?

ค่า CA 15-3 ต่ำอาจบ่งชี้ถึงการตอบสนองที่ดีต่อการรักษา แต่ไม่ได้รับประกันว่าไม่มีมะเร็งหลงเหลืออยู่

อะไรเป็นสาเหตุของค่า CA 15-3 สูงกว่าปกติ?

ค่า CA 15-3 สูงอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากมะเร็งและภาวะอื่นๆ

มะเร็งเต้านมมีผลต่อระดับ CA 15-3 อย่างไร?

มะเร็งเต้านมทำให้มีการผลิต CA 15-3 มากขึ้น โดยเฉพาะในระยะลุกลามหรือแพร่กระจาย

ภาวะอักเสบของเต้านมและภาวะที่ไม่ใช่มะเร็งสามารถทำให้ค่า CA 15-3 สูงขึ้นได้หรือไม่?

ใช่ ภาวะอักเสบของเต้านม การตั้งครรภ์ หรือโรคตับอาจทำให้ค่า CA 15-3 สูงขึ้นได้

ค่า CA 15-3 ที่สูงขึ้นสามารถพบได้ในโรคมะเร็งชนิดอื่นหรือไม่?

ใช่ ค่า CA 15-3 อาจสูงขึ้นในมะเร็งชนิดอื่น เช่น มะเร็งรังไข่ มะเร็งปอด หรือมะเร็งตับ

CA 15-3 เทียบกับการตรวจมะเร็งเต้านมแบบอื่น

CA 15-3 เป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ในการติดตามมะเร็งเต้านม และควรใช้ร่วมกับวิธีอื่นๆ

CA 15-3 มีข้อดีและข้อจำกัดเมื่อเทียบกับแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์หรือไม่?

CA 15-3 ใช้ติดตามการรักษา ในขณะที่แมมโมแกรมและอัลตราซาวด์ใช้ในการวินิจฉัยและคัดกรอง

เมื่อไรควรใช้ CA 15-3 ควบคู่กับการตรวจอื่น ๆ เช่น CEA หรือ HER2?

ควรใช้ CA 15-3 ร่วมกับตัวบ่งชี้อื่นๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการติดตามการรักษาและการกลับเป็นซ้ำ

การใช้ CA 15-3 เพื่อติดตามผลการรักษาและการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านม

CA 15-3 ใช้ติดตามการตอบสนองต่อการรักษาและตรวจหาการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านมได้เร็วกว่าการตรวจด้วยภาพถ่ายรังสี

วิธีดูแลสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม

การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมได้

อาหารและโภชนาการที่ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม

รับประทานผักผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และลดอาหารไขมันสูง

การออกกำลังกายและการควบคุมน้ำหนักที่ช่วยลดความเสี่ยง

ออกกำลังกายสม่ำเสมอและรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

การตรวจเต้านมด้วยตนเองและการเข้ารับการตรวจคัดกรองเป็นประจำ

ตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำและเข้ารับการตรวจคัดกรองตามคำแนะนำของแพทย์

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่าผลตรวจ CA 15-3?

ควรพบแพทย์เมื่อมีค่าผลตรวจผิดปกติหรือมีอาการผิดปกติที่เต้านม

อาการที่ควรเฝ้าระวัง เช่น ก้อนในเต้านมและอาการผิดปกติอื่น ๆ

หากพบก้อนในเต้านม ผิวหนังเปลี่ยนแปลง หรือมีของเหลวออกจากหัวนม ควรปรึกษาแพทย์ทันที

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจ CA 15-3 สูงกว่าปกติ

ผู้ที่มีค่า CA 15-3 สูงควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจเพิ่มเติมและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

การตรวจ CA 15-3 เป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามการรักษาและการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านม แต่ไม่ใช่การตรวจเพื่อวินิจฉัยในระยะแรก ควรใช้ร่วมกับการตรวจวิธีอื่นๆ เพื่อการประเมินที่ครอบคลุม หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผลการตรวจหรือมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าการตรวจ CA 15-3 เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพเต้านมโดยรวม ค่า CA 15-3 ที่สูงไม่ได้หมายความว่าเป็นมะเร็งเสมอไป และในทางกลับกัน ค่า CA 15-3 ปกติก็ไม่ได้รับประกันว่าไม่มีมะเร็ง การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจประเมินอย่างครอบคลุม รวมถึงการตรวจร่างกาย การตรวจภาพถ่ายรังสี และการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้นในการวินิจฉัยและรักษาโรค

การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ และการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมตามคำแนะนำของแพทย์ ยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมและโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และการเฝ้าระวังอาการผิดปกติจะช่วยให้สามารถตรวจพบและรักษาโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการรักษาและคุณภาพชีวิตในระยะยาว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 

Cancer Antigen 125 (CA 125) คืออะไร? ค่าที่บ่งบอกมะเร็งรังไข่

CA 125 สารวัดค่ามะเร็งรังไข่
CA 125 เป็น สารที่ใช้สำหรับการวัดหาค่ามะเร็งรังไข่ ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่มีความแม่นยำที่ช่วยยืนยันอาการป่วยที่บ่งชี้ถึงมะเร็งรังไข่ได้ดี
CA 125 สารวัดค่ามะเร็งรังไข่
CA 125 เป็น สารที่ใช้สำหรับการวัดหาค่ามะเร็งรังไข่ ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่มีความแม่นยำที่ช่วยยืนยันอาการป่วยที่บ่งชี้ถึงมะเร็งรังไข่ได้ดี

Cancer Antigen 125 (CA 125) คืออะไร?

Cancer Antigen 125 (CA 125) เป็นโปรตีนที่ผลิตโดยเซลล์เยื่อบุผิวของรังไข่และอวัยวะอื่นๆ การตรวจวัดระดับ CA 125 ในเลือดใช้เป็นตัวบ่งชี้สำหรับมะเร็งรังไข่และภาวะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์สตรี

ความสำคัญของการตรวจ CA 125 ในการคัดกรองมะเร็งรังไข่

การตรวจ CA 125 มีบทบาทสำคัญในการติดตามการรักษาและการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งรังไข่ แต่มีข้อจำกัดในการใช้เป็นการคัดกรองเบื้องต้น

CA 125 เป็นสารบ่งชี้มะเร็งรังไข่ได้อย่างไร?

CA 125 เป็นโปรตีนที่ผลิตโดยเซลล์มะเร็งรังไข่ในปริมาณสูง ระดับที่เพิ่มขึ้นในเลือดอาจบ่งชี้ถึงการเจริญเติบโตหรือการแพร่กระจายของมะเร็ง

การตรวจ CA 125 ใช้ในการวินิจฉัยและติดตามมะเร็งรังไข่อย่างไร?

การตรวจ CA 125 ใช้ในการติดตามการตอบสนองต่อการรักษาและการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งรังไข่ แต่ไม่ใช้เป็นการวินิจฉัยเริ่มแรก

CA 125 มีข้อจำกัดอะไรในการใช้เป็นเครื่องมือคัดกรองมะเร็งรังไข่?

CA 125 อาจสูงขึ้นในภาวะอื่นที่ไม่ใช่มะเร็ง และอาจไม่สูงในมะเร็งรังไข่ระยะเริ่มต้น จึงไม่เหมาะสำหรับการคัดกรองทั่วไป

วิธีการตรวจ CA 125 ทำได้อย่างไร?

การตรวจ CA 125 ทำได้โดยการเจาะเลือดและวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ

ขั้นตอนการตรวจเลือดเพื่อวัดค่า CA 125

แพทย์จะเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำที่แขน และส่งตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจวิเคราะห์ระดับ CA 125

ต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจ CA 125 หรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ แต่ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่และภาวะสุขภาพอื่นๆ

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อค่าผลตรวจ เช่น การอักเสบของรังไข่และภาวะอื่น ๆ

การอักเสบของรังไข่ การมีประจำเดือน หรือการตั้งครรภ์อาจทำให้ค่า CA 125 สูงขึ้นได้

การแปลผลค่า CA 125 และความสัมพันธ์กับมะเร็งรังไข่

การแปลผลค่า CA 125 ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยพิจารณาร่วมกับอาการและการตรวจอื่นๆ

ค่าปกติของ CA 125 ควรอยู่ที่เท่าใด?

ค่าปกติของ CA 125 มักต่ำกว่า 35 U/mL แต่อาจแตกต่างกันตามห้องปฏิบัติการ

ค่า CA 125 สูงหมายถึงอะไร?

ค่า CA 125 สูงอาจบ่งชี้ถึงมะเร็งรังไข่ แต่ต้องพิจารณาร่วมกับการตรวจอื่นๆ เนื่องจากอาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้

ค่า CA 125 ต่ำสามารถบ่งบอกถึงอะไรได้บ้าง?

ค่า CA 125 ต่ำอาจบ่งชี้ถึงการตอบสนองที่ดีต่อการรักษา แต่ไม่ได้รับประกันว่าไม่มีมะเร็งหลงเหลืออยู่

อะไรเป็นสาเหตุของค่า CA 125 สูงกว่าปกติ?

ค่า CA 125 สูงอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากมะเร็งและภาวะอื่นๆ

มะเร็งรังไข่มีผลต่อระดับ CA 125 อย่างไร?

มะเร็งรังไข่ทำให้มีการผลิต CA 125 มากขึ้น โดยเฉพาะในระยะลุกลามหรือแพร่กระจาย

ภาวะอื่นที่ไม่ใช่มะเร็งสามารถทำให้ค่า CA 125 สูงขึ้นได้หรือไม่?

ใช่ ภาวะต่อไปนี้สามารถทำให้ค่า CA 125 สูงขึ้นได้:

  • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)
  • การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease – PID)
  • ซีสต์ในรังไข่ (Ovarian Cysts)
  • ตั้งครรภ์หรือมีประจำเดือน

ค่า CA 125 ที่สูงขึ้นสามารถพบได้ในโรคมะเร็งชนิดอื่นหรือไม่?

ใช่ ค่า CA 125 อาจสูงขึ้นในมะเร็งชนิดอื่น เช่น มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งปอด หรือมะเร็งตับอ่อน

CA 125 เทียบกับการตรวจมะเร็งรังไข่แบบอื่น

CA 125 เป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ในการติดตามมะเร็งรังไข่ และควรใช้ร่วมกับวิธีอื่นๆ

CA 125 มีข้อดีและข้อจำกัดเมื่อเทียบกับอัลตราซาวด์และ MRI หรือไม่?

CA 125 ใช้ติดตามการรักษา ในขณะที่อัลตราซาวด์และ MRI ใช้ในการวินิจฉัยและประเมินขนาดของก้อนเนื้อ

เมื่อไรควรใช้ CA 125 ควบคู่กับการตรวจอื่น เช่น HE4 (Human Epididymis Protein 4)?

ควรใช้ CA 125 ร่วมกับ HE4 เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยและติดตามมะเร็งรังไข่

การใช้ CA 125 เพื่อติดตามผลการรักษาและการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งรังไข่

CA 125 ใช้ติดตามการตอบสนองต่อการรักษาและตรวจหาการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งรังไข่ได้เร็วกว่าการตรวจด้วยภาพถ่ายรังสี

วิธีดูแลสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงของมะเร็งรังไข่

การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งรังไข่ได้

อาหารและโภชนาการที่ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งรังไข่

รับประทานผักผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และลดอาหารไขมันสูง

การออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับรังไข่

ออกกำลังกายสม่ำเสมอและรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

การตรวจคัดกรองมะเร็งรังไข่ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง

ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งรังไข่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่าผลตรวจ CA 125?

ควรพบแพทย์เมื่อมีค่าผลตรวจผิดปกติหรือมีอาการผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์สตรี

อาการที่ควรเฝ้าระวัง เช่น ปวดท้องเรื้อรัง ท้องอืด และประจำเดือนผิดปกติ

หากมีอาการเหล่านี้ติดต่อกันนานกว่า 2 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจ CA 125 สูงกว่าปกติ

ผู้ที่มีค่า CA 125 สูงควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจเพิ่มเติมและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

การตรวจ CA 125 เป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามการรักษาและการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งรังไข่ แต่ไม่ใช่การตรวจเพื่อวินิจฉัยในระยะแรก ควรใช้ร่วมกับการตรวจวิธีอื่นๆ เพื่อการประเมินที่ครอบคลุม หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผลการตรวจหรือมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าการตรวจ CA 125 เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพระบบสืบพันธุ์สตรีโดยรวม ค่า CA 125 ที่สูงไม่ได้หมายความว่าเป็นมะเร็งรังไข่เสมอไป และในทางกลับกัน ค่า CA 125 ปกติก็ไม่ได้รับประกันว่าไม่มีมะเร็ง การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจประเมินอย่างครอบคลุม รวมถึงการตรวจร่างกาย การตรวจภาพถ่ายรังสี และการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้นในการวินิจฉัยและรักษาโรค

การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ และการตรวจสุขภาพประจำปี ยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงของมะเร็งรังไข่และโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และการเฝ้าระวังอาการผิดปกติจะช่วยให้สามารถตรวจพบและรักษาโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการรักษาและคุณภาพชีวิตในระยะยาว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อน เข้าใจว่า การตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น,2557. 240 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1647-7

WHO (October 2010). Cancer. World Health Organization. Retrieved 5 January 2011.

Cancer risk. British Journal of Cancer. 2010.

Cancer Antigen 19-9 (CA 19-9) คืออะไร? ค่าที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งทางเดินอาหาร

CA 19-9 สารวัดค่ามะเร็งช่องทางเดินการย่อยอาหาร
สารที่ใช้ในการวัดค่ามะเร็งในช่องทางเดินการย่อยอาหาร เพื่อตรวจหามะเร็ง
CA 19-9 สารวัดค่ามะเร็งช่องทางเดินการย่อยอาหาร
CA 19-9 เป็นสารที่ใช้ในการวัดค่ามะเร็งในช่องทางเดินการย่อยอาหาร เพื่อตรวจหามะเร็ง

Cancer Antigen 19-9 (CA 19-9) คืออะไร?

Cancer Antigen 19-9 (CA 19-9) เป็นสารโปรตีนที่ผลิตโดยเซลล์มะเร็งและเซลล์ปกติบางชนิดในระบบทางเดินอาหาร การตรวจวัดระดับ CA 19-9 ในเลือดใช้เป็นตัวบ่งชี้สำหรับมะเร็งตับอ่อนและมะเร็งทางเดินน้ำดี รวมถึงมะเร็งระบบทางเดินอาหารอื่นๆ

ความสำคัญของการตรวจ CA 19-9 ในการคัดกรองมะเร็งทางเดินอาหาร

การตรวจ CA 19-9 มีบทบาทสำคัญในการติดตามการรักษาและการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งทางเดินอาหาร โดยเฉพาะมะเร็งตับอ่อนและมะเร็งทางเดินน้ำดี แต่มีข้อจำกัดในการใช้เป็นการคัดกรองเบื้องต้น

CA 19-9 เป็นสารบ่งชี้มะเร็งได้อย่างไร?

CA 19-9 เป็นสารที่ผลิตโดยเซลล์มะเร็งในปริมาณสูง ระดับที่เพิ่มขึ้นในเลือดอาจบ่งชี้ถึงการเจริญเติบโตหรือการแพร่กระจายของมะเร็ง

การตรวจ CA 19-9 ใช้ในการวินิจฉัยและติดตามมะเร็งระบบทางเดินอาหารอย่างไร?

การตรวจ CA 19-9 ใช้ในการติดตามการตอบสนองต่อการรักษาและการกลับเป็นซ้ำของมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับอ่อนและมะเร็งทางเดินน้ำดี

CA 19-9 มีข้อจำกัดอะไรในการใช้เป็นตัวบ่งชี้มะเร็ง?

CA 19-9 อาจสูงขึ้นในภาวะอื่นที่ไม่ใช่มะเร็ง และอาจไม่สูงในมะเร็งบางชนิดหรือในระยะเริ่มต้น จึงไม่เหมาะสำหรับการคัดกรองทั่วไป

วิธีการตรวจ CA 19-9 ทำได้อย่างไร?

การตรวจ CA 19-9 ทำได้โดยการเจาะเลือดและวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ

ขั้นตอนการตรวจเลือดเพื่อวัดค่า CA 19-9

แพทย์จะเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำที่แขน และส่งตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจวิเคราะห์ระดับ CA 19-9

ต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจ CA 19-9 หรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ แต่ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่และภาวะสุขภาพอื่นๆ

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อค่าผลตรวจ เช่น ภาวะอักเสบของตับอ่อนและระบบทางเดินน้ำดี

ภาวะอักเสบของตับอ่อน การอุดตันของท่อน้ำดี หรือโรคตับบางชนิดอาจทำให้ค่า CA 19-9 สูงขึ้นได้

การแปลผลค่า CA 19-9 และความสัมพันธ์กับมะเร็งทางเดินอาหาร

การแปลผลค่า CA 19-9 ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยพิจารณาร่วมกับอาการและการตรวจอื่นๆ

ค่าปกติของ CA 19-9 ควรอยู่ที่เท่าใด?

ค่าปกติของ CA 19-9 มักต่ำกว่า 37 U/mL แต่อาจแตกต่างกันตามห้องปฏิบัติการ

ค่า CA 19-9 สูงหมายถึงอะไร?

ค่า CA 19-9 สูงอาจบ่งชี้ถึงมะเร็งตับอ่อนหรือมะเร็งทางเดินน้ำดี แต่ต้องพิจารณาร่วมกับการตรวจอื่นๆ

ค่า CA 19-9 ต่ำสามารถบ่งบอกถึงอะไรได้บ้าง?

ค่า CA 19-9 ต่ำอาจบ่งชี้ถึงการตอบสนองที่ดีต่อการรักษา แต่ไม่ได้รับประกันว่าไม่มีมะเร็งหลงเหลืออยู่

อะไรเป็นสาเหตุของค่า CA 19-9 สูงกว่าปกติ?

ค่า CA 19-9 สูงอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากมะเร็งและภาวะอื่นๆ

มะเร็งตับอ่อนส่งผลต่อระดับ CA 19-9 อย่างไร?

มะเร็งตับอ่อนทำให้มีการผลิต CA 19-9 มากขึ้น โดยเฉพาะในระยะลุกลามหรือแพร่กระจาย

มะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งลำไส้ใหญ่มีผลต่อค่า CA 19-9 หรือไม่?

มะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งลำไส้ใหญ่อาจทำให้ค่า CA 19-9 สูงขึ้นได้ แต่ไม่จำเพาะเจาะจงเท่ามะเร็งตับอ่อน

ภาวะอื่นที่ไม่ใช่มะเร็งสามารถทำให้ค่า CA 19-9 สูงขึ้นได้หรือไม่?

ใช่ ภาวะต่อไปนี้สามารถทำให้ค่า CA 19-9 สูงขึ้นได้:

  • ตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis)
  • นิ่วในถุงน้ำดีและการอักเสบของทางเดินน้ำดี (Cholangitis & Gallstones)
  • โรคตับ เช่น ตับแข็ง (Cirrhosis)

ค่า CA 19-9 สามารถใช้ติดตามผลการรักษามะเร็งได้อย่างไร?

การติดตามระดับ CA 19-9 อย่างต่อเนื่องช่วยประเมินการตอบสนองต่อการรักษาและการกลับเป็นซ้ำของมะเร็ง

CA 19-9 เทียบกับการตรวจมะเร็งทางเดินอาหารแบบอื่น

CA 19-9 เป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ในการติดตามมะเร็งทางเดินอาหาร และควรใช้ร่วมกับวิธีอื่นๆ

CA 19-9 มีข้อดีและข้อจำกัดเมื่อเทียบกับการส่องกล้องและ CT Scan หรือไม่?

CA 19-9 ใช้ติดตามการรักษา ในขณะที่การส่องกล้องและ CT Scan ใช้ในการวินิจฉัยและประเมินขนาดของก้อนเนื้อ

เมื่อไรควรใช้ CA 19-9 ควบคู่กับการตรวจอื่น เช่น CEA (Carcinoembryonic Antigen)?

ควรใช้ CA 19-9 ร่วมกับ CEA เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยและติดตามมะเร็งทางเดินอาหาร

การใช้ CA 19-9 เพื่อติดตามการกลับเป็นซ้ำของมะเร็ง

CA 19-9 ใช้ติดตามการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งได้เร็วกว่าการตรวจด้วยภาพถ่ายรังสี

วิธีดูแลสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงของมะเร็งทางเดินอาหาร

การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งทางเดินอาหารได้

อาหารและโภชนาการที่ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งระบบทางเดินอาหาร

รับประทานผักผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และลดอาหารไขมันสูงและเนื้อแดง

การออกกำลังกายและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

การตรวจคัดกรองมะเร็งในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง

ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งทางเดินอาหารควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่าผลตรวจ CA 19-9?

ควรพบแพทย์เมื่อมีค่าผลตรวจผิดปกติหรือมีอาการผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร

อาการที่ควรเฝ้าระวัง เช่น ปวดท้องเรื้อรัง ดีซ่าน น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

หากมีอาการเหล่านี้ติดต่อกันนานกว่า 2 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจ CA 19-9 สูงกว่าปกติ

ผู้ที่มีค่า CA 19-9 สูงควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจเพิ่มเติมและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

การตรวจ CA 19-9 เป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามการรักษาและการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งทางเดินอาหาร แต่ไม่ใช่การตรวจเพื่อวินิจฉัยในระยะแรก ควรใช้ร่วมกับการตรวจวิธีอื่นๆ เพื่อการประเมินที่ครอบคลุม หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผลการตรวจหรือมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าการตรวจ CA 19-9 เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพระบบทางเดินอาหารโดยรวม ค่า CA 19-9 ที่สูงไม่ได้หมายความว่าเป็นมะเร็งเสมอไป และในทางกลับกัน ค่า CA 19-9 ปกติก็ไม่ได้รับประกันว่าไม่มีมะเร็ง การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจประเมินอย่างครอบคลุม รวมถึงการตรวจร่างกาย การตรวจภาพถ่ายรังสี และการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้นในการวินิจฉัยและรักษาโรค

การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ และการตรวจสุขภาพประจำปี ยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงของมะเร็งทางเดินอาหารและโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และการเฝ้าระวังอาการผิดปกติจะช่วยให้สามารถตรวจพบและรักษาโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการรักษาและคุณภาพชีวิตในระยะยาว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 

Carcinoembryonic Antigen (CEA) คืออะไร? ค่าที่บ่งบอกความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่

โรคมะเร็งลำไส้โดยเกิดก้อนเนื้อเล็กๆในลำไส้ จะเกิดขึ้นตั้งแต่บริเวณลำไส้เล็กจนถึงปลายทวานหนัก
โรคมะเร็งลำไส้โดยเกิดก้อนเนื้อเล็กๆในลำไส้ จะเกิดขึ้นตั้งแต่บริเวณลำไส้เล็กจนถึงปลายทวานหนัก
สารวัดค่ามะเร็งลำไส้จะใช้ตรวจมะเร็งในช่องทางเดินอาหารและตรวจการย้อนกลับเป็นซ้ำหรือการแพร่กระจายของโรคมะเร็ง
สารวัดค่ามะเร็งลำไส้จะใช้ตรวจมะเร็งในช่องทางเดินอาหารและตรวจการย้อนกลับเป็นซ้ำหรือการแพร่กระจายของโรคมะเร็ง

Carcinoembryonic Antigen (CEA) คืออะไร?

Carcinoembryonic Antigen (CEA) เป็นโปรตีนที่ผลิตโดยเซลล์มะเร็งและเซลล์ปกติบางชนิด โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร การตรวจวัดระดับ CEA ในเลือดใช้เป็นตัวบ่งชี้สำหรับมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งชนิดอื่นๆ

ความสำคัญของการตรวจ CEA ในการคัดกรองและติดตามมะเร็งลำไส้ใหญ่

การตรวจ CEA มีบทบาทสำคัญในการติดตามการรักษาและการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่มีข้อจำกัดในการใช้เป็นการคัดกรองเบื้องต้น

CEA เป็นสารบ่งชี้มะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อย่างไร?

CEA เป็นโปรตีนที่ผลิตโดยเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ในปริมาณสูง ระดับที่เพิ่มขึ้นในเลือดอาจบ่งชี้ถึงการเจริญเติบโตหรือการแพร่กระจายของมะเร็ง

CEA ใช้ในการวินิจฉัยและติดตามมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อย่างไร?

CEA ใช้ในการติดตามการตอบสนองต่อการรักษาและการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ไม่ใช้เป็นการวินิจฉัยเริ่มแรก

CEA สามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้มะเร็งชนิดอื่นได้หรือไม่?

CEA อาจสูงขึ้นในมะเร็งชนิดอื่น เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งตับอ่อน แต่ไม่จำเพาะเจาะจงเท่ามะเร็งลำไส้ใหญ่

วิธีการตรวจ CEA ทำได้อย่างไร?

การตรวจ CEA ทำได้โดยการเจาะเลือดและวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ

ขั้นตอนการตรวจเลือดเพื่อวัดค่า CEA

แพทย์จะเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำที่แขน และส่งตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจวิเคราะห์ระดับ CEA

ต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจ CEA หรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ แต่ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่และภาวะสุขภาพอื่นๆ

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อค่าผลตรวจ เช่น การสูบบุหรี่และภาวะอักเสบในร่างกาย

การสูบบุหรี่ ภาวะอักเสบในร่างกาย และโรคตับบางชนิดอาจทำให้ค่า CEA สูงขึ้นได้

การแปลผลค่า CEA และความสัมพันธ์กับมะเร็งลำไส้ใหญ่

การแปลผลค่า CEA ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยพิจารณาร่วมกับอาการและการตรวจอื่นๆ

ค่าปกติของ CEA ควรอยู่ที่เท่าใด?

ค่าปกติของ CEA มักต่ำกว่า 2.5 ng/mL สำหรับผู้ไม่สูบบุหรี่ และต่ำกว่า 5.0 ng/mL สำหรับผู้สูบบุหรี่

ค่า CEA สูงหมายถึงอะไร?

ค่า CEA สูงอาจบ่งชี้ถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือมะเร็งชนิดอื่น แต่ต้องพิจารณาร่วมกับการตรวจอื่นๆ

ค่า CEA ต่ำสามารถบ่งบอกถึงอะไรได้บ้าง?

ค่า CEA ต่ำอาจบ่งชี้ถึงการตอบสนองที่ดีต่อการรักษา แต่ไม่ได้รับประกันว่าไม่มีมะเร็งหลงเหลืออยู่

อะไรเป็นสาเหตุของค่า CEA สูงกว่าปกติ?

ค่า CEA สูงอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากมะเร็งและภาวะอื่นๆ

มะเร็งลำไส้ใหญ่มีผลต่อระดับ CEA อย่างไร?

มะเร็งลำไส้ใหญ่ทำให้มีการผลิต CEA มากขึ้น โดยเฉพาะในระยะลุกลามหรือแพร่กระจาย

มะเร็งชนิดอื่นที่อาจทำให้ค่า CEA สูง เช่น มะเร็งปอดและมะเร็งตับอ่อน

มะเร็งปอด มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งเต้านมอาจทำให้ค่า CEA สูงขึ้นได้

ภาวะอื่นที่ไม่ใช่มะเร็งสามารถทำให้ค่า CEA สูงขึ้นได้หรือไม่?

ใช่ ภาวะต่อไปนี้สามารถทำให้ค่า CEA สูงขึ้นได้:

  • โรคตับ เช่น ตับแข็ง (Cirrhosis) หรือไวรัสตับอักเสบ
  • โรคลำไส้อักเสบ เช่น โรคโครห์น (Crohn’s Disease) และลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง (Ulcerative Colitis)
  • การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์

CEA เทียบกับการตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่แบบอื่น

CEA เป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ในการติดตามมะเร็งลำไส้ใหญ่ และควรใช้ร่วมกับวิธีอื่นๆ

CEA มีข้อดีและข้อจำกัดเมื่อเทียบกับการตรวจคัดกรองเช่น Colonoscopy หรือ FIT Test หรือไม่?

CEA ใช้ติดตามการรักษา ในขณะที่ Colonoscopy และ FIT Test ใช้ในการวินิจฉัยและคัดกรองเบื้องต้น

เมื่อไรควรใช้ CEA ควบคู่กับการตรวจอื่น เช่น CA 19-9 หรือ CT Scan?

ควรใช้ CEA ร่วมกับการตรวจอื่นๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยและติดตามมะเร็งลำไส้ใหญ่

การใช้ CEA เพื่อติดตามผลการรักษาและการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งลำไส้ใหญ่

CEA ใช้ติดตามการตอบสนองต่อการรักษาและตรวจหาการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เร็วกว่าการตรวจด้วยภาพถ่ายรังสี

วิธีดูแลสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่

การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

อาหารและโภชนาการที่ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่

รับประทานผักผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และลดอาหารไขมันสูงและเนื้อแดง

การออกกำลังกายและพฤติกรรมที่ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง

ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่าผลตรวจ CEA?

ควรพบแพทย์เมื่อมีค่าผลตรวจผิดปกติหรือมีอาการผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร

อาการที่ควรเฝ้าระวัง เช่น เลือดในอุจจาระ ท้องผูกสลับท้องเสีย และน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

หากมีอาการเหล่านี้ติดต่อกันนานกว่า 2 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่าผลตรวจ CEA สูงกว่าปกติ

ผู้ที่มีค่า CEA สูงควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจเพิ่มเติมและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

การตรวจ CEA เป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามการรักษาและการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ไม่ใช่การตรวจเพื่อวินิจฉัยในระยะแรก ควรใช้ร่วมกับการตรวจวิธีอื่นๆ เพื่อการประเมินที่ครอบคลุม หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผลการตรวจหรือมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าการตรวจ CEA เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพระบบทางเดินอาหารโดยรวม ค่า CEA ที่สูงไม่ได้หมายความว่าเป็นมะเร็งเสมอไป และในทางกลับกัน ค่า CEA ปกติก็ไม่ได้รับประกันว่าไม่มีมะเร็ง การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจประเมินอย่างครอบคลุม รวมถึงการตรวจร่างกาย การตรวจภาพถ่ายรังสี และการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้นในการวินิจฉัยและรักษาโรค

การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ และการตรวจสุขภาพประจำปี ยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่และโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และการเฝ้าระวังอาการผิดปกติจะช่วยให้สามารถตรวจพบและรักษาโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการรักษาและคุณภาพชีวิตในระยะยาว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

[/vc_column][/vc_row]

การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง

การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง
เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและดูว่าเป็นโรคมะเร็งหรือไม่ ระยะใด และหาแนวทางรักษาต่อไป
การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง
การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและดูว่าเป็นโรคมะเร็งหรือไม่ ระยะใด และหาแนวทางรักษาต่อไป

โรคมะเร็ง

การตรวจวินิจฉัย หรือ วินิจฉัยโรค หมายถึง การตรวจวินิจฉัยทุกๆ ด้านที่เกี่ยวข้องกับ โรคมะเร็ง ซึ่งได้แก่

การตรวจวินิจฉัยว่าเป็น โรคมะเร็ง หรือไม่?
การตรวจประเมินสุขภาพของผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี?
การตรวจเพื่อประเมินระยะของอาการป่วยมะเร็ง?
การตรวจประเมินผลในช่วงของการรักษาและภายหลังการรักษา?
การตรวจเพื่อติดตามผลในระยะยาว ค้นหาความเสี่ยงการของป่วยด้วยโรคมะเร็งซ้ำอีก?

สำหรับการพิจารณาว่าวินิจฉัยโรคจะตรวจอะไรบ้าง แพทย์จะทำการวินิจฉัยถึงอาการเบื้องต้นของผู้ป่วย แล้วจึงเริ่มตรวจในสิ่งที่มีความสอดคล้องกับอาการป่วย เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและดูว่าเป็น โรคมะเร็ง หรือไม่ โดยหากพบว่าป่วยด้วยมะเร็ง ก็จะแจ้งให้กับผู้ป่วยและญาติทราบทันที จากนั้นจึงทำการตรวจประเมินระยะของโรค สุขภาพผู้ป่วย เพื่อหาแนวทางการรักษาต่อไป โดยการตรวจจะได้รับข้อมูล ดังนี้

1.วินิจฉัยโรคและชนิดของมะเร็งที่ผู้ป่วยกำลังเป็น

2.วินิจฉัยโรคและระยะของโรคมะเร็งในขณะนั้น

3.วินิจฉัยโรคและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย

โดยหลังจากได้รับข้อมูลดังนี้แล้ว แพทย์จะทำการพูดคุยและแนะนำถึงวิธีและขั้นตอนในการรักษาแก่ผู้ป่วยและญาติ รวมถึงอาการแทรกซ้อน ผลข้างเคียงที่อาจต้องระมัดระวัง

ประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วยมะเร็ง

ก่อนการตรวจวินิจฉัยหรือทำการรักษา แพทย์จำเป็นต้องทราบประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย เพื่อให้สามารถวินิจฉัยอาการง่ายขึ้นและเลือกวิธีการตรวจหรือวิธีการรักษาได้อย่างเหมาะสม โดยประวัติของผู้ป่วยที่แพทย์ต้องทราบ ได้แก่ อาการสำคัญ อาการอื่นๆ การแพ้ยา โรคประจำตัว หรือประวัติอื่นๆ ทางการแพทย์ เป็นต้น

วินิจฉัยโรคและอาการสำคัญ

อาการสำคัญ คืออาการที่ทำให้ผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์ โดยเป็นอาการสำคัญที่จำเป็นต้องแจ้งกับแพทย์เป็นอันดับแรก เนื่องจากอาการสำคัญจะช่วยชี้ชัดถึงโรคที่กำลังป่วยได้อย่างแม่นยำที่สุดและทำให้แพทย์รักษาได้อย่างถูกทางมากขึ้น โดยทั่วไปอาการสำคัญ ได้แก่ อาการผิดปกติหลักๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์ เช่น ปวดศีรษะอย่างรุนรงมีอากรปวดท้อง คลำพบก้อนเนื้อผิดปกติในบริเวณเต้านม เป็นต้น

วินิจฉัยโรคความกังวลหรือความสงสัยว่ากำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งหรือไม่นั้นต้องการให้แพทย์ทำการตรวจวินิจฉัยเพื่อความสบายใจ และหากพบว่าป่วยด้วยมะเร็งชนิดไหน ก็จะได้ทำการรักษาได้ทัน มีความต้องการที่จะตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง เพื่อความมั่นใจและสบายใจ

อาการสำคัญของการตรวจวินิจฉัยโรค เป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคและอวัยวะที่น่าจะมีความผิดปกติได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้การตรวจวินิจฉัยมีวงแคบลงและทราบผลเร็วกว่าเดิม ดังนั้นอาการสำคัญจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก ที่ผู้ป่วยหรือญาติควรแจ้งให้แพทย์ทราบเมื่อมาพบแพทย์นั่นเอง ซึ่งส่วนใหญ่ก่อนเริ่มตรวจวินิจฉัยหรือทำการรักษา แพทย์จะเริ่มพูดคุยกับผู้ป่วยและญาติเพื่อซักประวัติ และอาจมีการซักถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการอื่นๆ รวมถึงปัญหาครอบครัวที่อาจนำมาสู่อาการเจ็บป่วยดังกล่าว

วินิจฉัยโรคอาการอื่นๆ

เป็นอาการที่เกิดขึ้นก่อนอาการสำคัญ โดยจะเป็นอาการที่ไม่รุนแรงทำให้ผู้ป่วยยังไม่มาพบแพทย์ก่อนหน้านี้ แต่ก็ถือเป็นอาการร่วมที่จำเป็นต่อการวินิจฉัยที่ผู้ป่วยหรือญาติต้องแจ้งแก่แพทย์เช่นกัน เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน นอนไม่หลับ มีไข้อ่อนๆ หรืออาการไอ เป็นต้น

วินิจฉัยโรคอาการสำคัญของโรคมะเร็ง

เป็นอาการที่คาดว่าอาจเกิดจาก โรคมะเร็ง และต้องการให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นเพราะผู้ป่วยกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งหรือไม่ เช่น มีอาการอักเสบบ่อย พบก้อนเนื้อที่อาจเป็นมะเร็งโดยทั้งนี้เมื่อแพทย์วินิจฉัยร่วมกับอาการผิดปกติอื่นๆแล้ว ก็จะทำให้ได้ผลการวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น

อาการสำคัญที่พบได้บ่อยเมื่อป่วยเป็นโรคมะเร็ง

เนื่องจาก ” โรคมะเร็ง “ เป็นโรคที่ไม่มีอาการเฉพาะจึงต้องพิจารณาจากหลายๆ กรณีและอาการที่อาจบ่งชี้ว่าป่วยมะเร็ง โดยมีอาการสำคัญที่มักจะพบได้บ่อยๆ เมื่อป่วยด้วย โรคมะเร็ง ดังนี้

1. มีไฝ หูดหรือปานโตฝังลึกลงในผิวหนัง และมีสีที่เปลี่ยนไปจากเดิมพร้อมกับขอบที่ขรุขระขึ้น นอกจากนี้ในบางรายก็อาจมีแผลหรือมีเลือดไหลออกมาอีกด้วย
2. มีก้อนเนื้องอกออกมาและโตเร็วมาก โดยในระยะเริ่มแรกนั้นจะยังไม่มีอาการเจ็บปวด แต่เมื่อปล่อยไว้นานๆ จะเริ่มเกิดเป็นแผลแตกและมีเลือดออกเรื้อรัง พร้อมกับอาการเจ็บปวดที่เกิดถี่ขึ้น ซึ่งก็อาจเป็นสัญญาณหนึ่งของโรคมะเร็งได้
3. มีแผลเรื้อรังที่รักษาไม่หายสักที โดยเป็นมานานกว่า 2 สัปดาห์ โดยเฉพาะแผลบริเวณอวัยวะเพศหรือแผลในช่องปาก
4. ต่อมน้ำเหลืองโตผิดปกติ โดยอาจจะคลำเจอเป็นก้อนๆ แต่ไม่มีอาการเจ็บปวด ซึ่งอาการเจ็บปวดจะเกิดขึ้นเมื่อต่อมน้ำเหลืองเริ่มติดเชื้อนั่นเอง โดยส่วนใหญ่จะคลำเจอบริเวณรักแร้ ขาหนีบและลำคอ ซึ่งหากเกิดจากมะเร็งก็จะพบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นส่วนใหญ่
5. มีอาการปวดศีรษะแบบเรื้อรังและค่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นอีกอาการหนึ่งที่อาจบอกได้ถึงการป่วยมะเร็งเช่นกัน อย่างไรก็ตามอาการดังกล่าวก็อาจเกิดจากโรคเนื้องอกหรือเพราะความเครียดก็ได้
6. น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ประมาณร้อยละ 10 ภายในเวลา 6 เดือน ทั้งที่ยังคงทานอาหารตามปกติและแทบไม่ได้ออกกำลังกายเลย หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือ น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุนั่นเอง
7. มีอาการหนังตาตก ตาเหล่และอาจเดินเซแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนโดยอาจเป็นผลจากการอักเสบของเส้นประสาทหรือ โรคมะเร็ง ได้
8. มีอาการแขนขาอ่อนแรงหรืออยู่ดีๆ ก็ไม่มีแรงขึ้นมาเฉยๆ ซึ่งก็เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งสูงมาก โดยเฉพาะมะเร็งสมองและมะเร็งบางชนิดที่มีการแพร่กระจายเข้าสู่สมองหรือไขสันหลัง
9. มีเสมหะ น้ำลายหรือน้ำมูกออกมาเป็นเลือด ซึ่งนอกจากจะเกิดจากการอักเสบภายในช่องปาก คอหอยหรือโพรงจมูกแล้ว ก็อาจเป็นเพราะ โรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งโพรงจมูกอีกด้วย
10. เสียงแหบอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่า 2 สัปดาห์ โดยเฉพาะคนที่เป็นหวัด เมื่ออาการไข้หวัดหายแล้วแต่เสียงยังแหบอย่างต่อเนื่อง แบบนี้ก็อาจสงสัยได้เลยว่าอาจกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งอยู่ก็ได้
11. มีเลือดกำเดาออกแบบเรื้อรัง คือมักจะมีเลือดกำเดาออกบ่อยๆ คาดว่าอาจจะเป็นมะเร็งระบบโลหิตวิทยา มะเร็งจมูกหรือ โรคมะเร็ง หลังโพรงจมูก เป็นต้น
12. มีอาการผิดปกติที่เต้านม โดยคลำพบก้อนเนื้อบริเวณเต้านม หัวนมบุ๋มและแข็ง มีผื่นคันเรื้อรังเกิดขึ้นบริเวณหัวนม เจ็บเต้านมบ่อยๆ หรือในคุณแม่หลังคลอดบุตรก็อาจจะมีน้ำนมเป็นเลือด ซึ่งทุกอาการล้วนเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมทั้งสิ้น จึงไม่ควรนิ่งนอนใจ
13. ต่อมไทรอยด์โตผิดปกติ โดยเมื่อคลำบริเวณลำคอด้านหน้าทั้งซ้ายขวา พบก้อนเนื้อผิดปกติ อาจบ่งชี้ว่าเป็นมะเร็งได้เช่นกัน มีอาการอาเจียนหรือไอออกมาเป็นเลือด ซึ่งก็ไม่ควรชะล่าใจเด็ดขาด
14. ปวดท้องเรื้อรังอย่างไม่ทราบสาเหตุ ถึงแม้ว่าจะกินยาลดกรดหรือยารักษาโรคกระเพาะ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น โดยอาจเสี่ยงเป็น มะเร็งโรคกระเพาะอาหารได้
15. มีอาการท้องผูกสลับกับท้องเสียบ่อยๆ ซึ่งในบางรายอาจมีอุจจาระเป็นเลือดหรือเป็นมูกเลือดด้วย โดยอาการดังกล่าวก็อาจจะเป็นสัญญาณบ่งชี้โรคมะเร็งหรือเป็นเพราะลำไส้ใหญ่เกิดการอักเสบก็ได้
16. ตัวและตาซีดเหลืองผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งตับและความผิดปกติของโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวกับตับ
17. ถ่ายปัสสาวะผิดปกติและอาจถ่ายปัสสาวะเป็นเลือดได้ รวมถึงมีอาการปวดเบ่ง ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะออกกะปริดกะปรอยหรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยอาการดังกล่าวก็อาจบ่งชี้ได้ถึงโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ โรคมะเร็งไต หรือมะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น 
18. อัณฑะโตผิดปกติจนสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงได้ ในบางคนก็อาจมีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย
19. มีตกขาวผิดปกติ ซึ่งอาจจะออกมาเป็นมูกเลือด มีกลิ่นเหม็นหรือมีอาการคันร่วมด้วย โดยอาการดังกล่าวอาจเกิดจากการติดเชื้อของช่องคลอด หรือเกิดจากโรคมะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งช่องคลอดได้เหมือนกัน
20. กระดูกมีความเปราะบาง หักได้ง่าย และอาจมีอาการปวดบริเวณกระดูกและข้อต่อบ่อยๆ ซึ่งอาจเป็นเพราะภาวะโรคกระดูกพรุนในวัยที่มีอายุมาก หรือเป็นสัญญาณบ่งชี้โรคมะเร็งกระดูก และมะเร็งชนิดอื่นๆ ที่แพร่เข้าสู่กระดูกจนทำให้เกิดอาการดังกล่าว
21. ประจำเดือนมาผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดได้หลายกรณีเช่น ประจำเดือนมามากหรือมาน้อยกว่าปกติ มาไม่สม่ำเสมอ มีเลือดออกทางช่องคลอดหลังวัยหมดประจำเดือน มีเลือดออกระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งหมดนี้อาจเกิดจากความผิดปกติของมดลูกเองหรือเกิดจากผลกระทบของมะเร็งก็ได้
22. มีอาการปวดหลังเรื้อรังและอาจปวดร้าวไปจนถึงขาตามแนวกระดูก คาดว่าอาจเกิดจากการอักเสบของกระดูก เส้นประสาทหรือป่วยด้วยมะเร็งที่แพร่เข้าสู่กระดูกจนทำให้เกิดอาการปวดแบบเรื้อรัง
23. เป็นซีสต์เรื้อรัง ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ รวมทั้งโรคมะเร็งด้วย

วินิจฉัยโรคมะเร็ง อาจมีอาการที่แสดงออกมาอย่างหลากหลายและเกิดได้จากมะเร็งหลายชนิด จึงต้องมีการตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีทางการแพทย์อย่างเคร่งครัดและถูกต้องตามกระบวนการ จึงจะทราบสาเหตุที่แท้จริงและประเมินวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

WHO (October 2009). “Cancer”. World Health Organization.

Cancer by tumour type. Journal of Internal Medicine. 

การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้ สัญญาณมะเร็ง

การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้ สัญญาณป่วยโรคมะเร็ง
การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้ สัญญาณป่วยโรคมะเร็ง
การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้ สัญญาณป่วยโรคมะเร็ง
การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้ สัญญาณป่วยโรคมะเร็ง

ตรวจเลือด

ตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็ง Tumor Marker จึงเป็นเหมือนการสืบสวนเพื่อย้อนรอยหาผู้ก่อการร้าย ซึ่งก็คือมะเร็ง ว่าแอบซ่อนอยู่ตรงไหนของร่างกาย เพื่อจะได้ทำการกำจัดออกไปก่อนจะเข้าสู่ระยะที่สามที่เป็นระยะอันตรายมากที่สุด

Tumor Marker คือ สารชนิดหนึ่งที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงการป่วยด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งสาร Tumor Marker อาจเกิดจากการที่ โปรตีน สารประกอบชีวเคมี หรือ เอนไซม์ ที่ถูกผลิตขึ้นมาจากเซลล์มะเร็งเองหรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายที่มีปฏิกิริยาตอบโต้การบุกรุกทำลายของเซลล์มะเร็ง จนทำให้สารบ่งชี้ดังกล่าวมีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นและค่อยๆ รั่วไหลเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งก็สามารถตรวจพบสารบ่งชี้ได้ด้วย การตรวจเลือด นั่นเอง

Hyperplasia คือ เซลล์ที่เกิดใหม่และทำให้จำนวนเซลล์เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม มีผลให้อวัยวะหรือเซลล์ในส่วนนั้นมีขนาดที่บวมใหญ่ขึ้น เซลล์ชนิดนี้มักจะพบได้จาก สภาวะต่อมไทรอยด์โต ( Thyroid Hyperplasia ) และ สภาวะต่อมลูกหมากโต ( Benign Prostate Hyperplasia, BPH ) เป็นต้น
Hypertrophy คือ เซลล์ที่เกิดใหม่โดยไม่ได้ทำให้จำนวนเซลล์เพิ่มขึ้น แต่ทำให้เซลล์มีขนาดและรูปร่างที่ใหญ่กว่าเดิมแทน ส่งผลให้อวัยวะหรือเซลล์ในส่วนนั้นมีขนาดที่บวมโตขึ้น พบได้จาก สภาวะหัวใจโต (Cardiac Hypertrophy) เป็นต้น
Metaplasia คือ เซลล์เกิดใหม่ที่งอกขึ้นมาแทนตัวเดิม โดยจะมีจำนวนมากแต่ขนาดไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งพบได้ในเซลล์เนื้อเยื่อของผิวหนัง ( Squamous Metaplasia ) ที่มีการงอกขึ้นมาเพื่อแทนที่ผิวหนังเดิมที่ได้ลอกออกไปตามอายุหรือการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว
Dyplasia คือ เซลล์เกิดใหม่ในสภาพของวัยที่ยังโตไม่เต็มที่ โดยจะเข้ามาแทนที่เซลล์เก่าที่ได้หลุดลอกออกไป ส่วนใหญ่จะเป็นเซลล์ผนังด้านในโพรงมดลูก ( Dysplasia of the Cervix Epithelium ) ที่ต้องใช้ระยะเวลาในการเติบโตเต็มที่ 28 วัน แล้วหลุดออกมาเป็นประจำเดือนในที่สุด

ร่องรอยทางกายภาพของมะเร็ง

ร่องรอยทางกายภาพของมะเร็ง มีทั้งชนิดที่มองเห็นได้ง่ายและชนิดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ นั่นคือ

ชนิดที่ไม่มีอาการบวม โดยจะไม่แสดงอาการออกมาทำให้สังเกตได้ยาก ส่วนใหญ่จะเป็น มะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemia ) ซึ่งจะไหลเวียนในหลอดน้ำเหลืองจึงไม่บวมออกมา
ชนิดที่มีอาการบวม โดยจะมีก้อนเนื้อบวมนูนขึ้นมาทำให้สังเกตเห็นได้โดยง่าย ซึ่งชนิดนี้เรียกว่า Tumor อาจเกิดจากเซลล์มะเร็งหรือไม่ใช่เซลล์มะเร็งก็ได้ กล่าวคือ
Benign Tumor คือก้อนเนื้อที่บวมออกมาแต่ไม่ใช่เซลล์มะเร็ง เช่น ถุงไขมัน ( Cyst ) เนื้อเยื่อที่บวมในเต้านม เป็นต้น
Malignant Tumor คือก้อนเนื้อที่บวมนูนออกมา โดยเกิดจากเซลล์มะเร็งร้าย ซึ่งก็อาจจะเป็นมะเร็งหลากชนิดกันไป

การตรวจเลือดหาสารบ่งชี้โรคมะเร็ง

การตรวจเลือด เพื่อหาสารบ่งชี้การป่วยด้วยโรคมะเร็ง เป็นวิทยาการแพทย์ที่มีความก้าวหน้า ซึ่งสามารถทำการตรวจวิเคราะห์เลือดได้ว่ามีระดับหรือค่าความเสี่ยงมะเร็งมากแค่ไหน และสามารถสรุปได้อีกด้วยว่ากำลังป่วยเป็นมะเร็งชนิดใด เนื่องจากสามารถตรวจวิเคราะห์สารบ่งชี้สัญญาณมะเร็งต่ออวัยวะได้หลายชนิดสัญญาณนั่นเอง

วัตถุประสงค์ ในการตรวจเลือดเพื่อหาสัญญาณโรคมะเร็ง

โดยภาพรวม การตรวจเลือด เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้โรคมะเร็ง มีวัตถุประสงค์ทั่วไปเพื่อคัดกรองสุขภาพของแต่ละบุคคลในการตรวจสุขภาพประจำปี ถึงความเสี่ยงที่อาจเป็นมะเร็ง ซึ่งจะทำให้เตรียมตัวและรับมือกับอาการป่วยได้ทันรวมถึงทราบด้วยว่าเป็นมะเร็งชนิดใดและเกิดขึ้นตรงส่วนไหนของร่างกาย เป็นการตรวจเพื่อติดตามผลการรักษา โดยหากการรักษาได้ผล สารบ่งชี้มะเร็งก็จะค่อยๆ ลดลงไปสามารถพยากรณ์ความร้ายแรงของโรคมะเร็งบางชนิดได้ โดยดูได้จากค่าของสารบ่งชี้ที่ตรวจพบใช้เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งที่ไม่สามารถตัดชิ้นเนื้อมาตรวจได้ เช่น มะเร็งเซลล์สมอง โดยสารบ่งชี้จะเป็นตัวบอกว่าเซลล์ผิดปกติที่พบในตำแหน่งนั้นเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่

Tumor Marker คือ สารชนิดหนึ่งที่บ่งชี้ถึงกโรคมะเร็ง ซึ่งอาจเกิดจากการที่ โปรตีน สารประกอบชีวเคมี หรือ เอนไซม์ ที่ถูกผลิตขึ้นจากเซลล์มะเร็ง หรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย

วิธีการตรวจเลือดเพื่อหาสัญญาณมะเร็ง หรือสารบ่งชี้มะเร็ง

สำหรับวิธีการตรวจเพื่อหาสัญญาณหรือสารบ่งชี้มะเร็ง สามารถกระทำได้ 2 วิธีคือ

1.ตรวจโดยการระบุชื่อสัญญาณมะเร็ง ( Cancer – Specific Marker ) เป็นการตรวจแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อทราบสัญญาณมะเร็งของชนิดที่ต้องการเท่านั้น โดยมะเร็งแต่ละชนิดก็จะมีการกำหนดไว้ว่าต้องตรวจหาค่าอะไรจึงจะพบ เช่น การตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งตับ จะต้องตรวจค่า AFP ซึ่งจะทำให้ทราบอย่างชัดเจนว่ากำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งตับหรือไม่ นอกจากนี้การตรวจ AFP ก็มีผลพลอยได้ ทำให้ทราบสารบ่งชี้มะเร็งรังไข่และมะเร็งลูกอัณฑะ
2.ตรวจโดยการระบุอวัยวะ (Tissue – Specific Marker) เป็นการตรวจเฉพาะเจาะจง เพื่อทราบสัญญาณมะเร็งจากอวัยวะภายในร่างกายที่กำลังสงสัยว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ โดยจะใช้วิธีการตรวจเฉพาะจุด เช่น ต้องการทราบว่ากำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ส่วนปลายหรือไม่ จะต้องตรวจสัญญาณบ่งชี้ 3 ตัว คือ CEA, CA 19-9 และ CA 125 โดยการตรวจหาค่าดังกล่าวนอกจากจะทำให้ทราบผลตามต้องการแล้ว ก็ได้ผลพลอยได้ โดยทราบถึงสัญญาณบ่งชี้มะเร็งของอวัยวะอื่นๆที่มีความสัมพันธ์กันอีกด้วย 

ข้อควรระวังในการใช้ Tumor Markers ตรวจเลือดหามะเร็ง

อย่าสรุปผลตรวจจากค่าที่ได้ตัวใดตัวหนึ่งเพียงตัวเดียว เพราะค่าที่ได้อาจมีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง การตรวจเลือด หลายๆ ครั้งเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็ง ควรตรวจจากห้องปฏิบัติการแห่งเดียวกันและต้องใช้อุปกรณ์ น้ำยาวิเคราะห์ต่างๆ ที่เป็นชนิดเดียวกันเสมอ ควรพิจารณาจากสารบ่งชี้มะเร็งหลายๆ ตัวที่มีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ สามารถบ่งชี้มะเร็งแบบเจาะจงในจุดเดียวกันได้เพื่อความแม่นยำที่มากขึ้น สามารถเลือกพิจารณาจากสัญญาณมะเร็งที่ไม่เจาะจงแต่มีคุณสมบัติความไวในการบ่งชี้ได้ดี เพื่อลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการตรวจ ต้องมีการบันทึกประวัติข้อมูลตัวเลขสารบ่งชี้มะเร็งก่อนการรักษาอย่างชัดเจน เพื่อวิเคราะห์ผลการรักษาได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น
อาจเกิดปรากฎการณ์ “ Hook effect ” ซึ่งเป็นการหลบซ่อนของสัญญาณมะเร็ง ทำให้ไม่ได้ค่าการตรวจที่ชัดเจน จึงต้องระมัดระวังและมีความรอบคอบในการตรวจมากเป็นพิเศษ

การตรวจเลือด หาสารบ่งชี้มะเร็ง เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและทำให้ทราบอาการป่วยตั้งแต่ระยะเริ่มแรก เพื่อทำการรักษาได้ทันเวลา แต่เนื่องจากการตรวจด้วยวิธีนี้ก็ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง 100% เสมอไป ผู้ตรวจจึงต้องมีความรอบคอบและทำตามคำแนะนำในการใช้ Tumor Markers อย่างเคร่งครัด

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Cancer causation: association by tumour type”. Journal of Internal Medicine. 

Deerfield, Illinois: Baxter International Inc. 2002-08-07.