จะไม่เป็นมะเร็ง ต้องอยู่กับเพื่อนที่ไหวตัวทัน

0
จะไม่เป็นมะเร็ง ต้องอยู่กับเพื่อนที่ไหวตัวทัน
คนที่ไม่อยากเป็นมะเร็งต้องรู้เท่าทันและป้องกันมะเร็งอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะสิ่งแวดล้อมและคนรอบข้าง
จะไม่เป็นมะเร็ง ต้องอยู่กับเพื่อนที่ไหวตัวทัน
คนที่ไม่อยากเป็นมะเร็งต้องรู้เท่าทันและป้องกันมะเร็งอยู่ตลอดเวลา รวมถึงสิ่งแวดล้อมและคนรอบข้าง

จะไม่เป็นมะเร็ง ต้องอยู่กับเพื่อนที่ไหวตัวทัน

ชีวิตประจำวันของคุณเสี่ยงต่อการเป็น มะเร็ง หรือเปล่าคะ ? คุณลองมองไปรอบตัวของคุณดูสิว่ามีอะไรบ้างไหมที่เป็นคุณคิดว่าทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ดิฉันเชื่อว่าเวลาที่เรามองไปรอบตัวเราจะเห็นแต่สิ่งที่ทำให้เราเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งอยู่หลายอย่างมาก ทั้งอาหารที่เราต้องกิน ทั้งมลพิษจากควันรถ ทั้งความเครียดจากการทำงาน ทุกสิ่งล้วนแต่สร้างความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทั้งสิ้น เราทุกคนล้วนเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งแต่ความเสี่ยงของแต่ละคนนั้นจะมีเพิ่มขึ้นหรือน้อยลงย่อมขึ้นอยู่กับการเตรียมความพร้อมของแต่ละคน การเตรียมความพร้อมนั้นเป็นสิ่งที่ทำง่ายกว่าการรักษามากนัก เพราะว่าการเตรียมตัวเราก็แค่เลือกกิน เลือกใช้ชีวิตให้มีคุณภาพไม่ต้องทนกับการเจ็บปวดเหมือนกับการรักษา คุณมีการเตรียมตัวที่จะป้องกันมะเร็งมากน้อยแค่ไหน

คนบางคนอยากรู้เกี่ยวกับ มะเร็ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะความรู้ได้ที่ไหน คนบางคนไม่ให้ความสนใจเกี่ยวกับมะเร็งแม้แต่น้อยเพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว คนบางคนรู้เกี่ยวถึงความร้ายแรงของมะเร็งและไม่อยากเป็นมะเร็งแต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีถึงชีวิตจะไม่มีมะเร็งเข้ามา สำหรับดิฉันคิดว่าการป้องกันเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับมะเร็งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เพราะว่าการป้องกันนั้นจะทำให้เราไม่ต้องป่วยเป็นมะเร็งในอนาคต ดิฉันเชื่อว่าทุกคนที่รู้จักมะเร็งย่อมไม่อยากเป็นมะเร็งกันทั้งนั้น สำหรับคนที่ไม่อยากเป็นมะเร็ง ดิฉันคิดว่าการที่เรารู้เท่าทันและป้องกันมะเร็งนี่เป็นเรื่องที่ดีที่สุดเลยนะคะ การป่วยเป็นมะเร็งไม่เคยสร้างความสุขให้กับใครหรอกค่ะ การป่วยเป็นมะเร็งมีแต่สร้างความทุกข์ระทมให้กับตัวเองและคนรอบข้าง อย่างตอนที่ดิฉันป่วยเป็นมะเร็งนั้น นอกจากดิฉันที่ต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดจากรักษามะเร็งและการรักษา มะเร็ง แล้ว ยังต้องทนกับความเหงา ความคิดถึงอย่างหนัก บางคืนคิดถึงลูกจนนอนน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ คนเดียวก็เคยมาแล้ว คนในครอบครัวของดิฉันก็ไม่ต่างกัน ทุกคนต้องทุกข์ด้วยความเป็นห่วงและความคิดถึงเช่นเดียวกัน ยามที่ดิฉันต้องไปนอนอยู่โรงพยาบาลเพื่อให้คีโม พ่อ แม่และสามีก็เป็นห่วงเป็นใยคอยสอบถามอาการของดิฉันอยู่ตลอด พวกเขาจะถามดิฉันทุกวันทั้งวันที่อยู่ด้วยกันที่บ้านและวันที่ดิฉันต้องมานอนอยู่โรงพยาบาลเพื่อให้คีโมว่า คุณ…เป็นยังไงบ้าง คุณ…เจ็บมากไหม คุณ…เวียนหัวอยู่หรือป่าว คุณ…วันนี้ดีขึ้นหรือยัง ส่วนลูกๆ ยามที่แม่ต้องนอนโรงพยาบาล พอตกกลางคืนก็ร้องไห้หาแม่ด้วยความคิดถึง พวกเขายังเล็กนักไม่เข้าใจว่าแม่ต้องไปนอนที่อื่น ทำไมแม่ไม่อยู่บ้านนอนกับเค้า พ่อต้องคอยปลอบว่าเดี๋ยวแม่ก็กลับมาแล้ว แม่ไปรักษาตัวให้หายก่อน แม่รักษาตัวหายแล้วแม่จะได้กลับมาอยู่กับหนูนานๆ ไงคะ แม่รักษาตัวแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับบ้านได้แล้ว ได้ยินเสียงลูกเรียกแม่จ๋า แม่อยู่ไหน หนูคิดถึงแม่ ดิฉันต้องฝืนไม่ให้ร้องไห้พร้อมพูดและยิ้มกับลูกว่าเดี๋ยวแม่ก็กลับบ้านแล้ว หนูต้องเป็นเด็กดีกับคุณพ่อนะคะ คิดถึงช่วงเวลานั้นทีไร น้ำตาก็พาลจะไหลออกมาทุกที

ดิฉันเชื่อว่าการไม่เป็น มะเร็ง นั้นดีที่สุดในชีวิตของทุกคนเพราะการเป็นมะเร็งช่างเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด การที่คุณจะไม่เป็นมะเร็งได้นั้น นอกจากตัวคุณที่ต้องรู้จักป้องกันตัวเองจากมะเร็งแล้ว การที่คุณมีเพื่อนที่ไหวตัวทันต่อมะเร็งเป็นเพื่อนที่คอยเตือนคุณอยู่ตลอดว่าสิ่งนี้ไม่ดีนะ สิ่งนั้นไม่ดีนะ สิ่งที่ทำอยู่ทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งนะ รวมถึงคอยแนะนำถึงวิธีการป้องกันมะเร็งอย่างถูกต้องให้กับคุณแล้วย่อมเป็นสิ่งที่ดีต่อชีวิตของคุณมาก เพราะเพื่อนแบบนี้จะนำชีวิตที่ปราศจากความทุกข์จากมะเร็งมาให้คุณ

ปัจจุบันนี้ดิฉันเชื่อว่ามีคนที่รักสุขภาพเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ดิฉันเชื่อว่าคนรักสุขภาพทุกคนเตรียมพร้อมป้องกัน มะเร็ง กันเป็นอย่างดี การเตรียมความพร้อมที่มีให้กับตัวเองและคนอื่นๆ อย่างไม่หวังผลตอบแทน การที่ทุกคนทำเช่นนั้นก็หวังเพียงว่าคนที่ป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งจะได้หมดไปจากโลกนี้เสียที วันนี้คุณมีเพื่อนที่ไหวตัวทันต่อมะเร็งหรือยังค่ะ เพื่อนที่พาเราไปสู่อนาคตที่ไม่มีโรคมะเร็งเข้ามาในชีวิต

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ร่วมกับ AmProHealth ชุมชนห่างไกล โรคมะเร็ง

0
ร่วมกับ AmProHealth ชุมชนห่างไกล โรคมะเร็ง
AmProHealth เป็นชุมชนที่ช่วยให้ทุกคนห่างไกลโรคมะเร็ง ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมะเร็ง การป้องกันและการดูแลตัวเอง
ร่วมกับ AmProHealth ชุมชนห่างไกล โรคมะเร็ง
AmProHealth เป็นชุมชนที่ช่วยให้ทุกคนห่างไกลโรคมะเร็ง ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมะเร็ง การป้องกันและการดูแลตัวเอง

ร่วมกับ AmProHealth ชุมชนห่างไกล โรคมะเร็ง

ดิฉันเชื่อว่าทุกคนคงรู้จักมะเร็งกัน รู้ว่ามะเร็งเป็นโรคที่ร้ายแรงมากชนิดหนึ่ง มะเร็งเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยไปมากมายเหลือเกิน ปัจจุบันนี้จำนวนคนที่ป่วยเป็นมะเร็งก็ยังไม่มีทีท่าจะลดลงเลยแม้แต่น้อย ดิฉันกลับพบว่ามีคนที่ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้นทุกปีอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดิฉันไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยเพราะการสูญเสียไม่ว่าด้วยเหตุใดล้วนแต่นำความเสียใจมาทั้งนั้น ดิฉันมีความหวังและความตั้งใจที่จะช่วยให้ผู้ป่วยและผู้ที่เสียชีวิตจากมะเร็งนั้นลดลง เช่นเดียวกับ AmProHealth ที่มีความตั้งใจที่จะเห็นคนไทยทุกคนห่างไกลจาก โรคมะเร็ง ทุกชนิด

หลังจากที่ดิฉันหายป่วยจาก โรคมะเร็ง แล้ว ดิฉันยังต้องไปพบคุณหมอเพื่อเฝ้าระวังไม่ให้มะเร็งเต้านมภายในตัวดิฉันกลับมาอีก ทุกครั้งที่ดิฉันไปโรงพยาบาลดิฉันจะพบกับคนป่วยเป็นมะเร็งเข้ามารับการตรวจเพิ่มขึ้นทุกครั้ง มีทั้งคนที่ต้องมารับรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งเป็นครั้งแรก คนที่เข้ามารับการรักษาโรคมะเร็งและคนที่มาตรวจเฝ้าระวังเช่นเดียวกับดิฉัน สิ่งที่เห็นจากคนเหล่านั้นก็คือความทุกข์ ความโศกเศร้าเสียใจที่ต้องมารับรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งความเจ็บปวดจากการรักษามะเร็งที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า ความกังวลใจและความกลัวที่แฝงอยู่ในดวงตาของคนป่วยทุกคน ถ้าทุกคนเลือกได้ทุกคนคงเลือกที่จะไม่ป่วยเป็นมะเร็งกัน ดิฉันเองถึงจะป่วยเป็นมะเร็งแต่ก็โชคดีที่รักษาตัวจนหายได้  การที่ดิฉันสามารถรักษาตัวจนหายจากมะเร็งได้ นอกจากำลังใจของตัวเองและการรักษาจากคุณหมอแล้ว ดิฉันโชคดีที่ได้รู้จักกับ AmProHealth ทำไมนะหรือคะ? เพราะว่าตอนที่ดิฉันป่วยเป็นมะเร็งจนกระทั่งรักษาตัวจนหายก็ได้รับความรู้จากเกี่ยวกับมะเร็งจากที่นี่เป็นอย่างดี AmProHealth เป็นชุมชนที่ช่วยให้ทุกคนห่างไกลโรคมะเร็ง ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมะเร็งทุกอย่าง ทั้งการป้องกันตัวเองให้ห่างจากโรคมะเร็ง ทั้งการดูแลตัวเองขณะที่รักษาตัวและการดูแลตัวเองป้องกันไม่ให้มะเร็งกลับมาอีก นอกจากที่คุณหมอบอกแล้วดิฉันก็ได้รับความรู้จากที่นี่เพิ่มขึ้นมาอีก เมื่อดิฉันนำความรู้ที่ได้มาปฏิบัติจริงๆ ช่วยให้ดิฉันฟื้นตัวเร็วขึ้นและผลการรักษาก็เป็นผลที่น่าพอใจ คุณหมอเองก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมดิฉันฟื้นตัวได้เร็วนักและยังมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมะเร็งเป็นอย่างดี บางครั้งคุณหมออธิบายนิดหน่อยดิฉันก็ทำตามได้อย่างถูกต้องทำให้สามารถรักษามะเร็งให้หายได้ในระยะเวลาอันสั้น ดิฉันรู้สึกเสียดายเหลือเกินที่ไม่ได้รู้จักกับที่นี่ก่อนที่จะเป็นมะเร็ง ถ้าดิฉันรู้จักที่นี่ก่อนดิฉันคงไม่ต้องเป็นมะเร็งแล้ว ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเมื่อคุณเข้ามาใน AmProHealth คุณจะได้รับความรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง ทั้งชนิดของมะเร็ง สาเหตุของมะเร็ง การดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งร้าย การกินอาหารที่มีประโยชน์ช่วยต้านการเกิดมะเร็ง การออกกำลังกายที่ถูกวิธีเพื่อป้องกัน โรคมะเร็ง รวมถึงเทคโนโลยีก้าวล้ำนำสมัยที่ AmProHealth นำมาอัพเดทให้เราได้รู้กันตลอด โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ช่วยตรวจหาความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อทุกคนเป็นอย่างมาก เพราะการตรวจหาความเสี่ยงการเกิดมะเร็งนั้น ทำให้เรารู้ตัวและเตรียมตัวป้องกันมะเร็งได้อย่างตรงจุด และทำให้เรามีโอกาสที่จะไม่เป็นมะเร็งสูงมากด้วย 

ชุมชน AmProHealth เป็นชุมชนที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้เมืองไทยปราศจาก โรคมะเร็ง ชุมชนนี้มีทุกอย่างที่เกี่ยวกับมะเร็ง รวมถึงการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงห่างไกลจากโรคร้ายทุกชนิดด้วย ในเมื่อคุณมีของดีแบบนี้อยู่ใกล้มือแล้ว ดิฉันหวังว่าคุณจะมาร่วมกับ AmProHealth ร่วมกันสร้างชุมชนห่างไกลโรคมะเร็ง ดิฉันเข้ามาอยู่ในชุมชนห่างไกลมะเร็งแล้ว แล้วคุณล่ะ พร้อมที่จะห่างไกลมะเร็งแล้วหรือยัง ถ้าพร้อมแล้วเข้ามาอยู่ในชุมชน AmProHealth ด้วยกันสิค่ะ เข้ามาอยู่ในชุมชนห่างไกลมะเร็งด้วยกันกับเรา

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

พวกเราจะไม่เป็นมะเร็ง หรือ จะมีความเสี่ยงให้น้อยที่สุด

0
พวกเราจะไม่เป็นมะเร็ง หรือ จะมีความเสี่ยงให้น้อยที่สุด
การใช้ชีวิตอย่างมีสติ คือ การใช้ชีวิตแบบระวัง หลีกเลี่ยงหรือการลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง
พวกเราจะไม่เป็นมะเร็งหรือจะมีความเสี่ยงให้น้อยที่สุด
การใช้ชีวิตอย่างมีสติ คือ การใช้ชีวิตแบบระวัง สามารถหลีกเลี่ยงหรือการลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง

พวกเราจะไม่เป็นมะเร็ง หรือ จะมีความเสี่ยงให้น้อยที่สุด

ความประมาทเป็นหนทางแห่งความวิบัติ ความประมาททำให้คนเสียชีวิตมานักต่อนักแล้ว บนท้องถนน ถ้าเราข้ามถนนด้วยความประมาทไม่มีสติไม่ดูรถให้ดีก่อนที่จะข้ามถนนเราอาจโดนรถชน เวลาที่เราขับรถถ้าเราขับรถด้วยความประมาทอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุจนบาดเจ็บหรือแม้แต่เสียชีวิตได้ การใช้ชีวิตประจำวันก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างประมาทไม่มีสติอาจทำให้ป่วยเป็น มะเร็ง ได้เช่นกัน ยิ่งเราใช้ชีวิตประมาทมากแค่ไหนเราก็มี ความเสี่ยง ในการเป็นมะเร็งมากขึ้นเท่านั้น เหมือนกับดิฉันที่ใช้ชีวิตอย่างประมาทมาเกือบ 30 ปีจนต้องป่วยเป็นมะเร็งไงคะ แม้ว่าไม่อยากป่วยเป็นมะเร็งสักเท่าใดแต่ก็เพราะความประมาทเผลอเรอของตัวเองที่ทำให้ป่วยเป็นมะเร็ง แต่ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างมีสติไม่ประมาทจนเป็นมะเร็งจะดีแค่ไหนกันนะ แล้วการใช้ชีวิตอย่างมีสติที่ทำให้ไม่เป็นมะเร็งนี่ต้องทำยังไงกันนะ

การใช้ชีวิตอย่างมีสติ คือ การที่เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ในทุกอิริยาบท รู้ว่าสิ่งที่เราทำนี้มีผลทำให้เรามีความเสี่ยงต่อการเป็น มะเร็ง หรือไม่ เมื่อรู้เท่าทันว่ามี ความเสี่ยง ก็ควรที่จะหยุดการกระทำนั้นเสีย แต่ถ้าการกระทำนั้นไม่ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งก็ทำได้ เช่น ตอนที่เรากินเราก็ต้องรู้ว่าอาหารที่เรากินอยู่นี้มีสารก่อมะเร็งหรือเปล่า ถ้าอาหารนั้นมีสารก่อมะเร็งหรือเป็นอาหารที่ทำให้เรามีความเสี่ยงเป็นมะเร็ง ถ้าเรามีสติเราก็จะไม่กินแม้ว่าอาหารนั้นจะอร่อยสักแค่ไหน แต่ถ้าเรากินไปแล้วมันจะทำให้เราเสี่ยงเป็นมะเร็งมากขึ้น เราก็ไม่ควรกินอาหารนี้เข้าไป หรือว่าเราอยากไปเที่ยว เราก็ต้องดูว่าสถานที่ที่เราจะไปเที่ยวนี้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมหรือไม่ ในที่เที่ยวนั้นมีควันบุหรี่ที่เป็นสารก่อมะเร็งให้เราสูดดมหรือเปล่า ถ้าสถานที่นั้นมีสารก่อมะเร็งอย่างควันบุหรี่อยู่ ถ้าเรามีสติเราก็ไม่ควรไปเที่ยวสถานที่แบบนั้น แต่ถ้าสถานที่เที่ยวเป็นสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติมีอากาศบริสุทธิ์ให้เราสูดดม มีต้นไม้เขียวขจีที่ดูแล้วสบายใจสถานที่แบบนี้สิที่เราควรไปเที่ยว เป็นต้น ถ้าเรามีสติในการใช้ชีวิต รู้จักใช้ชีวิตให้มีคุณค่าไม่ประมาท รู้ว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดีต่อร่างกาย ไม่นำสิ่งหรือสารก่อมะเร็งเข้ามาในร่างกาย ย่อมทำให้ชีวิตมีความสุข การใช้ชีวิตอย่างมีสติจะทำให้ชีวิตเรามีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งน้อย บางทีเราจะไม่มีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งเลยก็ได้ ดิฉันเชื่อว่าพวกเราทุกคนคงมีชีวิตที่มีความสุขมากทีเดียวว่ามั้ยคะ? ถ้าไม่ต้องคอยกังวลว่าเราจะเป็นมะเร็งไหม เราจะเป็นมะเร็งเมื่อไหร่นะ เราจะตายเพราะมะเร็งหรือป่าว ดิฉันว่าชีวิตแบบนั้นคงจะมีความสุขไม่น้อยเลยค่ะ ชีวิตแบบที่ดิฉันไม่มีทางได้สัมผัสอีกแล้วในชีวิตนี้ ทำไมนะหรือคะ? ก็เพราะว่าการที่ดิฉันเคยเป็น มะเร็ง มาแล้ว คุณหมอบอกว่าดิฉันมี ความเสี่ยง ที่จะกลับมาเป็นมะเร็งได้มากกว่าคนที่ไม่เคยเป็นหลายเท่านัก ด้วยคำพูดนี้ของคุณหมอทำให้ดิฉันใส่ใจตัวเองมากขึ้นใช้ชีวิตอย่างมีสติไม่เคยประมาทเลยแม้แต่น้อย สิ่งใดที่ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งดิฉันล้วนละเว้นทั้งหมด ไม่เคยที่จะเผลอไปกับสิ่งยั่วยุของสารก่อมะเร็งที่ผ่านเข้ามาเลยแม้แต่น้อย ถามว่าดิฉันสู้ไหม? คำตอบคือดิฉันพร้อมสู้กับมะเร็งอยู่แล้วค่ะ ดิฉันกลัวไหมกับการกลับไปเป็นมะเร็งอีก? คำตอบคือไม่กลัว ดิฉันไม่เคยกลัวมะเร็งที่อาจจะกลับเข้ามาอีก แต่ว่าส่วนลึกของใจก็ยังมีความกังวลเล็กๆ อยู่บ้างว่ามะเร็งจะกลับมาไหมนะ แต่ด้วยกำลังใจและการใช้ชีวิตอย่างมีสติของดิฉัน ดิฉันเชื่อว่าดิฉันมีความเสี่ยงที่จะกลับไปเป็นน้อยมากหรือบางทีดิฉันอาจจะไม่กลับไปเป็นมะเร็งอีกก็ได้นะ ดิฉันก็เชื่อว่าถ้าพวกคุณทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีสติเหมือนกับที่ดิฉันใช้อยู่ทุกวันนี้ ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทต่อมะเร็งรับรองว่าพวกคุณไม่เป็นมะเร็งแน่นอนค่ะ

การเป็น มะเร็ง ไม่ใช่สิ่งสวยงามที่น่าจดจำในชีวิตแม้แต่น้อย สำหรับทุกคนรวมถึงตัวดิฉันด้วย แม้ว่าเมื่อผ่านการเป็นมะเร็งมาดิฉันได้รับประสบการณ์ชีวิตอันแสนมีค่ามากมายแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าเลือกได้ดิฉันขอไม่ป่วยเป็นมะเร็งและไม่มีประสบการณ์นี้จะดีกว่าค่ะ ดิฉันหวังว่าพวกคุณจะใช้ชีวิตอย่างมีสติกันนะคะ เพราะการใช้ชีวิตอย่างมีสติพวกคุณจะพบแต่ความสุข จิตใจจะผ่องใส หน้าตาสดชื่น ผิวพรรณผุดผ่อง ร่างกายแข็งแรงปลอดภัยจากโรคมะเร็ง แล้วแบบนี้จะรออะไรกันอยู่ค่ะ เรามาใช้ชีวิตอย่างมีสติกันดีกว่าเพื่อที่เราจะได้ไม่เป็นมะเร็ง ดิฉันเริ่มแล้ว แล้วคุณล่ะเริ่มใช้ชีวิตอย่างมีสติแล้วหรือยัง?

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โรคมะเร็งไม่ถามหา พวกเราล้วนออกห่างจากมะเร็ง

0
โรคมะเร็งไม่ถามหา พวกเราล้วนออกห่างจากมะเร็ง
การใช้ชีวิตที่ดูแลสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและห่างไกลจากมะเร็ง
การใช้ชีวิตที่ดูแลสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและห่างไกลจากมะเร็ง

โรคมะเร็งไม่ถามหา พวกเราล้วนออกห่างจากมะเร็ง

ทำไมช่วงนี้มีแต่ข่าวขอรับบริจาคให้กับโรงพยาบาลนะ? ดิฉันดูข่าวที่ไรก็เห็นแต่ข่าวโรงพยาบาลต้องการรับบริจาคเงินเพื่อสร้างอาคารผู้ป่วยเพิ่ม ต้องการเครื่องมือทางการแพทย์เพิ่ม มีการจัดกิจกรรมเพื่อรับบริจาคเงินเข้าโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ทำไมโรงพยาบาลถึงยังไม่เพียงพอต่อปริมาณผู้ป่วยกันนะ ทั้งๆ ที่โรงพยาบาลในประเทศไทยเรานี่ก็มีตั้งมากตั้งมาย มาคิดๆ ดูแล้วก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะตัวดิฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาล สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเราป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลก็เนื่องมาจากการไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองนั่นเองนั่นแหละค่ะ บางคนเป็นพวกบ้าวัตถุนิยมค่ะ ชีวิตต้องมีบ้านหลังใหญ่ ต้องมีรถโก้ๆ ต้องกินอาหารตามร้านหรูๆ เป็นหน้าเป็นตาเอาไว้อวดคนอื่น วันวันก็เลยต้องจมอยู่กับการทำงานเพื่อหาเงินมาปรนเปรอความต้องการของตัวเอง ชีวิตมีแต่ความเครียดจากการทำงานและเครียดกับความอยากได้อยากมี กินแต่อาหารจานด่วนเพราะความสะดวกรวดเร็ว อาหารที่กินเข้าไปก็มีแต่น้ำมัน ไขมัน แป้ง เนื้อสัตว์ บางทีอาทิตย์หนึ่งยังไม่เคยกินผักผลไม้เลยสักคำ เรื่องออกกำลังกายนี่อย่าหวังเลยค่ะ ออกกำลังกายทำไมกันแค่ทำงานทุกวันนี่ก็เหนื่อยหลือเกินแล้ว ร่างกายต้องการพักผ่อนมากกว่าจะให้ไปออกกำลังกายให้เหนื่อยอีกทำไมกันอีก การพักผ่อนที่ว่านี่คือการกิน การนอน การไปเที่ยวดื่มเหล้า สูบบุหรี่กับเพื่อน การใช้ชีวิตแบบที่ไม่ดูแลสุขภาพต่อเนื่องเป็นเวลานานร่างกายจะค่อยๆ อ่อนแอลง จนวันหนึ่งร่างกายทนไม่ไหวเกิดล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล ซึ่งโรคที่เป็นกันมากจากการไม่ดูแลตัวเองและการใช้ชีวิตแบบนี้ก็คือโรค มะเร็ง นั่นเอง

แต่ปัจจุบันนี้ดิฉันเห็นทุกคนตื่นตัวเรื่องการออกกำลังกายกันมากขึ้น คนทำงานมีการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพมากขึ้น มีการแบ่งเวลามาออกกำลังกาย อย่างตอนเช้าหรือตอนเย็นตามสวนสาธารณะต่างๆ ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด มีคนไปออกกำลังกายกันเต็มไปหมดเลยค่ะ ยิ่งตอนเย็นๆ นี่คนยิ่งมากเพราะเลิกงานแล้วแทนที่จะไปเที่ยวหรือไปหาอาหารตามร้านกินกันก็หันมาออกกำลังกาย บางคนมากันเป็นคู่ บางคนมาเป็นครอบครัวใหญ่มีคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายและลูกหลานตัวเล็ก มาวิ่งเล่นส่งเสียงหัวเราะดังไปทั่วบริเวณสนามเด็กเล่น แบบนี้รับรองว่าสุขทั้งกายสุขทั้งใจกันทั้งครอบครัวเลยค่ะ และทางหน่วยงานต่างๆ ก็มีการส่งเสริมเกี่ยวกับการออกกำลังกายมากขึ้น มีการจัดอุปกรณ์และเจ้าหน้าที่มาช่วยแนะนำการออกกำลังกายที่ถูกต้องให้กับทคนทั่วไป อย่างที่หมู่บ้านของดิฉันนี่มีการติดตั้งเครื่องออกกำลังกายเพิ่มให้ชาวบ้านได้ไปเล่นกันอย่างทั่วถึงและมีการจัดครูสอนเต้นแอโรบิกมาสอนเต้นให้ทุกเย็นที่ลานกิจกรรมหน้าองค์การบริหารส่วนตำบลด้วยนะ ตอนเย็นดิฉันยังไปเต้นด้วยเกือบทุกวันเลยนะคะ นึกย้อนกลับไปก่อนที่ดิฉันจะเป็น มะเร็ง นะ กิจกรรมพวกนี้ไม่มีหรอกค่ะ แค่สนามที่จะไปวิ่งยังไม่มีเลย ถ้าอยากวิ่งก็ต้องไปวิ่งตามสนามฟุตบอลในโรงเรียนใกล้ๆ บ้านเอา แต่ก็อย่างว่านะคะสมัยนั้นกับสมัยนี้มันไม่เหมือนกันแล้ว ยุคนี้เป็นยุคแห่งสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก นอกจากการออกกำลังกายแล้วเราก็ยังหันมาใส่ใจเรื่องอาหารการกินกันมากขึ้น มีการรณรงค์เลิกใช้สารเคมีฆ่าแมลงในปลูกผักผลไม้ มีการปลูกผักผลไม้อินทรีย์ที่ปลอดสารพิษตกค้างทำให้ผู้บริโภคได้รับอาหารที่มีคุณภาพ เมื่อออกกำลังกายสม่ำเสมอประกอบกับการกินอาหารที่มีคุณภาพร่างกายก็แข็งแรงมีภูมิต้านทานโรค ดิฉันเองถึงจะเคยเป็นมะเร็งมาแล้ว เชื่อมั้ยว่าตอนนี้ดิฉันมีสุขภาพที่แข็งแรงกว่าแต่ก่อนอีกนะคะ เพราะการที่เราใส่ใจเรื่องการกินและออกกำลังกายเป็นประจำอยู่ตลอด ทำให้เรามีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์มีภูมิต้าทานโรคสูง แค่นี้ก็ทำให้ชีวิตของเราออกห่างจากมะเร็งไปไกลแล้วค่ะ

ดิฉันเชื่อว่าถ้าทุกคนเปลี่ยนการดำเนินชีวิตให้เป็นคนที่รักสุขภาพของตนเองเหมือนที่ดิฉันเปลี่ยน เปลี่ยนมาเป็นคนที่รู้จักรักตัวเอง ด้วยใช้ชีวิตอย่างเห็นความสำคัญของร่างกายมากกว่าสิ่งของรอบตัว เชื่อมั้ยคะ ว่าเวลาที่เราเสียชีวิตนี่แม้แต่เงินบาทเดียวเราก็เอาติดตัวไปไม่ได้หรอกค่ะ เมื่อเราเห็นความสำคัญและให้เวลาในการดูแลร่างกายของเราเป็นอย่างดีแล้ว ร่างกายของเราก็จะตอบแทนเราโดยการที่จะไม่ยอมให้เจ้ามะเร็งมันแอบย่องเข้ามาในร่างกาย แบบนี้โรคมะเร็งคงไม่กล้าถามหาเราหรอกค่ะ แค่นี้เราก็ออกห่างจากมะเร็งได้แล้ว ดิฉันเลือกที่จะอยู่ห่างจาก มะเร็ง แล้วคุณเลือกหรือยังค่ะว่าคุณอยากอยู่ใกล้ชิดหรือห่างไกลจากมะเร็ง?

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

คุณยังมีโอกาส และ ไม่เป็นมะเร็ง

0
คุณยังมีโอกาส และ ไม่เป็นมะเร็ง
ผลิตฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง
คุณยังมีโอกาส และ ไม่เป็นมะเร็ง
ผลิตฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง

คุณยังมีโอกาส และ ไม่เป็นมะเร็ง

คุณลองคิดดูสิว่าถ้าคุณ ไม่เป็นมะเร็ง มันจะดีมากแค่ไหน? ประเทศไทยมีประชากรเกือบ 70 ล้านคน ในแต่ละปีเราต้องสูญเสียประชากรส่วนหนึ่งไปด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งตอนนี้มะเร็งนี่เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้มีคนเสียชีวิตมากที่สุด แซงการเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุแบบขาดลอยเลยนะ และในแต่ละปีเรายังพบผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ทั่วโลกก็พบปัญหาเดียวกับประเทศไทยคือมีคนตายและป่วยจากโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ทำให้ทั่วโลกและประเทศไทยหันมาตระหนักถึงความสำคัญของโรคมะเร็ง มีการบอกถึงวิธีป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง มีการคิดค้นและผลิตฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งและจัดให้มีการตรวจสุขภาพประจำปีให้ประชาชนทั่วไปฟรีต่อเนื่องทุกปีเพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง ซึ่งการตรวจคัดกรองนี้เพื่อหาคนที่มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งว่าเป็นมะเร็งแล้วหรือยัง ถ้ายังก็จะให้คำแนะนำถึงวิธีป้องกันมะเร็งอย่างได้ผล แบบนี้คุณก็มีโอกาสที่จะไม่เป็นมะเร็งกันแล้วนะ

สำหรับดิฉันที่เคยป่วยเป็น มะเร็ง มาแล้วรับรู้ดีถึงความทุกข์และทรมานจากการป่วยเป็นโรคมะเร็งว่าเป็นยังไงมาแล้ว ถึงแม้ว่าดิฉันจะเป็นคนที่มีกำลังใจดี มีการเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมที่จะต่อสู้กับโรคมะเร็ง แต่บางขั้นตอนในการรักษาก็สร้างความเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตอนที่ร่างกายได้รับผลข้างเคียงจากการให้คีโมนี่ ดิฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับ เวียนหัว อาเจียน ปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด กว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ต้องขอบอกว่าเคยท้อไปหลายหนเหมือนกันนะคะ ท้อถึงขนาดคิดว่าถ้าเราตายไปตอนนี้เราก็ไม่ต้องมาทรมานแบบนี้ เราก็ไม่ต้องทนกับอาการทั้งหลายทั้งแหล่ที่ประเดประดังกันเข้ามา เราก็ไม่ต้องมานอนอยู่ในโรงพยาบาล แต่พอคิดถึงลูกเท่านั้นแหละค่ะ ความท้อที่มีอยู่ก็หายไป ดิฉันพยายามคิดถึงลูกที่อยู่ที่บ้านให้มากเข้าไว้ คิดว่าเราต้องรักษาตัวให้หาย เราต้องอดทนเพื่อที่เราจะได้กลับไปอยู่กับลูกของเรา เราจะได้กลับไปนั่งฟังเสียงลูกหัวเราะ พูดคุยกับเราทุกวัน และความพยายามของดิฉันก็ได้ผลเพราะวันนี้ดิฉันหายจากโรคมะเร็งแล้ว ดิฉันได้กลับมาอยู่กับลูกและครอบครัวอย่างคนปกติ ถึงแม้ว่าคุณหมอจะยังนัดอยู่เรื่อยๆ เพื่อเฝ้าระวังมะเร็งที่อาจจะกลับมา

สำหรับคนที่ยัง ไม่เป็นมะเร็ง ตอนนี้พวกคุณมีโอกาสรอดจากมะเร็งสูงมากนะคะ ถึงแม้ว่าคุณจะอยู่ในสภาวะเสี่ยงจากพันธุกรรมของคนในครอบครัวหรือจากสภาพแวดล้อมก็ตาม ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีหลายอย่างเข้ามาช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง ทั้งการตรวจที่สามารถตรวจหาความเสี่ยงเป็นมะเร็งในตัวเราว่ามีหรือไม่ ทำให้เราสามารถป้องกันมะเร็งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างได้ผลและตรงตามชนิดของมะเร็งที่คุณเสี่ยง เช่น การตรวจ Gene Test การตรวจยีนส์บางชนิดที่เป็นสารก่อ มะเร็ง การตรวจเลือด เป็นต้น

ถึงแม้ว่าคนที่ตรวจพบว่ามีความเสี่ยงนั้นอาจจะ ไม่เป็นมะเร็ง ในอนาคตก็ได้ แต่ดิฉันคิดว่าถ้ารู้ว่ามีความเสี่ยงและเตรียมตัวป้องกันตั้งแต่ต้นก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลยและไม่ได้ป้องกันอะไรเลยว่ามั้ยคะ เหมือนกับตัวดิฉันที่ไม่รู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเพราะมีคนในครอบครัวป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ทำให้ดิฉันไม่ได้ป้องกันตัวเองจากโรคมะเร็งเลยแม้แต่น้อย จนตัวเองป่วยเป็นมะเร็งแล้วถึงได้รู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยงมาตั้งนานแล้ว นอกจากการตรวจแล้วยังมีการค้นพบว่ามีอาหารอีกหลายชนิดที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้โดยเฉพาะผักผลไม้สดปลอดสารพิษ   ที่อุดมไปด้วยวิตามินและสารแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงป้องกันการเกิด มะเร็ง ได้เป็นอย่างดี

ปัจจุบันนี้โรค มะเร็ง ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เราคิดกันแล้ว ที่ดิฉันกล้าพูดแบบนี้เพราะว่าโรคมะเร็งเป็นโรคที่รักษาให้หายได้และโรคมะเร็งยังเป็นโรคที่เราสามารถป้องกันได้อีกด้วย เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวล้ำในยุคปัจจุบัน ทำให้คนเรามีโอกาสรอดจากมะเร็งมากขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งวิธีป้องกันมะเร็งนั้นเริ่มจากตัวเราเอง เพียงแค่คุณรักและดูแลเอาใจใส่ร่างกายของตัวเองมากขึ้น กินแต่ของที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ คุณก็มีโอกาส ไม่เป็นมะเร็ง แล้ว เมื่อก่อนดิฉันไม่รอดจากมะเร็งแต่ตอนนี้ดิฉันรอดไม่เป็นมะเร็งอีกแล้วค่ะเพราะดิฉันดูแลเอาใจใส่ตัวเองไม่ได้ขาด ขนาดดิฉันมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่ไม่เคยเป็นมะเร็งหลายเท่า ดิฉันยังรอดจากมะเร็งได้เลยแล้วพวกคุณที่ไม่เคยเป็นมะเร็งย่อมรอดจากมะเร็งแน่นอน

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ได้เวลา หยุดโรคมะเร็งแล้ว

0
ได้เวลา หยุดโรคมะเร็งแล้ว
การหยุดมะเร็ง เริ่มต้นที่การดูแลตัวเอง การกินอาหาร การออกกำลังกาย
ได้เวลา หยุดโรคมะเร็งแล้ว
การหยุดมะเร็ง เริ่มต้นที่การดูแลตัวเอง การกินอาหาร การออกกำลังกาย

ได้เวลา หยุดโรคมะเร็งแล้ว

คุณรู้ไหมว่าปีๆ หนึ่ง มะเร็ง คร่าชีวิตคนไปแล้วกี่ล้านคน? ในแต่ละปีทั่วโลกมีคนตายด้วยโรคมะเร็งหลายล้านคน ไม่เว้นแม้แต่คนไทย คนไทยที่ตายด้วยโรคมะเร็งปีละเกือบแสนคนเชียวนะ เราต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักปีละเกือบแสนคนจากโรคมะเร็ง คุณเคยสูญเสียคนที่รักจากมะเร็งไหม? ดิฉันเป็นหนึ่งคนที่เคยสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากโรคมะเร็ง ทั้งคุณตา คุณยาย คุณป้าและคุณลุงอันเป็นที่รักของดิฉันต่างก็ตายด้วยโรคมะเร็งทั้งสิ้น ในวันที่เราสูญเสียบุคคลอันที่รักเรารู้สึกเสียใจ รู้สึกว่าโรคมะเร็งมันช่างร้ายกาจเสียจริง มันเข้ามาพรากบุคคลอันเป็นที่รักของเราไปก่อน วัยอันควร โดยเฉพาะคุณตาอันเป็นที่รักยิ่งของดิฉัน ดิฉันจำได้ว่าตอนเด็กๆ คุณตาจะทำว่าวให้เล่นในหน้าหนาวทุกปี พอลมหนาวพัดมาท่านจะเริ่มตัดต้นไผ่เป็นท่อนยาพอประมาณ ท่านจะค่อยบรรจงใช้มีดกรีดไปบนก้านไผ่ที่เป็นเหลี่ยมค่อยๆ ครูดเบาๆ เหลาจนได้ไม้ไผ่แท่งกลมกลึง นำไม้ไผ่ที่เหลาแล้วมามัดขัดกันเป็นโครงว่าว ติดทับด้วยกระดาษแก้วพร้อมทั้งผูกเชือกกลายเป็นว่าวแบบง่ายให้หลานๆ ได้เล่นกันถ้วนหน้า หน้าหนาวทุกปีดิฉันจะต้องได้ว่าวจากฝีมือคุณตามาเล่นกับพี่ๆ น้องๆ อย่างสนุกสนาน แต่แล้ววันหนึ่งคุณตาเกิดปวดท้องต้องไปโรงพยาบาล แม่บอกว่าคุณตาเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้ายเพราะคุณตาดื่มเหล้ามาก หน้าหนาวปีนั้นคุณตาไม่กลับมาทำว่าวให้ดิฉันเล่นอีกแล้ว ไม่มีเสียงเรียกยามที่ดิฉันวิ่งไปไกลเกินไป ไม่มีแล้วสายตาของคุณตาที่มองด้วยความรักและหวังดี ดิฉันต้องสุญเสียคุณตาอันเป็นที่รักไปเพราะโรคมะเร็งตับ

เราต้องสูญเสียคนที่รักเพราะโรคมะเร็งอีกสักเท่าไหร่ เราถึงจะเริ่ม หยุดมะเร็ง กันเสียที บางคนไม่เคยใส่ใจดูแลตัวเองและคนรอบข้างเลยแม้แต่น้อยด้วยคิดว่ามะเร็งเป็นเรื่องที่ไกลตัว คงไม่มีใครเป็นมะเร็งหรอก วันนี้คุณอาจจะโชคดีที่ยังไม่สูญเสียคนที่รักจากโรคมะเร็ง แต่ในวันหน้าคุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าคนที่คุณรักจะไม่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง คนที่คุณรักจะไม่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งหรือแม้แต่ตัวคุณเองจะไม่เป็นโรคมะเร็งจนตาย ในเมื่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรานั้นมีแต่มลพิษ สารพิษและสารเคมีตกค้าง ขนาดตัวดิฉันเองที่คิดว่าตัวเองไม่มีทางเป็นมะเร็งยังป่วยเป็นมะเร็งได้เลย ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะหยุดมะเร็ง การหยุดมะเร็งนั้นไม่ยาก เริ่มต้นที่ตัวเราโดยดูแลตัวเอง เริ่มจากกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกกินผักและผลไม้ที่ปลอดสารพิษมากกว่าเนื้อสัตว์ ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันเพื่อร่างกายจะได้แข็งแรงมีภูมิต้านทานโรคได้มากขึ้น ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มของมึนเมาทุกชนิด ไม่กินอาหารที่เป็นสารก่อมะเร็ง ทั้งอาหารหมักดอง อาหารที่ผ่านการถนอมอาหาร อาหารมันๆ อาหารทอด อาหารไหม้ อาหารรมควัน ทำตัวเป็นคนรักเดียวใจเดียวเหมือนกับดิฉันและสามีที่รักกัน ไม่มีชู้ ไม่มีกิ๊ก ไม่มีกั๊ก ไม่มั่ว ไม่ส่ำสอน และที่สำคัญอย่าลืมทำตัวเป็นคิดบวก คิดง่ายๆ ว่าทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ ไม่มีปัญหาใดอยู่กับเราไปตลอดชีวิตหรอกค่ะ ปัญหาเปรียบเสมือนคนขี้เบื่อที่ไม่ชอบอยู่กับที่หรืออยู่กับใครนานๆ ปัญหาจะแวะเข้ามาทักทายและอยู่กับเราแค่แป๊บเดียวเดี๋ยวเค้าก็ไปต่อแล้วค่ะ การคิดบวกนี่จะทำให้จิตใจเราสดชื่นแจ่มใส ชีวิตเราก็มีความเครียดน้อยลงเมื่อความเครียดน้อยลงสุขภาพเราก็แข็งแรง ดิฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยคิดลบ ชีวิตมีแต่ความเครียด เครียดทั้งเรื่องของตัวเองไม่พอยังเอาเรื่องคนอื่นมาคิดมาเครียดด้วยนะ พอเครียดก็กินไม่ได้นอนไม่หลับพักผ่อนไม่เพียงพอ แย่ทั้งกายทั้งใจ แต่พอดิฉันกลับมาเป็นคนคิดบวก มองทุกปัญหาเป็นเรื่องเล็กเดี๋ยวก็แก้ได้ ชีวิตมีความสุขมากขึ้น ความเครียดลดลง กินได้นอนหลับร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงขึ้น หน้าตาแจ่มใส ตั้งแต่เป็นคนคิดบวกนี่มีคนทักว่าดูสวยขึ้นสาวขึ้นด้วยนะคะ เป็นไงคะ วิธีการ หยุดมะเร็ง ไม่ยากใช่มั้ยคะ ถ้าคุณทำตามแค่นี้เราก็หยุดมะเร็งได้แล้ว ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากหยุดมะเร็ง ขอให้เริ่มที่ตัวคุณเองก่อนแล้วขยายไปยังคนในครอบครัว    คนในหมู่บ้าน ขยายต่อไปเรื่อยสู่สังคม ดิฉันเชื่อว่าต่อไปในอนาคตโรคมะเร็งเหลือแต่ชื่อเท่านั้น โรคมะเร็งจะเป็นเพียงชื่อโรคโรคหนึ่งที่เคยพบในคน เป็นโรคที่หายไปจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิงเหมือนกับอหิวาตกโรค

จะเห็นว่าการ หยุดมะเร็ง ไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ต้องอาศัยความตั้งใจจริงและความร่วมมือกันของทุกคนเข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน ช่วยกันลด ละ เลิกสิ่งที่ทำเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ดิฉันไม่อยากเสียใจเพราะต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักด้วยโรคมะเร็งอีก และไม่อยากให้ใครต้องมาเสียใจที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากมะเร็งด้วยเช่นกัน ดิฉันจึงอยากที่จะหยุดมะเร็งไว้แค่นี้ ไม่อยากให้มีผู้ป่วยมะเร็งหรือผู้เสียชีวิตจากมะเร็งเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องช่วยกันหยุดมะเร็งร้ายให้หายไปจากโลกนี้ ร่วมกันหยุดมะเร็งเสียตั้งแต่วันนี้ก่อนที่เราจะสูญเสียคนที่รักไปกับมะเร็งมากกว่านี้ ดิฉันเริ่มหยุดมะเร็งแล้ว คุณเริ่มหยุดมะเร็งแล้วหรือยัง?

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

คนยุคใหม่ ห่างไกลมะเร็ง

0
คนยุคใหม่ ห่างไกลมะเร็ง
การที่คนยุคใหม่ห่างไกลมะเร็งนั้นเป็นเพราะการมีสื่อเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการให้ความรู้และแนะนำวิธีป้องกันรักษาให้พ้นจากมะเร็ง
คนยุคใหม่ ห่างไกลมะเร็ง
การออกกำลังกาย ดูแลรักษาสุขภาพเป็นส่วนหนึ่งของวิธีที่ทำให้มะเร็งห่างไกลตัว

คนยุคใหม่ ห่างไกลมะเร็ง

คุณคิดว่า มะเร็ง เป็นเรื่องที่ไกลตัวไหม? เมื่อก่อนดิฉันเคยคิดว่ามะเร็งเป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก ชีวิตนี้ไม่มีทางที่จะเป็นมะเร็งหรอก แหม!ใครจะคิดว่าตัวเองจะเป็นมะเร็งได้ค่ะ อย่าว่าแต่คิดว่าจะเป็นเลยค่ะ รู้จักยังไม่รู้จักเลยว่าโรคมะเร็งนี่เป็นยังไง อย่าถามถึงสาเหตุและวิธีป้องกันนะยิ่งไม่รู้ใหญ่เลย ต้องเข้าใจว่าสักประมาณ 20-30 ปีที่แล้วนี่เทคโนโลยีการสื่อสารและการเผยแพร่ข้อมูลของหน่วยงานต่างๆ นั้นแย่มาก การเข้าถึงคนในพื้นที่ห่างไกลอย่างบ้านดิฉันนี่ขอบอกเลยว่ามีน้อยมาก และจำนวนคนที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในช่วงนั้นยังมีปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับการเสียชีวิตด้วยโรคอื่น ทำให้การรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งสู่กับคนทั่วไปก็น้อยตามไปด้วย คนที่มีความรู้เกี่ยวกับมะเร็งก็เป็นเพียงคนกลุ่มเล็กๆ บางกลุ่มเท่านั้น คนแถวบ้านดิฉันบางคนยังไม่รู้จักโรคมะเร็งเลยค่ะว่าเป็นยังไง ต่างจากปัจจุบันนี้ที่มีคนเสียชีวิตจากโรคมะเร็งมากเป็นอันดับหนึ่งเลยที่เดียว จึงมีการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งทั้งทางสื่อโทรทัศน์ วิทยุ สื่อออนไลน์ แผ่นพับและวิทยากรที่มาอบรมตามสาธาณสุขหมู่บ้านมากขึ้น คนสามารถเข้าถึงข้อมูลของมะเร็งได้ ทั้งสาเหตุการเกิดมะเร็ง การป้องกันและการรักษาโรคมะเร็งได้มากขึ้นตามไปด้วย

ในอดีตเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ดิฉันต้องยอมรับว่าตัวเองมีความรู้เกี่ยวกับ มะเร็ง น้อยมาก ยิ่งจะให้หาข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งนี่เป็นไปไม่ได้เลยเพราะโดยส่วนตัวแล้วคิดว่าตัวเองและไม่มีทางเป็นมะเร็งแน่ๆ ก็ชีวิตคนทำงานบ้านนอก แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าอากาศที่บริสุทธิ์โอกาสที่จะเป็นมะเร็งน่าจะไม่มีจริงไหมคะ และด้วยความรู้ไม่เกี่ยวกับมะเร็งทำให้ดิฉันเป็นมะเร็งเต้านมในที่สุด ลองมานั่งนึกดูว่าทำไมดิฉันถึงเป็นมะเร็งได้นะ คิดๆ ดูแล้วก็อาหารโปรดของดิฉันมีแต่อาหารที่มีสารก่อมะเร็งทั้งนั้นเลย ทั้งผลไม้ดอง กุนเชียง ไก่ย่างที่ย่างจนหนังไหม้เกรียม หนังไก่ทอด หมูสามชั้นทอดน้ำปลา ยิ่งหมูกะทะยิ่งชอบ โอ้!! แม่เจ้า ของโปรดของดิฉันทุกอย่างมีแต่สารก่อมะเร็งทั้งนั้น ก็คนมันไม่รู้นี่น่า รู้แต่ว่าอร่อยกินได้ทุกวันไม่มีเบื่อ แต่ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีการสื่อสารที่ก้าวล้ำทำให้คนรุ่นใหม่มีโอกาสได้รับความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งมากขึ้น จากสื่อโทรทัศน์ วิทยุ โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ที่สามารถเข้าถึงทุกที่รวมถึงบ้านดิฉันเอง และการรณรงค์เกี่ยวกับมะเร็งจากสถาบันสุขภาพต่างๆ ทั้งการให้ความรู้เกี่ยวกับมะเร็ง วิธีป้องกันมะเร็งอย่างได้ผล

สิ่งที่ต้องไม่ควรทำถ้าไม่อยากเป็น มะเร็ง ตัวอย่างเช่น แผ่นพับ 5 ทำ 5 ไม่ ไกลจากมะเร็ง จากสถาบันมะเร็งแห่งชาติที่บอกถึง 5 สิ่งที่ต้องทำและ 5 สิ่งที่ไม่ควรทำเพื่อชีวิตจะ ห่างไกลมะเร็ง ดิฉันคิดว่าแผ่นพับที่ออกมานี้ช่วยให้คนที่ทำตามนั้นห่างไกลจากโรคมะเร็งได้จริงๆ นะ ดิฉันเชื่อว่าถ้าดิฉันได้รับรู้ข่าวสารและเรื่องราวดีๆ แบบนี้ก่อนที่จะเป็นมะเร็ง รับรองว่าดิฉันไม่มีวันเป็นมะเร็งแน่นอนค่ะ นอกจากข่าวสารความรู้เกี่ยวกับมะเร็งที่ทำให้เรารู้เท่าทันมะเร็ง รู้ถึงวิธีการป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งแล้ว เทคโนโลยีสมัยใหม่ยังสามารถตรวจหาความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่ทำให้เรา ห่างไกลมะเร็ง มากขึ้นไปอีกก้าวหนึ่งด้วย แบบนี้เรามีโอกาสรู้ล่วงหน้าได้เลยนะ ว่าเรามีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งในอนาคตหรือป่าว ถ้ามีเรามีความเสี่ยงเป็นมะเร็งอะไร ทำให้เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งได้ แบบนี้ช่างสุดยอดจริงๆ ทำให้โอกาสที่คนจะเป็นมะเร็งลดน้อยลง และไม่แน่ว่าในอนาคตโรคมะเร็งอาจจะหายไปจากโลกนี้เลยก็ว่าได้

ช่างน่าอิจฉาคนยุคใหม่นี้เสียจริงๆ ว่ามั้ยคะ พวกคุณช่างเป็นคนที่โชคดีมากถึงมากที่สุด โชคดีที่มีโอกาสรู้เกี่ยวกับมะเร็ง โชคดีที่มีคนให้คำแนะนำวิธีป้องกันมะเร็ง โชคดีที่มีคนคิดค้นวิธีลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้สำเร็จ โชคดีที่มีเทคโนโลยีในการตรวจหาความเสี่ยงมะเร็งในตัวคุณก่อนที่คุณจะเป็นมะเร็งเสียอีก ความโชคดีนี้เกิดจากการหลายคนต้องสูญเสียคนที่รักจากโรคมะเร็ง ทำให้มีการคิดค้นและทำทุกวิถีทางที่จะป้องกันไม่ให้คนป่วยเป็นโรคมะเร็ง ถือว่าคุณจึงเป็นคนยุคใหม่ที่โชคดีเป็นคนยุคใหม่ห่างไกลจากโรคมะเร็ง แล้ววันนี้คุณเป็นคนยุคใหม่ที่ ห่างไกลมะเร็ง แล้วหรือยัง?

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สู้มะเร็งไม่ได้ ก็ตายกันไป

0
สู้มะเร็งไม่ได้ ก็ตายกันไป
มะเร็งสามารถเป็นได้ทุกคนแบบไม่ทันตั้งตัวแต่ก็สามารถรักษาหายได้ ถ้ามีกำลังใจที่เข้มแข็งก็จะสามารถเอาชนะมะเร็งได้
สู้มะเร็งไม่ได้ ก็ตายกันไป
มะเร็งสามารถเป็นได้ทุกคนแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ก็สามารถรักษาหายได้ ถ้ามีกำลังใจที่เข้มแข็งก็จะสามารถเอาชนะมะเร็งได้ง่ายๆ

สู้มะเร็งไม่ได้ ก็ตายกันไป

มะเร็ง เป็นแขกไม่ได้รับเชิญที่แอบย่องเข้ามาในร่างกายเรา ใครๆ ก็ไม่อยากเป็นมะเร็งรวมถึงตัวดิฉันด้วย แม้เราจะไม่อยากเป็นมะเร็งมากแค่ไหน แต่บางครั้งมะเร็งยังแอบย่องเข้ามาในร่างกายของเราอยู่ดี รู้มั้ยคะ!! ว่าครั้งแรกที่ดิฉันรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้ามันดับวูบชีวิตนี้มีแต่ความสิ้นหวัง ในใจร่ำร้องว่าทำไมต้องเป็นดิฉัน ทำไมไม่เป็นคนอื่น สมองไม่รับรู้อะไรแล้ว ขนาดว่าตัวเองเดินออกมาจากห้องตรวจได้ยังไงยังไม่รู้ตัวเลย มารู้สึกตัวก็ตอนที่แฟนเข้ามาถามว่าผลเป็นยังไง เท่านั้นแหละค่ะ น้ำตาที่เอ่ออยู่ที่ขอบตามันไหลพรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำ ดิฉันบอกได้เลย ณ เวลานั้น ดิฉันคิดแต่ว่าดิฉันต้องตายแน่ๆ ดิฉันต้องจากลูกอันเป็นที่รักตั้งแต่ลูกยังเล็กเหลือเกิน ได้แต่คิดว่าลูกจะอยู่กับใครถ้าดิฉันตายไป เวลาลูกร้องไห้ใครจะคอยปลอบ เวลาลูกหิวใครจะคอยป้อนข้าวป้อนน้ำ เวลานอนใครจะคอยกล่อมให้หลับ คิดแต่ว่าตัวเองต้องตายเท่านั้น และดิฉันเชื่อว่าทุกคนที่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งก็คิดว่าตัวเองต้องตายเหมือนกันใช่มั้ยค่ะ ไม่มีใครที่พอรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งแล้วจะคิดว่าตัวเองรอดแน่ๆ แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นมันได้ผ่านไปแล้ว ประสบการณ์ครั้งนั้นเป็นบทเรียนอันมีค่าสำหรับดิฉันและครอบครัว ถ้าเป็นคุณเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งจะทำยังไง ยอมรับโชคชะตาและตายไปกับมะเร็งหรือสู้กับมะเร็งจนชนะ

มะเร็ง เป็นโรคที่ร้ายแรง ใครได้ยินต่างก็กลัวกันทุกคนแต่คุณรู้หรือไม่ว่ามะเร็งเป็นโรคที่รักษาให้หายได้นะ แต่การที่จะรักษามะเร็งให้หายได้นั้น นอกจากวิทยาการทางการแพทย์และยาที่หมอใช้ในการรักษาแล้ว ยังมียาอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยรักษาโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี ยาชนิดนี้จะทำให้ยาที่เรากินเข้าไปทำลายเชื้อมะเร็งให้ตายได้ ยาชนิดนี้ช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ยาชนิดนี้ทำให้มะเร็งไม่สามารถแพร่ขยายหรือลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ ได้ ยาชนิดนี้ทำให้ก้อนมะเร็งก้อนใหญ่ๆ ฟ่อเล็กลงจนหายไปในที่สุด

คุณรู้ไหมว่ายาชนิดนี้คือยาอะไร? ยาชนิดนี้ คือ กำลังใจของผู้ป่วยโรคมะเร็งไงคะ กำลังใจของคนที่ป่วยเป็น มะเร็ง นี่เป็นยาขนานเอกที่ทำให้เราสามารถเอาชนะโรคมะเร็งได้ ดิฉันเองเคยท้อแท้และสิ้นหวังเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง แต่ดิฉันก็ผ่านสถานการณ์นั้นมาได้ด้วยกำลังใจจากสามีผู้เป็นที่รัก จากคนในครอบครัวทุกคนและกำลังใจของตัวดิฉันเอง กำลังใจที่อยากจะมีชีวิตอยู่กับคนที่รักทุกคน หลังจากที่ท้อแท้สิ้นหวังอยู่ไม่ยอมทำอะไรสักอย่างอยู่พักใหญ่ สามีก็เข้ามาเตือนสติว่า “ ถ้าคุณไม่สู้แล้วลูกจะอยู่กับใคร ไม่มีใครช่วยคุณได้ถ้าคุณไม่ลุกขึ้นสู้ด้วยตัวของคุณเอง ” ซึ่งมันก็จริงอย่างที่สามีของดิฉันพูด เพราะว่าถ้าตัวดิฉันไม่ยอมต่อสู้กับโรคมะเร็งแล้วใครจะช่วยดิฉันได้ แม้แต่ตัวดิฉันเองยังไม่ยอมช่วยตัวเองเลยและถ้าดิฉันตายไปใครอยู่กับลูก ใครจะดูแลลูกได้ดีเหมือนแม่คงไม่มีหรอกจริงไหมค่ะ คิดได้อย่างนั้นดิฉันก็ตั้งปณิธานเลยว่าดิฉันจะสู้กับโรคมะเร็ง ดิฉันต้องรักษาโรคมะเร็งให้หายให้จงได้ ดิฉันจะไม่ยอมแพ้ มะเร็ง ร้ายอย่างเด็ดขาดต่อให้การรักษามะเร็งจะต้องเจ็บปวด ทรมานมากแค่ไหนดิฉันก็จะอดทนและสู้เพื่อที่ดิฉันจะได้อยู่ต่อไป เมื่อถึงเวลาทำการรักษาดิฉันตั้งใจทำตามที่หมอบอกทุกอย่างอย่างเคร่งครัด ดิฉันอดทนต่อความเจ็บปวดและทรมานในขั้นตอนการรักษาไม่เคยท้อแท้ที่จะไม่ยอมรักษาต่อแม้แต่น้อย และในที่สุดดิฉันก็สมหวังตามที่ตั้งใจไว้ เพราะว่าตอนนี้ดิฉันหายจากโรคมะเร็งแล้ว แต่ใช่ว่าทุกคนที่จะสู้เหมือนดิฉัน เพราะยังมีคนอีกหลายคนที่พอรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งก็สิ้นหวัง หมดกำลังใจ ท้อแท้กับชีวิต ไม่ยอมต่อสู้กับมะเร็ง แม้ว่าคนรอบข้างจะเพียรบอกให้สู้ เฝ้าบอกให้มีความหวังที่จะรอดจากมะเร็งร้าย แต่สิ่งที่พูดออกไปกลับไม่เป็นผล เนื่องจากตัวผู้ป่วยเองไร้ซึ่งความหวังที่จะมีชีวิตต่อไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้กับโรคมะเร็งที่เป็นอยู่ ถ้าเป็นเช่นนั้นดิฉันขอบอกได้เลยว่ามะเร็งได้ชนะคุณขาดลอยแล้วค่ะ เชื้อมะเร็งกำลังเฉลิมฉลองอยู่ในร่างกายของคุณ มันกำลังกัดกินอวัยวะของคุณอย่างเมามันส์ ก็แม้แต่เจ้าของร่างกายยังไม่ต้องการที่จะรักษามะเร็งให้หายเลย ต่อให้ยาที่ใช้รักษานั้นดีเลิศหรือวิเศษมากแค่ไหนก็คงช่วยรักษามะเร็งให้หายไม่ได้ เพราะตัวคุณเองไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว

คุณจะเลือกได้หรือยังค่ะว่าจะเป็นแบบไหน? ระหว่างสู้กับ มะเร็ง จนหายหรือยอมตายไปกับมะเร็ง เพราะคนที่เป็นมะเร็งแล้วไม่สู้ คุณก็ต้องตายไปพร้อมกับมะเร็งนั่นแหละแต่ถ้าคุณเป็นมะเร็งแล้วสู้ คุณก็จะรอดจากมะเร็งเหมือนกับดิฉันไงค่ะ ที่สู้กับมะเร็งเต้านมจนหายเป็นปกติกลับมาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวที่รัก จากวันนั้นจนถึงวันนี้ดิฉันได้เกิดใหม่เป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ดิฉันผ่านบทเรียนชีวิตมาแล้ว รู้ว่าถ้าเราสู้เราก็มีโอกาสที่จะอยู่ต่อไป แต่ถ้าเราไม่สู้เราก็ต้องตายไป ดิฉันหวังว่าคนที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นมะเร็งจะต่อสู้กับโรคมะเร็งจนถึงที่สุด

Content by Amprohealth 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

I am text block. Click edit button to change this text. Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

แสงแดดเสริมสร้างกระดูก

0
แสงแดดกับการเสริมสร้างกระดูก
แสงแดดมีวิตามินดี ที่ใช้ในการนำแคลซียมเข้าสู่ร่างกาย
แสงแดดกับการเสริมสร้างกระดูก
แสงแดดมีวิตามินดี ที่ใช้ในการนำแคลซียมเข้าสู่ร่างกาย

แสงแดดเสริมสร้างกระดูก

แสงแดดเสริมกระดูกให้แข็งแรง เป็นอวัยวะที่มีความความแข็งมากที่สุดในร่างกาย เปรียบเสมือนเกราะกำบังให้กับอวัยวะต่างๆที่ล้วนมีแต่ความบอบบาง และกระดูกยังเป็นโครงสร้างของร่างกาย เป็นฐานที่ยึดเกาะของอวัยวะ ทำให้ร่างกายมนุษย์คงรูปอยู่ได้ แต่แม้ว่าจะมีความแข็งแรงเพียงใด กระดูกก็สามารถที่จะเสี่ยมสลายได้เช่นเดียวกัน โดยปกติกระดูกมักจะมีการเสื่อม สลายอยู่ตลอดเวลา แต่ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะทำการสร้างมวลกระดูกใหม่ขึ้นมาทดแทนอย่างเสมอ จึงทำให้ตัวเราอาจไม่เห็นความแตกต่างจากภายนอกมากนัก

เมื่อการสลายตัวของกระดูกยังคงเกิดขึ้นปกติ แต่ไม่มีการสร้างมวลกระดูกใหม่ขึ้นมาทดแทน ก็ย่อมจะทำให้สุขภาพของกระดูกผิดปกติไป โดยเราอาจเรียกสภาวะนี้วะ “โรคกระดูกพรุน” ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ โรคกระดูกพรุนมีปัจจัยในการเกิดของโรคได้จากหลายสาเหตุ แต่มีหนึ่งในสาเหตุที่สำคัญคือ การขาดวิตามินดี ซึ่งเป็นวิตามินที่มีประโยชน์ ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง

โรคกระดูกพรุน คืออะไร ?

ภาวะที่ร่างกาย มีความหนาแน่นของกระดูกลดลง เนื่องจากปริมาณแคลเซียมในกระดูกลดน้อยลง ส่งผลทำให้เกิดอาการที่เกี่ยวกระดูก เช่น กระดูกเปราะบาง แตกหักได้ง่ายกว่าปกติ โดยผลกระทบที่จะตามมาคือ การเคลื่อนไหวร่างกายอาจทำได้ยากขึ้น อาจรู้สึกปวดตามร่างกายมากขึ้น และหากปล่อยไว้ไม่รักษา อาจร้ายแรงจนส่งผลให้เกิดความพิการได้เลย โรคกระดูกพรุนมักเกิดขึ้นได้บ่อยๆ กับเพศหญิงที่อยู่ในภาวะหมดประจำเดือนแล้ว ผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย และยังรวมถึงผู้ที่ไม่ค่อยได้รับแสงแดดด้วย

แสงแดดมีผลต่อระบบกระดูกอย่างไร ?

เนื่องจากกระดูกมีสารแร่ธาตุที่เป็นปัจจัยในการซ่อมและสร้าง คือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินดี ซึ่งตัวที่มีบทบาทสำคัญมากที่สุดก็คือ แคลเซียม และ ฟอสฟอรัส โดยแคลเซียมจะเข้าสู่ร่างกายได้ดี ก็ต่อเมื่อได้รับปริมาณวิตามินดีที่เพียงพอ ซึ่งวิตามินดี ที่มีประสิทธิในการนำแคลเซียมจะเข้าสู่ร่างกาย จะต้องมาจากธรรมชาติ คือวิตามินดี ที่มาจากการได้รับแสงแดด โดยปกติ เมื่อร่างกายขอมนุษย์ได้รับแสงแดดจากพระอาทิตย์ ในปริมาณที่เหมาะสม ประมาณ 10 -15 นาทีต่อวัน จะสามารถแปรรูปแสงแดดที่ได้รับให้เป็น วิตามดีให้กับร่างกายได้อย่างเหมาะสม

ระบบกระดูกกับความสำคัญของวิตามินดี

วิตามินดี จะทำหน้าที่ไปช่วยกระตุ้นให้การดูดซึมของแคลเซียมและฟอสฟอรัส เข้าสู่ร่างกายในผนังลำไส้เล็กได้ดียิ่งขึ้น เพราถ้าวิตามินดี ที่มีคุณภาพไม่ดีเพียงพอ จะส่งผลให้แคลเซียมจะถูกขับออกจากร่างกาย ทำให้กระดูกไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้เลย นอกจากนี้ วิตามินดียังมีหน้าที่ควบคุมปริมาณแคลเซียมและฟอสฟอรัสในกระแสเลือด ไม่ให้ต่ำลงจนเกิดอันตรายต่อร่างกาย โดยค่าปกติของแคลเซียมที่ต้องมีอยู่ในกระแสเลือดต้องไม่น้อยกว่า 7 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากผู้ใดที่มีปริมาณของแคลเซียมต่ำกว่านี้ จะส่งผลให้เกิดความผิดปกติในร่างกายได้ เช่น เป็นตะคริว มี  อาการกระตุก เลือดเป็นกรด ดังนั้น ร่างกายจึงต้องทำการสลายแคลเซียมออกมาจากกระดูก เพื่อนำมาทำให้เกิดการปรับสมดุลในเลือดให้กลับเป็นปกติ ซึ่งหากเกิดขึ้นนานๆและบ่อยๆ จะเป็นสาเหตุของโรคกระดูกบาง และโรคกระดูกพรุน

แหล่งอาหารเสริมกระดูกแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินดี

จากข้อมูลข้างต้นจะพบว่า สารอาหารเสริมกระดูกให้แข็งแรงอย่าง แคลเซียมและฟอสฟอรัส รวมถึงวิตามินดี ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างกระดูก และเป็นตัวส่งเสริมทำให้กระดูกมีความแข็งแรง คงทน ไม่แตกหักง่าย ดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหาการเกิดโรคเกี่ยวกับกระดูก จึงควรบริโภคอาหารเสริมกระดูกที่มีส่วนประกอบของ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินดี ดังต่อไปนี้

  • เสริมกระดูกด้วยผักสีเขียวจัด เช่น ผักคะน้า ใบชะพลู ใบยอ ตำลึง ผักโขม และอื่นๆ ที่มีสีเขียว
  • เสริมกระดูกด้วยเมล็ดถั่ว เช่น ถั่วแดงหลวง ถั่วตาดำ ถั่วลันเตา ถั่วเหลือง ถั่วเขียว เห็ดหูหนู เม็ดบัว เต้าหู้
  • เสริมกระดูกด้วยธัญพืช เช่น เมล็ดงา ข้าวกล้อง รำข้าวทั้งหลาย จมูกข้าวทั้งหลาย งาขี้ม้อน
  • เสริมกระดูกด้วยผลไม้และผักผล เช่น กล้วยทั้งหลาย โดยเฉพาะกล้วยหอม ข้าวโพด ฟักทอง มะเขือเทศ เป็นต้น

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่างๆ ที่มีการอวดอ้างสรรพคุณเกี่ยวกับการเสริมสารอาหารที่มีผลดีต่อร่างกายและกระดูก เช่น มีการโฆษณาว่ามากไปด้วยแคลเซียม แต่แท้ที่จริงแล้วแคลเซียมในอาหารเสริมเหล่านี้ เป็นแคลเซียมจากเคมีที่ถูกสร้างขึ้น ไม่ใช่แคลเซียมจากธรรมชาติ จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการซ่อมแซมกระดูกที่สึกหรอได้เพียงแค่ 30 % เท่านั้น ส่วนแคลเซียมปริมาณที่เหลือ จะไปเกาะที่อื่นๆของร่างกาย หากโชคร้าย เจอสารออกซาเลตจากอาหารชนิดอื่นๆก็อาจทำให้เกิดเป็นโรคนิ่วได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรเลือกทานอาหารที่มากไปด้วยแคลเซียมจากธรรมชาติแทนการเสริมแคลเซียมจากอาหารเสริมต่างๆ ดังอาหารต่อไปนี้

เสริมกระดูกด้วยงาดำ

งาดำ เป็นอาหารที่มากไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น แมกนีเซียม สังกะสี ธาตุเหล็ก วิตามินอี วิตามินซี วิตามินบีชนิดต่างๆ เป็นต้น ในงาดำยังมากไปด้วยแคลเซียม ซึ่งมีปริมาณที่มากกว่าที่พบได้ในนมเสียอีก นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่ช่วยนำแคลเซียมไปสร้างกระดูกได้ เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แต่เนื่องจากงาดำ เป็นอาหารที่มีฤทธิ์ร้อนมากๆ จึงเหมาะสมกับผู้ที่อยู่ในประเทศเขตอาหารหนาวเย็น ส่วนผู้ที่อยู่ในประเทศเขตร้อน ควรทานงาดำคู่กับ กล้วยน้ำว้าสุกและรำข้าว เนื่องจากกล้วยน้ำว้าสุกและรำข้าว เป็นอาหารที่มีแคลเซียมฤทธิ์เย็น ช่วยทำให้แคลเซียมจากงานลดความร้อนลง ซึ่งวิธีการทานงาดำให้ได้ประโยชน์สูงสุดคือ นำงาดำมาคั่วแล้วตำให้ละเอียดมากที่สุดก่อนที่จะนำไปทานหรือปรุงอาหาร

เสริมกระดูกด้วยกล้วยน้ำว้า

กล้วยน้ำว้าเป็นไม้ที่นิยมปลูกกันทั่วไป มากไปด้วยสารอาหารอย่าง แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และยังประกอบไปด้วยวิตามินอีกหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี 6 และ วิตามินบี 12 เป็นต้น เป็นอาหารที่มีฤทธิ์เย็น มีสรรพคุณทางยา เช่น ช่วยเคลือบ รักษาแผล และรักษาโรคกระเพาะได้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น บำรุงสมอง นอกจากนี้ยังสามารรักษาโรคริดสีดวงได้ด้วย

เสริมกระดูกด้วยรำข้าว

รำข้าวเป็นอีกหนึ่งชนิดอาหารที่มีฤทธิ์เย็น มีหลายชนิด เช่น รำข้าวสาลี รำข้าวเจ้า โดยปกติเรามักหาซื้อรำข้าวสาลีได้ตามร้านค้าทั่วไป ไม่เหมือนรำข้าวเจ้าที่หาซื้อได้ยากกว่า รำข้าวสาลีประกอบไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อร่างกายหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็กและใยอาหารชั้นดี และยังมากไปด้วยวิตามินต่างๆ อาทิเช่น วิตามินเอ วิตามินอี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 และวิตามินซี เป็นต้น รำข้าวมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลายเช่นกัน ทั้งช่วยรักษาระดับความดันในเลือด ป้องกันโรคเหน็บชา ช่วยบำรุงเลือด บำรุงกระดูก มีสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็ง และช่วยต้านโรคเบาหวานได้

ปัจจัยที่ลดประสิทธิภาพแคลเซียม

นอกจากอาหารจะช่วยเสริมปริมาณแคลเซียมให้กับร่างกายแล้ว ก็ยังมีปัจจัยหลายๆอย่าง ที่ส่งผลเสียต่อระดับแคลเซียมในร่างกาย เพราะหากได้รับสิ่งต่างเหล่านั้นในปริมาณที่มากเกินไป อาจจะส่งผลไปลดประสิทธิภาพแคลเซียมในร่างกายได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งมีปัจจัยต่างๆ ดังนี้

1. อาหารรสเค็มจัด เนื่องจากอาหารที่มีรสเค็มจัด มักจะมากไปด้วยปริมาณของโซเดียม เมื่อร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป จะส่งผลให้ต้องทำการขับออกด้วยกระบวนการทางร่างกาย โดยปริมาณโซเดียมที่ออกไปจะมีแคลเซียมติดไปด้วยเสมอ ทำให้ร่างกายมีปริมาณแคลเซียมลดลง

2. โปรตีนจากเนื้อสัตว์ (โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ 4 ขา และสัตว์ปีก) เนื่องจากหากร่างกายได้รับอาหารประเภทนี้มากเกินไป จะส่งผลให้มีภาวะเลือดเป็นกรด จึงทำให้ร่างกายต้องดึงแคลเซียมออกจากกระดูก เพื่อปรับให้เลือดกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

3. เครื่องดื่มคาเฟอีนต่างๆ เช่น ชา กาแฟ โกโก้ เครื่องดื่มที่มากไปด้วยสารคาเฟอีน จะไปทำให้มีการขับแคลเซียมออกจากร่างกายมากขึ้น

4. เครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม เนื่องจากในน้ำอัดลมจะมากไปด้วยสารอย่างฟอสฟอรัส โดยฟอสฟอรัสจะไปรวมตัวกับแคลเซียม ก่อนที่ร่างกายจะนำแคลเซียมไปใช้ในระบบปกติ ทำให้แคลเซียมในร่างกายลดน้อยลง นอกจากนี้น้ำอัดลมบางชนิด ยังมีส่วนประกอบของสารคาเฟอีนผสมอยู่ด้วย จึงทำให้มีการสูญเสียแคลเซียมมากขึ้นไปอีก

5. สุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากแอลกอฮอล์จะไปขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย และยังไปกระตุ้น การขับแคลเซียมออกจากร่างกายทางปัสสาวะให้มากขึ้นอีกด้วย

6. บุหรี่ ในบุหรี่จะมากไปด้วยสารต่างๆ ที่เป็นโทษต่อร่างกาย รวมถึง สารนิโคติน ที่จะไปขัดขวางร่างกาย ในการนำแคลเซียมไปใช้

7. ยาบางชนิด ในยาบางชนิดอาจจะไปทำปฏิกิริยากับกับแคลเซียม ส่งผลให้ร่างกายได้รับปริมาณแคลเซียมน้อยลง เช่น ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร ยาสเตียรอยด์ ยารักษาโรคเบาหวาน ยาป้องกันอาการชัก ฮอร์โมนไทรอยด์ เป็นต้น และหากได้รับในปริมาณมากและติดต่อกันเวลานาน จะส่งผลต่อกระดูกให้เสื่อมเร็วมากขึ้น

พฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อกระดูกเสื่อม

พฤติกรรมปกติ บางอย่างในชีวิตประจำวันของมนุษย์ สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพของกระดูกได้เช่นกัน โดยเป็นสิ่งที่ควรเลี่ยงเพื่อช่วยป้องกันกระดูกไม่ให้เสื่อมก่อนเวลาอันควร ดังนี้

  • หิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ หากต้องยกของที่มีน้ำหนักมากควรใช้การยกที่เต็มมือ หรือใช้สองมือยกพร้อมกันจะดีที่สุด
  • นั่งไขว่ห้าง การนั่งไขว่ห่างบ่อยๆ สามารถส่งผลเสียต่อกระดูกได้เช่นกัน โดยจะทำให้เกิดการกดทับของเส้นประสาทและเส้นเลือดบริเวณต้นขาถูกกดทับ
  • นั่งหลังงอหรือนั่งหลังค่อม หากทำบ่อยๆ อาจส่งผลให้กระดูกสันหลังขดคอ แลเปลี่ยนรูปไป
  • นั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น ทำให้กล้าเนื้อหลัง และกระดูกหลังต้องทำงานหนักมากขึ้น จากการที่ฐาน(ก้น) รองรับน้ำหนักตัวได้ไม่เต็มที่
  • ยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว ทำให้ขาอีกข้างต้องรับน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น
  • ยืนแอ่นพุงหรือหลังค่อม ทำให้กระดูกบริเวณหลังอาจมีการขดเกิดขึ้นได้
  • ขดตัวหรือนอนตัวงอ หากทำติดต่อกันบ่อยๆ โครงสร้างกระดูกหลังอาจมีความผิดปกติเกิดขึ้นได้
  • สะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ทำให้กระดูกฝั่งที่รับน้ำหนักต้องทำงานหนัก ดังนั้นหากกระเป๋าใบใหญ่และมีน้ำหนักมากควรเปลี่ยนวิธีการสะพายเป็นแบบ 2 ฝั่ง หรือการถือด้วยมือดีกว่า
  • ใส่ส้นสูงเกิน 1.5 นิ้ว นอกจากเสี่ยงต่อการพลิกของข้อเท้า และอาการปวดบริเวณเท้าแล้ว การใส่รองเท้าที่มีส้นสูงมากๆและบ่อยๆ ก็อาจมีผลกระทบต่อโรคเข่าเสื่อมได้ด้วยเช่นกัน

กระดูกมีความสำคัญต่อร่างกายมนุษย์เป็นอย่างมาก และแม้ว่ากระดูกจะมีวันที่ต้องเสื่อมไปตามสภาพของอายุ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในผู้สูงอายุเป็นส่วนมาก แต่หากขาดการดูแลสุขภาพของกระดูกที่ดี ก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดอาการเสื่อมในกระดูกก่อนวัยอันควรได้เช่นกัน ดังนั้นหากไม่อยากให้ภาวะกระดูกเสื่อมเกิดขึ้นกับตนเอง จะต้องรู้จักดูแลสุขภาพกระดูกของตนเองให้ดีอยู่เสมอ โดยการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ และมากไปด้วยสารบำรุงกระดูกอย่าง แคลเซียมและวิตามินดี นอกจากนี้ยังควรรู้จักเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อกระดูกด้วย อย่าปล่อยให้สุขภาพกระดูกเสื่อมไปก่อนวัยอันควร เพราะแม้อาจจะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่มันก็ทำลายความสุขในชีวิตของคนเราลงไปมากเลยทีเดียว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

นิดดา หงษ์วิวัฒน์. แสงแดด โอสถมหัศจรรย์ แสงแห่งชีวิตที่เป็นยารักษาโรค. กรุงเทพฯ : บริษัท สำนักพิมพ์แสงแดด จำกัด, 2558., 223 หน้า. ISBN 978-616-284-592-5

MacAdam, David L. (1985). Color Measurement: Theme and Variations (Second Revised ed.). Springer. pp. 33–35. ISBN 0-387-15573-2.

มารู้จักฉลากโภชนาการกันเถอะ

0
มารู้จักฉลากโภชนาการกันเถอะ
ฉลากที่ถูกติดไว้บนผลิตภัณฑ์อาหารหรือเครื่องดื่มสำเร็จรูป เพื่อบอกข้อมูลส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารให้กับผู้บริโภค
มารู้จักฉลากโภชนาการกันเถอะ
ฉลากที่ถูกติดไว้บนผลิตภัณฑ์อาหารหรือเครื่องดื่มสำเร็จรูป เพื่อบอกข้อมูลส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารให้กับผู้บริโภค

ฉลากโภชนาการกันเถอะ

ฉลากโภชนาการ ในผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปต่างๆ มากมาย ที่มีขายอยู่ในปัจจุบันนี้ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมประเภทต่างๆ อาหารกล่องแช่แข็ง รวมถึง เครื่องดื่มชนิดต่างๆ เป็นต้น ล้วนแต่มีส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารที่แตกต่างกันออกไป โดยปกติแล้ว   ตัวของผู้บริโภคสามารถตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง จากการอ่านฉลากรูปทรงสี่เหลี่ยม ที่ติดอยู่บนผลิตภัณฑ์ต่างๆเหล่านั้น ซึ่งฉลากสี่เหลี่ยมที่ว่าจะนี้ถูกเรียกว่า “ ฉลากโภชนาการ ” ถูกติดไว้สำหรับเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการเลือกซื้อสินค้าให้กับผู้บริโภค

ฉลากโภชนาการ คืออะไร?

ฉลากโภชนาการ หมายถึง ฉลากที่ถูกติดไว้บนผลิตภัณฑ์อาหารหรือเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดต่างๆ เพื่อบอกข้อมูลทางด้านโภชนาการ เช่น ปริมาณและส่วนประกอบ คุณค่าทางอาหาร วันที่ผลิต สรรพคุณต่างๆ เป็นต้น โดยปกติแล้ว ฉลากโภชนาการมักเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม ติดไว้ที่ด้านหลังหรือด้านข้างของผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้นๆ ฉลากโภชนาการจะประกอบไปด้วยข้อมูลหลักๆ 3 ส่วนที่สำคัญ คือ

1. ข้อมูลภายในกรอบข้อมูลโภชนาการ

2. ข้ออ้างสรรพคุณต่อสุขภาพ เช่น มีปริมาณไขมันต่ำ ปลอดน้ำตาล (Sugar Free) ไม่มีคลอเรสตอรอล มีโปรตีนสูง และ เสริมวิตามินซี เป็นต้น

3. รายการเครื่องปรุงหรือองค์ประกอบของอาหารที่เรียงลำดับจากองค์ประกอบมากที่สุดไปจนถึงน้อยที่สุด

การแสดงฉลากโภชนาการจะต้องเป็นการแสดงโดยสมัครใจสำหรับผลิตภัณฑ์ทุกชนิด โดยที่ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป บางชนิดก็ได้รับข้อยกเว้น ให้ไม่ต้องมีฉลากโภชนาการได้ เช่น อาหารที่บรรจุในห่อขนาดเล็ก อาหารที่ทำขึ้นในร้าน หรืออาหารที่ผลิตจากผู้ผลิตรายเล็ก และผู้ผลิตที่ทำการแสดงฉลากโภชนาการบนผลิตภัณฑ์จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ถูกกำหนดไว้

ประโยชน์ของฉลากโภชนาการ

สำหรับฉลากโภชนาการที่ถูกติดไว้บนผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆ นั้น มีจุดประสงค์เพื่อให้เป็นประโยชน์โดยตรงแก่ผู้บริโภค ดังต่อไปนี้

  • เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคได้เปรียบเทียบข้อมูลสินค้าในชนิดเดียวกัน
  • เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อร่างกาย
  • เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับผู้ป่วยบางประเภท เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน สามารถดูได้ว่าผลิตภัณฑ์ชนิดใดที่ปราศจากน้ำตาล หรือ มีปริมาณน้ำตาลที่ต่ำ

ตัวอย่างความหมายของฉลากโภชนาการ

  • ขนาดหน่วยบริโภค คือ ปริมาณของผลิตภัณฑ์อาหารชนิดนั้นๆที่เหมาะสม ที่แนะนำให้บริโภคต่อหนึ่งครั้ง ซึ่งจะมีการบอกน้ำหนักหรือปริมาตรในฉลากให้เห็น
  • จำนวนหน่วยบริโภคต่อกล่อง/ถุง/ซอง คือปริมาณครั้งที่กินได้ใน 1 หน่วยบริโภคที่ระบุไว้ เช่น หากระบุไว้ว่าเท่ากับ 3 หน่วยบริโภค จะหมายถึง สามารถกินได้ 3 ครั้ง แต่ถ้ากินหมดภายในครั้งเดียว ปริมาณของโภชนาการที่ได้ต้องคูณ 3 เข้าไปด้วย
  • พลังงานต่อหน่วยบริโภค คือ ข้อมูลที่แจ้งให้ทราบว่า หากรับประทานตามปริมาณที่ระบุไว้ใน “หนึ่งหน่วยบริโภค” แล้วจะได้รับพลังงานเท่าใด และมีพลังงานจากไขมันเท่าใด เพื่อเป็นข้อมูลในการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์อาหารในประเภทเดียวกัน แต่ต่างยี่ห้อกัน ว่าผลิตภัณฑ์ใดให้พลังงานมากน้อยกว่ากัน
  • พลังงานจากไขมัน คือปริมาณของไขมันทั้งหมดในอาหารชนิดนั้นต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมและหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง โดยปริมาณไขมัน 1 กรัม จะให้พลังงานกับร่างกายเท่ากับ 9 แคลอรี่
  • ร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวัน (%DV หรือ Daily Value) คือ ค่าเฉลี่ยของสารอาหารชนิดนั้นๆ ว่ามีคุณค่าทางโภชนาการ คิดเป็นร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวันได้เท่าไร โดยจะทำการยึดระดับ 2,000 แคลอรีเป็นหลัก เช่น หากมีความต้องการได้รับสารอาหารบางชนิดต่ำ ต้องเลือกอาหารที่มี %DVต่ำ(น้อยกว่า 5 %DV)

ตัวอย่างเช่น อาหารมีไขมันรวม 3 กรัมต่อหน่วยบริโภค เท่ากับ 5% DV มีความหมายว่า เมื่อกินอาหารชนิดนี้ 1 หน่วยบริโภค จะได้ไขมัน 5% ของปริมาณไขมันที่ต้องการใน 1 วัน

  • ไขมันรวม คือปริมาณของไขมันทั้งหมดในอาหารชนิดนั้นๆ ที่มีทั้งไขมันชนิดดี และไขมันชนิดไม่ดี ต่อ 1 หน่วยบริโภค ผู้บริโภคควรเลือกอาหารที่มีปริมาณไขมันอิ่มตัวต่ำที่สุด คือพยายามให้น้อยกว่า 1 กรัม ต่อ 1 หน่วยบริโภค และสูงสุดไม่ควรเกิน 3 กรัม ต่อ 1 หน่วยบริโภค
  • ไขมันอิ่มตัว คือ ปริมาณไขมันอิ่มตัวของอาหารชนิดนั้นใน 1 หน่วยบริโภค ซึ่งผู้บริโภคควรเลือกทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวให้น้อยกว่า 1 กรัมต่อ 1 หน่วยบริโภค เนื่องจากไขมันชนิดนี้จะส่งผลต่อการเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย
  • ไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวและหลายตำแหน่ง สำหรับข้อนี้ในประเทศไทย ยังไม่มีการบังคับให้อาหารต่างๆต้องระบุ ยกเว้นสินค้าในกลุ่มของน้ำมันพืช
  • ไขมันทรานส์ คือ ไขมันชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย อาจะทำให้เกิดโรคหัวใจได้ ควรเลือกอาหารที่มีไขมัน ทรานส์น้อยหรือหากไม่มีเลยจะดีที่สุด     
  • คอเลสเตอรอล คือ ไขมันชนิดที่ไม่ดี ควรเลือกอาหารที่มีคอเลสเตอรอลปริมาณน้อยกว่า 200 มิลลิกรัม ต่อวัน เพราะจะไปส่งผลทำให้ค่า LDL ในเลือดสูงขึ้น
  • โซเดียม คือ ปริมาณโซเดียมที่มีในอาหาร หากได้รับมาก แม้จะไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด แต่จะมีผลเรื่องความดันโลหิต ดังนั้นควรเลือกอาหารที่มีโซเดียมน้อยไม่เกิน 140 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค
  • คาร์โบไฮเดรตรวม คือ ปริมาณของคาร์โบไฮเดรตที่มีในอาหารชนิดนั้นๆ นอกจากปริมาณแล้ว ในฉลากยังจะระบุปริมาณของ ใยอาหารและน้ำตาลไว้ด้วย ซึ่งถ้าในฉลากระบุว่าไม่มีการเติมน้ำตาลเลย จะหมายถึง อาหารชนิดนั้นมีส่วนผสมของน้ำตาลจากธรรมชาติ แต่ถ้าเติมน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ ปริมาณน้ำตาลที่ระบุจะหมายถึงน้ำตาลธรรมชาติรวมกับน้ำตาลที่เติม หรืออาจจะมีน้ำตาลแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ ซึ่งจะต้องระบุไว้ในรายการเครื่องปรุงหรือองค์ประกอบของอาหารเสมอ โดยข้อมูลตรงส่วนนี้จะมีประโยชน์มากกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานในการเลือกทานอาหารต่างๆเป็นอย่างมาก

ฉลากโภชนาการกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน จะต้องระมัดระวังพฤติกรรมในการทานอาหารมากกว่าคนปกติ เพื่อป้องกันและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในอยู่ในค่ามาตรฐานเสมอ ดังนั้นฉลากโภชนาการจึงมีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะค่าของปริมาณคาร์โบไฮเดรตรวม ที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ ดังต่อไปนี้

  • ถ้าฉลากโภชนาการระบุว่ามีใยอาหารปริมาณเท่าไหร่ (มากกว่า 5 กรัม) ให้นำตัวเลขนั้นไปหักออกจากปริมาณคาร์โบไฮเดรตทั้งหมด วิธีนี้ใช้กับผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องให้อินซูลิน

ตัวอย่างเช่น
คาร์โบไฮเดรตทั้งหมดเท่ากับ 12 กรัม ใยอาหาร 9 กรัม = คาร์โบไฮเดรตที่ต้องนับได้คือ 3 กรัม

  • ถ้าข้อมูลฉลากโภชนาการระบุว่ามีน้ำตาลแอลกอฮอล์ หรือ สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ซึ่งมีแคลอรีต่ำ เป็นส่วนผสม (มากกว่า 10 กรัมขึ้นไป )จำนวนครึ่งหนึ่งต้องนำไปหักออกจากคาร์โบไฮเดรตทั้งหมด

ตัวอย่างเช่น
คาร์โบไฮเดรตทั้งหมด 26 กรัม (น้ำตาลแอลกอฮอล์ 22 กรัม ÷ 2) = 15 คาร์โบไฮเดรตที่ต้องนับคือ 15 กรัม

  • ขนาดของหน่วยบริโภคในแต่ละผลิตภัณฑ์ อาจจะไม่เท่ากับขนาดของอาหาร 1 ส่วนของอาหารแลกเปลี่ยนเบาหวานที่เคยใช้กัน หรือหน่วยบริโภคที่กินตามปกติ กรณีที่กินมากว่ากว่าหนึ่งหน่วย ในการคำนวณจะต้องใช้ปริมาณที่กินเข้าไปคูณกับค่าต่างๆด้วย 

ตัวอย่างเช่น

ถ้ากินสองเท่าของหน่วยบริโภคที่ระบุไว้ ในการคำนวณจะต้องคูณปริมาณพลังงาน ไขมัน ไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล โซเดียมด้วย 2 ด้วย จึงจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ

  • ต้องระมัดระวังคำอ้างบนฉลากโภชนาการ เช่น อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ โดยปกติคำอ้างประเภทนี้ไม่ได้รับการรับรองว่าถูกต้องทั้งหมด แม้ว่าอาหารบางชนิด จะมีใยอาหารและน้ำตาลแอลกอฮอล์ซึ่งเป็นน้ำตาชนิดดี จะไม่ถูกย่อยอย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าบริโภคอาหารเหล่านี้ในปริมาณมากเกินไป ก็อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ เช่นกัน
  • ระมัดระวังส่วนประกอบอื่นๆด้วย นอกจากปริมาณของคาร์โบไฮเดรตแล้ว ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานต้องดูฉลากโภชนาการในอาหารชนิดนั้นๆ ด้วยว่ามีปริมาณส่วนประกอบอื่นๆ ที่เป็นโทษต่อร่างกายหรือไม่ เช่น ปริมาณโซเดียม ไขมัน เป็นต้น
  • สำหรับอาหารที่มีส่วนประกอบของ คาร์โบไฮเดรตน้อยกว่า 5 กรัมต่อ 1 หน่วยบริโภค และ ให้พลังงานน้อยกว่า 20 แคลอรี จะไม่มีการคิดพลังงานหรือคาร์โบไฮเดรตในกลุ่มของอาหารประเภทนี้ เช่น เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ หมากฝรั่งไร้น้ำตาล เป็นต้น
  • ผลิตภัณฑ์ที่มีคำว่า No Sugar Add ในฉลากโภชนาการ ซึ่งหมายถึงอาหารชนิดนั้นไม่มีการเติมปริมาณน้ำตาลชนิดใดเพิ่มเข้าไปในการผลิต แต่ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้อาจมีปริมาณของคาร์โบไฮเดรตในรูปของแป้งได้เช่นกัน ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานต้องทานด้วยความระมัดระวัง
  • ผลิตภัณฑ์ที่มีคำว่า Sugar Free ในฉลากโภชนาการ ซึ่งหมายถึงอาหารชนิดนั้นปราศจากน้ำตาล แต่อาจมีปริมาณของคาร์โบไฮเดรตรวมอยู่ด้วยก็ได้ ในกรณีผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่ชนิดใดชนิดหนึ่งมีคำอ้างว่า Sugar Free ให้ผู้บริโภคเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ชนิด หากมีปริมาณของคาร์โบไฮเดรตต่างกันมาก ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบบ Sugar Free จะดีที่สุด แต่หากมีปริมาณของคาร์โบไฮเดรตต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ให้ผู้บริโภคเลือกตามความพึงพอใจได้เลย โดยอาจพิจารณาจากระดับราคาและรสชาติ
  • ผลิตภัณฑ์ที่มีคำว่า Fat Free ในฉลากโภชนาการ ซึ่งหมายถึงอาหารชนิดนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ไร้ไขมัน แต่อาจมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตและให้พลังงานสูงพอๆ กับชนิดที่มีไขมัน ตัวอย่างเช่น คุกกี้ไร้ไขมันอาจมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง ฉะนั้นอาหารไร้ไขมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรเลือกเสมอไป

หลายคนที่มักละเลยและมองข้ามการอ่านฉลากโภชนาการไป โดยจะคิดกันว่าเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญและไม่จำเป็น แต่จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมด ก็จะเห็นได้ว่าการอ่านฉลากโภชนาการเป็นสิ่งที่ดี และมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ช่วยให้ผู้บริโภคอย่างเรา สามารถเลือกอาหารและเครื่องดื่มที่จะทานเข้าไปในแต่ละวันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งยังมีประโยชน์กับผู้ที่ต้องควบคุมอาหาร อย่างเช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น ช่วยทำให้ผู้ป่วยเหล่านี้ได้บริโภคอาหารที่อร่อยในปริมาณที่เหมาะสมเหมือนคนปกติอื่นๆได้ ช่วยเพิ่มความสุขในคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเหล่านี้ได้มากเลยทีเดียว ดังนั้นหากจะซื้ออาหารชนิดใดมาบริโภคก็แล้วแต่ ควรสละเวลาสักนิดในการอ่านฉลากโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่ดีและยืนยาวของตัวเราเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9