Home Blog Page 121

ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง ( SANGYOD RICE )

0
ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง ( SANGYOD RICE )
ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุงเป็นข้าวเฉพาะถิ่นของจังหวัดพัทลุง เป็นข้าวเจ้า เป็นข้าวนาปีซึ่งจะปลูกได้ปีละ 1 ครั้ง เป็นข้าวที่ปลูกยาก ปักดำกลางเดือนกันยายน
ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง ( SANGYOD RICE )
ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุงเป็นข้าวเฉพาะถิ่นของจังหวัดพัทลุง เป็นข้าวเจ้า เป็นข้าวนาปีซึ่งจะปลูกได้ปีละ 1 ครั้ง เป็นข้าวที่ปลูกยาก ปักดำกลางเดือนกันยายน

ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง ( SANGYOD RICE )

สุดยอดข้าวดีจากภาคใต้ของประเทศไทย
“ ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง…รับประทานดีไม่มีโรค ”
ไม่เพียงให้พลังงานแต่ยังช่วยบำรุงรักษาสุขภาพ
หนึ่งในบรรดาพันธุ์ข้าวเพื่อสุขภาพที่ดีของเมืองไทย
“ ข้าวสังข์หยด ”
มีถิ่นกำเนิดทางภาคใต้ของไทยในจังหวัดพัทลุง

ข้าวสังข์หยด คืออะไร ?

ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง เป็นข้าวเฉพาะถิ่นของจังหวัดพัทลุง เป็นข้าวที่คนภาคใต้รู้จักกันมานานนับ 100 ปี โดยสมัยก่อน ชาวนานิยมปลูกไว้เป็นของกำนัลแก่ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือในเทศกาลต่าง ๆ เช่น วันสงกรานต์ วันขึ้นบ้านใหม่ วันตรุษจีน หรือใช้สำหรับทำบุญตักบาตร ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุงเป็นข้าวเจ้า เป็นข้าวนาปีซึ่งจะปลูกได้ปีละ 1 ครั้ง เป็นข้าวที่ปลูกยาก ปักดำกลางเดือนกันยายน อายุเก็บเกี่ยวประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ผลิตจากแหล่งปลูกธรรมชาติซึ่งเป็นพื้นที่ราบระหว่างทิวเขาบรรทัดกับทะเลสาบสงขลา–พัทลุง ซึ่งมีแหล่งน้ำและสภาพดินที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธาตุอาหาร ข้าวสังข์หยดจึงเป็นหนึ่งในผลผลิตที่สะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์สู่เมล็ดพันธุ์ข้าวที่เต็มไปด้วยธาตุอาหาร วิตามินที่มีประโยชน์มากต่อร่างกาย

ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุงเป็นข้าวไทยพันธุ์แรกที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ( GI : Geographical Indications ) เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2549 จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เนื่องจากเป็นข้าวที่มีคุณลักษณะเฉพาะที่มาจากจังหวัดพัทลุงเท่านั้นเป็นพันธุ์ข้าวที่รัฐให้การรับรองโดยมีกระบวนการผลิตภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการการรับรองคุณภาพข้าวสังข์หยดพัทลุง ดังนั้นจึงมีความปลอดภัยจากสารพิษตกค้าง

ชื่อ “ ข้าวสังข์หยด ” เพี้ยนมาจากคำว่า “ สั่งหยุด ” เนื่องจากเมื่อหุงสุกเมล็ดข้าวจะนุ่มมาก หอม หุงขึ้นหม้อ แม้ตั้งจนเย็นก็ยังคงนุ่มอยู่ มีความคงตัวของเมล็ดข้าวสูง มีรสชาติอร่อย เพราะความอร่อยของข้าวชนิดนี้เลยหยุดรับประทานกันไม่ได้จนถึงกับต้องสั่งให้หยุดรับประทานจึงเป็นที่มาของคำว่า “ ข้าวสั่งหยุด ” และได้เรียกเพี้ยนมาเป็น “ ข้าวสังข์หยด ” ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังเป็นข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าข้าวพันธุ์อื่นๆอีกด้วย  

ลักษณะเด่นของข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง จะมีลักษณะเมล็ดเล็ก เรียว ยาว มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีขาวปนแดงอ่อนๆ ถึงแดงเข้ม ที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางอาหารสูง คุณสมบัติการหุงต้มดี ลักษณะข้าวหุงสุกมีความนุ่ม มีกลิ่นหอมอ่อนๆและมีความมันอมความหวานในตัวข้าว ซึ่งเกิดจากแร่ธาตุจากดินของ จ.พัทลุงจึงมีรสชาติอร่อย

ขั้นตอนการผลิตข้าวสังข์หยด

1. นำข้าวเปลือกไปตากให้แห้ง
2. นำเข้าเครื่องสี
3. คัดเลือกสิ่งเจือปน
4. นำไปบรรจุถุง
ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง จะนิยมรับประทานเป็นแบบข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ซึ่งให้ประโยชน์มากกว่าข้าวกล้องและข้าวซ้อมมือทั่วไป
1.ข้าวสังข์หยดกล้อง คือ ข้าวที่สีเอาเฉพาะเปลือกออก ( แกลบ ) โดยยังมีจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวอยู่ เยื่อหุ้มเมล็ดข้าวมีสีแดงเข้มซึ่งมีสารอาหารปริมาณสูงทำให้ข้าวกล้องมีประโยชน์มากกว่าข้าวขัดมาก
2.ข้าวสังข์หยดซ้อมมือ คือ ข้าวที่เอาเปลือกออกโดยในอดีตใช้วิธีใส่ครกตำซึ่งยังมีจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวอยู่ ปัจจุบันใช้เครื่องจักรสีข้าวแทนเรียกว่า ข้าวกล้อง
ดังนั้น ข้าวสังข์หยดซ้อมมือ ก็คือ ข้าวสังข์หยดกล้องนั่นเอง เพียงแต่นำข้าวกล้องมาขัดสีเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวให้ถลอกประมาณ 5 หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ข้าวกล้องจะกระเทาะเอาเปลือกข้าว ( แกลบ ) ออกอย่างเดียวไม่ขัดสี การขัดสีก็เพื่อเวลาหุงข้าวออกมาแล้วข้าวจะนุ่มรับประทานได้ง่ายยิ่งขึ้น และจมูกข้าวก็ยังคงเหลืออยู่เหมือนเดิม รวมทั้งคุณค่าทางอาหารต่างๆก็ยังอยู่ครบถ้วน แต่จะมีเพียงเส้นใยอาหารและเกลือแร่บางส่วนที่ถูกขัดออกไปพร้อมกับเยื่อหุ้มเมล็ด

สารอาหารสําคัญที่อยู่ในข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง

  • ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุงมีวิตามินอีสูงมากกว่าข้าวชนิดอื่นๆ
  • เป็นข้าวที่มีใยอาหารอยู่ในปริมาณมากเป็นเส้นใย ซึ่งช่วยในเรื่องการชะลอวัย เรื่องผิวพรรณ และความกระจ่างใสของผิว
  • ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุงมีโปรตีน เหล็ก และฟอสฟอรัส มากกว่าข้าวพันธุ์อื่นๆ ซึ่งโปรตีนช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ เหล็กช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ฟอสฟอรัสช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน
  • มีคาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย     
  • มีไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกายเป็นไขมันที่ดี ไม่มีโคเรสเตอรอล
  • มีทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน
  • มีแคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
  • ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุงมีไนอาซิน ( B3 ) สูง ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบผิวหนังและระบบประสาท ถ้าขาดวิตามินนี้จะทำให้เกิดโรค ” Pellagra ” ทำให้มีอาการผิดปกติทางระบบประสาท ความจำเสื่อม โรคผิวหนังทำให้ผิวที่ถูกแสงแดดอักเสบเป็นผื่นแดงและลอก
  • ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุงมีสาร ASGs ช่วยการทำงานของอินซูลินและการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • สีแดงของข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง เป็นรงควัตถุประเภทฟลาวานอยด์ชนิดแอนไซยานิน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ( antioxidant ) ช่วยชะลอความชรา และลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดตีบตัน โรคระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ โรคเหน็บชา โรคอัมพฤกษ์ เป็นต้น และมีสารต้านอนุมูลอิสระ ( antioxidant ) พวก oryzanol และมี Gamma Amino Butyric Acid ( GABA ) จะช่วยลดโอกาสในการเป็นโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี
  • มีวิตามินบีรวม ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด
  • บำรุงสมองทำให้เจริญอาหาร
  • มีวิตามินบี 1 ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา
  • มีวิตามินบี 2 ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก
  • มีกากใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่ายซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้ได้
  • มีฤทธิ์ในการลดความเครียด รักษาอาการผิดปกติของสตรีวัยทองได้
  • ละลายน้ำได้ มีคุณสมบัติลดโคเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ( LDL ) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ยังมีกรดโฟลิกที่มีประโยชน์ต่อหัวใจและอุดมไปด้วยโพแทสเซียมที่ช่วยควบคุมความดันโลหิต

ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง เหมาะกับใคร ?

เหมาะกับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่รักสุขภาพเพราะถือได้ว่าเป็นข้าวที่มีสารอาหารและคุณประโยชน์สูงมาก

ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง หุงอย่างไรให้อร่อย ?

เพื่อไม่ให้สูญเสียคุณค่าทางอาหารของข้าว ควรจะซาวข้าวเบาๆเพียงครั้งเดียว และใช้เวลาในการซาวข้าวให้น้อยที่สุด เติมน้ำให้ท่วมสูงจากข้าวประมาณ 1 ข้อนิ้ว หรือ ข้าว 1 ส่วน : น้ำ 1 ส่วน เมื่อข้าวสุกทิ้งไว้ให้ข้าวระอุประมาณ 5-10 นาที สามารถเติมหรือเพิ่มน้ำได้ตามความชอบหากต้องการให้ข้าวแข็งหรือนุ่ม

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

น้ำมันมะรุมสกัดเย็น ( Cold pressed Moringa oil)

0
มะรุมสกัดเย็น ( Cold pressed Moringa )
มันมะรุมสกัดเย็น อุดมด้วยวิตามิน มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เนียนนุ่ม ชุ่มชื่น น้ำมันซึมผ่านชั้นผิวหนังได้ง่ายมีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบของสิว
มะรุมสกัดเย็น ( Cold pressed Moringa )
มันมะรุมสกัดเย็น อุดมด้วยวิตามิน มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เนียนนุ่ม ชุ่มชื่น น้ำมันซึมผ่านชั้นผิวหนังได้ง่ายมีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบของสิว

น้ำมันมะรุมสกัดเย็น

น้ำมันมะรุมสกัดเย็น เริ่มมีบทบาทสำคัญกับการแพทย์ทางเลือก เพราะเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ อนึ่ง มะรุม เป็นพืชสมุนไพรท้องถิ่นที่มีสรรพคุณทางยาอยู่แล้ว การทำน้ำมันมะรุมสกัดเย็นจากมะรุม จึงเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นนั่นเอง

มะรุม คืออะไร

มะรุม ( Moringa ) คือ พืชผักพื้นบ้านของไทยที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการและแร่ธาตุ ส่วนใหญ่จะพบมากในประเทศอินเดีย และประเทศศรีลังกา โดยมักจะโตในพื้นที่เขตร้อนมะรุมถูกนำไปใช้เป็นยาพื้นบ้านใช้ ยังเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ความงามต่างๆ สามารถประโยชน์ได้ทุกส่วน เช่น ใบ ดอก ผล เมล็ด ราก ลำต้น และเปลือก มะรุมอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม โปแตสเซียม และธาตุเหล็กในปริมาณที่สูงมาก

วิธีทำน้ำมันมะรุมสกัดเย็น

1.นำเมล็ดแห้งมะรุมใส่ลงในเครื่องบีบเย็นที่อุณหภูมิห้อง จะได้น้ำมันที่มีสีขุ่นเข้มเพราะมีกากปะปนออกมาด้วย
2.นำน้ำมันมะรุมที่ได้ใส่ภาชนะทรงสูงตั้งทิ้งไว้ให้ตกตะกอน แล้วนำมากรองด้วยกระดาษกรองที่มีความระเอียดสูงน้ำมันจะค่อยๆซึมผ่านกระดาษกรองหยดลงมาทีละหยด จนได้น้ำมันมะรุมที่บริสุทธิ์มีสีเหลืองใสอุดมด้วยวิตามิน มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เนียนนุ่ม ชุ่มชื่น น้ำมันซึมผ่านชั้นผิวหนังได้ง่ายมีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบของสิว
3.เก็บน้ำมันมะรุมที่ผ่านการสกัดแล้วในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด

ประโยชน์ที่สำคัญของน้ำมันมะรุมสกัดเย็น

1. น้ำมันมะรุมใช้ทารักษาหูด ตาปลา
2. ช่วยในการสร้างคอลลาเจน
3. ช่วยในการลดเลือดริ้วรอย
4. ช่วยรักษาและบรรเทาอาการผื่นคัน
5. น้ำมันมะรุมช่วยจัดการสิวหัวดำ และสิวหัวหนอง
6. ช่วยลบเลือนจุดด่างดำที่เกิดจากสิว
7. ช่วยเร่งการเติบโตของเซลล์ผิวใหม่ และชะลอความเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อผิวหนัง
8. ช่วยลดการอักเสบของผิว
9. ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวกาย
10. ช่วยบำรุงปลายผมและเล็บให้ดูสุขภาพดี

ปัจจุบันมีการศึกษาค้นคว้าวิจัยมะรุม เนื่องจากมีสรรพคุณมากมายทั้งทางด้านโภชนาการ สารอาหาร การรักษาบรรเทาอาการอาการของโรคต่างๆ รวมถึงนำมาใช้บำรุงผิวพรรณอย่างที่ทุกคนทราบ จึงนิยมนำเมล็ดมะรุมมาทำเป็นน้ำมันมะรุมสกัดเย็นนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

C. Gopalan; B. V. Rama Sastri; S. C. Balasubramanian (1971). Nutritive Value of Indian Foods. Hyderabad: National Institute of Nutrition, Indian Council of Medical Research. pp. 66, 78. OCLC 2387900.

“Horseradish-tree, leafy tips, cooked, boiled, drained, without salt”. Nutritiondata.com. Condé Nast. 2012. Retrieved 6 May 2013.

ข้าวขาว น้ำตาลต่ำ ข้าวกข 43 ( RD43 )

0
ข้าว กข43 ( RD43 )
ข้าวกข 43 ( RD43 ) พันธุ์ข้าวเพื่อสุขภาพที่ดีของเมืองไทยที่ผสมระหว่าง พันธุ์ข้าวเจ้าหอมสุพรรณบุรี ( พันธุ์แม่ ) กับ พันธุ์สุพรรณบุรี 1 ( พันธุ์พ่อ )
ข้าวขาว น้ำตาลต่ำ ข้าวกข 43 ( RD43 )
ข้าวกข 43 ( RD43 ) พันธุ์ข้าวเพื่อสุขภาพที่ดีของเมืองไทยที่ผสมระหว่าง พันธุ์ข้าวเจ้าหอมสุพรรณบุรี ( พันธุ์แม่ ) กับ พันธุ์สุพรรณบุรี 1 ( พันธุ์พ่อ )

ข้าวขาว น้ำตาลต่ำ ข้าวกข 43 ( RD43 )

หนึ่งในบรรดาพันธุ์ข้าวเพื่อสุขภาพที่ดีของเมืองไทย
ข้าวขาว นุ่ม น้ำตาลน้อย อร่อยได้สุขภาพ
ข้าวขาวนํ้าตาลต่ำ หอม นุ่ม น่ารับประทาน
คนเป็นเบาหวานกินได้ คนลดน้ำหนักกินดี

ข้าวกข 43 คืออะไร ?

ข้าวกข 43 เป็นพันธุ์ข้าวที่ผสมระหว่าง พันธุ์ข้าวเจ้าหอมสุพรรณบุรี ( พันธุ์แม่ ) กับ พันธุ์สุพรรณบุรี 1 ( พันธุ์พ่อ ) ที่ศูนย์วิจัยข้าวสุพรรณบุรี ในฤดูนาปรัง พ.ศ. 2542

ปลูกทดสอบผลผลิตในศูนย์วิจัยข้าวและในนาเกษตรกรตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปี 2551 กรมการข้าวพิจารณารับรองพันธุ์เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2552 ใช้ชื่อว่า ข้าวเจ้า กข 43 รูปร่างเมล็ดยาวเรียว คุณภาพของเมล็ดทางการหุงต้ม รับประทานดี ข้าวสุก นุ่ม เหนียว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ( ใกล้เคียงข้าวหอมดอกมะลิ 105 ) ข้าวกข43 ให้ปริมาณน้ำตาลกลูโคสต่ำกว่าข้าวชนิดอื่นๆ

ลักษณะเด่นของข้าวกข 43

มีค่าการแตกตัวเป็นน้ำตาลน้อยทำให้ร่างการสามารถดูดซึมน้ำตาลจากข้าวได้น้อยลง มีค่าดัชนีน้ำตาลระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ หมายถึง ค่าการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับน้อย มีอมิโลสต่ำ ข้าวจะนุ่มและเหนียว ( อะมิโลสในข้าว – Amylose คือ คุณภาพข้าวทางเคมีซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ข้าวสุกแล้วจะมีคุณสมบัติแตกต่างกัน อมิโลสยิ่งสูง ข้าวยิ่งแข็งร่วน อมิโลสต่ำ ข้าวจะนุ่มและเหนียว ) ที่จริงแล้ว จุดเด่นของข้าวพันธุ์กข 43 คือเป็นข้าวไม่ไวต่อช่วงแสงต้านทานโรคไหม้คุณภาพการสีดีสามารถนำมาทำเป็นข้าวขาว 100%

ข้าว กข 43 เหมาะกับใคร ?   

เหมาะกับทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะผู้ที่รักสุขภาพเพราะถือได้ว่าเป็นข้าวที่มีคุณประโยชน์สูง

เป็นข้าวของผู้ใส่ใจสุขภาพ และกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคไต รวมถึงผู้ที่กำลังลดน้ำหนักที่ต้องการจะลดปริมาณน้ำตาลจากข้าวและอาหารที่กินในแต่ละวันเพราะเมื่อรับประทานอาหารน้ำตาลต่ำ ( Low Glycemic Index ) อย่างข้าว กข  43 ร่างกายก็จะเปลี่ยนแป้งไปเป็นน้ำตาลได้ช้าลงส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและ ช่วยให้เราไม่หิวง่าย

ข้าวกข 43 หุงอย่างไรให้อร่อย ?

ถ้าเป็นชนิดข้าวขัดขาวไม่ใช่ข้าวกล้องก็หุงโดยใช้น้ำปกติประมาณ 1 ข้อนิ้ว หรือ ข้าว 1 ส่วน : น้ำ 1 ส่วน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

กรมการข้าว; http://www.กข43.com

น้ำมันงาดำสกัดเย็น ( Cold pressed black sesame ) ดีต่อสุขภาพจริงไหม

0
น้ำมันงาดำสกัดเย็น ( Cold pressed black sesame oil )
มีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจและไต ส่งเสริมระบบสูบฉีดเลือดให้ภาวะปกติ ล้างชำระหลอดเลือดให้สะอาด ช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือดและหัวใจ
น้ำมันงาดำสกัดเย็น ( Cold pressed black sesame oil )
งาดำ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุประกอบด้วย สารเซซามิน ไขมันชนิดดี ( HDL) โอเมก้า 3-6-9 วิตามินบี

น้ำมันงาดำสกัดเย็น

งาดำ ชื่อสามัญ Black Sesame Seeds
งาดำ ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Sesamum indicum L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Sesamum orientale L.)จัดอยู่ในวงศ์งา (PEDALIACEAE) น้ำมันงาดำสกัดเย็นได้มาจากเมล็ดงาดำ ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการมากมายในงาดำมีสารเซซามิน (Sesamin) อุดมไปด้วยวิตามินบี ฟอสฟอรัส และแคลเซียมที่สูงกว่าผัก มีแคลเซียมประมาณ 410-485 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม รวมถึงสรรพคุณและประโยชน์ดีต่อสุขภาพเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน เมื่อบริโภคน้ำมันเมล็ดงาดำสกัดเย็นจะมีกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถผลิตได้

สารอาหารในน้ำมันงาดำสกัดเย็นมีอะไรบ้าง

น้ำมันงาดำ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุประกอบด้วย สารเซซามิน ไขมันชนิดดี ( HDL) โอเมก้า 3-6-9 วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 บี 9 แคลเซียม แมกนีเซียม โปแตสเซียม โซเดียม ฟอสฟอรัส สังกะสี เหล็ก ในเมล็ดงาดำยังมีส่วนประกอบของน้ำมันอยู่ถึง 70% ในประเทศไทยงาดำถูกนำมาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านยารักษาโรค อาหาร และเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเป็นขนม เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ นำไปเติมลงในอาหาร หรือแม้แต่นำไปสกัดเป็นน้ำมันงาดำ เนื่องจากอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร โดยในงาดำปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 573 กิโลแคลอรี และมีคุณค่าทางโภชนาการทานน้ำมันงาดำเป็นประจำจะทำให้ร่างกายจะได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน

ประโยชน์ของน้ำมันงาดำสกัดเย็น ที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย

  • งาดำมีสารอาหารที่ช่วยซ่อมแซมและบำรุงผิว ทำให้ผิวไม่เหี่ยวแห้ง
  • ช่วยบำรุงเส้นผมให้ดำเงางามและแข็งแรง ป้องกันการเกิดผมหงอก
  • ช่วยให้ระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
  • งาดำช่วยป้องกันเส้นเลือดแข็งตัว ช่วยขยายหลอดเลือด
  • ช่วยให้ระบบการทำงานของหัวใจแข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ป้องกันลิ่มเลือด
  • งาดำมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้
  • ช่วยลดความเครียด บำรุงระบบประสาทและสมอง
  • งาดำมีธาตุเหล็กสูง จึงช่วยบำรุงเลือด ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายและยัง- ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว ร่างกายจึงแข็งแรงต่อเชื้อโรค
  • ป้องกันโรคหวัด โรคเหน็บชา ตะคริว

น้ำมันงาดำสกัดเย็นมีสรรพคุณช่วยลดอาการปวดเข่า ปวดข้อและช่วยป้องกันโรคข้อเสื่อม ข้ออักเสบ

จุดเด่นของน้ำมันงาดำ ต่อสุขภาพมีอะไรบ้าง

คือ สารเซซามินที่พบได้เฉพาะแต่ในงาดำมีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจและไต ส่งเสริมระบบสูบฉีดเลือดให้ภาวะปกติ ส่วนวิตามินอีที่อยู่ในน้ำมันงาดำสกัดเย็น จะช่วยเข้าไปล้างชำระหลอดเลือดให้สะอาด ลดการอุดตันในเส้นเลือดและช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว และตัวไขมันชนิดดี ( HDL ) นั้น จะเข้าไปช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของเส้นเลือดของเรา ส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือดและหัวใจ     

ถ้าจะว่ากันด้วยสรรพคุณของน้ำมันงาดำนั้น ก็มีหลากหลายประการ แต่หนึ่งในสรรพคุณที่ผู้รับประทานน้ำมันงาดำสกัดเย็นแล้วนำมาเล่าขานต่อกันถึงคุณประโยชน์สุดดีก็คือ การใช้น้ำมันงาดำสกัดเย็นเพื่อลดอาการปวด ต้านอักเสบของข้อต่างๆในร่างกาย และช่วยลดความเสี่ยงของโรคข้อเสื่อม สำหรับสารเซซามินที่พบเฉพาะแต่ในงาดำนั้น มีสรรพคุณเด่นในการช่วยบำรุงหัวใจและไต ส่งเสริมระบบสูบฉีดเลือดให้ดำเนินไปอย่างปกติ ส่วนวิตามินอีที่อยู่ในน้ำมันงาดำสกัดเย็น ลดการอุดตันในเส้นเลือดและช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว และตัวไขมันชนิดดีนั้น จะเข้าไปช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของเส้นเลือดของเรา ส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือดและหัวใจ การรับประทานน้ำมันงาดำสกัดเย็นซึ่งเป็นอาหารเสริมจากธรรมชาตินั้น สามารถช่วยควบคุมและรักษาโรคความดันโลหิตสูงได้ ซึ่งการรับประทานน้ำมันงาดำอย่างสม่ำเสมอพร้อมอาหารที่ครบหมู่ จะช่วยให้หลอดเลือดเราสะอาด มีความยืดหยุ่น จะส่งผลให้การทำงานของระบบเส้นเลือดและหัวใจทำงานได้ดีเป็นปกติ ซึ่งในที่สุดสภาวะความดันโลหิตสูงจะค่อยๆปรับลดลง และจะสามารถปรับมาอยู่ในระดับคงตัวในสภาวะที่ เหมาะสมได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

D. Ray Langham. “Phenology of Sesame” (PDF). American Sesame Growers Association.
Small, Ernest (2004). “History and Lore of Sesame in Southwest Asia”. Economic Botany. New York Botanical Garden Press. 58 (3): 329–353.

E.S. Oplinger, D.H. Putnam, A.R. Kaminski, C.V. Hanson, E.A. Oelke, E.E. Schulte, and J.D. Doll (May 1990). “Sesame”. Center for New Crops & Plant Products, Purdue University, Department of Horticulture and Landscape Architecture.

น้ำมันถั่วดาวอินคาสกัดเย็น ( Cold pressed sacha inchi oil )

0
น้ำมันถั่วดาวอินคาสกัดเย็น ( Cold pressed sacha inchi oil )
น้ำมันถั่วดาวอินคาสกัดเย็น ( Cold pressed sacha inchi oil ) เป็นน้ำมันที่สกัดได้จากเมล็ดดาวอินคา โดยผ่านกระบวนกรรมวิธีการบีบอัดและไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีใด ๆ
น้ำมันถั่วดาวอินคาสกัดเย็น ( Cold pressed sacha inchi oil )
น้ำมันถั่วดาวอินคาสกัดเย็น เป็นน้ำมันที่สกัดได้จากเมล็ดดาวอินคา โดยผ่านกระบวนกรรมวิธีการบีบอัดและไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีใด ๆ

น้ำมันถั่วดาวอินคาคืออะไร

น้ำมันถั่วดาวอินคา ( Cold pressed sacha inchi oil ) เป็นน้ำมันที่สกัดได้จากเมล็ดดาวอินคา โดยผ่านกระบวนกรรมวิธีการบีบอัดและไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีใด ๆ ทำให้ได้น้ำมันดาวอินคาที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมีไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย และมีกลิ่นรสที่ดี

ถั่วดาวอินคาคืออะไร

ถั่วดาวอินคา ( Sacha Inchi ) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Plukenetia volubilis L. ลักษณะของถั่วดาวอินคามีลำต้นเป็นไม้เถาเลื้อยอายุ 10 – 50 ปี ใบรูปหัวใจปลายแหลม ดอกเล็กๆทรงกลมสีเขียวอมเหลือง เมล็ดออกเป็นพูมีประมาณ 4 – 7 พู เปลือกอ่อนเป็นสีเขียวสด เมื่อฝักแก่เปลือกจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ถั่วดาวอินคาจัดเป็นพืชที่ให้น้ำมันเจริญเติบโตตามบริเวณลุ่มน้ำอเมซอนแถบประเทศเปรู และแพร่กระจายทั่วไปในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 100 – 2,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ปัจจุบัน ถูกนำเข้ามาปลูกในแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ในอดีตจนถึงปัจจุบันเมล็ดของถั่วดาวอินคาจะถูกนำไปสกัดเป็นน้ำมัน เพื่อนำไปใช้ในการประกอบอาหารที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการและสารอาหารสำคัญได้แก่ โปรตีน พลังงาน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม เหล็ก โซเดียม วิตามิน C วิตามิน A กรดไขมัน โอเมก้า 3

น้ำมันถั่วดาวอินคา สกัดได้จากเมล็ดถั่วดาวอินคา โดยผ่านกระบวนการบีบอัดและไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีใด ๆ ทำให้ได้น้ำมันถั่วดาวอินคาที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมีไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย

สรรพคุณของน้ำมันถั่วดาวอินคากับสุขภาพ

  • ช่วยลดคอเลสเตอรอล
  • ช่วยป้องกันการแข็งตัวของเลือด
  • ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ
  • ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
  • ช่วยลดไขมันประเภทไตรกลีเซอไรด์ ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด
  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และป้องกันโรคเบาหวาน
  • ช่วยลดน้ำหนัก
  • ช่วยลดอาการซึมเศร้า   
  • กระตุ้นความจำ ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของสมอง
  • ป้องกันโรคสมองเสื่อม
  • เสริมสร้างเซลล์ และรักษาความแข็งแรงของเซลล์
  • ป้องกัน และลดการอักเสบของหลอดเลือด
  • ป้องกัน และลดอาการของโรคไขข้อ
  • ป้องกัน และบรรเทาโรคหอบหืด
  • รักษาโรคไมเกรน
  • ป้องกันโรคต้อหิน ต้อกระจก
  • ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง แลดูอ่อนวัย
  • ควบคุมความดันในลูกตา และเส้นเลือด
  • กระตุ้น และส่งเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • ลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • ช่วยลดน้ำตาลในเลือด
  • ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
  • ป้องกันโรคหลอดเลือด และสมอง
  • ป้องกันโรคเบาหวาน

ซึ่งในปัจจุบันถั่วดาวอินคากำลังเป็นที่สนใจและมีการนำมาเพาะปลูกในเชิงพาณิชย์ และนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยิ่งได้น้ำมันถั่วดาวอินคาสกัดเย็นอย่างปลอดจากสารเคมีเพื่อให้คงคุณค่าสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ จะได้น้ำมันสกัดเย็นที่เหมาะสำหรับผู้รักสุขภาพ เช่น ต้องการบำรุงถนอมสายตาและป้องกันโรคต่าง ๆ และผู้ที่มีปัญหาทางสุขภาพแล้ว เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการมีโรคที่สำคัญ ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ โรคไขข้อกระดูก รวมถึงผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย ปริมาณที่แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญแนะนำ น้ำมันสกัดถั่วดาวอินคาก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่อสุขภาพได้เป็นอย่างดี

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Fanali C; Dugo L; Cacciola F; Beccaria M; Grasso S; Dachà M; Dugo P; Mondello L. (December 2011). “Chemical characterization of Sacha Inchi (Plukenetia volubilis L.) oil”. J Agric Food Chem. 59 (24): 13043–9. doi:10.1021/jf203184y. PMID 22053706.

Hans-Peter Hanssen; Markus Schmitz Hübsch. Victor R. Preedy; Ronald Ross Watson; Vinood B. Patel, eds. “Sachai Inchi (Plukentia Volubilis L.) Nut Oil and Its Therapeutic and Nutritional Uses”. Nuts and seeds in health and disease prevention. Retrieved 2011-09-07.

Blanka Krivankova; Zbynek Polesny; Bohdan Lojka; Jana Lojkova; Jan Banout; Daniel Preininger (October 2007). “Sacha Inchi (Plukenetia volubilis, Euphorbiaceae): A Promising Oilseed Crop from Peruvian Amazon” (PDF). Tropentag.

น้ำมันพริกสกัดเย็น ( Clod Pressed Capsicum )

0
น้ำมันพริกสกัดเย็น ( Clod Pressed Capsicum )
น้ำมันพริกสกัดเย็น ( Cold pressed capsicum ) สรรพคุณช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล ทำให้ไขมันแตกตัว สามารถลดการเกิดเซลลูไลท์ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดี
น้ำมันพริกสกัดเย็น ( Clod Pressed Capsicum )
น้ำมันพริกสกัดเย็น สรรพคุณช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล ทำให้ไขมันแตกตัว สามารถลดการเกิดเซลลูไลท์ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดี

น้ำมันพริกสกัดเย็น

น้ำมันพริกสกัดเย็น ( Cold pressed capsicum ) มีคุณสมบัติในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ เนื่องจากในน้ำมันพริกสกัดเย็นจะทำให้ไขมันแตกตัวได้ดี สามารถลดการเกิดเซลลูไลท์ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสารแคปไซซินจะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญไขมันและขับเหงื่อ จึงเป็นที่นิยมใช้น้ำมันพริกสกัดเย็นเปนส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เช่น ครีมนวดลดไขมัน เป็นต้น ทั้งนี้น้ำมันพริกสกัดเย็นยังเพิ่มการหมุนเวียนเลือดได้เป็นอย่างดี ช่วยลดอาการปวดเมื่อยบริเวณต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งงานวิจัยพบว่า สามารถนำน้ำมันพริกสกัดเย็นไปเป็นส่วนประกอบของยาบางชนิดได้

เพราะลักษณะสำคัญของพริกนั้นมีความเผ็ดร้อนจึงเป็นที่มาของสารชนิดหนึ่ง ชื่อว่า แคปไซซิน ( Capsaicin ) ซึ่งจะมีอยู่มากใยบริเวณเยื่อแกนกลางสีขาวเป็นส่วนที่เผ็ดที่สุดของพริก ส่วนของเปลือกพริกนั้นมีความเผ็ดร้อนที่น้อยกว่านั้นเอง จึงทำให้สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีความทนทานต่อทั้งความร้อน และความเย็นได้ดีมาก

จากการที่แคปไซซินสามารถลดความรู้สึกเจ็บปวดได้จึงมีผู้นำมาใช้เป็นยาภายนอก โดยใช้บรรเทาอาการปวดเนื่องจากโรคข้ออักเสบ ( Osteoarthritis, Rheumatoid arthritis ) โดยใช้ทา 3 – 4 ครั้งต่อวัน อย่างน้อยเป็นเวลา 2 – 4 สัปดาห์ แคปไซซินจะเสริมฤทธิ์ยาแก้ปวดอื่นๆ เช่น Methyl Salicylate
ข้อควรระวังในการใช้แคปไซซินในรูปครีม คือต้องระวังไม่ให้ผลิตภัณฑ์จากพริกถูกตาหรือแผลเปิด ถ้าทาแล้วเกิดอาการระคายเคือง และแดง ต้องลดจำนวนครั้งที่ทาลง

น้ำมันพริกสกัดเย็น ( Cold pressed capsicum ) มีคุณสมบัติในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้

ประโยชน์ของพริก

1.พริก มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัย     
2.วิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
3.ช่วยในการบำรุงและรักษาสายตา
4.เสริมสร้างภูมิต้านทาน เพราะพริกมีวิตามินเอ วิตามินซีสูงมาก
5.พริกช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ลดน้ำมูก และลดเสมหะ
6.ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอลในร่างกาย ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระเลือดลดลง
7.ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด เส้นเลือดสมองอุดตัน ช่วยในการสลายลิ่มเลือด
8.ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือดให้ดียิ่งขึ้น
9.สารแคปไซซินในพริกสามารถกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดี
10.ช่วยขยายเส้นโลหิตในลำไส้และกระเพาะอาหารเพื่อการดูดซึมอาหารที่ดีขึ้น
11.สารแคปไซซินช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร
12.ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย ขับแก๊สในกระเพาะ
13.ป้องกันโรคโลหิตจาง ซึ่งในพริกก็มีธาตุเหล็กและทองแดงที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีกรดโฟลิกที่ช่วยเสริมให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแข็งแรง
14.ในด้านความงามจะใช้สารสกัดจากแคปไซซินมาสกัดเป็นเจลเพื่อใช้ในการนวดลดเซลลูไลท์ สลายไขมัน

เอกสารเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง

เอกสารอ้างอิง

แปลและรวบรวมข้อมูลโดย Amprohealth.com

iamm.com/capsicum.htm

น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว ( Cold Pressed Rice Bran Oil )

0
น้ำมันรำข้าวจมูกข้าว
น้ำมันรำข้าวจมูกข้าว คือ น้ำมันชนิดหนึ่งที่สกัดมาจากรำข้าวหรือเมล็ดข้าวด้วยการแยกส่วนของกากหรือน้ำมันจากวัตถุดิบ โดยสกัดออกมาจากส่วนต่าง ๆ
น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว
น้ำมันรำข้าวจมูกข้าว คือ น้ำมันชนิดหนึ่งที่สกัดมาจากรำข้าวหรือเมล็ดข้าวด้วยการแยกส่วนของกากหรือน้ำมันจากวัตถุดิบ โดยสกัดออกมาจากส่วนต่าง ๆ

น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว

น้ำมันรำข้าวจมูกข้าว ( Rice Bran Oil, Cold Pressed Rice ) เป็น น้ำมันที่ได้จากเทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบันผ่านกระบวนการบีบ อัด สกัดเย็น โดยนำรำข้าวดิบที่ประกอบด้วยเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ซึ่งในน้ำมันรำข้าวประกอบด้วยสารอาหารและวิตามิน คือ โครเมียม เหล็กแมกนีเซียม สังกะสี แมงกานีส ซีลีเนียม โปแตสเซียม สารแกมมา โอไรซานอล ( Gamma Oryzanol ) กรดไขมันอย่างกรดโอเลอิก ( Oleic Acid ) หรือโอเมก้า 9 ( Omega 9 ) ไฟโตสเตอรอล (Phytosterol) วิตามินอีรวม ( Vitamin E Complex ) แคโรทีนอยด์ ( Carotenoids ) กรดแอลฟา-ไลโนเลอิก ( Alpha-linolenic Acid ) หรือโอเมก้า 3 ( Omega 3 ) สารในกลุ่มเลซิติน ( Lecithin ) เมลาโทนิน ( Melatonin )   

น้ำมันรำข้าวจมูกข้าวสกัดเย็น คืออะไร

การสกัดเย็น คือ น้ำมันชนิดหนึ่งที่สกัดมาจากรำข้าวหรือเมล็ดข้าวด้วยการแยกส่วนของกากหรือน้ำมันจากวัตถุดิบที่เราสกัดออกมา โดยสกัดออกมาจากส่วนต่าง ๆ ของวัตถุดิบนั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพืชผักและผลไม้ชนิดต่าง ๆ การสกัดเย็นจะได้น้ำมันจากบริเวณส่วนของรำข้าวดิบที่คงด้วยเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าว โดยอาศัยขั้นตอนบีบอัดที่อุณหภูมิห้องโดยตั้งทิ้งไว้ให้ตกตะกอนแล้วนำมากรองด้วยอุปกรณ์ที่มีความละเอียดสูงจึงได้น้ำมันที่มีความบริสุทธิ์สูงมาใช้งาน ทั้งนี้การสกัดต้องไม่ผ่านกระบวนการความร้อนหรือสารเคมีใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะจะยังคงสี รสชาติ กลิ่นตามธรรมชาติ คงคุณค่าและสรรพคุณของพืชผักและผลไม้ชนิดนั้น ๆ ไว้อย่างครบถ้วน

คุณประโยชน์สำคัญที่ร่างกายจะได้รับจากน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว

1. ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในเรื่องชะลอวัย ชะลอความเสื่อม ความแก่ของร่างกาย
2. ปรับสมดุลระบบฮอร์โมนของสตรีวัยทอง
3.ในน้ำมันรำข้าวมีสารโครเมียม เป็นสารที่จับกับอินซูลินช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในร่างกายให้คงที่
4. น้ำมันรำข้าวมีวิตามินอี ในกลุ่ม แอลฟ่า โทโคฟีรอลแกมม่า-ออริซานอลและสเตอรอลจากพืช ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง
5. ในน้ำมันรำข้าวมีโอเมกา 3 ( Omega 3 ) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสารสื่อประสาทช่วยให้ความจำดีขึ้น    
6. ในน้ำมันรำข้าวมีวิตามินอี และเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตา ลดอาการตาแห้ง ลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา
7. ช่วยลดการบีบตัวของหลอดเลือด ช่วยให้ลิ่มเลือดสลายตัว ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น
8. น้ำมันรำข้าวมีสารเมลาโทนิน ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายหลับสนิทและช่วยลดความเครียดอีกด้วย
9. ช่วยบำรุงผิวพรรณให้นุ่มนวลดูอ่อนเยาว์ ลดรอยเหี่ยวย่น ฝ้าและ จุดด่างดำ
10. ช่วยบำรุงสมองป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์

การแปรรูปจากวัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นที่มีจำนวนมากราคาตกต่ำ น้ำมันรำข้าวจมูกข้าวก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร และเป็นการสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนในระยะยาวอีกด้วย

บทความเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้าง

เอกสารอ้างอิง

น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว อินทรีย์ สกัดเย็น (ออนไลน์). สืบค้นจาก : น้ำมันรำข้าวจมูกข้าว.com [30 มี.ค 62]

ประโยชน์น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว (แบบสกัดเย็น) (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://rice.coffee [30 มี.ค 62]

กัญชา ( Marijuana ) สมุนไพรทางเลือก

0
กัญชา ( Marijuana ) สมุนไพรทางเลือก
กัญชา ( marijuana ) คือ พืชล้มลุกชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณทำให้มึนเมา เปลือกลำต้นใช้ทำเชือกป่านและทอผ้า ฤทธิ์ของกัญชาที่ทำให้ผู้เสพอยู่ในอาการเคลิบเคลิ้ม
กัญชา ( Marijuana ) สมุนไพรทางเลือก
กัญชา ( marijuana ) คือ พืชล้มลุกชนิดหนึ่ง ทำให้มึนเมา เปลือกลำต้นใช้ทำเชือกป่านและทอผ้า ฤทธิ์ของกัญชาที่ทำให้ผู้เสพอยู่ในอาการเคลิบเคลิ้ม

กัญชา

กัญชา ( Marijuana ) คือ พืชล้มลุกชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Cannabidaceae ใบมนแฉกลึกเข้าไปทางก้านหลายแฉก ดอกสีเขียว ช่อดอกเพศผู้และช่อดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ใบและช่อดอกเพศเมียที่แห้งใช้สูบ มีสรรพคุณทำให้มึนเมา เปลือกลำต้นใช้ทำเชือกป่านและทอผ้า ฤทธิ์ของกัญชาที่ทำให้ผู้เสพอยู่ในอาการเคลิบเคลิ้ม รู้สึกสนุก อารมณ์ดี และยังเป็นยาเสพติดประเภทที่เสพแล้วไม่ติด ก็ยิ่งทำให้กล้าลองกันมากขึ้น เมื่อลองแล้วก็ติดใจ บางคนถึงขั้นเอาไปสอดไส้ในบุหรี่ เพื่อให้สูบได้ทุกที่ที่ต้องการอีกด้วย

ต้นกัญชามีลักษณะทั่วไป คือ ลำต้นสูงประมาณ 2-5 เมตร ใบเลี้ยงคู่เมื่อโตเต็มวัยลำต้นสูงประมาณ 2-4 ฟุต ลักษณะใบจะแยกออกเป็นแฉกประมาณ 5-8 แฉก มีลักษณะคล้ายใบมันสำปะหลังที่ขอบใบทุกใบจะมีรอยหยักอยู่เป็นระยะๆ ออกดอกเป็นช่อเล็ก ๆ ตามง่ามของกิ่งและก้าน ส่วนที่คนนำมาเสพได้แก่ส่วนของกิ่ง ก้าน ใบ และยอดช่อดอกกัญชา โดยนำมาตากหรืออบแห้ง แล้วบดหรือหั่นให้เป็นผงหยาบ ๆ จากนั้นจึงนำมายัดไส้บุหรี่สูบหรืออาจสูบด้วยกล้องหรือบ้องกัญชา บ้างก็ใช้เคี้ยวหรือผสมลงในอาหารรับประทาน ปัจจุบันรูปแบบของกัญชาที่พบ นอกจากจะพบในลักษณะของกัญชาสด กัญชาแห้งอัดเป็นแท่งเป็นก้อนแล้ว ยังอาจพบในรูปของ ” น้ำมันกัญชา ” ( Hashish Oil ) ซึ่งมีลักษณะเป็นของเหลวสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ได้จากการนำกัญชามาผ่านกระบวนการสกัดหลาย ๆ ครั้ง จึงได้เป็นน้ำมันกัญชาที่มีปริมาณสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทสูงถึง 20-60% หรืออาจพบในลักษณะของ ” ยางกัญชา ” ( Hashish ) เป็นยางแห้งที่ได้จากใบ และยอดช่อดอกกัญชา ซึ่งโดยทั่วไปจะมีฤทธิ์แรงกว่ากัญชาสด

การปลูกกัญชา และการขออนุญาตปลูกกัญชาอย่างถูกต้อง

ส่วนที่ 1 : การปลูกกัญชา
1.เตรียมสถานที่ปลูก ดินต้องเป็นที่ที่ถูกต้องตามกฏหมายจะต้องมีเอกสารสิทธิที่ดิน และได้รับความยินยอมจากผู้ที่มีกรรมสิทธิในที่ดินนั้น เช่น หนังสือยินยอมให้ใช้ที่ดิน หรือหนังสือสัญญาเช่ากับเจ้าของที่ดินก็ได้
2.เจ้าของที่ดินนั้นๆจะต้องมีหนังสือที่แสดงว่า ให้หน่วยงานรัฐและวิสาหกิจชุมชนนี้เข้ามาใช้ที่ดินปลูกกัญชาได้
3.ปลูกกัญชาในโรงเรือนสามารถขออนุญาตปลูกได้ทั้งในระบบปิดต้องควบคุมแสง อุณหภูมิ เช่น โรงเรือนกระจกและระบบเปิด เช่น โรงเรือนตาข่ายพรางแสง (สแลน) หรือปลูกกลางแจ้ง (outdoor)
ส่วนที่ 2 : การขออนุญาตปลูกกัญชาอย่างถูกต้อง
1.ผู้ที่ต้องการปลูกกัญชาจะต้องมีคุณสมบัติตรงตามกฏหมายก่อน
คือ ท่านต้องมีสถานะเป็นวิสาหกิจชุมชน และเข้าร่วมกับหน่วยงานของรัฐ
2.ท่านต้องทำโครงการเพื่อเสนอแบบแผนการผลิต โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์กัญชาอย่างชัดเจน
3.ท่านต้องมีสถานที่ปลูกกัญชาที่มีเอกสารสิทธิ หรือมีสิทธิการครอบครองที่ถูกต้องตามกฏหมาย

ข้อดี และข้อเสียการปลูกกัญชาแบบระบบปิดในโรงเรือนและระบบเปิด

ปลูกกัญชาแบบระบบปิด

ข้อดี
– สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมและศัตรูพืชได้
– วางแผนเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทั้งปี
– ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพและสม่ำเสมอ
ข้อเสีย
– ต้นทุนเริ่มแรกมีราคาสูง
– ต้นทุนการดำเนินการสูงกว่าปลูกแบบกลางแจ้ง
– ต้องสร้างแสงแดดเทียมและระบบมีความซับซ้อน

ปลูกกัญชาแบบระบบเปิด

ข้อดี
– ต้นทุนเริ่มแรกน้อยกว่าการปลูกในโรงเรือน
– ต้นทุนการดำเนินการต่ำกว่า
– ต้นกัญชาสามารถใช้แสงจากธรรมชาติได้เต็มที่
ข้อเสีย
– มีปัญหาเกี่ยวกับศัตรูพืช
– ไม่สามารถควบคุมคุณภาพผลผลิตได้

สารฤทธิ์ของกัญชา

กัญชามีสารออกฤทธิ์สำคัญ 2 ชนิด ที่สามารถนำมาใช้บำบัดหรือรักษาโรค ได้แก่
1. สาร CBD ( Cannabidiol ) : มีคุณสมบัติลดอาการเจ็บปวด ลดการอักเสบของแผล ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ลดอาการชักเกร็ง และลดอาการคลื่นไส้
2. สาร THC ( Tetrahydrocannabinol ) : มีคุณสมบัติต่อจิตประสาท ทำให้เกิดความผ่อนคลาย และเคลิบเคลิ้ม หากได้รับในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยลดอาการตึงเครียดได้

สรรพคุณของกัญชา

1. เป็นยาชูกำลัง ช่วยเจริญอาหาร หรือใช้กับผู้ป่วยที่เบื่ออาหาร
2. ใช้รักษาในหลายอาการ เช่น ลดอาการปวด ลดอาการลดเกร็งและชักกระตุกของกล้ามเนื้อ อาการของโรคทางกระเพาะปัสสาวะ โรคลมชัก โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์
3. ใช้เป็นยารักษาโรคหอบหืด ช่วยขยายหลอดลมและลดการหดตัวของหลอดลม 
4. ฆ่าเซลล์มะเร็งและทำให้เนื้อร้ายในสมองเหี่ยวลดลงได้
5. สารสกัดจากกัญชาสามารถรักษาโรคที่เกิดจากการอักเสบของสมองและไขสันหลัง หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบอื่น ๆ
6. เส้นใยของลำต้น สามารถนำมาใช้ในการทอผ้าหรือทอกระสอบได้
7. เส้นใยกัญชาสามารถนำมาทำกระดาษได้

กัญชา ในตำรับยาแพทย์แผนไทย

จากข้อมูลในตำราพระโอสถพระนารายณ์ และตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ พบข้อมูลตำรับยาไทยที่เข้ากัญชาอยู่หลายตำรับ ซึ่งรวบรวมมาจากพระคัมภีร์หลายฉบับ แสดงให้เห็นว่า มีการใช้กัญชาประกอบเป็นตัวยาเพื่อบำบัดรักษาอาการป่วยต่าง ๆ มานานหลายร้อยปีแล้ว ตัวอย่างสรรพคุณตำรับยาไทยที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบ เช่น
1. ตำรับศุขไสยาศน์ มีสรรพคุณช่วยให้นอนหลับสบาย แก้ปวด เจริญอาหาร ซึ่งนำมาใช้ทดแทนหรือเสริมกับยาแผนปัจจุบันในกลุ่มยานอนหลับ ยาคลายเครียด
2. ตำรับน้ำมันสนั่นไตรภพ ช่วยเรื่องท้องมาน ท้องบวม คลายลมในท้อง ท้องอืดจากโรคมะเร็งตับ ใช้ทาบริเวณท้อง
3. ตำรับทำลายพระสุเมรุ มีฤทธิ์ช่วยแก้อาการแข็งเกร็งจากอัมพฤกษ์ อัมพาตได้
4. ตำรับทัพยาธิคุณ ช่วยเรื่องโรคเบาหวาน ลดน้ำตาล

ขนาดและวิธีใช้ : ใช้ต้มรับประทาน โดยต้นแห้งให้ใช้ครั้งละ 10-20 กรัม หรือใช้ร่วมกับตัวยาอื่น ๆ ในตำรับยา ส่วนเมล็ดให้ใช้ครั้งละ 10-15 กรัม
ข้อควรระวัง : ในกรณีที่รับประทานมากเกินไป จะทำให้เกิดอาการประสาทหลอน มีอาการชัก ตาลาย หรือกลายเป็นเสพติด ในผู้ชายหากรับประทานมากเกินไปจะทำให้น้ำกามเคลื่อน ส่วนสตรีที่รับประทานมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการตกขาว

ผลข้างเคียงของกัญชาที่มีต่อร่างกายในกรณีที่เสพมากเกินขนาด

1. กัญชาจะมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ผู้เสพมีอาการเคลิบเคลิ้ม หัวเราะตลอดเวลา ต่อมาจะมีฤทธิ์กดประสาท ทำให้ผู้เสพมีอาการคล้ายเมาเหล้าอย่างอ่อน เซื่องซึม และง่วงนอน
2. การเสพกัญชา จะทำให้สมองและความจำเสื่อม เกิดความสับสน วิตกกังวล
3. กัญชามีฤทธิ์ทำลายสมรรถภาพทางกาย ทำลายระบบการทำงานของอวัยวะในร่างกาย ทำลายระบบการสร้างภูมิคุ้มกัน 
4. ควันของกัญชาทำลายการทำงานของระบบทางเดินหายใจ และทำให้เกิดโรคมะเร็งปอดได้เมื่อใช้นานเกินไป
5. หญิงที่เสพกัญชาในระยะตั้งครรภ์ ทารกที่เกิดมาอาจพิการและพบความผิดปกติทางร่างกาย

อย่างไรก็ตามการใช้กัญชาหรือสารสกัดจากกัญชาใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีก็หาไม่ จากการศึกษาพบว่ามีผลเสียดังต่อไปนี้

ข้อเสียของการใช้กัญชา

1.เพิ่มการเกิดโรคทางจิต 3.9 เท่า

2.พบการฆ่าตัวตายเพิ่มชึ้น 2.5 เท่า

3.ทำให้ติดกัญชา 10% ( ต้องเพิ่มปริมาณการใช้ชึ้นเรื่อยๆ )  ส่วนมากมักอยู่ในวัยเรียน 17%

4.ทำให้สมองฝ่อ

5.มีปัญหาการเรียนรู้ สมาธิ และความจำ

6.สัมพันธ์กับการเกิดภาวะถุงลมโป่งพอง

7.สัมพันธ์กับภาวะเส้นเลือดสมองตีบ

8.สัมพันธ์กับภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

9.สัมพันธ์กับมะเร็งอัณฑะ

10.เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจขาดเลือด

11.พบอุบัติการณ์การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนที่สัมพันธ์กับการใช้กัญชาสูงขึ้น 

โทษของกัญชาตามกฎหมายประเทศไทย

กัญชาถูกจัดให้เป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 ซึ่งมีโทษตามกฎหมายหลัก 4 ประเภท คือ

1. ครอบครอง ( อย่างเดียว ) มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากมีในครอบครองมากกว่า 10 กิโลกรัมขึ้นไป ให้ถือว่าครอบครองไว้เพื่อจำหน่าย
2. ครอบครองเพื่อจำหน่าย หากไม่ถึง 10 กิโลกรัม จำคุกตั้งแต่ 2-10 ปี หรือปรับ 40,000 – 200,000 บาท แต่หากมากกว่า 10 กิโลกรัมขึ้นไป มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-15 ปี และมีโทษปรับตั้งแต่ 200,000 – 1,500,000 บาท ทั้ง 2 กรณีอาจมีโทษทั้งจำทั้งปรับ
3. ผลิต นำเข้า มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-15 ปี และมีโทษปรับตั้งแต่ 200,000 – 1,500,000 บาท
4. เสพ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

บทความเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง

เอกสารอ้างอิง

กัญชา (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://th.wikipedia.org [28 มีนาคม 2562].

สรรพคุณและประโยชน์ของต้นกัญชา : https://medthai.com [28 มีนาคม 2562].

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูง ( Leukocytosis )

0
ภาวะเม็ดเลือดขาวสูง ( Leukocytosis ) คือ ภาวะที่มีเม็ดเลือดขาวในโลหิตสูงกว่าปกติ โดยภาวะนี้อาจเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม
สภาวะเม็ดเลือดขาวสูง ( Leukocytosis )
ภาวะเม็ดเลือดขาวสูง ( Leukocytosis ) คือ ภาวะที่มีเม็ดเลือดขาวในโลหิตสูงกว่าปกติ โดยอาจเกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูง ( Leukocytosis )

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูง ( Leukocytosis ) คือ ภาวะที่มีเม็ดเลือดขาวในโลหิตสูงกว่าปกติ โดยภาวะนี้อาจเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม หรือเป็นกลไกที่ต่อสู้กับการติดเชื้อ ทำให้มีเม็ดเลือดขาวในร่างกายมากกว่า 11,000 เซลล์/ไมโครลิตร ซึ่งโดยปกติแล้วจำนวนเม็ดเลือดขาวจะอยู่ระหว่าง 4,000 – 11,000 เซลล์/ไมโครลิตร

ชนิดของเม็ดเลือดขาว

โดยปกติแล้วในร่างกายจะมีสัดส่วนของเม็ดเลือดขาวแต่ละชนิด คือ นิวโทรฟิล 40-80%, ลิมโฟไซต์ 20-40%, โมโนไซต์ 2-10%, อีโอซิโนฟิล 1-6% และ เบโซฟิล 0-2%
1. เม็ดเลือดขาวชนิดนิวโตรฟิล ( Neutrophil ) เป็นชนิดของเม็ดเลือดขาวที่มีมากที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่ในการป้องกันการติดเชื้อ ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา พิษจากสารต่าง ๆ หรือแม้แต่ต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง ซึ่งถ้านิวโตรฟิลมีค่าสูงจะแสดงถึงเป็นสัญญาณของการติดเชื้อแบคทีเรีย
2. เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ ( Lymphocyte ) เป็นเม็ดเลือดขาวที่ผลิตจากไขกระดูก เม็ดเลือดขาวชนิดนี้แบ่งออกเป็น 2 ชนิดย่อย ๆ คือ บีเซลล์ ( B-Cell ) และทีเซลล์ ( T-Cell ) เมื่อเม็ดเลือดขาวถูกผลิตออกมาแล้ว 25% ที่เป็นบีเซลล์จะยังอยู่ในไขกระดูก ส่วนเม็ดเลือดขาว 75% จะเข้าสู่ระบบน้ำเหลืองและเลือด จากนั้นก็จะพัฒนาเป็นทีเซลล์ต่อไป โดยเม็ดเลือดขาวชนิดนี้จะทำหน้าที่ในการต่อสู้กับการติดเชื้อ และป้องกันการติดเชื้อในครั้งต่อไป ซึ่งถ้าลิมโฟไซต์มีค่าสูงจะแสดงถึงสัญญาณของการติดเชื้อไวรัส หรือการก่อตัวของเชื้อมะเร็ง
3. เม็ดเลือดขาวชนิดอีโอซิโนฟิล ( Eosinophil ) เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้และป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย ปรสิต และทำหน้าที่ควบคุมอาการอักเสบที่ทำให้เกิดอาการแพ้และโรคหอบหืด ซึ่งถ้าอีโอซิโนฟิลมีค่าสูงจะแสดงถึงสัญญาณของภูมิแพ้หรือติดเชื้อปรสิตในร่างกาย เช่น พยาธิ อะมีบา เป็นต้น
4. เม็ดเลือดขาวชนิดโมโนไซต์ ( Monocyte ) เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดที่ทำหน้าที่กำจัดจุลินทรีย์ สิ่งแปลกปลอม และเซลล์ที่ตายแล้วซึ่งถ้าโมโนไซต์มีค่าสูงจะแสดงถึงการติดเชื้อไวรัสที่ไม่มีอาการรุนแรงมากนัก และสามารรถรักษาให้หายได้
5. เม็ดเลือดขาวชนิดบาโซฟิล ( Basophil ) เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดที่ช่วยป้องกันและรักษาการติดเชื้อจากจากบาดแผล บรรจุสารที่มีคุณสมบัติบรรเทาอาการแพ้และช่วยควบคุมการแข็งตัวของเลือด ซึ่งถ้าบาโซฟิลมีค่าสูงจะแสดงถึงอาการแพ้

สาเหตุที่ทำให้เม็ดเลือดขาวสูง

1. มีการติดเชื้อ ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาวจำนวนมากเพื่อมาต่อสู้กับเชื้อโรค เช่น ติดเชื้อแบคทีเรีย ติดเชื้อไวรัส ติดเชื้อปรสิต
2. ร่างกายมีการอักเสบ เนื่องจากการอักเสบเป็นหนึ่งในกลไกตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน และเกี่ยวข้องกับการทำงานของเม็ดเลือดขาวโดยตรงด้วย
3. ไขกระดูกมีความผิดปกติ เซลล์เม็ดเลือดขาวนั้นถูกสร้างในไขกระดูก ดังนั้น หากไขกระดูกเกิดความผิดปกติก็อาจส่งผลให้การสร้างเม็ดเลือดขาวมากหรือน้อยกว่าปกติได้
4. ภูมิคุ้มกันมีความผิดปกติ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไวเกิน หรือเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง อาจมีการสร้างเม็ดเลือดขาวในร่างกายมากกว่าปกติได้เช่นกัน   
5. เกิดจากยาบางชนิด เช่น ยาที่กระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน และยาสเตียรอยด์
6. อาการแพ้ เมื่อร่างกายสัมผัสกับสารกระตุ้นอาการแพ้ จะตอบสนองโดยการสร้างเม็ดเลือดขาวมากขึ้น โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวชนิดเบโซฟิล
7. เครียด ความตึงเครียดทางร่างกายและอารมณ์ อาจส่งผลให้พบเม็ดเลือดขาวสูงได้เช่นกัน
8. เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว การพบเม็ดเลือดขาวสูงมาก อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลัน หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง
9. การสูบบุหรี่

อาการของภาวะเม็ดเลือดขาวสูง

หากเม็ดเลือดขาวสูงขึ้นเพียงเล็กน้อย มักไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ แต่หากเม็ดเลือดขาวสูงมาก ก็อาจเกิดการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันมากกว่าปกติ จนทำให้มีอาการได้ เช่น
1.มีไข้
2.อ่อนแรง หน้ามืด วิงเวียน มีเหงื่อออกมาก หายใจลำบาก
3.ปวดเมื่อย หรือชาตามแขนขา หรือหน้าท้อง
4.มีเลือดออกหรือรอยฟกช้ำตามผิวหนังได้ง่าย
5.เบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่มีสาเหตุ
6. หายใจลำบาก มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น และการคิด

ค่าปกติของจำนวนเม็ดเลือดขาว

ค่าปกติของจำนวนเม็ดเลือดขาว คือ 4,000 – 11,000 เซลล์ / ไมโครลิตร 

ภาวะแทรกซ้อนอาการเม็ดเลือดขาวสูง

ภาวะแทรกซ้อนมักเกิดจากสาเหตุที่ทำให้เม็ดเลือดขาวสูงมากมากกว่า 100,000 เซลล์ต่อไมโครลิตร ก็อาจะทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงมาก ( Hyperleukocytosis ) ซึ่งจะส่งผลให้เลือดหนืดจนไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงได้ทั่วร่างกายอย่างเพียงพอ ก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น ง่วงเหงาหาวนอน อ่อนเพลีย และอาจเป็นอันตรายถึงขั้นสมองขาดเลือด หรือหัวใจขาดเลือดได้เช่นกัน

เม็ดเลือดขาวสูง ( Leukocytosis ) คือ ภาวะที่มีเม็ดเลือดขาวในโลหิตสูงกว่าปกติ โดยภาวะนี้อาจเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม

การรักษาภาวะเม็ดเลือดขาวสูง

หากเม็ดเลือดขาวสูงขึ้นเพียงเล็กน้อย และไม่มีอาการรุนแรง ถือเป็นการตอบสนองตามปกติของร่างกาย และไม่จำเป็นต้องรักษา แต่หากพบอาการ เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย มีผื่นแพ้ แพทย์ก็จะวินิจฉัยหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุนั้น เช่น หากเกิดการติดเชื้อ ก็จะให้ยาต้านไวรัส ยาปฏิชีวนะ หรือยาถ่ายพยาธิ หากมีอาการแพ้ก็จะให้ยาแก้แพ้ หรือหากพบว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ก็ต้องรักษาโดยการให้ยาเคมีบำบัด และการฉายรังสี เป็นต้น ในกรณีที่มีเม็ดเลือดขาวสูงมากกว่า 100,000 เซลล์ / ไมโครลิตร อาจต้องรักษาโดยการเปลี่ยนถ่ายพลาสมา เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนอันตรายที่เกิดขึ้น   

การป้องกันเม็ดภาวะเลือดขาวสูง

การที่เม็ดเลือดขาวสูงขึ้นนั้นเป็นการตอบสนองของภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันร่างกายจากสิ่งแปลกปลอม จึงไม่จำเป็นต้องหาวิธีป้องกัน เพียงแต่ควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ภูมิต้านทานอ่อนแอ หมั่นออกกำลังกาย และทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง กระเทียม และเห็ดชิตาเกะ ซึ่งช่วยให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้ดีขึ้น เพื่อให้ภูมิคุ้มกันเราแข็งแรง พร้อมต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมอยู่เสมอ

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
เม็ดเลือดขาวสูง (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.pobpad.com [27 มีนาคม 2562].
เม็ดเลือดขาวสูง บ่งบอกความผิดปกติอะไรบ้าง? (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.honestdocs.co [27 มีนาคม 2562].
leukocytosis (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://en.wikipedia.org [27 มีนาคม 2562].

ฮีโมโกลบินคืออะไร และเกี่ยวข้องกับสุขภาพอย่างไร?

0
ฮีโมโกลบินคืออะไร และเกี่ยวข้องกับสุขภาพอย่างไร
ฮีโมโกลบิน, เฮโมโกลบิน, ฮีม
ฮีโมโกลบินหรือเฮโมโกลบิน คือส่วนหนึ่งของระบบไหลเวียนโลหิตซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญจะอยู่ในเม็ดเลือดแดงและช่วยนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย

ฮีโมโกลบินคืออะไร ?

ฮีโมโกลบิน หรือ เฮโมโกลบิน (Hemoglobin) เป็นโปรตีนสำคัญที่อยู่ในเซลล์เม็ดเลือดแดง โดยมีหน้าที่หลักคือการจับและลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมถึงจับคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อนำกลับไปกำจัดที่ปอด โมเลกุลของฮีโมโกลบินประกอบด้วยโปรตีน 4 สายที่เรียกว่า “สายโกลบูลิน” (Globulin Chains) ซึ่งทำงานร่วมกับธาตุเหล็กที่อยู่ในส่วนประกอบของฮีโมโกลบินที่เรียกว่า “ฮีม” (Heme)

ในผู้ใหญ่ โครงสร้างของฮีโมโกลบินประกอบด้วยสายโกลบูลินชนิดอัลฟา 2 สาย และชนิดเบต้า 2 สาย ขณะที่ในทารกแรกเกิด โครงสร้างจะประกอบด้วยสายโกลบูลินชนิดอัลฟา 2 สาย และชนิดแกมมา 2 สายแทน เนื่องจากสายแกมมาทำหน้าที่สำคัญในช่วงแรกเกิด แต่เมื่อทารกเติบโตขึ้น สายแกมมาจะถูกแทนที่ด้วยสายเบต้า จนกลายเป็นโครงสร้างฮีโมโกลบินแบบผู้ใหญ่ในที่สุด

ฮีโมโกลบินจึงมีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลออกซิเจนในร่างกาย และช่วยในการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นของเสียออกจากร่างกายผ่านระบบไหลเวียนเลือด

ฮีโมโกลบิน เป็นโครงสร้างแบบใด

ฮีโมโกลบิน เป็นโครงสร้างแบบใดฮีโมโกลบิน (hemoglobin หรือคําย่อคือ Hb) มีโครงสร้างโมเลกุลทีประกอบด้วยสายโปลีเป็ปไทด์ (polypeptide) ซึงเป็นหน่วยย่อยของโปรตีน เรียกว่าสายโกลบิน (globin chain) กับหมู่ฮีม (heme group) ซึงฮีม มีโครงสร้างทางเคมีเป็นพอร์ไฟริน (porphyrin) ทีมีโมเลกุลของเหล็ก (iron หรือ Fe) อยู่ตรงกลาง เพือ ทําหน้าทีจับและปล่อยออกซิเจน

วัตถุประสงค์ในการตรวจฮีโมโกลบิน

เพื่อตรวจวัดปริมาณโปรตีนในเม็ดเลือดแดงที่มีว่าอยู่ในระดับปกติหรือไม่

ฮีโมโกลบินในเลือดประกอบด้วยอะไรบ้าง

ฮีโมโกลบินประกอบไปด้วยโมเลกุลของโปรตีน globin 4 โมเลกุล คือ2 alfa-globulin chains และ 2 beta-globulin chain s และธาตุเหล็ก

ฮีโมโกลบินที่พบได้ทั่วไปมี 3 ชนิดคือ

ฮีโมโกลบินที่พบได้ทั่วไปมี 3 ชนิดคือฮีโมโกลบิน เอ ( Hemoglobin A ) พบมากที่สุดในคนวัยผู้ใหญ่ แต่ผู้ที่ป่วยเป็นโรคบางชนิด เช่น โรคธาลัสซีเมียขั้นรุนแรง อาจมีระดับฮีโมโกลบินชนิดนี้ลดลงได้
ฮีโมโกลบิน เอฟ ( Hemoglobin F ) พบในทารกที่อยู่ในครรภ์และเด็กแรกเกิด ซึ่งฮีโมโกลบินชนิดนี้จะถูกแทนที่ด้วยฮีโมโกลบิน เอ ภายในไม่นานหลังจากเกิด หลังจากนั้นร่างกายจะผลิตฮีโมโกลบินเอฟออกมาในปริมาณน้อยมาก แต่หากป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย โรคเลือดจางจากเม็ดเลือดแดงรูปเคียว โรคเลือดจางจากมะเร็งเม็ดเลือดขาว อาจพบฮีโมโกลบินชนิดนี้ในปริมาณสูงได้
ฮีโมโกลบิน เอ2 ( Hemoglobin A2 ) เป็นฮีโมโกลบินที่พบในผู้ใหญ่ พบปริมาณเพียงเล็กน้อย

ฮีโมโกลบินทำหน้าที่อะไร

หน้าที่ของฮีโมโกลบินคือการลำเลียงออกซิเจนจากปอดออกไปยังเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเนื้อเยื่อกลับมายังฟอกที่ปอด ช่วยรักษารูปร่างของเม็ดเลือดแดงให้เป็นปกติ คือมีลักษณะเป็นวงกลมและตรงกลางเว้าคล้ายโดนัท แต่ไม่เป็นรู หากโครงสร้างของฮีโมโกลบินผิดปกติจะส่งผลให้เม็ดเลือดแดงมีรูปร่างแตกต่างไปจากเดิม และมีภาวะโรคเลือดได้เช่น โรคเลือดจาง โรคเลือดหนืด เป็นต้น

เราจะทราบความผิดปกติของฮีโมโกลบินได้อย่างไร ?

จะทราบได้โดยการตรวจวัดความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ( Complete Blood Count CBC ) เพราะช่วยระบุได้ว่าผู้ป่วยมีระดับฮีโมโกลบินสูงหรือต่ำกว่าปกติ ซึ่งระดับฮีโมโกลบินที่ผิดปกติ อาจบ่งบอกถึงโรคบางชนิดได้ เช่น โรคติดต่อทางพันธุกรรม โรคเลือดจาง เป็นต้น

ค่าปกติของฮีโมโกลบินในเลือดควรมีปริมาณเท่าไร ?

ระดับฮีโมโกลบิน ( Hb ) โดยทั่วไปควรมีค่าดังนี้

  • เด็ก อายุ 6-12 ปี Hb : 11.5 – 15.5 g/dL
  • ผู้หญิง อายุ 12-18 ปี Hb : 12.0 – 16.0 g/dL
  • อายุ 18 ปีขึ้นไป Hb : 12.1 – 15.1 g/dL
  • ผู้ชาย อายุ 12 – 18 ปี Hb : 13.0 – 16.0 g/dL
  • อายุ 18 ปีขึ้นไป Hb : 13.6 – 17.7 g/dL

ระดับฮีโมโกลบินผิดปกติบอกอะไรเกี่ยวกับสุขภาพ ?

ระดับฮีโมโกลบินในเลือดบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพได้ เนื่องจากการลดลงหรือเพิ่มขึ้นของฮีโมโกลบินที่ผิดปกตินั้นอาจมีสาเหตุจากอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ

สาเหตุของระดับฮีโมโกลบินต่ำกว่าค่าปกติ

  1. มีภาวะเสียเลือดมากผิดปกติ เช่น เลือดออกจากบาดแผล หรือ ประจำเดือนมามากกว่าปกติ
  2. ร่างกายทำลายเม็ดเลือดแดงมากเกินไป เนื่องจาก ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกผิดปกติ โรคธาลัสซีเมีย
    มีภาวะม้ามโต โรคโลหิตจางที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดแดงหมดอายุเร็วกว่าปกติ ( Hemolytic Anemia )
    โรคโพรพีเรีย ( Porphyria ) หรือมีเลือดออกในระบบทางเดินอาหารหรือทางเดินปัสสาวะ
  3. ร่างกายผลิตเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ เนื่องจาก ภาวะขาดสารอาหาร เช่น ธาตุเหล็ก โฟเลต วิตามินบี 12 หรือวิตามินบี 6 เป็นต้น ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดงไม่ได้ เป็นผลจากโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว รวมถึงการได้รับพิษจากยา การรักษาด้วยรังสี การติดเชื้อ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับไขกระดูกโดยตรง

ฮีโมโกลบินต่ำ มีอาการอย่างไรบ้าง

  • หน้าซีด
  • รู้สึกเหนื่อยง่าย
  • ความอ่อนเพลีย
  • เวียนศีรษะ
  • ปวดหัว
  • รู้สึกหนาว
  • หัวใจเต้นเร็ว
  • หายใจถี่
  • มือเท้าเย็น
  • อุณหภูมิร่างกายต่ำ

สาเหตุของระดับฮีโมโกลบินสูงกว่าค่าปกติ

  • เกิดจากร่างกายผลิตเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติเนื่องจากระดับฮีโมโกลบินสูง และภาวะระดับฮีโมโกลบินสูงมักเกิดจากการมีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ เมื่อเป็นเช่นนี้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้ตรวจวัดค่าฮีโมโกลบินได้ต่ำไปด้วยนั่นเอง
  • เกิดกับผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลมาก ๆ
  • ร่างกายขาดน้ำมากเกินไป
  • สูบบุหรี่หนัก
  • มีภาวะหัวใจพิการตั้งแต่กำเนิด หรือภาวะหัวใจวายที่ห้องหัวใจข้างขวา
  • เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังขั้นรุนแรงภาวะพังผืดที่ปอด หรือโรคปอดชนิดรุนแรงความผิดปกติของสเต็มเซลล์ของเม็ดเลือดแดงในไขกระดูก

ฮีโมโกลบินสูง มีอาการอย่างไรบ้าง

  • รู้สึกเหนื่อยล้า
  • อาการคันบริเวณผิวหนัง
  • ฟกช้ำง่าย
  • อาการปวดหัว
  • เลือดออกง่าย
  • การก่อตัวของลิ้มเลือด อาจนำไปสู่การอุดตันในเส้นเลือดได้
  • เหงื่อออกมากกว่าปกติ
  • น้ำหนักลดผิดปกติ
  • ปวดกระดูกและข้อ

ร่วมตอบคำถามกับเรา

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

A standard biochemistry text defines heme as the “iron-porphyrin prosthetic group of heme proteins”(Nelson, D. L.; Cox, M. M. “Lehninger, Principles of Biochemistry” 3rd Ed.

Paoli, M. (2002). “Structure-function relationships in heme-proteins”. DNA Cell Biol. 21 (4): 271–280.