Home Blog Page 120

น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็น ( Cold Pressed Pepper Oil )

0
น้ำมันพริกไทยสกัดเย็น ( Cold pressed pepper oil )
น้ำมันพริกไทยสกัดเย็น ( Cold pressed pepper oil ) มีสารอัลคาลอยด์ที่เป็นตัวให้พริกไทยมีกลิ่นฉุนและมีรสเผ็ดชื่อว่า พิเพอรีน ( piperine ) มีความเชื่อว่าสารเหล่านี้จะช่วยออกฤทธิ์ละลายไขมันในร่างกาย
น้ำมันพริกไทยสกัดเย็น ( Cold pressed pepper oil )
น้ำมันพริกไทยสกัดเย็น ( Cold pressed pepper oil ) มีสารอัลคาลอยด์ที่มีกลิ่นฉุนและมีรสเผ็ด มีความเชื่อว่าสารเหล่านี้จะช่วยออกฤทธิ์ละลายไขมันในร่างกาย

น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็น

น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็น ( Cold pressed Pepper oil ) ได้จากการสกัดพริกไทยสดและพริกไทยดำในปริมาณที่เหมาะสม น้ำมันพริกไทยสกัดเย็นมีประโยชน์และสรรพคุณทางการแพทย์ 

พริกไทย ลักษณะเป็นไม้เถาเนื้อแข็งอายุหลายปี ข้อโป่งนูนมีรากฝอยตามข้อเถาเพื่อใช้ยึดเกาะเถายาว 2 – 4 เมตร มีข้อปล้องเห็นได้ชัด ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกสลับ ใบออกตามข้อหรือยอดเถา ใบรูปไข่ กว้าง 5 – 8 เซนติเมตร ยาว 8 – 11 เซนติเมตร ก้านใบยาว 2 – 3 เซนติเมตร โคนมนหรือเบี้ยวไม่เท่ากัน ปลายแหลม ขอบใบเรียบ ผิวเรียบมัน เนื้อใบหนา ผลของพริกไทยมีลักษณะกลมเล็ก เกิดเรียงเบียดกันแน่นล้อมแกนกลางของช่อผล ขนาดผลประมาณ 0.3 – 0.6 มิลลิเมตร ผลอ่อนมีขนาดเล็กคล้ายกับดอก ผลมีสีเขียวอ่อน ผลแก่มีสีเขียวเข้ม และเมื่อสุกจะค่อยเปลี่ยนเป็นสีแดง และเมื่อแห้งจะเปลี่ยนเป็นสีดำผิวผลมีสีเขียวเข้ม ผลจะสร้างเปลือกเมล็ดแข็ง เมื่อบีบจะแข็ง และไม่แตก เมื่อเคี้ยวกินจะมีรสเผ็ด และมีกลิ่นหอมฉุน ส่วนเมล็ดแห้งจะส่งกลิ่นหอมฉุนให้ได้กลิ่น

ในระหว่างปี 2557 – 2559 เป็นช่วงที่ราคาพริกไทยดำสูงขึ้นเนื่องจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่เคยปลูกสวนยางและมันสำปะหลังต่างหันมาปลูกพริกไทยดำแทน ส่งผลทำให้มีผลผลิตมากเกินความต้องการมีการปรับราคาลดลงต่ำสุดในรอบหลายปี ภาครัฐเข้ามาแก้ปัญหาโดยให้ความรู้กับเกษตรกรนำผลผลิตพริกไทยดำในท้องถิ่นมาแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า เพราะในพริกไทยมีน้ำมันหอมระเหยชนิดหนึ่ง เรียกว่า น้ำมันพริกไทย ( Pepper Oil ) ซึ่งมีสารอัลคาลอยด์ที่เป็นตัวให้พริกไทยมีกลิ่นฉุนและมีรสเผ็ดชื่อว่า พิเพอรีน ( piperine ) มีความเชื่อว่าสารเหล่านี้จะช่วยออกฤทธิ์ละลายไขมันในร่างกาย จึงมีการนำมาใช้เป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนัก และยังช่วยลดการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร แก้อาการท้องอืด ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ ขับสารพิษต่าง ๆ ช่วยบำรุงธาตุ นอกจากนี้ในพริกไทยยังมีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งสามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้อีกด้วย เพื่อยกระดับราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันพริกไทยสกัดให้มีมูลค่าสูงขึ้นจนสามารถขยายตลาดการค้าไปสู่ในและต่างประเทศ 

สรรพคุณ และประโยชน์ของน้ำมันพริกไทยสกัดเย็น

1. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
2. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นมีสรรพคุณช่วยควบคุมโรคความดันโลหิตสูง
3. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นช่วยขับเสมหะ และแก้เจ็บคอ ทำให้หายใจสะดวกขึ้น
4. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นช่วยเยียวยากระเพาะและลำไส้
5. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นช่วยการขับถ่ายให้สะดวก ไม่ท้องผูก
6. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นช่วยแก้อาการอาหารไม่ย่อย
7. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นเป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยให้เลือดลมดี ร่างกายได้ปรับสมดุล
8. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นลดอาการกล้ามเนื้อกระตุก และช่วยลดไข้หวัดได้
9. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ช่วยขับเหงื่อ ลดไขมัน
10. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท
11. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นช่วยกำจัดเซลล์ไขมันที่อยู่ในร่างกาย
12. น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็นช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

น้ำมันพริกไทยดำสกัดเย็น ใช้เป็นยา มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ให้ความเผ็ดร้อน กลิ่นหอม ช่วยดับกลิ่นอาหารคาวของเนื้อสัตว์ได้เป็นอย่างดีเยี่ยมรวมถึงสรรพคุณทางยาที่น่าอัศจรรย์

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

หน้าหลัก


http://www.bangkokbiznews.com (กรุงเทพธุรกิจ)
www.palangkaset.com ( พลังเกษตร )

ไข้เลือดออก ( Dengue hemorrhagic fever )

0
ไข้เลือดออก ( Dengue hemorrhagic fever )
ไข้เลือดออก ( Dengue hemorrhagic fever ) โดยมียุงลายเป็นพาหะที่สำคัญ ยุงตัวเมียจะกัดและดูดเลือดของผู้ป่วยซึ่งมีเชื้อไวรัสเดงกี เชื้อจะเข้าไปฟักตัวเพิ่มจำนวนในยุง และสามารถถ่ายทอดเชื้อให้คนที่ถูกมันกัดได้
ไข้เลือดออก ( Dengue hemorrhagic fever )
ไข้เลือดออก ( Dengue hemorrhagic fever ) มียุงลายเป็นพาหะที่สำคัญ โดยดูดเลือดของผู้ป่วยซึ่งมีเชื้อไวรัสเดงกี เชื้อจะเข้าไปฟักตัวเพิ่มจำนวนในยุง และสามารถถ่ายทอดเชื้อให้คนที่ถูกมันกัดได้

ไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก ( Dengue hemorrhagic fever ) สามารถติดต่อจากคนสู่คน โดยมียุงลาย ( Aedes aegypt ) เป็นพาหะที่สำคัญ ยุงตัวเมียจะกัดและดูดเลือดของผู้ป่วยซึ่งมีเชื้อไวรัสเดงกี เชื้อจะเข้าไปฟักตัวเพิ่มจำนวนในยุงหลังจากนั้นยุงจะมีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวตลอดอายุของมัน ( ประมาณ 1-2 เดือน ) และสามารถถ่ายทอดเชื้อให้คนที่ถูกมันกัดได้ ยุงลายเป็นยุงที่อาศัยอยู่ภายในบ้านและบริเวณบ้าน มักจะกัดเวลากลางวัน แหล่งเพาะพันธุ์ คือ น้ำใสที่ขังอยู่ตามภาชนะเก็บน้ำต่างๆ เช่น โอ่งน้ำ แจกันดอกไม้ ถ้วยรองขาตู้ จาน ชาม กระป๋อง หม้อ กระถาง ยางรถ เป็นต้น โดยทั่วไปโรคนี้จะพบมากในฤดูฝน เนื่องจากเด็กมักอยู่ในบ้านมากกว่าฤดูอื่นๆ และยุงลายมีการแพร่พันธุ์มากในฤดูฝน แต่ในเมืองใหญ่ๆ เช่น กรุงเทพฯ อาจพบโรคนี้ได้ตลอดปี 

อาการของโรคไข้เลือดออก

ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเกิดขึ้นฉับพลันและไข้จะสูงลอยตลอดเวลาอยู่ประมาณ 2-7 วัน กินยาลดไข้ ไข้มักจะไม่ลด หน้าแดง ตาแดง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ กระหายน้ำ เบื่ออาหาร อาเจียน ซึม บางรายอาจปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวาหรือปวดท้องทั่วไป และอาจมีท้องผูกหรือถ่ายเหลวร่วมด้วย ส่วนมากมักไม่มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลหรือไอมากแต่บางรายอาจมีอาการเจ็บคอ คอแดงและไอเล็กน้อยประมาณวันที่ 3 อาจมีผื่นแดง ไม่คันขึ้นตามแขนขาและลำตัวอยู่ประมาณ 2-3 วัน บางรายอาจมีจ้ำเขียวหรือจุดเลือดออกเกิดขึ้นซึ่งมีลักษณะเป็นจุดสีแดงเล็กๆ ขึ้นตามหน้า แขนขา ซอกรักแร้ ในช่องปาก และอาจคลำพบตับโตกดเจ็บเกิดขึ้นได้ ในระยะนี้ถ้ามีอาการรุนแรงจะปรากฏอาการ

ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก อาการมักจะเกิดช่วงวันที่ 3 – 7 ของโรคซึ่งถือว่าเป็นช่วงวิกฤต โดยอาการไข้จะลดลงอย่างรวดเร็วแต่ผู้ป่วยมักมีอาการทรุดหนักและมีภาวะช็อกเกิดขึ้น คือ กระสับกระส่าย เหงื่อออก ตัวเย็น มือเท้าเย็น ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว ความดันเลือดต่ำ ซึม นอกจากนี้อาจมีเลือดออกตามผิวหนังหรือมีจ้ำเขียวพรายย้ำขึ้น เลือดกำเดาไหล อาเจียน และถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสดๆ หรือเป็นสีกาแฟ ระยะนี้กินเวลาประมาณ 24 – 48 ชม. ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงทีอาจอันตรายถึงชีวิตได้ แต่ถ้าผู้ป่วยสามารถผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปได้ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3

ไข้เลือดออก ( Dengue hemorrhagic fever ) มียุงลายเป็นพาหะที่สำคัญ โดยดูดเลือดของผู้ป่วยซึ่งมีเชื้อไวรัสเดงกี เชื้อจะเข้าไปฟักตัวเพิ่มจำนวนในยุง และสามารถถ่ายทอดเชื้อให้คนที่ถูกมันกัดได้

ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว ในรายที่ได้รับการรักษาถูกต้องและทันท่วงที ภาวะช็อกไม่รุนแรงอาการต่างๆจะเริ่มดีขึ้น และอาการที่แสดงว่าผู้ป่วยดีขึ้น คือ เริ่มรับประทานอาหารได้ ลุกนั่งได้ และร่างกายจะค่อยๆฟื้นตัวสู่สภาพปกติ ระยะนี้อาจกินเวลาประมาณ 2-3 วัน รวมระยะเวลาของโรคไข้เลือดออกที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนประมาณ 7-10 วัน

การรักษาโรคไข้เลือดออก

การรักษา โรคไข้เลือดออก นั้นยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสที่มีฤทธิ์เฉพาะตัวสำหรับกำจัดเชื้อไวรัสเดงกี การรักษาตามอาการจึงเป็นสิ่งที่สมควรทำมากที่สุด ในขั้นแรกเมื่อมีไข้สูงจะให้ยาพาราเซตามอล ห้ามให้ใช้ยาแอสไพรินเด็ดขาด เพราะจะทำให้เลือดออกรุนแรงขึ้น หากมีอาการคลื่นไส้อาเจียนให้ใช้ยาแก้คลื่นไส้และให้ดื่มน้ำเกลือแร่ หรือน้ำผลไม้ครั้งละน้อยๆ แต่บ่อย รวมถึงสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดภาวะช็อคได้ ซึ่งภาวะช็อคส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในช่วงที่ไข้ลด ผู้ปกครองควรทราบอาการ ได้แก่ อาการปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลง มีอาการกระสับกระส่าย หรือเซื่องซีม มือเท้าเย็นพร้อมๆ กับไข้ลด หน้ามืด เป็นลมง่าย หากเกิดอาการเช่นนี้ให้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที

การป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงลายกัด

1. นอนในมุ้งหรือห้องที่มีมุ้งลวด
2. จุดยากันยุงหรือใช้ยาทาหรือยาฉีดกันยุง และควรใช้อย่างระมัดระวัง
3. ไม่ควรอยู่ในบริเวณที่อับลมหรือเป็นมุมมืด มีแสงสว่างน้อย
4. หมั่นอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดเพราะเหงื่อจะดึงดูดให้ยุงกัดมากขึ้น

ไข้เลือดออกมีอาการและความรุนแรงต่างกัน บางคนมีโอกาสเกิดภาวะช็อกเมื่อไข้เริ่มลด พ่อแม่ผู้ปกครองจึงไม่ควรประมาทควรสังเกตอาการเหล่านี้ คือ ไข้ลงหรือไข้ลดลงแต่อาการเลวลง เบื่ออาหาร
อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ตลอดเวลา ปวดท้องมาก มีเลือดออกมาก เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียน หรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ ถ้ามีอาการดังกล่าวแม้ว่าไข้เริ่มจะลดลงแล้วควรต้องไปพบแพทย์

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

อ้างอิง www.thaihealth.or.th ( สสส. )

โรคแพ้เหงื่อตัวเอง ( Allergic dermatitis )

0
โรคแพ้เหงื่อตัวเอง ( Allergic dermatitis )
โรคแพ้เหงื่อตัวเอง ( Allergic dermatitis ) เป็นโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่งที่มักจะมีอาการผิดปกติกับผิวหนังเมื่อร่างกายมีเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก เช่น อาการคัน แสบ และมีผื่นคันขึ้นตามตัว
โรคแพ้เหงื่อตัวเอง ( Allergic dermatitis )
โรคแพ้เหงื่อตัวเอง ( Allergic dermatitis ) เมื่อร่างกายมีเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก จะมีอาการคัน แสบ และมีผื่นคันขึ้นตามตัว

โรคแพ้เหงื่อตัวเอง

โรคแพ้เหงื่อตัวเอง ( Allergic dermatitis ) คือ โรคภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบชนิดหนึ่งเกิดจากการสัมผัสสารบางชนิด หรือสารก่อภูมิแพ้ที่ส่งผลต่อผิวหนังทำให้เกิดการระคายเคืองได้ มักเกิดในช่วงฤดูร้อนสภาพอากาศร้อนอบอ้าว อากาศชื้นแฉะ หรือหลังการออกกำลังกายทำให้ร่างกายมีเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก เช่น ทำให้ผิวแห้ง มีอาการคัน แสบ พุพอง ผิวแตก แพ้เหงื่อตัวเองสิวขึ้น และมีผื่นขึ้นตามเนื้อตัวอย่างมากมาย สันนิษฐานได้ว่าอาจเป็น โรคแพ้เหงื่อตัวเอง ส่งผลให้การใช้ชีวิตผิดปกติและอาจจะไม่สามารถออกกำลังกายเนื่องจากต้องสัมผัสกับเหงื่อตัวเองโดยตรง

แพ้เหงื่อตัวเอง เกิดจากอะไร

แพ้เหงื่อตัวเองเกิดจากการที่ต่อมเหงื่ออุดตันไม่สามารถขับเหงื่อออกมาได้ทำให้ผื่นที่เกิดจากความร้อนใต้ผิวหนัง มักปรากฏตามรอยข้อพับ บริเวณผิวหนังเสียดสีกับเสื้อผ้า เช่น บริเวณคอ ไหล่ หน้าอก รักแร้ ข้อศอก และขาหนีบ
1. แพ้เหงื่อตัวเองการเกิดปฏิกิริยาที่ผิดปกติของร่างกาย

โรคแพ้เหงื่อตัวเองถือเป็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติ ผิวหนังมีความไวต่อเหงื่อภายในร่างกายเป็นพิเศษโดยอาจเกิดจากการทำงานของเซลล์ภูมิแพ้ที่ผิดปกติภายในร่างกาย หรือแม้กระทั่งจากระบบภูมิคุ้มกันที่มีการทำงานมากเกินไป

2. เป็นโรคผิวหนังอยู่แล้ว

โรคผิวหนังบางชนิด อาจเป็นปัญหาสำคัญที่พร้อมจะส่งผลทำให้ร่างกายของคุณผิดปกติโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะยิ่งทำให้คุณมีอาการคันตามร่างกาย หรือไม่ก็ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้น ๆ มีอาการแดงขึ้นมาทันที แพ้เหงื่อตัวเองมีผลกระทบจาก ปฏิกิริยาที่ไวต่อเหงื่อจึงอาจมีสาเหตุจากโรคผิวหนังที่เป็นอยู่แล้ว

3. อยู่ในพื้นที่ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ

หากผู้ที่มีอาการแพ้เหงื่อตัวเองไปอยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นละอองมาก พื้นที่นั้นมีเชื้อโรคและแบคทีเรีย หรือแม้กระทั่งมีค่าฝุ่น pm 2.5 เกินค่ามาตรฐาน เหล่านี้ถือได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่ายยิ่งขึ้น เมื่อร่างกายมีเหงื่อออก หรือหากร่างกายสัมผัสโดนฝุ่นละออง ก็ย่อมทำให้เกิดอาการแพ้ฝุ่นร่วมด้วยได้

4. เกิดกับคนที่มีผิวพรรณที่บอบบางและแพ้ง่าย

การมีผิวพรรณที่บอบบางเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้อย่างง่ายๆ ยิ่งหากมีเหงื่อไคลออกมาเป็นจำนวนมาก เมื่อไปสัมผัสกับเชื้อโรคและแบคทีเรียร่วมด้วยเข้าอีก ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทำให้เกิดอาการแพ้เหงื่อตามมา

โรคแพ้เหงื่อตัวเอง ( Allergic dermatitis ) คือ เมื่อร่างกายมีเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก จะมีอาการคัน แสบ และมีผื่นคันขึ้นตามตัว

อาการของแพ้เหงื่อตัวเอง

  • ผู้ที่แพ้เหงื่อตัวเอง มักจะมีอาการคันในช่วงเวลาที่มีเหงื่อออก โดยเฉพาะตามจุดที่มีเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ลำคอ ขาหนีบ หรือข้อพับต่างๆ
  • ช่วงเวลาที่เหงื่อออก มักมีผดผื่น หรือตุ่มน้ำใสๆ ขึ้นตามร่างกายเป็นประจำ
  • ผดผื่นที่ขึ้นตามร่างกายเนื่องจากมีอาการแพ้เหงื่อจะเกิดขึ้นเพียงแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นจะค่อยๆ ยุบและจางหายไปเอง แต่ถ้าหากมีเหงื่อออกอีกครั้ง อาการแพ้เหล่านี้ก็อาจจะกลับมาได้อีก
  • แพ้เหงื่อตัวเองจากอาหารบางชนิด เช่น ถั่ว นม น้ำส้มสายชู แอลกอฮอล์ อาหารรสเค็ม ปลาและหอย อาหารที่มีสารกันบูด

แพ้เหงื่อวิธีรักษา

  • แพ้เหงื่อตัวเองยาทา เพื่อบรรเทาอาการผื่นคันที่ผิวหนังจากการอักเสบ ทายาวันละสองครั้งต่อวันเป็นเวลาสองสัปดาห์อาการคันจะค่อยๆดีขึ้นเอง
  • รับประทานยาแก้แพ้เมื่อมีอาการแพ้ ยาจำพวกสารต้านฮิสตามีนทั้งหลายสามารถช่วยรักษาอาการแพ้ต่างๆ หรือหากใครเกิดอาการแพ้มากๆ แพทย์ก็อาจจะแนะนำให้ฉีดสารฮีสตามีนเพื่อลดอาการแพ้ที่เกิดขึ้นให้ลดลงหมั่นอาบน้ำ
  • ทำความสะอาดเพื่อล้างคราบเหงื่อ เป็นวิธีการรักษาอาการแพ้เหงื่อในเบื้องต้นที่ทำได้ง่ายๆ เพื่อไม่ให้เหงื่อแห้งติดอยู่บนผิวหนังนานจนเกินไป เพียงเท่านี้อาการคันที่เกิดขึ้นก็จะทุเลาลงได้ทันที
  • พยายามฝึกฝนและปรับร่างกายให้ชินต่ออาการแพ้ การพยายามปรับและฝึกฝนตนเองเพื่ออยู่ร่วมกับอาการแพ้เหงื่ออาจช่วยให้คุณคุ้นชินกับอาการที่เกิดขึ้น

หากแพ้เหงื่อตัวเองยาทาแล้วยังไม่ดีขึ้นแพทย์อาจแนะนำให้ฉีดสารฮีสตามีน เพื่อลดอาการแพ้ที่เกิดขึ้นให้ลดลงหมั่นอาบน้ำ ทำความสะอาดเพื่อล้างคราบเหงื่อ เป็นวิธีการรักษาอาการแพ้เหงื่อในเบื้องต้นที่ทำได้ง่ายๆ เพื่อไม่ให้เหงื่อแห้งติดอยู่บนผิวหนังนานจนเกินไป เพียงเท่านี้อาการคันที่เกิดขึ้นก็จะทุเลาลงได้ทันที

ป้องกันอาการแพ้เหงื่อได้อย่างไรบ้าง

  • หลีกเลี่ยงสารระคายเคืองหรือสารก่อภูมิแพ้
  • ทาครีมหรือโลชั่นที่ผิวหนัง เพื่อป้องกันอาการคันบริเวณที่เกิดผื่นคัน
  • ใช้ยาแก้คันทาบริเวณแพ้เหงื่อตัวเอง
  • ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบทุก 15 นาที
  • อาบน้ำให้สะอาดด้วยสบู่อ่อนๆ เพื่อลดอาการคัน

แพ้เหงื่อตัวเองสิวขึ้น จริงไหม? แม้ว่าอาการแพ้เหงื่อจะไม่ใช่โรคร้ายแรงแต่อย่างใด แต่หากคุณตรวจพบว่าตนเองมีอาการผิดปกติเกิดผื่นคันลักษณะคล้ายสิวแต่ไม่ใช่สิว โดยเฉพาะอาการทางผิวหนังบริเวณต้นคอ หน้าอก หัวไหล่ หรือหากอาการแพ้รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ก็ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา ควรรีบปรึกษาแพทย์และเข้ารับการตรวจรักษาโรคอย่างละเอียด

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

กระจกตาอักเสบเรื้อรัง ( Keratitis )

0
กระจกตาอักเสบ ( Keratitis )
กระจกตาอักเสบ ( Keratitis ) คือ การอักเสบที่เนื้อเยื่อกระจกตา ทำให้มีอาการตาแดงหรือตาแดงโดยเกิดขึ้นบ่อยกับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำ
กระจกตาอักเสบ ( Keratitis )
กระจกตาอักเสบ ( Keratitis ) คือ การอักเสบที่เนื้อเยื่อกระจกตา ทำให้มีอาการตาแดงหรือตาแดงโดยเกิดขึ้นบ่อยกับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำ

กระจกตาอักเสบเรื้อรัง

กระจกตาอักเสบ ( Keratitis ) คือ การอักเสบที่เนื้อเยื่อกระจกตาส่วนที่คลุมม่านตาและรูม่านตาไว้ มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือการบาดเจ็บของกระจกตา ซึ่งทำให้มีอาการตาแดงหรือเจ็บตา โดยเกิดขึ้นบ่อยกับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำหรือโดนพิษแมลงสะสม

อาการของกระจกตาอักเสบ

โดยทั่วไป กระจกตาอักเสบมักมีอาการ ดังนี้

  • ตามัว มีน้ำตาไหลออกมาจากตา
  • ตาบวม ระคายเคืองตา
  • ตาไวต่อแสงหรือตาแพ้แสง
  • มีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย
  • ประสิทธิภาพในการมองเห็นลดลง
  • รู้สึกเหมือนมีบางอย่างอยู่ในตา
  • มีอาการเจ็บเมื่อลืมตา หรือไม่สามารถลืมตาได้

สาเหตุของกระจกตาอักเสบ

กระจกตาอักเสบนั้นอาจเกิดจากการติดเชื้อ การอักเสบ หรือการบาดเจ็บที่กระจกตา ดังนี้

สาเหตุจากการติดเชื้อที่ดวงตา

โดนพิษแมลง เช่น โดนแมลงตัวเล็กเข้าตา มีอาการระคายเคืองตาจากพิษสะสม
มีการปนเปื้อน
 เช่น เล่นน้ำที่มีสารเคมีปนเปื้อนก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและระคายเคืองที่กระจกตาได้ เป็นต้น
การติดเชื้อรา เป็นสาเหตุที่พบได้ยาก แต่อาจเกิดจากการใส่คอนแทคเลนส์ และการติดเชื้อราที่อยู่ตามบริเวณต่าง ๆ
ารติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นการติดเชื้อ 2 ประเภท คือ เชื้อซูโดโมแนส แอรูจิโนซ่า ( Pseudomonas Aeruginosa ) ซึ่งเป็นเชื้อที่ติดจากคอนแทคเลนส์ และ เชื้อสแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส ( Staphylococcus Aureus ) ซึ่งเป็นเชื้อที่พบได้ทั่วไป
การติดเชื้อไวรัส เช่น โรคเริม อีสุกอีใส ไข้หวัดทั่วไป เป็นต้น โดยหากเกิดอาการป่วยก็ควรล้างมือให้สะอาดและหลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตาอย่างเด็ดขาด
การติดเชื้อปรสิต โรคติดเชื้อจากอะมีบา ( Acanthamoeba ) ซึ่งพบได้ทั่วไปในอากาศ น้ำประปา และในดิน

ไม่ว่าจะเกิดจากเชื้ออะไรในข้างต้น ถ้าเป็นเชื้อปรสิต หรือเชื้อรา ค่อนข้างยากในการรักษา เพราะไม่ค่อยมียาที่จำเพาะ ถ้าเป็นเชื้อไวรัสก็มักจะเกิดการอักเสบเรื้อรัง เพราะตัวไวรัส จะไปซ่อนอยู่ในปมประสาท จึงส่งผลให้เกิดการอักเสบเป็นใหม่ซ้ำ ๆ ได้ ส่วนถ้าเป็นเชื้อแบคทีเรีย จะทำให้กระจกตาทะลุได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการอักเสบของกระจกตาจะเกิดจากจากเชื้อใด การรักษามักต้องใช้เวลานาน  

สาเหตุจากปัจจัยอื่น

การบาดเจ็บที่กระจกตา ซึ่งอาจเกิดจากการขยี้ตา มีวัตถุกระแทกตาหรือกระเด็นเข้าตาจนเกิดรอยขีดข่วนที่ผิวกระจกตา หรือเกิดจากอุบัติเหตุอื่นๆ
การใส่คอนแทคเลนส์ หากใส่คอนแทคเลนส์แต่ละครั้งเป็นเวลานานจนเกินไปก็อาจเสี่ยงเกิดกระจกตาอักเสบได้
การใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ หรือการรักษาด้วยรังสีบำบัดก็อาจส่งผลให้เกิดกระจกตาอักเสบได้
ปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่น จ้องแสงสว่างนานเกินไปก็อาจทำให้กระจกตาอักเสบได้ เป็นต้น
การเจ็บป่วยต่าง ๆ เช่น มีอาการตาแห้ง เปลือกตาผิดปกติ ระบบภูมิคุ้มกันมีปัญหา หรือมีภาวะขาดวิตามินเอ เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนจากกระจกตาอักเสบ

  1. ผลข้างเคียงที่อาจพบได้จากการเกิดกระจกตาอักเสบ คือ การก่อให้เกิดอาการเจ็บปวด ใช้เวลารักษานาน
  2. อาจเกิดมีแผลเป็นเกิดขึ้นที่กระจกตา
  3. มีแผลเป็น ทำให้ผิวกระจกตาไม่เรียบ มีการอักเสบติดเชื้อในตอนหลังได้มาก อีกทั้งผิวที่ไม่เรียบ จึงไม่อาจใช้คอนแทคเลนส์ได้อีก
  4. ตาแห้ง เพราะน้ำตาเกลี่ยไม่ดีจากผิวกระจกตาที่ขรุขระหากเชื้อรุนแรง การรักษาไม่ได้ผล กระจกตาทะลุ เชื้อโรคเข้าสู่ภายในลูกตา ทำให้มีการติดเชื้อภายในลูกตาในบางรายสูญเสียดวงตา บางรายเชื้อโรคอาจลุกลามเข้าสู่สมองก่อให้เกิด สมองอักเสบหรือเข้าสู่กระแสเลือดก่อให้เกิด ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดได้

การวินิจฉัยกระจกตาอักเสบ

หากผู้ป่วยมีอาการต่าง ๆ ที่สงสัยว่าเป็นการอักเสบที่กระจกตา โดยแพทย์จะให้ผู้ป่วยมองรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ
การตอบสนองของดวงตาต่อแสง โดยใช้แสงตรวจดูการตอบสนองของดวงตา ความแตกต่าง หรือตรวจหาข้อบกพร่องของรูม่านตา ทดสอบด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเป็นการใช้แสงร่วมกับกล้องจุลทรรศน์ขยายโครงสร้างภายในตาจนเห็นถึงม่านตา เพื่อให้แพทย์สามารถเห็นจุดที่ผิดปกติได้ใกล้และชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เก็บตัวอย่างน้ำตาหรือเซลล์จากกระจกตา เพื่อนำไปตรวจในลำดับต่อไป 

การรักษากระจกตาอักเสบ

1. การใช้ยา
การใช้ยาปฏิชีวนะ
ใช้กับการติดเชื้อจากแบคทีเรีย ซึ่งหากไม่รุนแรงมากก็อาจใช้เพียงยาหยอดตาเท่านั้น
การใช้ยาต้านไวรัส ยาต้านไวรัสจะมีทั้งแบบรับประทานและแบบหยอดตา
การใช้ยาต้านเชื้อรา อาการกระจกตาอักเสบที่เกิดจากเชื้อรามักใช้ทั้งยารับประทานและยาหยอดตาในการรักษา

2. การผ่าตัดกระจกตา
ใช้ในรายที่เป็นรุนแรง มีอาการอักเสบรุนแรงจนสูญเสียการมองเห็น ส่วนใหญ่เมื่อใช้ยาไม่ได้ผล และแผลทำท่าจะเกิดการทะลุ  ซึ่งจะเป็นการนำเชื้อโรคเข้าสู่ภายในลูกตา ซึ่งแพทย์อาจต้องผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตามีการใช้สารที่เป็นกาวเพื่อปิดแผล ในกรณีแผลทะลุหรือใกล้ทะลุขนาดเล็ก ใช้เยื่อตารอบๆกระจกตามาปิดแผลหรืออาจใช้เยื่อหุ้มรกของทารกมาปิดแผล กันไม่ให้เกิดแผลทะลุ และผ่าตัดนำหลอดเลือดจากเยื่อตามาช่วยรักษาแผล

การผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา หรือ การปลูกถ่ายกระจกตา อาจพิจารณาทำใน 2 กรณี

กรณีแรก เมื่อกระจกตาใกล้ทะลุ หรือทะลุขนาดใหญ่ หรือเป็นการอักเสบที่ดื้อต่อยา และมีกระจกตาบริจาคพอดี เรียกกันว่า Therapeutic graft ที่เป็นการตัดเอากระจกตาติดเชื้อออก เป็นการกำจัดเชื้อออกไปโดยตรง
กรณีที่สอง คือ เมื่อโรคสงบลงแต่เกิดแผลเป็นกับกระจกตาที่บดบังการมองเห็น ต้องใช้กระจกตาบริจาคมาปลูกถ่ายกระจกตา แทนที่ส่วนที่เป็นฝ้าขาว เป็นแผลเป็น เพื่อช่วยให้สายตา การมองเห็นให้ดีขึ้น

การป้องกันกระจกตาอักเสบ

การป้องกันกระจกตาอักเสบสำหรับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์

เลือกใช้คอนแทคเลนส์ที่เหมาะสม สะอาด ปลอดภัย ได้รับการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ สิ่งที่ควรทำเพื่อป้องกันอาการกระจกตาอักเสบ คือ ล้างมือให้สะอาดก่อนใส่คอนแทคเลนส์ ใช้น้ำยาทำความสะอาดที่เหมาะสม ไม่ใช้น้ำเปล่าหรือน้ำที่มีการเจือจางสารอื่น ๆ เพื่อล้างคอนแทคเลนส์ เมื่อใส่คอนแทคเลนส์อาจต้องใช้ยาหยอดตาเพื่อป้องกันอาการตาแห้งและเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ดวงตา เปลี่ยนคอนแทคเลนส์ทุกวันหรือทุก 3-6 เดือน ซึ่งอาจแตกต่างกันตามชนิดของคอนแทคเลนส์ที่ใช้ เก็บรักษาคอนแทคเลนส์ในบรรจุภัณฑ์ที่สะอาดเสมอ อีกทั้งขณะว่ายน้ำหรือก่อนนอนก็ควรถอดคอนแทคเลนส์ออกก่อน ส่วนผู้ที่มีอาการอักเสบของกระจกตาอยู่ก็ไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์ 

การป้องกันกระจกตาอักเสบสำหรับบุคคลทั่วไป

  1. ล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสดวงตา
  2. ในกรณีที่ตาแห้ง ควรใช้ยาหยอดตา หรือน้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ดวงตา
  3. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างเหมาะสม เพิ่มวิตามินเอ
  4. ป้องกันการบาดเจ็บที่ดวงตาด้วยการสวมแว่นกันแดดก่อนออกแดดทุกครั้ง
  5. หลีกเลี่ยงการขยี้ตา เพราะจะทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายสู่ดวงตาได้ง่าย
  6. ควบคุมโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ให้ดีอยู่เสมอ อันจะทำให้การติดเชื้อน้อยลง
  7. หากมีอาการผิดปกติทางตา โดยเฉพาะมีอาการตามัว เจ็บตา ปวดตา ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง

บทความอ้างอิงที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โรคลมแดดหรือโรคฮีทสโตรก ( Heat Stroke )

0
โรคลมแดดหรือโรคฮีทสโตรก ( Heat Stroke )
โรคลมแดด หรือ โรคฮีทสโตรก ( Heat Stroke ) เป็นโรคที่เกิดจากความร้อนที่ร่างกายสร้างขึ้นเองและได้รับความร้อนจากสภาพแวดล้อมภายนอก ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ และกระทบระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย
โรคลมแดดหรือโรคฮีทสโตรก ( Heat Stroke )
โรคลมแดด หรือ โรคฮีทสโตรก ( Heat Stroke ) เกิดจากความร้อนที่ร่างกายสร้างขึ้นและได้รับจากสภาพแวดล้อมภายนอก ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนกระทบต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย

โรคลมแดด หรือ โรคฮีทสโตรก

โรคลมแดด หรือ โรคฮีทสโตรก ( Heat Stroke ) คืออะไร โรคลมแดด หรือ โรคฮีทสโตรก เป็นโรคที่เกิดจากความร้อนที่ร่างกายสร้างขึ้นเองและได้รับความร้อนจากสภาพแวดล้อมภายนอกด้วย จึงส่งผลให้ร่างกายระบายความร้อนไม่ทัน จนทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ และกระทบระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายจนเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ โรคลมแดด หรือ โรคฮีทสโตรก นี้ถ้าหากได้รับการรักษาที่ถูกต้องมีโอกาสรอดชีวิตได้ถึง 90 % แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้เกินกว่า 2 ชั่วโมง ก็มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้เนื่องจากอวัยวะภายในได้รับความเสียหาย ดังนั้นจึงควรสังเกตอาการของโรคลมแดด หรือ โรคฮีทสโตรกไว้ให้ดี   

อาการของโรคลมแดดหรือโรคฮีทสโตรก

โรคฮีทสโตรก ผู้ป่วยจะมีอาการหน้ามืด เมื่อยล้า อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน หอบหายใจเร็ว ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วมากจนอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รูขุมขนจะปิดจนไม่สามารถระบายเหงื่อได้
ตัวร้อนจัด ผิวแดงจัด วัดอุณหภูมิได้มากกว่า 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป พูดจาไม่รู้เรื่อง มีอาการงุนงง สับสน หงุดหงิด อาจถึงขั้นชักกระตุก เกร็ง และหมดสติไป

สัญญาณของโรคลมแดดหรือโรคฮีทสโตรก

สัญญาณสำคัญของโรคฮีทสโตรก คือ ผู้ป่วยจะไม่มีเหงื่อออก รู้สึกกระหายน้ำมาก ตัวร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ปวดศีรษะรุนแรง มึนงง หัวใจเต้นเร็ว เมื่อเกิดอาการดังกล่าวควรหยุดพักทันที หากดูแลรักษาไม่ทันท่วงทีอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

6 กลุ่มเสี่ยงโรคลมแดดหรือโรคฮีทสโตรก ได้แก่

  • ผู้ที่ทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแดดที่อากาศร้อนจัดเป็นเวลานาน ๆ เช่น กรรมกร เกษตรกร นักกีฬา และทหารที่เข้ารับการฝึก
  • เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และ ผู้สูงอายุ
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ป่วยเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด คนที่กินยาขับปัสสาวะ
  • ผู้มีภาวะโรคอ้วน
  • ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ
  • ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัวได้มากขึ้น ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่สูงกว่าคนที่ไม่ได้ดื่ม ในสภาพอากาศที่ร้อนจัดแอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้รวดเร็ว และออกฤทธิ์กระตุ้นหัวใจให้สูบฉีดเลือดเร็วและแรงขึ้น มีผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจต้องทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย อาจทำให้ช็อกเสียชีวิตได้ 

การปฐมพยาบาลผู้ป่วยโรคฮีทสโตรกเบื้องต้น

  • นำผู้ป่วยเข้าที่ร่มในบริเวณที่อากาศเย็นหรืออากาศถ่ายเทได้สะดวก ให้ผู้ป่วยนอนราบ ยกเท้าสูงทั้งสองข้าง เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
  • คลายเสื้อผ้าให้หลวม เพื่อให้ร่างกายระบายความร้อนได้เร็วขึ้น
  • ใช้ผ้าชุบน้ำอุณหภูมิปกติ แล้วเช็ดตัว เช็ดหน้า หน้าผาก ตามซอกรักแร้ คอ ขาหนีบ โดยเช็ดย้อนรูขุมขนเพื่อระบายความร้อน
  • ใช้พัดลมเป่าระบายความร้อน หรือพัดแรง ๆ เพื่อลดอุณหภูมิร่างกายให้ลดต่ำลงโดยเร็วที่สุด
  • หากยังไม่ฟื้นให้รีบ โทร. 1669 เพื่อนำตัวส่งโรงพยาบาลในทันที

คำแนะนำการดูแลสุขภาพเพิ่มเติม

ควรสวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อน อยู่ในพื้นที่อากาศถ่ายเท ลดหรือเลี่ยงทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงกลางแจ้งนาน ๆ สวมแว่นกันแดด สวมหมวกปีกกว้าง กางร่ม ควรดื่มน้ำให้มากกว่าปกติ เพื่อชดเชยการเสียน้ำในร่างกายจากเหงื่อออก หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดและไม่ทิ้งเด็ก ผู้สูงอายุหรือสัตว์เลี้ยงไว้ในรถที่จอดไว้กลางแจ้ง เนื่องจากอุณหภูมิภายในรถจะสูงกว่าภายนอก

สำหรับสัตว์เลี้ยงที่ได้รับผลกระทบจากอากาศร้อน อย่างในสุนัขจะมีอาการหอบ หายใจลำบาก หายใจเร็ว หรือดูจากสีเยื่อเมือก ที่ปกติจะเป็นสีชมพู แต่หากเกิดภาวะนี้เยื่อเมือกจะเป็นสีแดงขึ้น แล้วจะเห็นได้ชัดว่าน้ำลายจะเหนียว จากการขาดน้ำ ถ้าเป็นหนัก ๆ สุนัขอาจจะถึงขั้นช็อก หรือขั้นร้ายแรงสุด อาจตายได้ ส่วนวิธีป้องกันนอกจากการเปิดแอร์ให้สุนัขแล้ว อาจพาสุนัขแช่น้ำ แต่หากเป็นแมวจะไม่ยอมแช่น้ำ ให้ใช้วิธีนำผ้าชุบน้ำเอาไปกางที่กรงที่แมวอยู่ แล้วเปิดพัดลมทะลุผ้า จะทำให้สัตว์เลี้ยงเย็นขึ้น เป็นต้น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข https://www.moph.go.th/index.php/news/

น้ำมันเมล็ดกระบกสกัดเย็น ( Cold pressed wild almond oil )

0
น้ำมันกระบกสกัดเย็น ( Cold pressed wild almond oil )
เมล็ดกระบกอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างมากมาย เมล็ดโตเป็นรูปไข่ เป็นเมล็ดเดี่ยว มีเปลือกแข็ง เนื้อในเมล็ดมีสีขาวอัดแน่นอยู่ และมีน้ำมัน
น้ำมันกระบกสกัดเย็น ( Cold pressed wild almond oil )
เมล็ดกระบกอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างมากมาย มีเปลือกแข็ง เนื้อในเมล็ดมีสีขาวอัดแน่นอยู่ และมีน้ำมัน

น้ำมันเมล็ดกระบกสกัดเย็น

กระบก ชื่อสามัญ Barking deer’s mango, Wild almond
กระบก ชื่อวิทยาศาสตร์ Irvingia malayana Oliv. ex A.W.Benn. จัดอยู่ในวงศ์กระบก ( IRVINGIACEAE )

น้ำมันเมล็ดกระบกสกัดเย็น อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างมากมาย เช่น แคลเซียม ธาตุเหล็ก โปรตีน คาร์โบไฮเดรต กรดไขมันชนิดอิ่มตัว ได้แก่ กรดปาล์มมิติก กรดลอริก ไมริสติก และกรดสเตียริก ส่วนกรดไขมันไม่อิ่มตัว ได้แก่ กรดไลโนเลอิก  กรดโอเลอิก และกรดปาล์มมิโตเลอิก ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จะช่วยบำรุงกระดูกและฟัน บำรุงสมอง บำรุงหัวใจ ทำให้เจริญอาหาร ช่วยบำรุงไต ช่วยบำรุงเส้นเอ็นและไขข้อ

ลักษณะผลกระบก หรือ ลูกกระบก ลักษณะของผลเป็นรูปกลมรี เมล็ดโตเป็นรูปไข่ หรือค่อนข้างเป็นรูปไข่ ลักษณะแบนเล็กน้อย คล้ายกับผลมะม่วงขนาดเล็ก โดยผลอ่อนจะมีสีเขียว แต่เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ในผลมีเมล็ดและมีเนื้อหุ้มเมล็ดเละ ๆ เหมือนมะม่วง เป็นเมล็ดเดี่ยว มีเปลือกแข็ง เนื้อในเมล็ดมีสีขาวอัดแน่นอยู่ ลักษณะเป็นเนื้อแป้ง และมีน้ำมัน ติดผลในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน กระบกเป็นไม้ยืนต้น นิยมนำเมล็ดมาคั่วกินเป็นของกินเล่น รสชาติมัน

สรรพคุณของน้ำมันเมล็ดกระบกสกัดเย็น

  • น้ำมันเมล็ดกระบกช่วยบำรุงสมอง
  • ช่วยทำให้เจริญอาหาร
  • ช่วยบำรุงหัวใจ
  • ช่วยรักษาริดสีดวงจมูก
  • ช่วยบรรเทาอาการหอบหืด
  • ช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
  • ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ
  • ช่วยบำรุงไต   
  • ช่วยแก้อาการคันตามผิวหนัง
  • ช่วยบำรุงเส้นเอ็น แก้เส้นเอ็นพิการ บำรุงไขข้อกระดูก แก้ข้อขัดได้ ทำให้ข้อเข่าแข็งแรง

กระบกเป็นพืชพื้นบ้านพบเห็นได้ทั่วไปทั่วบริเวณภาคอีสาน ใช้ประโยชน์กันมาตั้งแต่โบราณด้านสมุนไพรรักษาโรคและอาการต่าง ๆ จนถึงปัจจุบัน นอกจากน้ำมันเมล็ดกระบกสกัดเย็นจะมีประโยชน์ทางโภชนาการที่หลากหลายแล้ว ยังใช้เป็นวัตถุดิบเครื่องสำอางและสบู่ได้อีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/service-research-special-abstract.php

น้ำมันเมล็ดเจียสกัดเย็น ( Cold pressed chia seed oil )

0
เมล็ดเจีย มีลักษณะคล้ายเม็ดแมงลัก เป็นพืชตระกูลเดียวกันกับมินต์หรือกระเพรา สามารถรับประทานได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแปรรูป
น้ำมันเมล็ดเจีย ( Chia Seed Oil Cold Pressed )
เมล็ดเจีย มีลักษณะคล้ายเม็ดแมงลัก เป็นพืชตระกูลเดียวกันกับมินต์หรือกระเพรา สามารถรับประทานได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแปรรูป

น้ำมันเมล็ดเจียสกัดเย็น

น้ำมันเมล็ดเจียสกัดเย็น มีคุณค่าสารอาหาร เมล็ดเจีย ( Salvia Hispanica L ) มีลักษณะคล้ายเม็ดแมงลักเมล็ดเป็นรูปไข่ มีสีหลากหลาย เช่น สีขาว สีดำ บางครั้งมีลายเป็นจุดสีน้ำตาล น้ำตาลเข้ม สีครีม ดำ และขาว สามารถรับประทานได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแปรรูป มีขนาดลำต้นสูงประมาณ 4 – 6 ฟุต สามารถปลูกได้ดีในบริเวณที่มีอากาศหนาว ปลูกกันมากในแถบทวีปอเมริกา และในประเทศไทยพบปลูกมากในบริเวณจังหวัดลำปาง กาญจนบุรี เป็นพืชตระกูลเดียวกันกับมินต์หรือกระเพรา มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศเม็กซิโกในแถบทางตอนกลาง และตอนใต้ของประเทศ

สารอาหารในน้ำมันเมล็ดเจียสกัดเย็น

น้ำมันเมล็ดเจียสกัดเย็น มีสารอาหารหลากหลายชนิด เช่น คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน ใยอาหาร แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม สังกะสี ทองแดง แมงกานีส และโอเมก้า 3 สูงที่สุดในธรรมชาติ โดยสูงยิ่งกว่าในปลาแซลมอนยังพบสารต้านอนุมูลอิสระที่วัดค่าได้สูงกว่าในบลูเบอร์รี่ถึง 5 เท่า ช่วยป้องกันเซลล์ผิวเสื่อมสภาพ ฟื้นฟูให้เซลล์ผิวกลับมาเต่งตึงอ่อนเยาว์อีกครั้ง

น้ำมันเมล็ดเจียสกัดเย็นมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย

  • มีโอเมก้าสูง
  • มีไฟเบอร์สูง
  • ช่วยปรับสมดุลระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกาย
  • ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
  • ช่วยทำให้นอนหลับสนิท และช่วยให้อารมณ์
  • เมล็ดเจียสามารถดูดซึมน้ำได้อย่างดีทำให้ทานแล้วอิ่มนาน
  • ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง
  • ช่วยปรับสมดุลระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกาย
  • ช่วยรักษาสมดุลของน้ำตาลในเลือด
  • ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมกล้ามเนื้อส่วนที่สึกหรอได้เร็วขึ้น
  • ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ
  • น้ำมันเมล็ดเจียมีคุณสมบัติช่วยในการเคลือบผิวหนัง ป้องกันผิวหนังจากการถูกทำร้ายจากมลภาวะต่าง ๆ ภายนอก
  • และช่วยให้การฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ผิวเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • น้ำมันเมล็ดเจียมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดริ้วรอยตีนกาและสิว
  • ช่วยกระตุ้นการทำงายของเซลล์ได้เป็นอย่างดี

นอกจากเมล็ดเจียจะมีประโยชน์แล้วในส่วนน้ำมันเมล็ดเจียสกัดเย็นยังประกอบไปด้วยสารอาหารที่สำคัญมากมาย อย่างไรก็ตามควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้ เช่น อายุ สุขภาพ และโรคประจำตัวเป็นต้น

ข้อควรระวังในการทานเมล็ดเจียสกัดเย็น

นอกจากเมล็ดเจียจะมีประโยชน์แล้วในส่วนน้ำมันเมล็ดเจียยังประกอบไปด้วยสารอาหารที่สำคัญมากมาย อย่างไรก็ตามควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้ เช่น อายุ สุขภาพ และโรคประจำตัว ซึ่งมีข้อควรระวังในการทาน ดังนี้

1. สำหรับผู้ที่มีปัญหากระเพาะอาหารและระบบลำไส้ : เมล็ดเจียกระตุ้นให้ตับอ่อนสร้างน้ำย่อยออกมามากกว่าเดิม จึงทำให้อาการต่างๆ รุนแรงขึ้นขึ้น
2. สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้หญิงช่วงให้นมบุตร : ไม่ควรทานเมล็ดเจีย เพราะสารอาหารในเมล็ดเจียมีผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตอาจจะส่งผลกระทบต่อบุตรได้
3. สำหรับผู้ที่ต้องเข้ารับการศัลกรรม : เมล็ดเจียส่งผลให้เลือดเกิดการแข็งตัวช้ามากกว่าปกติ เป็นเหตุให้เกิดอาการเลือดไหลไม่หยุดหากมีบาดแผล
4. สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตต่ำ : ไม่ควรทานเมล็ดเจีย เนื่องจากเมล็ดเจียจะไปส่งผลต่อแรงดันเลือดในขณะที่หัวใจเกิดการคลายตัว ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดอาการช็อก หน้ามืด เป็นลมหมดสติได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

น้ำมันลูกเดือยสกัดเย็น ( Cold pressed millet oil )

0
ลูกเดือยที่มีคุณค่าทางสารอาหารสูง อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับร่างกาย มีกรดอะมิโนหลายชนิดรวมทั้งกรดไขมัน
น้ำมันลูกเดือยสกัดเย็น ( Cold pressed millet oil )
ลูกเดือยที่มีคุณค่าทางสารอาหารสูง อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับร่างกาย มีกรดอะมิโนหลายชนิดรวมทั้งกรดไขมัน

ลูกเดือย

ลูกเดือย ชื่อสามัญ Adlay, Adlay millet, Job’s tears
ลูกเดือย ชื่อวิทยาศาสตร์ Coix lacryma-jobi L. จัดอยู่ในวงศ์หญ้า ( POACEAE หรือ GRAMINEAE ) และอยู่ในวงศ์ย่อย PANICOIDE

ลูกเดือย ( Millet ) เป็น ธัญพืชประเภทคาร์โบไฮเดรตอยู่ในตระกูลเดียวกับข้าว มีต้นกำเนิดมาจากทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นพืชเศรษฐกิจในประเทศไทยพบว่าปลูกกันมากทางภาพเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบ้านเรา ลูกเดือยที่มีคุณค่าทางสารอาหารสูง เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับร่างกาย อย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส โดยเฉพาะวิตามินบี 1 ที่มีปริมาณสูงมาก นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนหลายชนิดที่สูงกว่าความต้องตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก เช่น กรดกลูตามิก ลิวซีน อะลานีน โปรลีน วาลีน ฟินิลอะลานีน ไอโซลิวซีน อาร์จีนีน เป็นต้น และยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัว อย่างเช่น กรดลิโนเลอิก กรดโอเลอิก และกรดไขมันชนิดอิ่มตัว อย่างเช่น ปาลมิติกและสเตียริก อีกด้วย

ประโยชน์และสรรพคุณของน้ำมันลูกเดือยสกัดเย็น

  • บำรุงเส้นผมให้ดกดำเป็นเงางาม
  • ช่วยในการขับปัสสาวะ
  • เป็นอาหารบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง
  • ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ
  • ช่วยบำรุงสมอง
  • ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ
  • ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย เมื่อยล้า
  • ช่วยลดคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด
  • ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน
  • ลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง
  • ช่วยยับยั้งการเกิดเนื้องอก
  • ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
  • แก้อาการปวดข้อ
  • ช่วยบำรุงไต
  • ช่วยบำรุงปอด
  • ช่วยบำรุงม้าม
  • แก้อาการสตรีตกขาวมากกว่าปกติ
  • ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน
  • ช่วยแก้ร้อนใน
  • ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน
  • ใช้อมบ้วนปากล้างพิษ
  • ใช้นวดลดอาการปวดเก๊าท์ เอ็นตึง ข้อบวม

ปัจจุบันน้ำมันลูกเดือยสกัดเย็นมีจำหน่ายตามท้องตลาดกันอย่างแพร่หลาย คือ น้ำมันที่ได้สกัดมาจากลูกเดือย โดยไม่ผ่านความร้อนและไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีใดๆทั้งสิ้น ซึ่งน้ำมันลูกเดือยที่ผ่านการกรองแล้งจะมีลักษณะใส มีสีเหลือง ไม่มีตะกอน และสามารถรับประทานได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

น้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น ( Cold pressed grape seed oil )

0
น้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น
น้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น คือการสกัดด้วยวิธีการบีบอัดแยกน้ำมันออกจากกาก โดยปราศจากความร้อนเพราะจะทำให้สูญเสียสารอาหารสำคัญในน้ำมันไป น้ำมันจะมีสีเขียวเข้มและมีกลิ่นหอมขององุ่น
น้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น ( Cold pressed grape seed oil )
น้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น คือการสกัดด้วยวิธีการบีบอัดแยกน้ำมันออกจากกาก โดยปราศจากความร้อนเพราะจะทำให้สูญเสียสารอาหารสำคัญในน้ำมันไป

น้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น

น้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น คือการนำเมล็ดองุ่นมาผ่านกระบวนการสกัดเย็น เรามาทำความรู้จักกับองุ่นกันให้มากขึ้น องุ่น ( Grape ) ( Vitis vinifera L. ) เป็นไม้ผลที่มีถิ่นกำเนิดแถบเอเชียไมเนอร์บริเวณทางตอนใต้ระหว่างทะเลดำและทะเลแคสเปียน สามารถเจริญเติบโตได้ดีในช่วงละติจูด 15 – 45 องศาเหนือและใต้ อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ในช่วง 15 – 35 องศาเซลเซียส เป็นพืชเถาเลื้อยชนิดที่มีเนื้อไม้ซึ่งมีอายุยืนยาวได้หลายสิบปีหรือนับร้อยปี องุ่นจัดอยู่ในวงศ์ ( Family ) Vitis โดยทั่วโลกมีอยู่ประมาณ 60 ชนิด รวมถึงประเทศไทยส่วนใหญ่นิยมปลูกอยู่บริเวณภาคกลางแถบจังหวัดนครปฐม ราชบุรี สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม จนกระทั่งปัจจุบันมีการปลูกองุ่นกันอย่างแพร่หลายเกือบทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ

ที่มาของน้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น

น้ำมันจากเมล็ดองุ่น หรือที่เรียกกันว่า ” น้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น ” มาจากกระบวนการสกัดด้วยวิธีการบีบอัดแยกน้ำมันออกจากกาก โดยปราศจากความร้อนเพราะจะทำให้สูญเสียสารอาหารสำคัญในน้ำมันไป น้ำมันจะมีสีเขียวเข้มและมีกลิ่นหอมขององุ่น

ประโยชน์จากเมล็ดองุ่นสกัดเย็น

  • ช่วยเสริมสร้างการทำงานของร่างกายให้สมดุล และแข็งแรง
  • ช่วยเสริมสร้างผิวพรรณให้แลดูกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
  • เมล็ดองุ่นอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เข้มข้น และช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง
  • ช่วยลดการเสื่อมสภาพของเซลล์จากมลภาวะภายนอก
  • ช่วยในการป้องกันการเกิดโรคข้ออักเสบ
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
  • ช่วยรักษาและคงสภาพความชุ่มชื้นของผิว
  • ช่วยรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน ลดแผลในช่องปาก และโรคเริมในช่องปาก
  • ช่วยลดกระบวนการสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติอันเป็นสาเหตุของฝ้า กระ หรือจุดด่างดำ
  • ป้องกันเส้นเลือดขอด
  • ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
  • ช่วยลดเลือนริ้วรอย
  • ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัสต่าง ๆ
  • ช่วยลดอาการปวดศีรษะ
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • ช่วยฟื้นฟูผิวที่แห้งกร้านให้มีสุขภาพดี
  • กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

ปัจจุบันน้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็นกำลังเป็นที่นิยมในพวกคนรักสุขภาพ Oligomeric Proanthocyanidin Complexes เป็นสารสำคัญที่พบในเมล็ดองุ่นสกัดจัดอยู่ในกลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีการรับรองจากหน่อยงานต่างๆว่ามีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปรับสมดุลเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

น้ำมันกระเทียมสกัดเย็น ( Cold pressed garlic oil )

0
น้ำมันกระเทียมสกัดเย็น
อัลลิอิน เป็นสารประกอบของกำมะถันที่ทำให้กระเทียมมีกลิ่นฉุน เกิดจากกลไกทางธรรมชาติที่ใช้ป้องกันเชื้อจุลินทรีย์ในดิน
น้ำมันกระเทียมสกัดเย็น ( Cold pressed garlic oil )
กระเทียมยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีฤทธิ์ในการช่วยลดความดันโลหิต

น้ำมันกระเทียมสกัดเย็น

น้ำมันกระเทียม ได้จากการสกัดกระเทียม กระเทียม ( Garlic ) มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Allium sativum Linn เป็นพืชล้มลุกที่มีหัวอยู่ใต้ดินสีขาวแต่ละหัวประกอบด้วยกลีบเรียงซ้อนกันประมาณ 4 -15 กลีบ ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับหอมหัวใหญ่ หอมแดง ส่วนที่ใช้รับประทานคือ ลำต้น ดอก และหัว กระเทียมเป็นทั้งเครื่องเทศ และสมุนไพร สารสำคัญที่พบในกระเทียม คือ เอนไซม์อัลลิเนส ที่เปลี่ยนสารอินทรีย์กำมะถันอัลลิอิน ให้เป็นน้ำมันหอมระเหย อัลลิซิน และเมื่อนำหัวกระเทียมสดมาสกัดเย็น จะได้ น้ำมันกระเทียมสกัดเย็น ไม่ใส่สี ไม่ปรุงแต่งกลิ่น ปราศจากสารเคมีใดๆจะได้น้ำมันกระเทียมสกัดเย็นที่มีประสิทธิภาพสูง

กระเทียมมี อัลลิอิน เป็นสารประกอบของกำมะถันที่ทำให้กระเทียมมีกลิ่นฉุน

กระเทียม ประกอบด้วยสารอาหารหลายชนิด คือ น้ำ กรดไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต น้ำตาล กรดอะมิโน เหล็ก แคลเซียม วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินซี ฯลฯ นอกจากนี้สารประกอบในกระเทียมยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีฤทธิ์ในการช่วยลดความดันโลหิต ช่วยไม่ให้เลือดจับตัวเป็นลิ่มหรืออุดตันตามผนังหลอดเลือด ลดการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด

ประโยชน์ของน้ำมันกระเทียมสกัดเย็น

  • ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
  • ลดสภาวะความดันโลหิตสูง
  • เสริมภูมิต้านทาน ลดภูมิแพ้
  • ต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันโรคมะเร็ง
  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • ช่วยระบบไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้น   
  • ลดโคเรสเตอรอล และไขมันในเลือด
  • ช่วยระบบเผาผลาญของร่างกายดีขึ้น
  • ป้องกันไข้หวัด
  • ป้องกันการเป็นโรคเบาหวาน
  • ลดอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร
  • ช่วยลดการอับเสบและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
  • ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน หรือสมองขาดเลือด

กระเทียมมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย จึงมีผู้ผลิตกระเทียมออกวางจำหน่ายในรูปแบบต่างๆ ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตด้วยมีกรรมวิธีการผลิตแตกต่างกันออกไปดังต่อไปนี้ การสกัดกระเทียมด้วยวิธีใช้ความร้อน สกัดเย็น ก็จะได้สารออกมาไม่เหมือนกัน ควรอ่านฉลากประกอบการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ทุกครั้ง

บทความเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง