Home Blog Page 165

มะเร็งหลอดอาหาร ( Esophageal Cancer ) มีสาเหตุและอาการของโรคอย่างไร

0
สาเหตุและอาการของโรคมะเร็งหลอดอาหาร (Esophageal Cancer)
โรคมะเร็งหลอดอาหาร เป็นภาวะที่เซลล์ของหลอดอาหารมีการเจริญเติบโต และแบ่งตัวของเซลล์มากกว่าปกติจนกลายเป็นก้อนเนื้อ
สาเหตุและอาการของโรคมะเร็งหลอดอาหาร (Esophageal Cancer)
โรคมะเร็งหลอดอาหาร เป็นภาวะที่เซลล์ของหลอดอาหารมีการเจริญเติบโต และแบ่งตัวของเซลล์มากกว่าปกติจนกลายเป็นก้อนเนื้อ

มะเร็งหลอดอาหาร

มะเร็งหลอดอาหาร ( Esophageal Cancer ) เป็นภาวะที่เซลล์ของหลอดอาหารมีการเจริญเติบโต มีการแบ่งตัวของเซลล์มากกว่าปกติ จนเกิดเป็นก้อนเนื้อหรือมีการก่อเชื้อมะเร็งขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในมหันต์ภัยโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง เป็นโรคที่นับวันจะดูมีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้น กับการที่อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ล้วนแต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดเชื้อโรคมะเร็งขึ้นได้ทั้งหมด  ซึ่งยังรวมไปถึง อวัยวะที่มีความสำคัญต่อระบบทางเดินอาหารในร่างกายมนุษย์ อย่างหลอดอาหาร ก็สามารถที่จะมีโอกาสเกิดมะเร็งหลอดอาหารขึ้นได้เช่นเดียวกัน

ชนิดของมะเร็งหลอดอาหารที่พบได้บ่อย

มะเร็งหลอดอาหารส่วนใหญ่สามารถจำแนกได้ 2 ประเภท คือ

  • มะเร็งหลอดอาหารชนิดสะความัส (Squamous cell carcinoma) เกิดจากเซลล์เยื่อบุผนังหลอดอาหาร มักเกิดที่ส่วนต้นและส่วนกลางของหลอดอาหาร
  • มะเร็งหลอดอาหารชนิดอะดีโนคาร์สิโนมา (Adenocarcinoma) เกิดจากส่วนที่เป็นต่อมในส่วนปลายของหลอดอาหาร
  • มะเร็งหลอดอาหารชนิดที่ 3 เรียกว่า มะเร็งเซลล์ขนาดเล็ก อาจหาได้ยากมากเริ่มต้นในเซลล์ประสาทซึ่งเป็นเซลล์ชนิดหนึ่งที่ปล่อยฮอร์โมนเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อตอบสนองต่อสัญญาณจากเส้นประสาท

อาการของมะเร็งหลอดอาหาร

โรคนี้เป็นมะเร็งอีกชนิดหนึ่งที่หากเป็นแล้วจะสังเกตได้ยาก เนื่องจากผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ในระยะแรกๆ มักจะไม่มีอาการใดๆแสดงออกมา ยังคงใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ และโรคมะเร็งหลอดอาหารนี้จะไม่มีอาการเฉพาะตัวของโรคที่เด่นชัด โดยอาการทั่วไปที่แสดงออกมา จะมีความคล้ายกับอาการอักเสบของหลอดอาหาร ผู้ป่วยมักทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้เมื่อมีอาการที่หนักแล้ว หรือเป็นระยะที่เชื้อมะเร็งเริ่มแพร่กระจายแล้ว โดยอาการที่จะสามารถพบได้บ่อยๆ คือ

  • กลืนอาหารได้ลำบากมากกว่าปกติ หรือรู้สึกเจ็บขณะกลืนอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่เป็นของแข็ง หากเป็นมากขึ้นแล้วจะกลืนไม่ลงทั้งอาหารที่เป็นของแข็งและของเหลว แม้กระทั่งน้ำลายก็ตาม
  • มีอาการไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด หรือ มีเสมหะปดเลือดออกมาบ่อยครั้ง
  • น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทรายสาเหตุ
  • มีอาการคลื่นไส้และอาเจียนบ่อยครั้ง
  • รู้สึกปวดที่บริเวณกระดูกซี่โครงส่วนบนหรือในลำคอ
  • เมื่อโรคลุกลามมากขึ้น อาจมีต่อมน้ำเหลืองเหนือไหปลาร้าโตจนสามารถคลำได้

สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหาร

สำหรับสาเหตุที่ทำให้เซลล์ของหลอดอาหารมีการเจริญเติบโตมากเกินปกติ จนทำให้เกิดเป็นเชื้อมะเร็งหลอดอาหารได้นั้น ปัจจุบันยังคงไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน แต่มีการวิเคราะห์กันว่า อาจะเกิดจากสาเหตุหลักๆ ดังต่อไปนี้

1. การสูบบุหรี่ เป็นที่ทราบกันดีว่าการสูบบุหรี่นั้น เป็นตัวการทำให้เกิดโรคมะเร็งหลอดอาหารและมะเร็งได้เกือบทุกชนิด เนื่องจากสารประกอบบางอย่างในบุหรี่จะไปกระตุ้นให้เชื้อมะเร็งมีการก่อตัวขึ้นภายในร่างกาย
2. มะเร็งหลอดอาหารความผิดปกติทางพันธุกรรมชนิดไม่ถ่ายทอด ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการแบ่งตัว และการตายของเซลล์ปกติ ข้อนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้
3. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สำหรับผู้ที่ชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ เป็นเวลานานๆติดต่อกัน จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหารมากว่าผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
4. การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น ผู้ที่ทานผลไม้น้อยจะมีความเสี่ยงมากว่าผู้ที่ทานผลไม้ปกติ และยังรวมถึงผู้ที่ทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ บ่อยๆอีกด้วย และเกิดโรค มะเร็งหลอดอาหาร
5. เชื้อชาติ เนื่องจากคนในบางเชื้อชาติ จะสามารถตรวจพบโรคมะเร็งหลอดอาหารได้มากว่าชาติอื่นๆ เช่น เชื้อชาติจีน อินเดีย และอิหร่าน เป็นต้น
6. ผู้ที่เป็นโรคอ้วน สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกณฑ์มาตรฐาน จนถึงระดับการเป็นโรคอ้วน จะมีความเสี่ยงมากว่าผู้ที่มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ
7. การบริโภคอาหารที่เป็นสารก่อมะเร็งบ่อยๆ เช่นอาหารประเภทปิ้งย่าง อาหารที่ใส่สารกันบูด รวมถึงอาหารที่มีการแปรรูป หรือผ่านการถนอมอาหารบางประเภทด้วย
8. เป็นโรคเรื้องรังเกี่ยวกับหลอดอาหาร ผู้ที่มีภาวะของการเจ็บป่วยเกี่ยวกับหลอดอาหารบ่อยๆ และเรื้อรัง จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรค มะเร็งหลอดอาหาร มากว่าคนปกติ
9. ผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน เนื่องจากภาวะกรดไหลย้อนจะส่งผลให้ เยื่อบุภายในหลอดอาหารเกิดการบาดเจ็บและเกิดความเสียหายต่อเนื่องจนอาจนำไปสู่มะเร็งในหลอดอาหารได้
10. ผู้ที่เคยป่วยเป็นมะเร็งชนิดอื่นๆมาก่อน โดยเฉพาะมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับศีรษะและลำคอจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคมะเร็งหลอดอาหารมากกว่าผู้ที่ไม่เคยป่วยเป็นโรคประเภทนี้มาก่อน
11. การได้รับสารเคมีบางชนิดบ่อยๆ อาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้ เช่น จากอาชีพในการทำงาน การเผลอกลืนสารเคมีบางชนิดเข้าไป ได้แก่ น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างห้องน้ำ เป็นต้น เข้าไปสะสมจนทำให้เกิดเป็นตัวกระตุ้นมะเร็งนั่นเอง   

ใครที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลอดอาหาร

  • อายุ : ทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 45 ถึง 70 ปี อาจมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งหลอดอาหาร
  • เพศ : ผู้ชายมีโอกาสเป็นมะเร็งหลอดอาหารมากกว่าผู้หญิง 3 ถึง 4 เท่า
  • การสูบบุหรี่ : ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลอดอาหารโดยเฉพาะมะเร็งเซลล์สความัส
  • การดื่มแอลกอฮอล์ : การดื่มหนักเป็นเวลานานจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเซลล์สความัสของหลอดอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรวมกับการสูบบุหรี่
  • โรคกรดไหลย้อนเรื้อรัง หรือการอักเสบของหลอดอาหาร : เสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมอะดีโนคาร์ซิโนมาของหลอดอาหาร แต่ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลอดอาหารยังค่อนข้างต่ำ
  • การรับประทานอาหาร : ผู้ที่ทานอาหารที่มีผักและผลไม้ใน วิตามิน และแร่ธาตุในปริมาณน้อย อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้
  • โรคอ้วน : การมีน้ำหนักและไขมันในร่างกายมากเกินไปสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลอดอาหารต่อมอะดีโนคาร์ซิโนมา   

ระยะของโรคมะเร็งหลอดอาหาร

โรคมะเร็งหลอดอาหารสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะเหมือนโรคมะเร็งชนิดอื่นๆ ดังต่อไปนี้
ระยะที่ 1 : เป็นระยะเริ่มต้นของโรค ก้อนเนื้อมะเร็งยังมีขนาดเล็กอยู่ เชื้อยังคงอยู่เฉพาะในหลอดอาหาร ไม่มีการแพร่กระจายไปยังที่อื่นๆ
ระยะที่ 2 : ก้อนมะเร็งหลอดอาหารเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มกินลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อของหลอดอาหาร และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองไม่เกิน 2 ต่อม
ระยะที่ 3 : เป็นระยะที่เชื้อมะเร็งหลอดอาหารลุกลามไปยังรอบๆ และมีการลุกลามออกมาทะลุเนื้อเยื่อของหลอดอาหารแล้ว นอกจากนี้ยังลุกลามเข้าไปยังต่อมน้ำเหลืองเกิน 3 ต่อมขึ้นไปแล้ว
ระยะที่ 4 : เป็นระยะสุดท้ายของโรคมะเร็งหลอดอาหาร เชื้อมะเร็งจะกระจายเข้าสู่กระแสเลือด และแพร่ไปยังอวัยวะอื่นๆ รวมถึงต่อมน้ำเหลือง ที่อยู่ห่างไกลออกไป โดยอวัยวะที่พบเชื้อจากการลุกลามได้บ่อยๆ คือ ปอด ตับ กระดูก และผิวหนัง โดยหากเป็นถึงระยะนี้แล้ว จะไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้เลย 

การรักษาโรคมะเร็งหลอดอาหาร

1. การผ่าตัด หากแพทย์วิเคราะห์แล้วว่าผู้ป่วยสามารถที่จะผ่าตัดได้ และตัวของผู้ป่วยเองยังไม่มีการแพร่กระจายของโรค แพทย์จะนิยมใช้วิธีนี้ในการรักษา โดยการผ่าตัดเอาก้อนเนื้อร้ายออกจากหลอดอาหาร ซึ่งหลังจากผ่าตัดแล้ว แพทย์อาจจะใช้วิธีการรักษาอื่นควบคู่ไปด้วย อย่างเช่น การให้เคมีบำบัด หรือใช้รังสีรักษา โดยจะต้องดูผลกระทบจากการผ่าตัดก่อน นอกจากนี้แพทย์อาจใช้วิธี การให้เคมีบำบัด หรือใช้รังสีรักษา เพื่อทำมะเร็งมีขนาดเล็กลงก่อนที่จะผ่าตัดก็เป็นได้
2. การใช้รังสีรักษา เป็นวิธีการรักษาอีกรูปแบบหนึ่ง หากแพทย์วิเคราะห์แล้วว่าไม่สามารถใช้การผ่าตัดได้ ซึ่งวิธีนี้แพทย์จะใช้รังสีที่มีพลังงานสูง เข้าไปทำรายเชื้อมะเร็งที่หลอดอาหาร
3. การใช้เคมีบำบัด หมายถึงการใช้ยาเพื่อให้ไปฆ่าเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้น โดยแพทย์อาจให้ผู้ป่วยกินทางปากหรือฉีดเข้าเส้นเลือดก็ได้ โดยวิธีนี้แพทย์ผู้รักษามักจะใช้ร่วมกับวิธีการผ่าตัด

แม้ว่าจะมีวิธีการรักษาโรคมะเร็งหลอดอาหารหลากหลายวิธีในทางการแพทย์ แต่เนื่องจากโรคมะเร็งชนิดนี้เป็นโรคที่มีความรุนแรงของโรคที่สูงมากชนิดหนึ่ง จึงทำให้รักษาให้หายเป็นปกติได้ยากในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้ก็มีโอกาสรักษาให้หายเป็นปกติได้เช่นกัน เพียงต่อผู้ป่วยจะต้องเป็นผู้ที่มี
สุขภาพที่แข็งแรง มีตำแหน่งของก้อนมะเร็งอยู่ในบริเวณที่สามารถจะผ่าตัดได้ และต้องมาพบแพทย์ตั้งแต่ระยะของโรคมะเร็งยังไม่เกิดการแพร่กระจาย

การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งหลอดอาหารและการป้องกันโรค

นอกจากจะเป็นโรคมะเร็งชนิดที่มีความรุนแรงของโรคสูงแล้ว ความน่ากลัวของโรค มะเร็งหลอดอาหารอีกอย่างหนึ่งคือ ในปัจจุบันยังคงไม่มีวิธีการใดที่สามารถจะป้องกันการเกิดโรคชนิดนี้ได้ รวมถึงยังไม่มีวิธีในการตรวจคัดกรองมะเร็งอีกด้วย ดังนั้นเราจึงควรดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้มีความสมบรูณ์แข็งแรงอยู่เสมอ และควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่อาจจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดเชื้อมะเร็งขึ้นได้

ในปัจจุบันพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนส่วนใหญ่รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย ส่งผลกระทบสามารถทำให้คนบางคนมีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งหลอดอาหารมากกว่าคนอื่น ๆ รวมทั้งาการเป็นโรคกรดไหลย้อนรุนแรงเป็นเวลาหลายปีจะเพิ่มโอกาสในการเกิดมะเร็งต่อมอะดีโนคาร์ซิโนมาของหลอด
อาหารได้เช่นกัน

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. ถาม – ตอบ มะเร็งร้ายสารพัดชนิด. กรุงเทพฯ ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 264 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1170-0

Tongaonkar HB, Desai SB (September 2005). “Benign mixed epithelial stromal tumor of the renal pelvis with exophytic growth: case report”. Int Semin Surg Oncol. 2: 18. PMC 1215508 Freely accessible. PMID 16150156. 

มะเร็งตับอ่อน ( Pancreatic Cancer )

0
โรคมะเร็งตับอ่อน (Pancreatic Cancer)
การที่มีเชื้อมะเร็งเกิดขึ้นกับเซลล์ของตับอ่อน หากไม่มีการรักษาจะสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ มักไม่ค่อยแสดงอาการออกมาในช่วงระยะแรก
โรคมะเร็งตับอ่อน (Pancreatic Cancer)
การที่มีเชื้อมะเร็งเกิดขึ้นกับเซลล์ของตับอ่อน หากไม่มีการรักษาจะสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ มักไม่ค่อยแสดงอาการออกมาในช่วงระยะแรก

มะเร็งตับอ่อน

มะเร็งตับอ่อน ( Pancreatic Cancer ) คือ เนื้องอกร้ายหรือมะเร็งซึ่งเกิดขึ้นจากเซลล์ของตับอ่อน อาการในระยะแรกมักไม่เฉพาะเจาะจงหรือไม่มีอาการแสดงเลย จนกระทั่งเป็นมากจะแสดงอาการ เช่น ปวดท้องหรือปวดหลังเรื้อรัง เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลง ตัวเหลือง ตาเหลือง ( ดีซ่าน ) เกิดที่ตับอ่อน ตับอ่อนประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิด คือ เซลล์ต่อมมีท่อ (Exocrine Gland) ซึ่งสร้างและปล่อยเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยอาหาร และเซลล์ต่อมไร้ท่อ (Endocrine cells) ซึ่งผลิตและปล่อยฮอร์โมนที่สำคัญเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง โรคมะเร็งตับอ่อนอาจพบได้ไม่มากเหมือนโรคมะเร็งชนิดอื่นๆ แต่ก็มีปริมาณที่น้อยเช่นกัน ส่วนมากโรคนี้มักจะพบได้ในผู้ใหญ่ ที่มีอายุอยู่ในช่วง 40 ปี ขึ้นไป และพบได้ในเพศชายมากว่าเพศหญิง

ชนิดของมะเร็งตับอ่อน

มะเร็งตับอ่อนมีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิดมาก แต่ชนิดที่พบได้เป็นส่วนใหญ่คือ ชนิดที่ชื่อว่า  อะดีโนคาร์ซิโนมา ( Adenocarcinoma ) ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้เป็นส่วนใหญ่ประมาณ 90-95% ของโรคมะเร็งตับอ่อนทั้งหมด โรคมะเร็งตับอ่อนชนิดนี้จะมีความรุนแรงของโรคอยู่ในระดับปานกลาง

ลักษณะของตับอ่อน

เป็นอีกหนึ่งอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกายมนุษย์ มีลักษณะเป็นต่อมขนาดใหญ่ มีรูปร่างยาวรีคล้ายใบไม้ ประกอบด้วยส่วนหัว ส่วนกลาง และส่วนหาง โดยมีลำไส้เล็ก ล้อมอยู่ในส่วนหัวของตับอ่อน อยู่ลึกเข้าไปในช่องท้องด้านหลัง ใกล้กับกระเพราะอาหาร ตับอ่อนเป็นอวัยวะที่มีเพียงชิ้นเดียวในร่างกาย ตับอ่อนจะมีหน้าที่หลักเกี่ยว ข้องกับระบบทางเดินอาหาร คอยสร้างน้ำย่อยมาใช้ในการช่วยย่อยอาหารที่ได้ทานเข้าไป โดยหลั่งน้ำย่อยเข้าไปในลำไส้เล็ก ผ่านทางท่อตับอ่อน และตับอ่อน ยังมีหน้าที่ในส่วนของระบบต่อมไร้ท่อด้วย เป็นผู้สร้างฮอร์โมนต่างๆให้ร่างกาย เช่น ฮอร์โมนอินซูลิน ฮอร์โมนกลูคาก้อน ที่เป็นฮอร์โมนเกี่ยวกับการควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด นอกจากนี้ ยังสร้างฮอร์โมนอื่นๆ ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายอีกมากมายด้วย

สาเหตุของมะเร็งตับอ่อน

ในปัจจุบันยังทางการแพทย์คงไม่สามารถหาสาเหตุที่ชัดเจน ของการเกิดโรคมะเร็งตับอ่อนได้  แต่ทั้งนี้ก็เชื่อกันว่าน่าจะเกิดจากสาเหตุหลักๆ ดังต่อไปนี้

1. การสูบบุหรี่ เนื่องจากสารบางตัวในสูบบุหรี่จะเป็นตัวไปกระตุ้นการเกิดเชื้อมะเร็งตับอ่อนในร่างกาย

2. ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วน หรือ โรคเบาหวาน จะมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับอ่อนมากกว่าคนปกติทั่วไป

3. การบริโภคอาหารที่มีปริมาณไขมันสูง อย่างต่อเนื่องเป็นประจำ เช่น อาหารทอด หนังสัตว์ อาจก่อมะเร็งตับอ่อน เป็นต้น

4. มะเร็งตับอ่อนอาจเกิดจากความผิดปกติจากพันธุกรรมบางชนิด ทั้งชนิดถ่ายทอดได้และชนิดไม่ถ่ายทอด ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมเกี่ยวกับการแบ่งตัว และการตายของเซลล์ปกติ

5. มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรังเกี่ยวกับตับอ่อนมาก่อน เช่น การอักเสบเรื้อรังของตับอ่อน

6. การได้รับสารก่อมะเร็งบางชนิดอย่างเป็นประจำและต่อเนื่องเป็นเวลานาน

โรคมะเร็งตับอ่อน คือ การที่มีเชื้อมะเร็งเกิดขึ้นกับเซลล์ของตับอ่อน หากไม่มีการรักษาจะสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆผู้ป่วยมักจะรู้ตัวเมื่อก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่แล้ว เนื่องจากมักจะไม่ค่อยแสดงอาการออกมาในช่วงระยะแรก

ปัจจัยเสี่ยงมะเร็งตับอ่อน

  • ผู้ที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไปมีอัตราความเสี่ยงของมะเร็งตับอ่อน
  • เคยมีประวัติครอบครัวเกี่ยวกับมะเร็งตับอ่อน
  • การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม
  • ผู้ที่มีประวัติเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นเวลานานมีโอกาสเป็นมะเร็งตับอ่อนเพิ่มขึ้น
  • การอักเสบของตับอ่อนในระยะยาว ส่งผลต่อความเสี่ยงการเกิดมะเร็งตับอ่อนเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่จัด

อาการของมะเร็งตับอ่อน

โรคมะเร็งตับอ่อนนี้ มักจะไม่แสดงอาการออกมาในระยะแรก ผู้ป่วยจะยังคงใช้ชีวิตได้ตามคนปกติทั่วไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว โรคมะเร็งตับอ่อนจะไม่มีอาการเฉพาะ แต่จะเป็นอาการเหมือนการอักเสบของตับอ่อนหรือโรคทางเดินอาหารทั่วไป จึงทำให้มักตรวจพบโรคนี้ในระยะที่มะเร็งแพร่กระจายแล้ว

โดยอาการทั่วไปที่พบได้ของโรคนี้คือ
1. รู้สึกปวดท้องบ่อย โดยจะเป็นๆ หายๆ  เรื้อรัง

2. น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ

3. มีอาการตาและตัวเหลือง ซึ่งมีสาเหตุมาจาก ก้อนเนื้อมะเร็งไปอุดตันบริเวณท่อน้ำดี

4. มีอาการปวดหลังเรื้อรัง และจะมีอาการปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รักษาด้วยวิธีปกติไม่หาย

5. อุจาระ มีลักษณะผิดปกติไปจากเดิม มีสีซีด เนื่องจากก้อนมะเร็งอุดกั้นทางเดินน้ำดี

6. คลื่นไส้และอาเจียนบ่อยๆ เนื่องจากลำไส้อุดกั้นจากก้อนมะเร็ง

การตรวจวินิจฉัยมะเร็งตับอ่อน

มะเร็งตับอ่อนเป็นโรคมะเร็งอีกชนิดหนึ่งที่วินิจฉัยได้ยาก เนื่องจากผู้ป่วยมักไม่มีอาการใดๆแสดงออกมาในขณะที่ก้อนมะเร็งยังมีขนาดเล็กอยู่ ยังคงใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ และผู้ป่วยมักจะทราบว่าตนเองป่วยเป็นโรคนี้เมื่อมีอาการของโรคที่เป็นมากแล้ว ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่และเริ่มรุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ  แต่ในทางการแพทย์ก็สามารถที่จะตรวจและวินิจฉัยโรคนี้ได้จาก วิธีต่างๆ ดังนี้

1. การสอบถามประวัติอาการ และ การตรวจร่างกาย  เป็นวิธีการตรวจเบื้องต้นที่แพทย์มักใช้

2. การตรวจด้วยวิธีอัลตราซาวด์   เป็นการตรวจเพื่อให้เห็นโครงสร้างภายในของตับอ่อนและท่อน้ำดี เพื่อที่จะทราบได้ว่ามีการอุดตันหรือไม่

3. การเอกซเรย์ด้วยคอมพิวเตอร์ ( CT Scan ) คือการภาพเอกซเรย์ด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อแสดงให้เห็นตำแหน่งและขนาดของจุดเกิดโรค และยังสามารถช่วยวินิจฉัยได้ว่า โรคมีการลุกลามไปยังตับและต่อมน้ำเหลืองหรือไม่

4. การตรวจเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ( MRI ) เป็นการถ่ายภาพคอมพิวเตอร์อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งจะช่วยทำให้เห็นภาพของอวัยวะภายในและสามารถตรวจพบมะเร็งตับอ่อนได้

5. การตัดชิ้นเนื้อตรวจพิสูจน์ทางพยาธิวิทยา แต่วิธีนี้อาจไม่นิยมทำเนื่องจาก ตับอ่อนจะอยู่ค่อนข้างลึก การตัดชิ้นเนื้อ มีความเสี่ยงต่อการทะลุเข้ายังลำไส้ อาจก่อการอักเสบรุนแรงของช่องท้อง และยังเสี่ยงในการทะลุเข้าหลอดเลือด อาจทำให้มีอาการเลือดออกรุนแรงในช่องท้องได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของก้อนเนื้อด้วย

ระยะการลุกลามของมะเร็งตับอ่อน

มะเร็งตับอ่อนสามารถแบ่งระยะของโรคออกได้เป็น  4 ระยะ เหมือนกับโรคมะเร็งชนิดอื่นๆ ดังต่อไปนี้

มะเร็งตับอ่อนระยะที่ 1 : เป็นระยะเริ่มต้นของโรคมะเร็ง โดยที่เชื้อมะเร็งจะอยู่แค่ในตับอ่อนเท่านั้น ยังไม่มีการลุกลามไปภายนอก

มะเร็งตับอ่อนระยะที่ 2 : ก้อนมะเร็งจะเริ่มลุกลามออกไปภายนอกตับอ่อน บริเวณอวัยวะใกล้เคียง แต่ยังไม่มีการลุกลามไปยังไม่เข้าเส้นประสาท และหลอดเลือด

มะเร็งตับอ่อนระยะที่ 3 : ก้อนมะเร็งลุกลามมากขึ้น โดยที่ก้อนมะเร็งจะลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ หรืออวัยวะข้างเคียง หรือเส้นเลือดสำคัญในช่องท้อง หรือลุกลามจนผ่าตัดไม่ได้

มะเร็งตับอ่อนระยะที่ 4 : เชื้อมะเร็งแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดไปยังอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย โดยที่พบได้บ่อยๆ คือ ตับ ปอด และ กระดูก เป็นต้น เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้แล้ว

สำหรับผู้ป่วยจะสามารถทราบได้ว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนนขั้นระยะไหนแล้ว จากการตรวจวินิจฉัยของแพทย์โดยใช้วิธีการต่างๆ หลากหลากวิธี  เพื่อนำข้อมูลที่ได้เหล่านี้ไปใช้ในกระบวนการรักษาต่อไป

การรักษามะเร็งตับอ่อน

ในการรักษามะเร็งตับอ่อนนั้น วิธีในทางการแพทย์จะมีอยู่ด้วยกันหลากหลายวิธี โดยแพทย์ผู้รักษาจะเป็นผู้วิเคราะห์หาแนวทางที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายให้มากที่สุด  เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละรายอาจจะมีปัจจัยในการรักษาแตกต่างกัน เช่น อายุ เพศ  ความแข็งแรงของร่างกาย  ระยะของโรค เป็นต้น โดยปกติแล้ว การรักษาโรคมะเร็งตับอ่อนนี้ แพทย์จะใช้วิธีการรักษาด้วยการผ่าตัดเพียงวิธีเดียวในผู้ป่วยที่เชื้อมะเร็งยังไม่ลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ  แต่หากผู้ป่วยอยู่ในระยะที่เชื้อมะเร็งแพร่กระจายแล้ว ก็จะใช้วิธีการผ่าตัด และทำการรักษาต่อเนื่องด้วยการใช้เคมีบำบัด หรือ การใช้รังสีรักษา ส่วนวิธีอื่นๆ อย่าง การให้ยารักษาตรงเป้ายังอยู่อยู่ระหว่างการศึกษาของทางแพทย์ต่อไป

โรคมะเร็งตับอ่อน เป็นชนิดโรคมะเร็งที่มีความรุนแรงของโรคสูง ดังนั้นผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ล้วนแต่มีความอันตรายต่อชีวิตสูงต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด โอกาสในการรักษาให้หายเป็นปกติจะมีอัตราน้อยกว่าโรคมะเร็งชนิดอื่นๆ แต่ทั้งนี้ก็สามารถรักษาให้หายได้หากผู้ป่วย มาพบแพทย์ตั้งแต่เป็นโรคในระยะแรกๆยังไม่มีการแพร่กระจายของโรค โดยในการรักษาต้องขึ้นอยู่กับแพทย์ว่าจะสามารถผ่าตัดเอาก้อนเนื้อมะเร็งออกได้มากน้อยเพียงใด และยังรวมถึงปัจจัยอื่นๆของผู้ป่วยอย่าง อายุ และ สุขภาพอีกด้วย

การป้องกันมะเร็งตับอ่อน

ในปัจจุบันนี้ ยังคงไม่มีวิธีตรวจคัดกรองให้พบโรคมะเร็งตับอ่อนตั้งแต่ในระยะเริ่มเป็นได้ ซึ่งก็มีข้อแนะนำให้กับคนทั่วๆไปว่า ให้รู้จักดูแลร่างกายของตนเองให้มีความแข็งแรงอยู่เสมอ  และหากมีความผิดปกติใดๆเกิดขึ้นกับร่างกาย ให้รีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจจะดีที่สุด  ส่วนเรื่องของการป้องกันโรคมะเร็งตับอ่อน ปัจจุบันก็ยังคงไม่มีวิธีหรือยาตัวไหน ที่สามารถจะป้องกันโรคชนิดนี้ได้ ทางทีดีที่สุดที่ควรทำคือ ต้องรู้จักหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆในการก่อให้เกิดมะเร็ง อีกทั้งควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

จะเห็นได้ว่าตับอ่อนเป็นอวัยวะที่สำคัญต่อร่างกายมาก มีชิ้นเดียวภายในร่างกาย อีกทั้งหากเกิดโรคมะเร็งขึ้นกับตับ อ่อนแล้ว ซึ่งเป็นโรคที่มีความรุนแรงของโรคที่สูงมาก  และยังเป็นโรคที่ไม่มีวิธีในการตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น วิธีป้องกัน ดังนั้นเราในฐานะเจ้าของร่างกาย ควรดูแลรักษาสุขภาพของร่างกายและตับอ่อนให้ดีให้แข็งแรงอยู่เสมอ  และหากเป็นผู้ที่มีอายุ 40  ปี ขึ้นไปแล้ว ควรหาโอกาสเข้าตรวจสุขภาพร่างกายอย่างน้อยปีละครั้ง  เพราะหากตรวจพบโรคมะเร็งตับอ่อนตั้งแต่ระยะแรก ก็จะสามารถรักษาให้หายได้เป็นปกตินั่นเอง

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. ถาม – ตอบ มะเร็งร้ายสารพัดชนิด. กรุงเทพฯ ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 264 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1170-0

Haffty, B., and Wilson, L. (2009). Handbook of radiation oncology. Singapore: Jones and Bartlett Publishers.

Edge, S. et al. (2010). AJCC: Cancer staging handbook. New York: Springer.

แอนโทไซยานิน ( Anthocyanin ) สารสีน้ำเงินเพื่อสุขภาพ

0
แอนโทไซยานิน สารสีน้ำเงินเพื่อสุขภาพในมัลเบอร์รี่
สารแอนโทไซยานินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบปริมาณมากในมัลเบอร์รีหรือลูกหม่อน
แอนโทไซยานิน สารสีน้ำเงินเพื่อสุขภาพในมัลเบอร์รี่
สารแอนโทไซยานินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบปริมาณมากในมัลเบอร์รีหรือลูกหม่อน

แอนโทไซยานิน

แอนโทไซยานิน ( Anthocyanin ) คือ สารที่อยู่ในกลุ่มของฟลาโวนอยด์ ( Flavonoid ) ซึ่งจะให้สีน้ำเงิน แดง และสีม่วง กับดอกไม้ ผักผลไม้ต่างๆ โดยช่วงแรกที่พบสารชนิดนี้  ได้จากการสังเกตองค์ประกอบทางเคมีของดอกไม้สีน้ำเงิน และยังพบอีกว่าสารชนิดนี้สามารถเปลี่ยนสีไปได้ตามค่าความเป็นกรด-ด่าง ต่างๆ ซึ่งหากอยู่ในสภาวะเป็นกลางจะได้สีม่วง หากอยู่ใน สภาวะเป็นด่างจะได้สีน้ำเงิน และหากอยู่ในสภาวะเป็นกรดจะให้สีแดง

โดยในปัจจุบันสารแอนโทไซยานินจะมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน แต่ที่ได้รับความสนใจจากวงการแพทย์มากที่สุดก็มีทั้งหมด 6 ชนิด เพราะสามารถที่จะนำมาใช้ในการหาสารสกัดต้านโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้ โดยสารที่ได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่องได้แก่

  • เดลฟินิดิน ( Delphinidin )
  • พีโอนิดิน ( Peonidin )
  • ไซยานิดิน ( Cyanidin )
  • มาลวิดิน ( Malvidin )
  • เพทูนิดิน ( Petonidin )
  • เพลาโกนิดิน ( Pelargonidin )

อาหารที่มีสารแอนโทไซยานินสูง

1. กะหล่ำปลีสีม่วง
ผลกะหล่ำปลีสีม่วงเป็นอีกหนึ่งพืชผักชนิดที่มีสารแอนโทไซยานินอยู่สูง โดยกะหล่ำปลีสีม่วงขนาด 100 กรัม จะมีปริมาณสารแอนโทไซยานินอยู่ 113 มิลลิกรัม

2. แรดิช
ผลแรดิชมีลักษณะลูกกลมๆ สีแดงสด สามารถนำมารับประทานได้แบบสดๆ ก็จะได้รับสารแอนโทไซยานินไม่น้อยเลยล่ะค่ะ เพียงรับประทานผลแรดิชขนาด 100 กรัม ก็จะได้รับสารแอนโทไซยานินปริมาณ 116 มิลลิกรัม

3. ข้าวโพดสีม่วง
ข้าวโพดสีม่วงหรือข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง จะมีสารแอนโทไซยานินอยู่สูงมากขนาดที่ใครหลายคนคิดว่าสามารถต้านมะเร็งได้ โดยข้าวโพดสีม่วงปริมาณ 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานินอยู่มากถึง 1,642 มิลลิกรัม

4. มะเขือม่วง
มะเขือสีม่วงจัดอยู่ในอาหารที่มีแอนโทไซยานินสูงมากชนิดหนึ่งค่ะ ซึ่งมะเขือม่วงปริมาณ 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานินอยู่ถึง 750 มิลลิกรัม

5. โช๊คเบอร์รี่
ผลไม้ที่มีชื่อเรียกว่า โช๊คเบอร์รี่ มีผลสีดำออกม่วงเข้มจัดเป็นแหล่งของสารแอนโทไซยานินชั้นดีเลยล่ะค่ะ โช๊คเบอร์รี่ปริมาณแค่เพียง 100 กรัม ก็มีสารแอนโทไซยานินมากมายถึง 2,147 มิลลิกรัม

6. อัลเดอร์เบอร์รี่
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อีกหนึ่งชนิดที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นหูกันแต่มีสารแอนโทไซยานินอยู่เปี่ยมล้นนัก นั่นก็คือผลอัลเดอร์เบอร์รี่ (Elderberries) ที่มีปริมาณ 100 กรัมก็ให้สารแอนโทไซยานินมากถึง 1,993 มิลลิกรัม 

7. ราสเบอร์รี่สีดำ
ผลราสเบอร์รี่สีดำพบว่าเมื่อรับประทานทุกวัน สามารถลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้มากถึงร้อยละ 45 เลยทีเดียวค่ะ ราสเบอร์รี่สีดำปริมาณ 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานินมากถึง 845 มิลลิกรัม

8. แบล็คเคอร์แรนท์
แบล็คเคอร์แรนท์เป็นผลไม้ตระกูลราสเบอร์รี่ และมีสารแอนโทไซยานินไม่น้อยเลยค่ะ แบล็คเคอร์แรนท์ปริมาณ 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานินถึง 533 มิลลิกรัม

9. บลูเบอร์รี่
ผลไม้แสนอร่อยที่เต็มไปด้วยคุณค่าและโประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างบลูเบอร์รี่ ปริมาณ 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานินอยู่ถึง 529 มิลลิกรัม

10. มาเรียนเบอร์รี่
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Marion Blackberry จัดเป็นแหล่งของอาหารที่มีสารแอนโทไซยานินอยู่สูง ซึ่ง มาเรียนเบอร์รี่ปริมาณ 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานินอยู่ถึง 433 มิลลิกรัม

11.แบล็คเบอร์รี่
ผลแบล็คเบอร์รี่จะไม่ติดอันดับก็คงจะไม่ได้ นอกจากอร่อยแล้วยังดีต่อสุขภาพอย่างนี้ แบล็คเบอร์รี่ปริมาณ 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานินมากถึง 353 มิลลิกรัม

12. องุ่นม่วง
ผลองุ่นสีม่วงจัดเป็นแหล่งของอาหารที่มีสารแอนโทไซยานินไม่น้อยเลยล่ะค่ะ องุ่นม่วงปริมาณ 100 กรัม มีปริมาณสารแอนโทไซยานินอยู่ 192 มิลลิกรัม

13. เชอร์รี่หวาน
เชอร์รี่หวานนอกจากรสชาติอร่อยแล้วยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย เชอร์รี่หวานปริมาณ 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานินถึง 177 มิลลิกรัม

14. ราสเบอร์รี่
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อีกหนึ่งชนิดอย่างราสเบอร์รี่ที่สีสดใสสีแดง มีรสชาติเปรี้ยวก็เต็มเปี่ยมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน โดยราสเบอร์รี่ปริมาณ 100 กรัม มีปริมาณสารแอนโทไซยานินอยู่มากถึง 116 มิลลิกรัม

15. เกรฟฟรุ๊ท
เกรฟฟรุ๊ทเป็นผลไม้ที่มีลักษณะคล้ายส้มแต่ข้างในมีสีแดง โดยเกรฟฟรุ๊ทปริมาณ 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานินอยู่ถึง 200 มิลลิกรัม

16. มัลเบอร์รี่ หรือหม่อน
มีหน้าตาคล้ายกับพวงองุ่นขนาดเล็ก ซึ่งในมัลเบอร์รี่มีสารแอนโทไซยานิน ( Anthocyanin ) สูงมาก ซึ่งจะช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคมะเร็งและลดการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมองได้เป็นอย่างดี

ประโยชน์ของแอนโทไซยานิน

แอนโทไซยานินมีประโยชน์ที่หลากหลาย ดังต่อไปนี้ 

1. ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง เพราะสารแอนโทไซยานินมีสานต้านอนุมูลอิสระสูง จึงสามารถกำจัดสารที่เป็นตัวก่อมะเร็งได้อย่างดีเยี่ยม และช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นต้น

2. ลดระดับน้ำตาลในเลือดและควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่ปกติ ซึ่งแอนโทไซยานินก็จะพบได้มากในผลมันเบอร์รี่ จึงเป็นผลให้ชามัลเบอร์รี่มีสรรพคุณในการลดน้ำตาลในเลือดได้ดีนั่นเอง และยังช่วยชะลอการย่อยน้ำตาลที่อยู่ในลำไส้เล็ก จึงไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ในผู้ป่วยเบาหวานจึงนิยมให้ทานอาหารที่มีสารแอนโทไซยานินนั่นเอง

3. แอนโทไซยานินช่วยลดปริมาณไขมันในเลือด และสามารถกระตุ้นระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้ทำงานได้ดีขึ้น รวมทั้งสามารถขจัดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน และสามารถลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี

4. ช่วยดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลต โดยไปขัดขวางการจำลองแบบของ DNA มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของยีน และทำให้เกิดการกลายพันธุ์ได้

5. ใช้เป็นส่วนผสมในครีมกันแดด ( Sunscreen ) ช่วยให้ผิวหนังดูอ่อนกว่าวัย ชะลอความเสื่อมสภาพของผิวหนัง เนื่องจากสารแอนโทไซยานินช่วยยับยั้งกระบวนการออกซิเดชันที่เกิดจากแสงอัลตราไวโอเลต และหากใช้ร่วมกับวิตามินอีจะทำให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น และยังใช้ทำสบู่ได้ด้วย

6. ช่วยดูดซับอนุมูลอิสระ เนื่องจากแอนโทไซยานินทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกระบวนการเมแทบอลิซึม ( Metabolism ) ภายในสิ่งมีชีวิต ทำให้สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง และโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ซึ่งแอนโทไซยานินมีประสิทธิภาพในการต้านสารอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซี และวิตามินอี ถึง 2 เท่า

7. ใช้เป็นสีย้อมอาหาร ( Food dye ) เนื่องจากคุณสมบัติพิเศษของผลิตภัณฑ์สีผสมอาหารแอนโทไซยานินจะอยู่ในรูปแบบผง และของเหลว จึงสามารถเลือกใช้ได้ตามต้องการของอาหาร และผสมกับส่วนของไข่ขาวเพื่อใช้เป็นสารช่วยให้ความคงตัวแทนการใช้แป้ง รวมทั้ง เพิ่มความคงตัวให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีค่า Water activity ต่ำ

8. ใช้เป็นส่วนผสมในแชมพู และครีมนวดผม ซึ่งสารแอนโทไซยานินจะช่วยกระตุ้นให้รากผมสร้างผมได้มากขึ้นถึง 3 เท่า

9. ช่วยในการผสมเกสร ซึ่งจะช่วยล่อแมลงและสัตว์ต่างๆให้ดอกไม้ เช่น ผึ้งชอบดอกสีน้ำเงิน หรือสีเหลือง และมีลายเส้นของดอกไม้ที่โดดเด่น ผีเสื้อชอบดอกสีแดง และสีชมพู นกชอบดอกสีแดง และสีส้ม ส่วนด้วงและค้างคาวชอบดอกสีไม่สดใส และไม่ฉูดฉาด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

แอพเพิลเกต, ลิซ. 101 อาหารรักษาหัวใจ.–กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2547. 342 หน้า. 1. อาหารเพื่อสุขภาพ. 2.โภชนบำบัด. I.จงจิต อรรถยุกติ, ผู้แปล. II.ชื่อเรื่อง. 641.56311 ISBN 974-00-8692-6.

อัลมอนด์มีแคลเซียมสูงขนาดไหนกันนะ?  ( Almonds )

0
อัลมอนด์มีแคลเซียมสูงขนาดไหนกันนะ? (Almonds)
อัลมอนด์ เป็นถั่วชนิดหนึ่งที่อุดมด้วยไขมันดี โปรตีน แมกนีเซียม โพแทสเซียม และวิตามินอีที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
อัลมอนด์มีแคลเซียมสูงขนาดไหนกันนะ? (Almonds)
อัลมอนด์ เป็นถั่วชนิดหนึ่งที่อุดมด้วยไขมันดี โปรตีน แมกนีเซียม โพแทสเซียม และวิตามินอีที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ

อัลมอนด์

อัลมอนด์  ( Almonds ) ถั่วยอดนิยมสำหรับคนทุกเพศทุกวัย ถั่วเม็ดเล็ก ๆกรุบๆกรอบๆ ถ้าได้ลองกินสักครั้งรับรองว่าต้องติดใจกันทุกคน อัลมอนด์เป็นเมล็ดของผล  Drupe ที่เป็นผลแบบเมล็ดเดี่ยวคือภายในลูกจะมีเพียงแค่เมล็ดเดียวเท่านั้น เมล็ดมีลักษณะคล้ายรูปหยดน้ำมีเปลือกสองชั้น เปลือกชั้นนอกสุดมีความแข็งมาก ส่วนเปลือกชั้นในจะมีลักษณะเป็นเยื่อบางๆติดอยู่กับเมล็ด เมล็ดสามารถทานพร้อมกับเมล็ด ผลอ่อนมีสีเขียวเมื่อแก่จะมีสีน้ำตาลอ่อน เนื้อภายในเมล็ดมีสีขาวครีม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Prunus Dulcis ( Mill. ) D.A.Webb หรือ Prunus amygdalus Batsch เป็นพืชอยู่ในวงศ์กุหลาบ ( Rosaceae )

เมล็ดอัลมอนด์ มีต้นกำเนิดอยู่ในตะวันออกกลางและภูมิภาคเอเชียใต้ ด้วยรสชาติและคุณประโยชน์ที่มีอยู่ในอัลมอนด์ ทำให้อัลมอนด์แพร่ขยายพันธุ์ไปทั่วโลก อัลมอนด์เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ลำต้นสูงมีความสูง 4-10 เมตร ใบยาวประมาณ 3-5 นิ้ว ใบมีเป็นหยักโดยรอบ ดอกประกอบด้วยกลีบดอก 5 กลีบ โคนกลีบรวมกันตรงกลางมีเกสรดอก โคนกลีบดอกจะมีสีเข้มกว่าปลายดอก

ชนิดของ อัลมอนด์

1.อัลมอนด์ชนิดหวาน ( Sweet Almond ) อัลมอนด์ชนิดนี้เป็นที่นิยมนำมาทานเล่นหรือนำไปปรุงอาหารทั้งคาวและหวาน นอกจากการปรุงรับประทานแล้วยังนำไปสกัดทำน้ำมันอัลมอนด์เพื่อใช้การปรุงอาหารแทนน้ำมันพืชชนิดอื่น อัลมอนด์สายพันธุ์ดอกจะมีสีขาว เมล็ดยาวกว่าสายพันธุ์บิทเทอร์เล็กน้อย
2.อัลมอนด์ชนิดขม ( Bitter Almon ) เป็นอัลมอนด์ที่เราไม่สามารถรับประทานได้ทันที เราต้องนำไปสกัดน้ำมันหรือสกัดสารอาหารที่มีประโยชน์ออกมาใช้แทนการรับประทานเล่น ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าในอัลมอนด์ชนิดนี้จะมีสารพิษที่ชื่อว่าสารไซยาไนด์ ( Cyanide ) สารนี้มีอัตรายถึงตายได้เมื่อได้รับเข้าสู่ร่างกาย อัลมอนด์สายพันธุ์นี้มีดอกสีชมพู เมล็ดอ้วนแป้นและมีขนาดเล็กกว่าพันธุ์หวาน

อัลมอนด์  ( Almonds ) เป็นถั่วชนิดหนึ่งที่อุดมด้วยไขมันดี โปรตีน แมกนีเซียม โพแทสเซียม และวิตามินอีที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ

ประโยชน์ของ อัลมอนด์

อัลมอนด์  คือ ถั่วที่มีสารอาหารที่ทรงคุณค่าต่อร่างกายมากกว่าถั่วชนิดอื่นๆ ถึงขั้นที่เป็นอาหารติดอันดับ 1 ใน 10 ของสุดยอดอาหารที่กินเพื่อสุขภาพ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าในอัลมอนด์ทุกเมล็ดนั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย วิตามินและแร่ธาตุที่มีอยู่ในอัลมอนด์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมีดังนี้เปลือกของเมล็ดอัลมอนด์มีสารฟลาโวนอยด์ ( Flavonoids ) จากงานวิจัยของ TUFTS University พบว่าสารฟลาโวนอยด์จะทำงานร่วมกับวิตามินอี เข้าไปช่วยดูแลผนังหลอดเลือดให้แข็งแรง

สถาบันที่มีชื่อเสียงของทั้งอเมริกาและยุโรป ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการรับประทาน อัลมอนด์ พบว่าการรับประทานอัลมอนด์เป็นประจำทุกวันวันละ 1 หยิบ ช่วยลดระดับไขมันเลวได้ถึง 4.4 % และถ้าเพิ่มอัตราการกินเป็น 2 หยิบมือต่อวันสามารถช่วยลดระดับไขมันเลวได้ถึง 9.4 % ที่ถือว่าเป็นอัตราการเพิ่มที่สูงมาก เมื่อระดับของไขมันเลวลดลงไขมันที่จะเข้าไปในอุดตันในเส้นเลือดก็มีปริมาณลดลง จึงไม่มีการอุดตันในเส้นเลือด เป็นการป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดที่ดีและได้ผลดีมากลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน โดยการลดระดับน้ำตาลในเลือด เพราะว่าเมื่อรับประทานอัลมอนด์ อัลมอนด์จะเข้าไปช่วยให้มีการหลั่งสารอินซูลินหลังรับประทานอาหาร ทำให้ตับและเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ สามารถดูดซึมน้ำตาลในกระแสเลือดที่ได้รับจากรับประทานอาหาร เมื่อน้ำตาลที่ได้รับเข้ามาถูกดูดซึมไปจนหมดแล้ว ระดับน้ำตาลในเลือดก็จะลดลงนั่นเอง เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดคงที่การหลั่งสารอินซูลินเป็นปกติ อัตราเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานก็ลดน้อยลงด้วย

อัลมอนด์ ยังมีประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการควบคุมหรือลดน้ำหนักอีกด้วย เพราะเมื่อรับประทานอัลมอนด์เป็นประจำ ไม่ว่าจะการรับประทานแทนอาหารมื้อหลัก รับประทานแทนขนมกินเล่น รับประทานเป็นอาหารว่างจะช่วยลดการกินจุกกินจิกและลดดความหิวระหว่างมื้ออาหาร และเมื่อรับประทานเป็นประจำทุกวันจะช่วยลดน้ำหนักได้ เพราะในอัลมอนด์ 1 เมล็ดนั้นให้พลังงานเพียงแค่ 7 แคลลอรีเท่านั้น เมื่อรับประทานไม่กี่เมล็ดก็จะรู้สึกอิ่มนานอีกด้วย อัลมอนด์จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายที่เป็นแหล่งผลิตไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกาย เมื่อคอลเลสตอรอลลดลงแล้วไขมันที่เกิดขึ้นใหม่ก็ลดลงด้วย

ได้มีการทดลองจากนักวิจัยของประเทศแคนาดาและประเทศสหรัฐอเมริกา ทำการทดลองโดยจัดกลลุ่มทดลองขึ้นมาหนึ่งกลุ่ม ซึ่งทำการคัดเลือกผู้สมัครที่มีความเสี่ยงต่อการมีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงมาร่วมการทดลอง โดย 3 อาทิตย์แรกให้คนกลุ่มนี้รับประทานอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ต่อจากนั้นให้รับประทานอัลมอนด์  9 สัปดาห์พบว่าระดับคอเลสเตอรอลของคนในกลุ่มทดลองลดลงพ้นจากการเสี่ยงในการมีคอเลสเตอรอลในเลือดสูงได้ทุกคน และระดับไขมันไม่ดี ( LDL ) ในเส้นเลือดลดลง แต่ระดับไขมันเลว ( HDL ) ในเส้นกลับมีปริมาณเท่าเดิมก่อนที่จะเริ่มทำการทดลองอีกด้วย จากผลการทดลองจะพบว่าอัลมอนด์มีสารหลายตัวที่เป็นตัวช่วย รวมถึงวิตามินอีที่ช่วยปกป้องไม่ให้ไขมันเลวเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นเข้าไปทำลายผนังหลอดเลือดแดงในหัวใจ

สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักการรับประทานอัลมอนด์แทนของกินเล่นที่ให้พลังงานสูง และรับประทานแทนข้าวหรืออาหารหลักในบางมื้อหนึ่งมื้อต่อวันนั้นจะช่วยลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดีเส้นใยคุณภาพดี อัลมอนด์ เป็นถั่วที่มีเส้นใยสูงมากทีเดียว เส้นใยจะเข้าไปเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบขับถ่าย ทำให้ขับถ่ายได้เป็นปกติลดอาการท้องผูกซึ่งเป็นที่มาของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่มีสาเหตุมาจากสารพิษตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่มากและนานเกินไป ทำให้เซลล์มีความผิดปกติเกิดเป็นมะเร็งลำไส้ สารต่อต้านอนุมูลอิสระและโปรตีนเป็นจำนวนมาก ซึ่งสารตัวนี้จะเข้าไปช่วยเสริมสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังให้มีมากขึ้น จึงช่วยลดการเกิดริ้วรอยที่เกิดขึ้นบนใบหน้า ชะลอให้ดูเยาว์วัยไม่เสื่อมและเป็นแหล่งพลังงานอีกด้วยกรดโฟลิกที่มีส่วนช่วยในการสร้างเซลล์สมองและระบบประสาทให้กับทารกในครรภ์

และสำหรับผู้ใหญ่แล้วการรับประทาน อัลมอนด์  เป็นประจำจะช่วยป้องกันการเกิดโรคความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ได้การรับประทานอัลมอนด์สามารถรับประทานได้หลายแบบด้วยกัน เพราะปัจจุบันนี้ได้มีการแปรรูปอัลมอนด์ออกมาจำหน่ายในท้องตลาดอย่างหลากหลาย เช่น อัลมอนด์อบเกลือ อัลมอนด์เคลือบน้ำตาล อัลมอนด์อบแห้ง เป็นต้น การรับประทานอัลมอนด์สามารถรับประทานทันทีหรือจะนำมารับประทานร่วมกับอาหารอย่างอื่นเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ทานกับโยเกิร์ต ปั่นรวมกับน้ำผักผลไม้ โรยหน้าบนขนมที่ชอบ ทานกับผักสลัด อัลมอนด์สามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่ต้องแช่เย็น แต่ว่าต้องเก็บไว้ในห่อหรือกล่องที่สุญญากาศแช่เย็นไว้เพื่อคงคุณค่าทางสารอาหารของอัลมอนด์ไว้ได้เป็นอย่างดี

เมนูแนะนำสำหรับ อัลมอนด์

แครน-อัลมอนด์ เทรล มิกซ์
ส่วนผสม

อัลมอนด์  ( Almonds )                     1 ถ้วยตวง

ลูกแครนเบอร์รี่แบบอบแห้ง                    1 ถ้วยตวง

ลูกเกด                                        0.5 ถ้วยตวง

เมล็ดฟักทองแบบอบแห้ง                     ¼ ถ้วยตวง

มะพร้าวแผ่นอบแห้ง                           ¼ ถ้วยตวง

ถั่วเหลืองอบ                                 0.5 ถ้วยตวง

ขั้นตอนการทำ
1.นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงในภาชนะที่เตรียมไว้ ทำการคลุกเคล้าให้เข้ากัน ด้วยช้อนหรือทัพพี

2.ทำการปิดฝาภาชนะให้สนิท นำไปแช่ตู้เย็นเป็นเวลา 6-8 สัปดาห์ ก็พร้อมนำมารับประทานได้

แครน-อัลมอนด์ เทรล มิกซ์  ในปริมาณ 1/3 ถ้วยตวง จะมีปริมาณสารอาหารดังตารางด้านล่าง

ข้อมูลทางโภชนาการ
แครน-อัลมอนด์ เทรล มิกซ์   (คำนวณจากปริมาณของอาหาร ⅓ ถ้วยตวง)
                                                                          ปริมาณสารอาหาร
พลังงานทั้งหมด                                                        193 แคลอรี
พลังงานจากไขมัน                                                     86 แคลอรี่
%คุณค่าสารอาหารต่อวัน
ไขมันรวม                     10 กรัม                                15%
ไขมันอิ่มตัว                 < 1 กรัม                                  4%
โคลสเตอรอล                  0 มิลลิกรัม                            0%
โซเดียม                        0 มิลลิกรัม                             0%
คาร์โบไฮเดรตรวม         23 กรัม                                  8%
เส้นใยอาหาร                  3 กรัม                                13%
โปรตีน                         7 กรัม
 วิตามิน เอ 0%       วิตามิน ซี < 2%       แคลเซียม 7%      ธาตุเหล็ก 6%      วิตามิน อี 35%

 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผลไม้. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 1.ผลไม้–แง่โภชนาการ–ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641. ISBN 978-974-484-346-3.

Illustration from Franz Eugen Köhler, Köhler’s Medizinal-Pflanzen, 1897
The Plant List, Prunus dulcis (Mill.) D.A.Webb

Bailey, L.H.; Bailey, E.Z.; the staff of the Liberty Hyde Bailey Hortorium. 1976. Hortus third: A concise dictionary of plants cultivated in the United States and Canada. Macmillan, New York.

Rushforth, Keith (1999). Collins wildlife trust guide trees: a photographic guide to the trees of Britain and Europe. London: Harper Collins. ISBN 0-00-220013-9.

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง
แสงแดดมีวิตามินดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายช่วยสมานแผล และช่วยฆ่าเชื้อโรคได้
แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง
แสงแดดมีวิตามินดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายช่วยสมานแผล และช่วยฆ่าเชื้อโรคได้

แสงแดด

แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้

ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย

สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้

คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย

โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล

ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้

  • ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น
  • ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล
  • ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน

สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก 

ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน

แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ

  • แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้
  • แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก

หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้

การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน

การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้

แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร?

การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป และทำการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาทดแทน ทำให้บาดแผลตื้นขึ้นและค่อยๆหายดีเป็นปกติ
นอกจากนี้ในการสมานแผล ยังมีสารที่สำคัญอีกหนึ่งชนิดที่อยู่ในกระบวนการนี้คือ คอเลสเตอรอล ( Cholesterol ) ซึ่งเป็นตัวรับแสงแดด และเปลี่ยนแสงแดดให้เป็นวิตามินดี เพื่อนำไปใช้ประโยชน์กับทุกส่วนในร่างกาย โดยเฉพาะการใช้แคลเซียมไปปรับความสมดุลของภาวะเลือดในร่างกาย เพื่อช่วยให้แผลค่อยๆดีขึ้นจนหายเป็นปกติ   

บทบาทของแสงแดดรักษาแผล

1. แสงแดดช่วยฆ่าเชื้อโรค รวมถึงเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา และอื่นๆ  ดังนั้น แสงแดดจึงฆ่าเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่เป็นแผล รวมถึงฆ่าเชื้อบาดทะยักได้ด้วย  ทำให้แผลแห้งและหายเร็ว
2. แสงแดดช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยวิตามินดีที่ได้รับจากแสงแดด จะไปช่วยกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวถูกผลิตมากขึ้น ให้เพียงพอต่อการนำไปใช้รักษาแผล
3. แสงแดดช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเซลล์ต่างๆของร่างกาย แสงแดดช่วยทำให้เฮโมโกบินในเม็ดเลือดแดงรับออกซิเจนจากปอดได้ดีขึ้น จึงทำให้เซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะเซลล์รอบๆบริเวณบาดแผล เซลล์เม็ดเลือดขาว ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ ทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น และช่วยฟื้นฟูบาดแผลให้หายดี
4. แสงแดดช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ แสงแดดเป็นพลังแม่เหล็กที่เต็มไปด้วยพลังประจุไฟฟ้าลบ ( Electron )  จึงมีอนุภาพจัดการกับอนุมูลอิสระที่อยู่ในร่างกายและบริเวณบาดแผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากแผลที่มีความอันตรายสูง ในผู้ป่วยโรคเบาหวานแล้ว แสงแดดรักษาแผลในกรณีอื่นๆ ได้อีกหลายชนิด เช่น แผลติดเชื้อ แผลกดทับ แผลฟกช้ำ และแผลเรื้อรัง เป็นต้น

ถึงแม้ว่าบาดแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะดูอันตรายและรุนแรง แต่สิ่งที่ช่วยรักษาให้หายได้ ไม่ใช่ยาราคาแพง หรือเครื่องมืออุปกรณ์แพทย์ราคาสูง แต่กลับเป็นพลังงานอย่างแสงแดด ที่ไม่ต้องเสียเงินสักบาท เป็นพลังงานฟรีที่ใช้ได้ไม่มีวันหมด ดังนั้นจึงควรทำให้ตนเองได้รับปริมาณของแสงแดดที่เพียงพอและเหมาะสมในแต่ละวัน ซึ่งหากจะให้ดีที่สุด ผู้ที่รู้ว่าตนเองป่วยเป็นโรคเบาหวาน ต้องรู้จักรอบคอบและระมัดระวังตัวเองไม่ให้เกิดบาดแผลขึ้นตามร่างกาย หรือ ถ้าเกิดบาดแผลขึ้นตามร่างกายแล้ว ผู้ป่วยต้องรีบไปพบแพทย์ เพื่อป้องกันบาดแผลไม่ให้เกิดการติดเชื้อ ไม่ให้เชื้อนั้นลุกลามจนเป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้ป่วย

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

นิดดา หงษ์วิวัฒน์. แสงแดด โอสถมหัศจรรย์ แสงแห่งชีวิตที่เป็นยารักษาโรค. กรุงเทพฯ : บริษัท สำนักพิมพ์แสงแดด จำกัด, 2558., 223 หน้า. ISBN 978-616-284-592-5

MacAdam, David L. (1985). Color Measurement: Theme and Variations (Second Revised ed.). Springer. pp. 33–35. ISBN 0-387-15573-2.

“Graph of variation of seasonal and latitudinal distribution of solar radiation”. Museum.state.il.us. 2007-08-30. Retrieved 2012-02-12.

MacEvoy, Bruce (2008). color vision. Retrieved 27 August 2015. Noon sunlight (D55) has a nearly flat distribution.

Wyszecki, Günter; Stiles, W. S. (1967). Color Science: Concepts and Methods, Quantitative Data and Formulas. John Wiley & Sons. p. 8.

มะเร็งไต ( Kidney Cancer ) อาการ สาเหตุ และการรักษา

0
อาการ สาเหตุและวิธีการรักษาโรคมะเร็งไต (Kidney Cancer)
มะเร็งไตเกิดจากเซลล์ที่เจริญเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ โดยมีการแบ่งตัวที่ผิดปกติบริเวณไต หรือเยื่อบุผิวซึ่งเป็นท่อเล็กๆ ที่เป็นตัวนำน้ำปัสสาวะให้ไหลลงสู่กรวยไต
อาการ สาเหตุและวิธีการรักษาโรคมะเร็งไต (Kidney Cancer)
มะเร็งไตเกิดจากเซลล์ที่เจริญเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ โดยมีการแบ่งตัวที่ผิดปกติบริเวณไต หรือเยื่อบุผิวซึ่งเป็นท่อเล็กๆ ที่เป็นตัวนำน้ำปัสสาวะให้ไหลลงสู่กรวยไต

มะเร็งไต ( Kidney Cancer )

มะเร็งไต ( Kidney Cancer ) คือ ชนิดของโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นภายในไต โดยเกิดจากเจริญเติบโตของเซลล์เนื้อเยื่อไตและกรวยไตที่ผิดปกติ มักพบในวัยผู้ใหญ่ ปัจจุบันมะเร็งไตอาจจะมีปริมาณของผู้ป่วยที่ไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับมะเร็งชนิดอื่นๆ แต่ก็ถือว่ามียอดของผู้ป่วยทยอยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไต เป็นอวัยวะในร่างกายมนุษย์ ประกอบด้วยสองส่วนหลัก คือ เนื้อไต และกรวยไต มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับระบบปัสสาวะ คอยขับกรองของเสีย และเกลือแร่บางชนิด เช่น เกลือโซเดียม ออกจากร่างกาย

มะเร็งไต สามารถเกิดได้ทั้ง 2 ข้าง ไตของมนุษย์จะมีทั้งหมด 2 ข้างคือ ไตซีกซ้าย และไตซีกขวา อยู่บริเวณช่องท้องด้านหลังระดับเอว ภายในไตจะประกอบไปด้วยเซลล์หลายชนิด ได้แก่ เซลล์ของไตเองผู้ทำหน้าที่กรองของเสีย เซลล์เยื่อเมือกบุภายในกรวยไต เส้นเลือด และเซลล์ต่อมน้ำเหลือง ซึ่งทุกชนิดสามารถเกิดเป็นมะเร็งได้หมดทั้งสิ้น

สาเหตุมะเร็งไต เกิดจาก

มะเร็งไต เกิดจากภาวะของเชื้อมะเร็งขึ้นที่บริเวณเซลล์ของตัวไตเอง ซึ่งโรคมะเร็งไตก็สามารถเกิดขึ้นได้กับไตทั้งสองฝั่ง โดยส่วนมากจะเกิดขึ้นกับฝั่งใดฝั่งหนึ่งเท่านั้น แต่ก็สามารถเกิดพร้อมกันได้ทั้งฝั่งเช่นกัน แต่ก็เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นประมาณร้อยละ 2  โดยอาจจะเกิดพร้อมกันทั้ง 2 ฝั่งเลย หรือเกิดขึ้นทีละฝั่งก็ได้เช่นกัน  ซึ่งผู้ที่เป็นโรคมะเร็งไต ที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมชนิดถ่ายทอดได้ จะมีโอกาสเกิดมะเร็งไตทั้งสองข้างได้สูง มากว่าคนปกติ

มะเร็งไต คือ การเกิดภาวะของเชื้อมะเร็งขึ้นที่บริเวณเซลล์ของตัวไตเอง

มะเร็งไต จะแตกต่างกัน ระหว่างประเภทที่พบในผู้ใหญ่ กับประเภทที่พบในเด็ก ซึ่งประเภทที่พบในผู้ใหญ่นั้น จะมีโอกาสเกิดสูงใน ผู้ที่อายุอยู่ในช่วงประมาณ  55 – 60  ปี และสามารถพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 1.5 เท่าความแตกต่างระหว่างมะเร็งไตและมะเร็งกรวยไต ทั้งไตและกรวยไต ล้วนแต่เป็นอวัยวะที่เกี่ยวข้องกัน ทำงานร่วมกัน และอยู่ในระบบขับถ่ายของเสียด้วยกันทั้งคู่  หลายคนจึงมีความสงสัยว่า โรคมะเร็งไตที่เกิดกับอวัยวะทั้ง 2 ส่วน เหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร ซึ่งอันที่จริงแล้ว มะเร็งทั้งสองชนิดมีความแตกต่างกัน สรุปได้ดังนี้คือ

ชนิดของมะเร็งไต

1. ไตจะมีหน้าที่หลักคือ กรองของเสียออกจากร่างกายมาทางปัสสาวะ เชื้อมะเร็งจะเกิดขึ้นที่อวัยวะและเซลล์ของตัวไตเอง มักเป็นเซลล์มะเร็งชนิดรีนัลเซลล์ หรือเรียกย่อๆว่า อาร์ซีซี ( RCC : Renal Cell Carcinoma ) ซึ่งเซลล์มะเร็งชนิดนี้มีความรุนแรงของโรคปานกลาง

2. กรวยไตมีหน้าที่หลักคือ เก็บกักน้ำปัสสาวะในไต ก่อนปล่อยให้ไหลลงไปสู่ท่อไต เชื้อมะเร็งจะเกิดขึ้นที่ส่วนของกรวยไต เป็นมะเร็งของเซลล์เยื่อเมือกบุภายในกรวยไต ชนิดทีซีซี หรือ ทรานซิชันแนล ( TCC : Transitional Cell Carcinoma ) เป็นเซลล์มะเร็งชนิดนี้มีความรุนแรงของโรคปานกลาง

สาเหตุการเกิด มะเร็งไต

ในทางการแพทย์ปัจจุบัน ยังไม่สามารถสรุปหาต้นเหตุที่แท้จริง ของการเกิดมะเร็งไตได้  แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่เชื่อว่าน่าจะเป็นต้นเหตุของการเกิดโรค ดังต่อไปนี้

  • การสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็งไตและมะเร็งเกือบทุกชนิด
  • พันธุกรรมชนิดถ่ายทอดได้บางชนิด ซึ่งคนที่มีความผิดปกติจากพันธุกรรมชนิดนี้ มีโอกาสเกิดโรคมะเร็งไตได้ถึงร้อยละ 45 และมักมีโอกาสเกิดมะเร็งกับไตทั้งสองข้างสูง
  • ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐาน  และ ผู้ที่มีภาวะมีโรคความดันโลหิตสูง
  • อาจเกิดจากการได้รับสารก่อมะเร็งบางชนิดในสถานที่ทำงาน เช่น จากการทำเหมืองแร่ เช่น แร่แคดเมียม   ( Cadmium ) หรือแอสเบสตอส ( Asbestos )
  • เกิดจากอาหารและยาที่ทานเข้าไป มีข้อพบมูลว่า ผู้ที่ทานอาหารประเภทโปรตีน หรืออาหารที่มีไขมันสูง เข้าไปในปริมาณมากๆ และไม่ค่อยทานผักและผลไม้ จะมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งไตได้มากกว่าผู้ที่ทานอาหารครบห้าหมู่และสมดุลกัน

อาการของมะเร็งไต

โดยปกติแล้ว โรคมะเร็งไต จะไม่มีอาการเฉพาะตัวของโรค ในระยะแรกที่ก้อนเนื้อมะเร็งยังไม่ใหญ่มาก ผู้ป่วยจะยังคงใช้ชีวิตได้เป็นปกติ ไม่มีอาการใดๆแสดงออกมาเด่นชัด แต่เมื่อก้อนมะเร็งเริ่มใหญ่ขึ้น และเริ่มลุกลามแล้ว ผู้ป่วย จะเริ่มมีอาการคล้ายกับการเกิดการอักเสบของไต โดยอาการของโรคมะเร็งไตที่พบได้บ่อยๆ เช่น

  • มีอาการปวดหลังบริเวณตำแหน่งของไต แบบเรื้อรัง โดยจะมีอาการปวดมากขึ้นเรื่อยๆ
  • ปัสสาวะออกมาเป็นเลือด
  • คลำพบก้อนเนื้อในช่องท้องบริเวณตำแหน่งของไต ( ทั้งสองข้าง )

การตรวจวินิจฉัยมะเร็งไต

เนื่องจาก โรคมะเร็งในไต ยังเป็นโรคที่ผู้ป่วยจำนวนไม่มากนัก ประกอบกับแหล่งของข้อมูลยังน้อยอยู่ จึงทำให้หลายคนวิตกกังวลว่า จะสามารถทราบได้อย่างไรว่าตัวเราเองป่วยเป็นโรคชนิดนี้  ซึ่งในทางการแพทย์จะมีวิธีในการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งไต ได้หลายวิธี เช่น การสอบถามประวัติอาการ การตรวจร่างกาย การตรวจปัสสาวะ การเอกซเรย์ด้วยคอมพิวเตอร์ ( MRI ) การอัลตราซาวด์ภาพไต  เป็นต้น  แต่แพทย์จะไม่นิยมใช้วิธีการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยา เนื่องจากมีความอันตรายต่อชีวิตของผู้ป่วยสูง เพราะไต เป็นอวัยวะอยู่ลึกและมีลำไส้ซ้อนอยู่ และยังอยู่ใกล้หลอดเลือดแดงขนาดใหญ่อีกด้วย หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น อาจทำให้เลือดไหลไม่หยุดได้ วิธีนี้จะทำก็ต่อเมื่อมีการผ่าตัดเกิดขึ้นแล้ว โดยจะทำไปพร้อมกันเลย

ระยะของมะเร็งไต

เราสามารถแบ่งระยะของโรคมะเร็งไต ได้เหมือนกับมะเร็งชนิดอื่นๆ ได้ออกเป็น 4 ระยะดังต่อไปนี้

มะเร็งไต ระยะที่ 1 : เป็นระเริ่มต้นของโรค ก้อนมะเร็งลุกลามเฉพาะในไต และก้อนเนื้อจะมีขนาดโตไม่เกิน 7 ซม.

มะเร็งไต ระยะที่ 2 : ก้อนมะเร็งยังอยู่เฉพาะในไต เริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นเกินกว่า 7 เซนติเมตร

มะเร็งไต ระยะที่ 3 : ก้อนมะเร็งลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ หรืออวัยวะข้างเคียงหรือเส้นเลือดดำของไตและลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองใกล้ไต

มะเร็งไต ระยะที่ 4 : ก้อนมะเร็งลุกลามออกจากไต เข้าเนื้อเยื่ออวัยวะต่างๆ หลายเนื้อเยื่อหลายอวัยวะ โดยเฉพาะต่อมหมวกไตหรือแพร่กระจายเข้าต่อมน้ำเหลืองอยู่ไกลออกไปจากไต หรือแพร่กระจายเข้ากระแสเลือดไปยังอวัยวะอื่นๆที่ไกลออกไป ส่วนที่พบบ่อยคือ ปอด กระดูก และสมอง เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่ไม่อาจรักษาให้หายเป็นปกติได้แล้ว
ซึ่งผู้ป่วยจะสามารถทราบได้ว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็ง ถึงในขั้นระยะไหนแล้ว

จากการตรวจวินิจฉัยของแพทย์จากวิธีการต่างๆ  เพื่อนำข้ออมูลที่ได้ไปใช้ในกระบวนการรักษาต่อไป [banner slot1=”oral_6″ slot2=”oral_6″ slot3=”oral_6″ slot4=”oral_6″

การรักษามะเร็งไต

ในการรักษามะเร็งไต นั้น จะขึ้นอยู่กับระยะและอาการของโรคในผู้ป่วยแต่ละคน โดยแพทย์จะเป็นผู้วิเคราะห์แนวทางในการรักษา  ซึ่งวิธีการหลักที่ใช้ในการรักษามะเร็งไตก็คือ การผ่าตัด  แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการของโรคมะเร็งในระยะที่ลุกลามแล้ว จะใช้วิธีรังสีรักษา หรือ การให้เคมีบำบัด แต่โรคมะเร็งไตนั้นเป็นโรคมะเร็งชนิดที่ดื้อต่อยาเคมี บำบัดที่ใช้รักษาอยู่ในปัจจุบัน จึงใช้วิธีนี้ไม่ค่อยได้ผล ส่วนวิธีอื่นๆยังคงอยู่ในกระบวนการศึกษาทางการแพทย์ต่อไป
โรคมะเร็งไต เป็นโรคชนิดที่มีความรุนแรงของโรคอยู่ในระดับปานกลาง ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งไต สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้ หากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกๆ ยังไม่มีการลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ  นอกจากนี้ยังต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆประกอบด้วย เช่น อายุ ร่างกาย ความแข็งของผู้ป่วย เป็นต้น

การตรวจคัดกรองมะเร็งไต และ การป้องกัน

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งไต ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น  สิ่งที่ทำได้คือ คอยสังเกตถึงความผิดปกติต่างๆในร่างกาย หากมีความผิดปกติอะไรที่มีอาการคล้ายโรคมะเร็งไต ให้รีบไปปรึกษาแพทย์ทันทีจะดีที่สุด ส่วนการป้องกันโรคมะเร็งไตก็ยังไม่มีวิธีการใด ที่สามารถป้องกันได้ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือ ทำร่างกายของตนเองให้มีความแข็งแรงอยู่เสมอ ทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอและเหมาะสม รวมทั้งหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆในการก่อมะเร็ง เท่าที่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้
แม้ว่ามะเร็งไต จะเป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อย เหมือนมะเร็งประเภทอื่นๆ และมีความรุนแรงของโรคอยู่ในระดับปลานกลางเท่านั้น  แต่ทั้งนี้หากเลี่ยงได้ก็คงไม่อยากที่จะป่วยเป็นโรคร้ายชนิดนี้ ทั้งนี้ในปัจจุบันที่ยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองโรค รวมถึงยังไม่มีวิธีป้องกันโรค ทางที่ดีที่สุดที่เราจะสามารถทำได้ก็คือ ทำให้ร่างกายตนเองมีความแข็งแรง หลีกเลี่ยงจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อันที่จะนำไปสู่ให้เกิดโรค นอกจากนี้หากพบความผิดปกติใดเกิดขึ้นกับร่างกาย ควรรีบไปปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. ถาม – ตอบ มะเร็งร้ายสารพัดชนิด. กรุงเทพฯ ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 264 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1170-0

Tongaonkar HB, Desai SB (September 2005). “Benign mixed epithelial stromal tumor of the renal pelvis with exophytic growth: case report”. Int Semin Surg Oncol. 2: 18. PMC 1215508 Freely accessible. PMID 16150156. 

Nzegwu MA, Aligbe JU, Akintomide GS, Akhigbe AO (May 2007). “Mature cystic renal teratoma in a 25-year-old woman with ipsilateral hydronephrosis, urinary tract infection and spontaneous abortion”. Eur J Cancer Care (Engl). 16 (3): 300.

มะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemia ) 

0
โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)
เป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่งของระบบเลือดที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวในไขกระดูกเติบโตผิดปกติ ทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดขาวมากในกระแสเลือด ทำให้การทำงานของระบบเม็ดเลือดเสียไป
โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)
มะเร็งชนิดนี้เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวในไขกระดูกเติบโตผิดปกติ ทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดขาวมากในกระแสเลือด ทำให้การทำงานของระบบเม็ดเลือดเสียไป

มะเร็งเม็ดเลือดขาว

มะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemia ) นอกจากอวัยวะต่างๆของร่างกาย เช่น ตับ ปอด กระเพราะอาหาร เต้านม แล้ว โรคมะเร็งยังสามารถเกิดได้กับ เม็ด เลือด ซึ่งเป็นส่วนประกอบอีกอย่างหนึ่งของร่างกายได้อีกด้วย โดยส่วนมากเราจะรู้จัก โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในชื่อของ ลูคีเมีย ซึ่งเป็นชนิดมะเร็งที่มีความรุนแรงของโรคสูงมากประเภทหนึ่ง

มะเร็งเม็ดเลือดขาวสามารถเป็นได้ในทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่ ทารกแรกคลอด ตลอดจนวัยผู้สูงอายุ แต่ส่วนมากมักพบได้บ่อยๆในกลุ่มเด็กที่มีอายุน้อย ทั้งในประเทศไทยเองและเด็กในต่างประเทศ มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นชนิดโรคมะเร็งที่พบในเด็กมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง  ส่วนที่พบในผู้ใหญ่ก็มีปริมาณมากเช่นเดียวกัน เป็นโรคที่เกิดขึ้นติดอันดับหนึ่งในสิบจากกลุ่มของโรคมะเร็งทั้งหมด

เม็ดเลือดประกอบด้วย

ปกติแล้ว ไขกระดูก ในร่างกายของมนุษย์จะทำหน้าที่คอยสร้างกลุ่มเม็ดเลือดที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งจะประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ

1. เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่หลักคือ นำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆภายในร่างกาย หากร่างกายขาดเม็ดเลือดแดงจะส่งผลให้มีอาการตัวซีด เหนื่อยง่าย  หากปล่อยทิ้งไว้ระยะยาว จะส่งผลทำให้ระบบอวัยวะอื่นๆในร่างกายทำงานผิดพลาดจนกระทั้งเกิดภาวะล้มเหลวได้ โดยเฉพาะหัวใจ

2. เกล็ดเลือด มีหน้าที่หลักคือ ช่วยทำให้เลือดหยุดไหลเมื่อมีแผลเกิดขึ้นกับร่างกาย หรือ การเข้ารับการผ่าตัดทางการแพทย์ หากร่างกายมีปริมาณเกล็ดเลือดที่ต่ำกว่าปกติจะส่งผลให้ มีอาการเลือกออกง่าย หยุดช้าและอาจไหลไม่หยุดเลย ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายต่อร่างกายมากหากเกิดบาดแผลขึ้น

3. เม็ดเลือดขาว มีหน้าที่หลักคือ เปรียบเสมือนทหาร ที่คอยคุ้มป้องกันกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ หลุดเข้าไปสู่ในร่าง กาย หากร่างกายมีปริมาณเม็ดเลือดขาวที่ต่ำจะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันโรคต่ำตามไปด้วย ทำให้เกิดการเจ็บป่วย การติดเชื้อ ได้ง่าย และมักเป็นการติดเชื้อที่รุนแรง ทำให้อวัยวะต่างๆที่ติดเชื้อเกิดการอักเสบและล้มเหลวในที่สุด

สาเหตุการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว

โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมีสาเหตุหลักมาจาก การที่ไขกระดูกทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ระบบการสร้างเม็ดเลือดต่างๆผิดเพี้ยนไปจากเดิม เช่น สร้างมากเกินกว่าปกติ หรือ สร้างน้อยเกินกว่าปกติ แต่โดยส่วนมากแล้วมักจะพบในลักษณะการสร้างที่มากเกินกว่าปกติ และพบได้ในเม็ดเลือดขาวบ่อยที่สุด

เมื่อเม็ดเลือดขาวถูกสร้างขึ้นมากว่าปกติ จะส่งผลกระทบทำให้เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดอาจมีปริมาณในการสร้างลดลงไปด้วย โดยในปัจจุบันยังไม่มีเหตุผลแน่นอนที่ชัดเจน ว่ามีเหตุผลใดที่ทำให้ไขกระดูกทำงานผิดปกติ จนทำให้เกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเกิดขึ้น แต่อาจเกิดได้จากสาเหตุดังต่อไปนี้

  •  เกิดจากความผิดปกติของพันธุกรรมบางชนิด ทั้งชนิดถ่ายทอดได้และชนิดไม่ถ่ายทอด ซึ่งมีหน้าที่ควบคุม  เกี่ยวกับการแบ่งตัวและการตายของเซลล์
  • การได้รับรังสีชนิดต่างๆในปริมาณมากและต่อเนื่อง เช่น รังสีเอ็กซ์
  • การได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา ตั้งแต่อายุยังน้อย
  • ผู้ที่มีภาวะของโรคดาวน์ซินโดรม ( Down’s Syndrom ) จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมากกว่าคนปกติ
  • การขาดสารอาหารของมารดาในขณะตั้งครรภ์ ซึ่งจะส่งผลต่อทารกที่กำลังจะเกิดขึ้นมา
  • การได้รับสารก่อมะเร็ง จากสารเคมีบางชนิดบ่อยๆ ส่งผลให้ไปกระตุ้นเชื้อมะเร็งในร่างกายให้เกิดขึ้น
  • การได้รับสารก่อมะเร็งปริมาณสูงตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ร่วมทั้งจากการบริโภคสารก่อมะเร็งของมารดาในขณะตั้งครรภ์

ประเภทมะเร็งเม็ดเลือดขาว

มะเร็งเม็ดเลือดขาวมีอยู่หลายชนิด แต่ก็สามารถแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ใหญ่ๆ ได้ 2 ชนิดคือ
1. โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟซิติก ( Lymphocytic Leukemia )  

2. โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดไมย์อีโลซิติก หรือนัลลิมโฟซิติก ( Myelocytic Leukemia or Non-Lymphocytic )

โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวทั้ง 2 ชนิดนี้ ยังสามารถแบ่งออกเป็น  2  ประเภทย่อยๆ ได้อีก คือ  มะเร็งชนิดเฉียบพลัน และ มะเร็งชนิดเรื้อรัง  ซึ่งชนิดแบบเฉียบพลัน  เป็นโรคมะเร็งประเภทที่มีความรุนแรงของโรคสูงมาก จะมีอาการรุนแรงตั้งแต่ที่เริ่มเป็น หากเป็นแล้วต้องได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างเร่งด่วน  ส่วนมะเร็งชนิดเรื้อรังนั้น มีความรุนแรงน้อยกว่าชนิดเฉียบพลัน ผู้ที่ป่วยจะมีอาการที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็ควรได้รับการรักษาจากแพทย์โดยเร่งด่วนโดยเช่นกัน ก่อนที่จะลุกลามไปถึงระยะสุดท้ายของมะเร็งที่ไม่อาจรักษาได้แล้ว

อาการมะเร็งเม็ดเลือดขาว

สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้น  โรคนี้จะไม่มีอาการเฉพาะของโรคเหมือนมะเร็งชนิดอื่นๆ แต่จะมีอาการจากผลข้างเคียงของไขกระดูกที่ทำงานผิดปกติ  โดยทั่วไปมักจะมีอาการดังต่อไปนี้

  • เกิดภาวะตัวซีด รู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลีย ง่ายกว่าปกติ
  • เจ็บป่วยบ่อยๆ เช่น มีอาการไข้ขึ้นสูงบ่อยๆ เนื่องจากมีภาวะภูมิคุ้มกันที่ต่ำกว่าปกติ
  • มีอาการทางสมอง เมื่อมีโรคแพร่กระจายเข้าสมอง
  • เมื่อเป็นมาก ตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง และอัณฑะจะโต ( ในผู้ชาย ) จนคลำพบได้เองถึงความผิดปกติ
  • เกิดภาวะ มีเลือดออกได้ง่ายกว่าปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล มีเลือดออกขณะแปรงฟัน  อาจมีจ้ำ ห้อเลือด หรือจุด
  • เลือดออกใต้ผิวหนังเป็นจุดแดงแดงเหมือนเป็นไข้เลือดออก ซึ่งเป็นผลมาจากไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดในปริมาณผิดปกติ

จะสามารถทราบได้อย่างไรว่าป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว

หากพบว่าตนเองมีอาการผิดปกติเบื้องต้น  ตามข้อมูลจากในหัวข้อ อาการป่วยของผู้เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวแล้ว ขอให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวทันที โดยแพทย์จะมีวิธีในการตรวจหาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวนี้ได้หลากหลายวิธี  เช่น

ระยะของมะเร็งเม็ดเลือดขาว

โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวจะต่างจากมะเร็งประเภทอื่น ที่ไม่มีการแบ่งระยะของโรค เนื่องจาก เป็นโรคที่เกิดขึ้นในไขกระดูก เมื่อถูกตรวจพบ ก็แสดงว่าโรคจะแพร่กระจายเข้าในไขกระดูกทั่วตัวแล้ว ซึ่งในทางการแพทย์จะใช้วิธีการแบ่งระยะของโรคมะเร็งชนิดนี้โดย ใช้ผลการตรวจจากวิธีต่างๆ เช่น การตรวจร่างกาย การตรวจเลือดซีบีซี  การตรวจไขกระดูก  เพื่อดูความรุนแรงของโรค  โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น  2 ระยะใหญ่ๆ คือ

  • กลุ่มที่มีความรุนแรงของโรคปานกลาง คือ กลุ่มที่ไม่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม จำนวนเม็ดเลือดขาวไม่สูงมาก โรคยังไม่แพร่กระจายเข้าต่อมน้ำเหลือง ตับ ม้าม อัณฑะ สมอง และไขสันหลัง
  • กลุ่มที่มีความรุนแรงของโรคสูง คือ มีลักษณะโรคนอกเหนือจากที่กล่าวแล้วในกลุ่ม โรคมีความรุนแรงปานกลาง เช่น การมีโรคแพร่กระจายเข้าเนื้อเยื่ออื่นๆนอกเหนือไขกระดูกแล้ว

การรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว

แนวทางในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้น จะมิวิธีที่แตกต่างกันออกไป  ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย อายุ ความรุนแรงของโรค โดยแพทย์ผู้ที่ให้การรักษาจะเป็นผู้วิเคราะห์ถึงแนวทางสำหรับการรักษาผู้ป่วยในแต่ละราย เช่น

  • การใช้เคมีบำบัด  โดยอาจใช้ตัวยาหลายชนิด เพื่อให้ไปหยุดยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้น
  • การใช้รังสีรักษา  มักจะใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการของโรครุนแรง เฉียบพลัน เช่น ใช้รังสีเพื่อป้องกันโรคมะเร็งแพร่กระจายเข้าสมอง
  • วิธีการปลูกถ่ายไขกระดูก/สเต็มเซลล์  จะใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีความรุนแรงของโรคสูง และไม่ได้ผลจากการให้เคมีบำบัด แต่มีข้อเสียคือ เป็นการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก จนอาจเกินกว่าที่ผู้ป่วยทุกคนจะรับได้

สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้น ถึงจะเป็นโรคที่มีความรุนแรงสูงแต่ก็สามารถรักษาให้หายขาดเป็นปกติได้เช่นกัน  แต่จะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ของโรคด้วย เช่น

  • ชนิดของเซลล์มะเร็ง  ซึ่งผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟ-ซิติก จะสามารถรักษาให้หายขาดได้ง่ายกว่า ชนิดไมย์อีโลซิติก และ ชนิดเรื้อรังก็จะสามารถรักษาให้หายได้ง่ายกว่าชนิดแบบเฉียบพัน ด้วยเช่นกัน
  • ความผิดปกติทางพันธุกรรม หากผู้ป่วยมีความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ไม่มากก็สามารถรักษา ให้หายได้เป็นปกติได้ไม่ยาก ต่างกับผู้ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมมากก็จะรักษาให้หายได้ยากว่า
  • เพศ โดยปกติแล้วผู้ชายจะมีความรุนแรงของโรคสูงกว่าผู้หญิง
  • อายุ  จากข้อมูลพบว่า ทารก วัยรุ่น และผู้ใหญ่จะมีความรุนแรงของโรคสูงกว่าเด็กอายุ 1 ถึง 10 ปี
  • สภาวะทางร่างกาย  ผู้ป่วยที่มี ตับ ม้าม หรือต่อมน้ำเหลืองโต จะส่งผลให้มีความรุนแรงของโรคสูงไปด้วย
  • การแพร่กระจายของโรค หากผู้ป่วยอยู่ในสภาวะที่เชื้อมะเร็งมีการแพร่กระจายเข้าสู่น้ำไขสันหลัง สมอง และอัณฑะ เป็นระยะที่มีความรุนแรงของโรคสูงแล้ว การรักษาให้หายจะทำได้ยากมากขึ้น
  • สุขภาพของผู้ป่วย ผู้ป่วยที่มีสุขภาพดีแข็งแรง จะมีโอกาสรักษาให้หายง่ายกว่าผู้ป่วยที่มีสุขภาพไม่แข็งแรง

การป้องกันมะเร็งเม็ดเลือดขาว

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวตั้งแต่ระยะเริ่มเป็น  สิ่งที่ทำได้คือ คอยสังเกตถึงความผิดปกติต่างๆในร่างกาย หากมีความผิดปกติอะไรที่มีอาการคล้ายโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ให้รีบไปพบแพทย์ทันทีจะดีที่สุด

สำหรับการป้องกันโรคก็เช่นกัน ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการใดๆที่สามารถป้องกันโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือ ทำร่างกายของตนเองให้มีความแข็งแรงอยู่เสมอ ทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอและเหมาะสม รวมทั้งหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ก่อให้เกิดเชื้อมะเร็งด้วย

มะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือที่เรารู้จักกันในชื่อของลูคิเมีย แม้จะเป็นโรคที่พบได้มากในเด็กที่มีอายุน้อย แต่ก็ไม่ควรละเลยไปสำหรับผู้ที่เลยวัยเด็กมาแล้ว  เนื่องจากเป็นโรคที่มีความรุนแรงของโรคสูงมาก และยังเป็นโรคที่ในปัจจุบันไม่มีวิธีการป้องกันและไม่สามารถตรวจคัดกรองเบื้องต้นได้อีกด้วย  ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดทีเราสามารถทำได้กันคือ หมั่นดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้ดีอยู่เสมอ และหากพบความผิดปกติอะไรเกี่ยวกับร่างกายควรจะรีบไปพบแพทย์เพื่อให้ทำการตรวจจะดีที่สุด และอย่าลืมเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะหากตรวจพบโรคในระยะอาการที่ไม่หนักมาก โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวนี้ก็สามารถรักษาให้หายเป็นปกติเหมือนโรคอื่นทั่วๆไปได้นั้นเอง

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

พวงทอง ไกรพิบูลย์. ถาม – ตอบ มะเร็งร้ายสารพัดชนิด. กรุงเทพฯ ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 264 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1170-0

Leukemia — Definition of Leukemia by Merriam-Webster”. Archived from the original on 6 October 2014.

“What You Need To Know About™ Leukemia”. National Cancer Institute. 23 December 2013. Archived from the original on 6 July 2014. Retrieved 18 June 2014.

“A Snapshot of Leukemia”. NCI. Archived from the original on 4 July 2014. Retrieved 18 June 2014.

Hutter, JJ (Jun 2010). “Childhood leukemia.”. Pediatrics in review / American Academy of Pediatrics. 31 (6): 234–41. PMID 20516235. 

สารปรุงแต่งในผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป มีอะไรบ้าง ?

0
สารปรุงแต่งในผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป มีอะไรบ้าง ?
ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปใช้สารปรุงแต่งอะไรบ้าง?
สารปรุงแต่งผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปเป็นสารเคมีที่สังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อช่วยยืดอายุการเก็บรักาาอาหารได้นานขึ้น

ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป คือ

ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป คือผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการต่างๆ ทำให้สภาพตามธรรมชาติเกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ความสะดวกในการเก็บรักษาหรือการใช้ มักมีการใช้สารปรุงแต่งหรือวัตถุเจือปนเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา ปรับกลิ่น รสชาติ และสี รวมถึงทำให้อาหารมีลักษณะที่น่าทานมากขึ้น เช่น ไส้กรอก หมากฝรั่ง แฮม และคุกกี้ กระบวนการแปรรูปยอดนิยม ได้แก่ การอัดกระป๋อง การแช่แข็ง การแช่เย็น การดึงน้ำออก และการทำให้ปลอดเชื้อ

สารปรุงแต่ง ( Food Additive ) มีอะไรบ้าง

สารปรุงแต่ง ( Food Additive ) มีอะไรบ้างวัตถุเจือปนอาหารจะมีหลากหลายชนิดด้วยกัน ซึ่งบางชนิดก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้ นั่นก็คือวัตถุเจือปนอาหารที่เป็นสารเคมีโดยถูกสังเคราะห์ขึ้นมานั่นเอง ดังนั้นก่อนจะเลือกซื้อ อาหารแปรรูป ต่างๆ จึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุเจือปนในอาหารแปรรูปได้ดี เพื่อจะได้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ

ทำไมต้องใช้วัตถุเจือปนอาหารแปรรูป

วัตถุเจือปนอาหาร หมายถึงสารที่ถูกนำมาเติมลงไปในอาหารโดยไม่ได้เป็นส่วนประกอบหลักของอาหารมาก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการของอาหารเอาไว้ รวมถึงช่วยแต่งกลิ่น สีและรสชาติเพื่อให้ อาหารแปรรูป น่าทานมากกว่าเดิมอีกด้วย โดยการเติมวัตถุเจือปนอาหารลงไปก็อาจเติมในระหว่างกระบวนการแปรรูปหรือในขณะที่กำลังบรรจุก็ได้

วัตถุเจือปนอาหารหรือสารปรุงแต่งกลิ่นที่ได้รับอนุญาต

วัตถุเจือปนอาหารหรือสารปรุงแต่งกลิ่นที่ได้รับอนุญาตวัตถุเจือปนอาหารส่วนใหญ่มักจะผ่านการอนุญาตแล้ว แต่ต้องใช้ในปริมาณที่กฎหมายกำหนด เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย โดยมีประเภทของวัตถุเจือปนอาหารดังนี้

1.วัตถุกันเสีย ใช้เพื่อถนอมอาหารให้อยู่ได้นานขึ้น โดยจะไม่ทำให้อาหารเน่าเสียได้ง่ายและยังช่วยทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นตัวการทำให้อาหารเสื่อมคุณภาพและเน่าเสียได้ง่ายอีกด้วย จึงมักจะพบวัตถุกันเสียเป็นส่วนประกอบของอาหารแปรรูปอย่างแพร่หลายนั่นเอง ประเภทของวัตถุกันเสียที่พบได้คือ

  • กรดอินทรีย์ พบมากโดยเฉพาะอาหารที่มีรสเปรี้ยว เช่น เยลลี่ แยม หรือ น้ำผลไม้ กรดเหล่านี้มักพบใน อาหารแปรรูป ได้แก่ กรดเบนโซอิก กรดซอร์บิก กรดอะซิตริก กรดโพรพิออนิก เกลือของกรดชนิดต่างๆและพาราเบนส์
  • เกลือซัลไฟต์ และซัลเฟอร์ไดออกไซด์  นิยมใช้ในผักและผลไม้อบแห้งและรวมไปถึง น้ำหวาน ไวน์ เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากปลา และเครื่องดื่มต่างๆ เมื่อเติมเกลือซัลไฟต์และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในอาหารจะละลายน้ำ และเกิดเป็นกรด “ซัลฟูริก” ซึ่งเป็นกรดที่ช่วยยับยั้ง และทำลายเชื้อจุลินทรีย์ได้เป็นอย่างดี
  • สารประกอบไนไตรต์ และไนเตรต สมัยก่อนนิยมใช้ในเนื้อสัตว์ อาหารกระป๋อง อาหารหมักดอง และอาหารประเภทเครื่องดื่มต่างๆ ทั้งนี้นิยมใช้สำหรับยับยั้งการเติบโตและการก่อสารพิษของเชื้อ Clostridium Botulinum ใช้ป้องกันการออกซิเดชันของอาหาร ช่วยเพิ่มสีในเนื้อสัตว์ ปัจจุบันได้มีการเลิกใช้สารประกอบไนไตรต์และไนเตรตนานแล้วและถือเป็นสารต้องห้ามในหลายๆประเทศ เนื่องจากสารประกอบไนไตรต์และไนเตรตสามารถเปลี่ยนเป็นสารประกอบไนโตรซามีน ( N-Nitrosamine ) ได้ง่าย ถือเป็นสารพิษก่อมะเร็งนั่นเอง

2.วัตถุกันหืน เป็นสารที่จะช่วยชะลอการเสียของอาหารเช่นเดียวกับวัตถุกันเสีย โดยจะช่วยลดการเกิดสี กลิ่นหรือรสชาติที่ผิดแปลกไปจากเดิม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจทำให้เกิดเป็นสารประกอบใหม่ที่จะทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใส่วัตถุกันหืนลงไปด้วยนั่นเอง โดยอาหารที่พบวัตถุกันหืนได้แก่ อาหารประเภทไขมัน น้ำมัน เนยและนมผง เป็นต้น ประเภทของสารกันหืนที่นิยมใช้ ได้แก่

  • สารประกอบเดซิล แกลแลต ( Dodecyl Gallate ) ป้องกันการเหม็นหืนของไขมันในอาหารที่มีความเข้มข้นสูง โดยอนุญาตให้นำไปใช้ได้ไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
  • สารประกอบเอ็นดีจีเอ ( NDGA ) นิยมใช้เป็นส่วนประกอบของอาหาร เช่น ขนม ขนมที่มีครีมต่างๆ ไอศกรีม เนย และเครื่องดื่ม โดยอนุญาตให้นำไปใช้ได้ไม่เกินร้อยละ 0.05 ใช้ในน้ำมันอาหารพวกเนื้อสัตว์ เช่นน้ำมันหมู อนุญาตให้นำไปใช้ได้ไม่เกินร้อยละ 0.02 ของปริมาณไขมัน
  • สารประกอบบีเอชเอ และสารประกอบบีเอชที ( BHA และ BHT ) นิยมใช้ในอาหารที่มีไขมัน เช่น ขนมหวาน ขนมอบ ไอศกรีม ไส้กรอก กุนเชียง ยีสต์แห้ง และเนื้อสัตว์ โดยอนุญาตให้นำไปใช้ได้ไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
  • กรดแอสคอร์บิก ( C6H8O6 ) เรียกที่เรียกกันว่ากรดวิตามินซี ถือเป็นสารกันหืนที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด ใช้ในเนยเทียมโดยไม่จำกัดจำนวน

3.สารปรุงแต่ง สี กลิ่น รส เป็นสารที่จะช่วยปรุงแต่งกลิ่น สีและรสชาติของอาหารให้คล้ายกับธรรมชาติมากที่สุด รวมถึงช่วยคงรูปผักผลไม้ที่ผ่านกระบวนการ แปรรูปอาหาร ให้ยังคงสภาพเดิมไว้มากที่สุดอีกด้วย สามารถแบ่งประเภทของสารแต่งสี กลิ่น รส ออกได้ ดังนี้

  • สารแต่งกลิ่นตามธรรมชาติ ได้แก่ น้ำสกัดจากพืช เครื่องเทศ น้ำมันหอมระเหยจาก เช่น ผักชี อบเชย กระเทียม กานพลู พริกไทย กระวานพริก ลูกผักชี ลูกยี่หร่า ขมิ้น ขิง เป็นต้น
  • โอลิโอเรซิน จากเครื่องเทศ เช่น สารเคอร์คิวมิน ( Curcumin ) จากขมิ้น น้ำมันยี่หร่า อบเชย ขิง จันทน์เทศ หรือใช้เป็นสารกันบูด เช่น มัสตาร์ด ทั้งนี้ กระเทียม น้ำมันหอมระเหยจากอบเชย จันทน์เทศหรือช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ เป็นต้น
  • เอสเทอร์ ( Ester ) เป็นสารแต่งกลิ่นสังเคราะห์ขึ้นจากปฏิกิริยาระหว่างแอลกอฮอล์กับกรดอินทรีย์ เอสเทอร์ที่เกิดในธรรมชาติจะอยู่ในรูปของไขมัน คือน้ำมันและขี้ผึ้ง เอสเตอร์ นิยมใช้แต่งกลิ่นของหวาน ขนม น้ำผลไม้ ตัวอย่างของกลิ่น สี รส จากเอสเตอร์ เช่น ไอโซเอมิลแอซีเตต กลิ่นคล้าย กล้วยหอม เอทิลบิวทิเรต กลิ่นคล้าย สับปะรด
    ไอโซเอมิลแอซีเตต กลิ่นคล้าย ลูกแพร์ เอทิลฟีนิลแอซีเตต กลิ่นคล้าย น้ำผึ้ง เป็นต้น

4.สารช่วยดูดความชื้น เป็นสารที่จะช่วยในการดูดความชื้น ทำให้อาหารมีความแห้งอยู่ตลอดเวลาและไม่จับตัวกันเป็นก้อนนั่นเอง ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมใส่ไว้ในอาหารที่มีลักษณะเป็นผงแห้งมากที่สุด รวมถึงพวกเค้กสำเร็จรูปและน้ำตาลทราย เกลือผงอีกด้วย สารช่วยดูดความชื้น สามารถจำแนกได้ 6 ประเภทหลักตามคุณสมบัติการดูดความชื้นได้ ดังนี้

  • ซิลิกา เจล ( Silica Gel ) การดูดความชื้น ของซิลิกา เจล เป็นลักษณะทางกายภาพ ( Physical Adsorption ) โดยกักเก็บความชื้นไว้ที่โพรงโครงสร้างด้านใน ซิลิกาเจล ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในบรรจุภัณฑ์อาหารและยา
  • แคลเซียม ซัลเฟต ( CaSo4 ) เป็นสารที่ได้จากแร่ยิปซั่ม โดยมีคุณสมบัติในการดูดความชื้นค่อนข้างต่ำประมาณ 10% ของน้ำหนักตัวเอง เป็นสารที่คงสถานะได้ดี ไม่เป็นพิษ และไม่กัดกร่อน
  • แคลเซียม ออกไซด์ ( Calcium Oxide, CaO ) เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการดูดความชื้นได้มากกว่า 28.5% บรรจุภัณฑ์ของสารดูดความชื้นประเภทนี้ ต้องป้องกันไม่ให้สารดูดความชื้นหลุดรอดออกมาได้โดยเด็ดขาด
  • ไดอะตอมมาเชียส เอิร์ธ ( Diatomaceous Earth ) หรือที่เรียกว่า ดินไดอะตอมเป็นดินที่เกิดจากซากพืชเซลล์เดียว ที่มีโครงสร้างเป็นรูพรุนขนาดเล็กจำนวนมาก เมื่อได้รับการเผาที่อุณหภูมิสูง และเติมสารเร่งปฏิกิริยาบางชนิด เช่น แคลเซียม คลอไรด์ (Calcium Chloride) จะมีคุณสมบัติในการดูดความชื้นได้ดีมากถึง 70-80% ของน้ำหนักตัวเอง จึงเป็นที่ยอมรับและใช้อย่างกว้างขวางในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ
  • มอนต์โมริลโลไนต์ เคลย์ ( Montmorillonite Clay ) ใช้มอนต์โมริลโลไนต์ เคลย์ ใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่ง
  • โมเลกุลลาร์ ซีฟ ( Molecular Sieve ) เป็นสารสังเคราะห์ ที่มีคุณสมบัติในการดูดความชื้น ที่ดีมากๆ ภายใต้ ความชื้นสัมพัทธ์ รอบข้าง ในระดับต่ำ (10-30%) โมเลกุลลาร์ ซีฟ ยังไม่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐ ในการใช้งานกับอาหารและยา จึงยังไม่แพร่หลายมากนัก

5.สารที่ช่วยให้อาหารมีความคงตัว สารชนิดนี้จะช่วยให้อาหารมีลักษณะคงตัวเป็นเนื้อเดียวกัน โดยส่วนใหญ่จะนิยมใส่ในอาหารสองชนิดที่ไม่ละลายด้วยกัน เช่นน้ำกับน้ำมัน เป็นต้น สารให้ความคงตัวของอาหาร ( Stabilizing Agent ) ส่วนใหญ่เป็นไฮโดรคอลลอยด์ ( Hydrocolloid ) ใช้เป็นส่วนผสมของไอศกรีม น้ำสลัด อาหารแช่แข็ง  ( Frozen Food ) สามารถแบ่งออกตามวัตถุดิบที่ใช้ เช่น

  • สารพวกเพคทิน ( Pectin ) ได้แก่ Low – High Methoxyl Pectin
  • สารพวกเซลลูโลส ( Cellulose ) เช่น Sodium Carboxymethyl Cellulose, Microcrystalline Cellulose, Methyl Cellulose, Methylethyl Cellulose, Hydroxypropyl Cellulose และ Hydroxypropylmethyl Cellulose
  • สารสกัดจากสาหร่าย เช่น อะกา ( Agar ), อัลจิเนต ( Alginate ), คาร์ราจีแนน ( Carrageenan )
  • ประเภทจากเมล็ด หัว และรากพืช เช่น โลคัสต์บีนกัม ( Locust Bean Gum ), Psyllium, สตาร์ซ ( Starch ), สตาร์ชดัดแปร ( Modified Starch )
  • ประเภทโปรตีน เช่น เจลาติน ( Gelatin )
  • กัมที่ผลิตโดยจุลินทรีย์ เช่น Xanthan Gum
  • กัมจากยางพืช เช่น กัมอะราบิก ( Gum Arabic ), Ghatti Gum, กัมคารายา ( Karaya Gum ), Tragacant Gums

สารปรุงแต่งที่นิยมใส่ในผักผลไม้

นอกจากสารปรุงแต่งดังกล่าวแล้วก็ยังมีสารปรุงแต่งที่นิยมนำมาใส่ในผักผลไม้อีกด้วย ได้แก่

1.กรดซิตริก ( Citric Acid )  เป็นวัตถุเจือปนอาหารที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับสารปรุงแต่งสีกลิ่นรส โดยเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ากรดมะนาว ซึ่งสารปรุงแต่งชนิดนี้จะนิยมใส่ลงในน้ำที่จะใช้ลวกหรือแช่ผักผลไม้ก่อนนำไปเข้ากระบวนการแปรรูป โดยจะช่วยให้ผักผลไม้มีสีที่สม่ำเสมอและมีกลิ่น รสชาติไม่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งยังดูน่าทานขึ้นมากกว่าเดิมอีกด้วย นอกจากนี้ก็ยังช่วยป้องกันการเกิดสีน้ำตาลในผักผลไม้และยับยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์ในระยะยาวได้เช่นกัน

2.โซเดียมเมตาไบซัลไฟท์ ( Sodium Metabisulfite ) เป็นวัตถุเจือปนอาหารที่อยู่ในกลุ่มของสารปรุงแต่งสีกลิ่นรส โดยจะช่วยให้ผลไม้ยังคงสีสวยอย่างเป็นธรรมชาติและป้องกันการเกิดเชื้อราใน ผักผลไม้แปรรูป ได้ดี ซึ่งการนำสารปรุงแต่งชนิดนี้มาใช้ หากเป็นการแปรรูปผลไม้แช่อิ่ม จะใส่ลงไปในน้ำเชื่อมร่วมกับกรดซิตริค แต่หากเป็นการแปรรูปผลไม้แช่อิ่มแบบอบแห้ง จะใส่ลงไปในน้ำลวก ซึ่งจะช่วยล้างน้ำตาลที่ผิวผลไม้และป้องกันการเกิดเชื้อราอีกด้วย ส่วนกรณีที่เป็นการแปรรูปผลไม้อบแห้ง ก็จะใส่ลงไปในน้ำที่จะนำผลไม้ไปจุ่มก่อนนำไปอบแห้งนั่นเอง

3.โซเดียมเบนโซเอต ( Sodium Benzoate )
เป็นวัตถุเจือปนใน อาหารแปรรูป ที่อยู่ในกลุ่มวัตถุกันเสีย โดยจะนำมาใส่ลงไปในอาหารที่เป็นกรด หรือมีค่า pH ต่ำกว่า 3.6 เพื่อควบคุมการเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์และทำให้อาหารสามารถเก็บไว้ได้นานขึ้นกว่าเดิม แต่ทั้งนี้จะต้องใส่ลงไปในปริมาณที่จำกัด คือไม่เกินจากร้อยละ 0.1 ของน้ำหนักอาหารนั่นเอง

ทั้งนี้แม้ว่าสารเจือปนแต่งกลิ่นอาหารเหล่านี้จะได้รับการอนุญาตให้ใส่ลงไปใน อาหารแปรรูป ได้ แต่ก็ไม่ควรทานบ่อยเกินไปเช่นกัน เพราะหากได้รับสารเหล่านี้เข้าไปสะสมในร่างกายเป็นจำนวนมากก็จะทำให้เกิดผลเสียได้ โดยเฉพาะสีผสมอาหาร ที่จะทำให้ระบบการย่อยมีประสิทธิภาพต่ำลง และเป็นผลให้ท้องอืดท้องเฟ้อ อ่อนเพลียง่าย น้ำหนักลดและอาจเป็นโรคมะเร็งได้ หรือหากมีกระบวนการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐานก็เป็นอันตรายได้เหมือนกัน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

แอพเพิลเกต, ลิซ. 101 อาหารรักษาหัวใจ.–กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2547. 342 หน้า. 1. อาหารเพื่อสุขภาพ. 2.โภชนบำบัด. I.จงจิต อรรถยุกติ, ผู้แปล. II.ชื่อเรื่อง. 641.56311 ISBN 974-00-8692-6.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

Erich Lück and Gert-Wolfhard von Rymon Lipinski “Foods, 3. Food Additives” in Ullmann’s Encyclopedia of Industrial Chemistry, 2002.

“Food Additives & Ingredients – Overview of Food Ingredients, Additives & Colors”. FDA Center for Food Safety and Applied Nutrition. Retrieved 11 April 2017.

Bucci, Luke (1995). Nutrition applied to injury rehabilitation and sports medicine. Boca Raton: CRC Press. p. 151. ISBN 0-8493-7913-X.

เลือกอาหารให้เหมาะกับผู้สูงวัยอย่างไร?

0
เลือกอาหารให้เหมาะกับผู้สูงวัยอย่างไร?
ผู้สูงอายุมีความต้องการมากเป็นพิเศษ คือ แคลเซียม วิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก โปรตีน สังกะสี วิตามินดีและวิตามินเอ
เลือกอาหารให้เหมาะกับผู้สูงวัยอย่างไร?
ผู้สูงอายุมีความต้องการมากเป็นพิเศษ คือ แคลเซียม วิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก โปรตีน สังกะสี วิตามินดีและวิตามินเอ

อาหารสำหรับผู้สูงวัย

อาหารสำหรับผู้สูงวัย เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก รวมถึงภาวะจิตใจด้วย โดยเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง กล่าวคืออวัยวะต่างๆ ในร่างกายจะมีการทำงานที่ด้อยประสิทธิภาพลง ไม่ว่าจะเป็นหัวใจ ปอดตับ ระบบย่อยอาหารหรือสมอง นอกจากนี้ก็มักจะมีปัญหาสุขภาพ โรคภัยต่างๆ มารุมเร้า ซึ่งล้วนมีผลต่อภาวะโภชนาการทั้งสิ้น ยกตัวอย่างโรคที่มักจะพบได้บ่อยในวัยสูงอายุ ได้แก่ โรคเบาหวาน กระดูกพรุน ต้อกระจกและความดันโลหิตสูง เป็นต้นและอีก สิ่งหนึ่งที่จะต้องให้ความสนใจไม่แพ้กัน ก็คือโรคขาดสารอาหาร ปัจจุบันจึงได้มีการพัฒนาอาหารเหมาะสำหรับผู้สูงวัยนั่นเอง โดยภาวะที่ร่างกายขาดสารอาหารนี้ จะเป็นตัวการให้ภูมิต้านทานลดต่ำลงและอาจติดเชื้อได้ง่ายในที่สุด อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับโภชนาการของคนเราทั้งสิ้น หากเลือกทานอาหารอย่างสมดุลและครบถ้วนปัญหาสุขภาพเหล่านี้ก็จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยลงอย่างแน่นอน

วิธีรับมืออาหารวัยผู้สูงอายุ

ในวัยผู้สูงอายุ ร่างกายจะมีความต้องการสารอาหารและพลังงานมากกว่าวัยอื่นๆ นั่นก็เพื่อฟื้นฟูและพยุงให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยสาร อาหาร ที่ ผู้สูงอายุ มีความต้องการมากเป็นพิเศษ คือ แคลเซียม วิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก โปรตีน สังกะสี วิตามินดีและวิตามินเอ เป็นต้น นอกจากนี้นักวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้แนะนำให้ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เน้นการทานอาหารเหล่านี้มากเป็นพิเศษ ได้แก่

1. น้ำและเครื่องดื่ม ผู้สูงอายุควรเลือกดื่มน้ำและเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ โดยดื่มน้ำเปล่าให้ได้วันละ 8-12 แก้ว และเสริมด้วยน้ำผลไม้รวมหรือน้ำสมุนไพรโดยไม่ต้องเติมน้ำตาลลงไป เพื่อลดความเสี่ยงการเป็นเบาหวานนั่นเอง นอกจากนี้ก็สามารถทานของเหลวในรูปของซุปได้อีกด้วย ทั้งนี้น้ำและเครื่องดื่มถือมีความจำเป็นต่อวัยสูงอายุเป็นอย่างมาก เพราะหากทานน้อยเกินไปก็จะทำให้เกิดภาวะขาดน้ำและส่งผลให้เกิดอาการท้องผูก อ่อนเพลีย เหนื่อยล้าได้นั่นเอง

2. อาหารคาร์โบไฮเดรตชนิดไม่ขัดสี อาหาร ประเภทคาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี จะเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมายและยังอุดมไปด้วยกากใยสูงอีกด้วย โดย ผู้สูงอายุ ควรทานให้ได้วันละ 6 ทัพพี เพื่อให้ได้พลังงานและสารอาหารที่พอเหมาะในแต่ละวัน โดยอาหารประเภทนี้ ได้แก่ ธัญพืชต่างๆ ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีตและถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น และเนื่องจากเป็นอาหารที่มีกากใยสูง จึงสามารถป้องกันอาการท้องผูกและช่วยในการย่อยได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนคาร์โบไฮเดรตชนิดขัดสี และเป็นพวกเมนูทอด ขนมหวานต่างๆ ควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด เพราะอาจทำให้อ้วนและมีปัญหาไขมันในเลือดสูงได้

3. อาหารโปรตีนจากพืชและสัตว์ ในวัยสูงอายุมีความต้องการโปรตีนเพื่อเสริมพลังงานให้กับร่างกาย แต่เนื่องจากวัยนี้มักจะมีปัญหาในการเคี้ยวจึงทำให้ทานเนื้อสัตว์ได้น้อยลง ดังนั้นจึงกำหนดว่า ผู้สูงอายุ ควรทานเนื้อสัตว์ที่วันละ 150 กรัม โดยเน้นเนื้อสัตว์ที่มีความอ่อนนุ่ม เคี้ยวง่ายและย่อยง่าย เช่น เนื้อปลา ไข่ หรือหากเป็นพวกเนื้อหมู เนื้อไก่ก็ควรต้มให้เปื่อยยุ่ยที่สุด นอกจากนี้ก็ให้เสริมโปรตีนจากพืชแทน โดยอาจทานถั่วเหลืองหรือถั่วเมล็ดแห้งที่ให้โปรตีนก็ได้ 

4. แคลเซียม วัยนี้เป็นวัยที่มีการสูญเสียแคลเซียมออกจากร่างกายมากที่สุด จึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนและกระดูกเปราะบางได้ง่าย ดังนั้นจึงควรทานแคลเซียมเป็นหลัก โดยทานให้สูงขึ้นจากเดิมประมาณ 20% หรือ ควรทานให้ได้วันละ 1200 มิลลิกรัม ซึ่งหากเทียบกับการดื่มนม ก็คือต้องดื่มนมขนาดแก้ว 240 มิลลิลิตรให้ได้วันละ 4 แก้วนั่นเอง อย่างไรก็ตามในแต่ละวันคนเรามักจะได้แคลเซียมจาก อาหาร ทั่วไปประมาณ 350 มิลลิกรัม ดังนั้นแค่ดื่มนมหรือทานผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนมประมาณ 3 ส่วน ก้จะได้รับแคลเซียมที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้วสำหรับอาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ นม ผลิตภัณฑ์จากนม ปลาเล็กปลาน้อยที่กินกระดูกได้ กุ้งแห้งป่น ผักใบเขียว งาและถั่วดำ ถั่วแดง เป้นต้น

5. วิตามินดี วิตามินดีเป็นตัวช่วยในการช่วยดูดซึมสาร อาหาร ต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะแคลเซียม ดังนั้นวิตามินดีจึงมีความจำเป็นต่อ ผู้สูงอายุ อย่างมาก ซึ่งพบว่าหากได้รับวิตามินดีและแคลเซียมอย่างเพียงพอ ก็จะสามารถเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงยิ่งขึ้นไปอีก โดยวิตามินดีนั้นสามารถรับได้จากการสัมผัสแสงแดดในยามเช้า วันละ 20-30 นาที และสัปดาห์ละ 2-3 วัน นอกจากนี้ก็ยังพบวิตามินดีได้ในอาหารอีกด้วย ซึ่งอาหารที่มีวิตามินดีได้แก่ ไข่แดง ปลาแซลมอน เครื่องในสัตว์ ปลาซาร์ดีน นม และเห็ดหอมแห้ง เป็นต้น

6. ธาตุเหล็กและวิตามินซี ผู้สูงอายุมักจะมีปัญหาโลหิตจางได้ง่าย เนื่องจากการขาดธาตุเหล็ก จึงทำให้ร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานลดลงต่ำและเจ็บป่วยได้ง่าย ดังนั้นจึงควรทานธาตุเหล็กให้สูงขึ้น และควรทานร่วมกับวิตามินซี เพราะวิตามินซีจะช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กจากพืชได้ดีนั่นเอง โดยสำหรับผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงและเหมาะกับวัยสูงอายุได้แก่ เมล่อน ลิ้นจี่ แตงโมและมังคุด เป็นต้น

7. สารอาหารอื่นๆ  นอกจากสารอาหารดังกล่าวแล้วก็ยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นอีกด้วย ได้แก่

  • วิตามินเอ เป็นวิตามินที่จะช่วยในการบำรุงสายตา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นในที่มืด และเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกายได้ดี ส่วนมากจะพบในผักใบเขียวจัดและเหลืองจัด ซึ่งอยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน
  • วิตามินบี 12 เป็นวิตามินที่จะช่วยเสริมสร้างการทำงานของกรดโฟลิค จึงช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางได้ดี ซึ่งวัยสูงอายุที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรได้รับวิตามินบี 12 สูงกว่าช่วงวัยอื่นๆ โดยการรับจากการทานวิตามินบีรวมหรืออาหารที่มีวิตามินบี 12 สูงก็ได้ ซึ่งได้แก่ ปลา ไก่ ไข่และนม เป็นต้น
  • โฟเลต มีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือด จึงมีความจำเป็นไม่แพ้สารอาหารอื่นๆ เลยทีเดียว โดยอาหารที่มีกรดโฟลิคสูง ได้แก่ ผักใบเขียวจัด ธัญพืช ตับและผลไม้ เป็นต้น
  • สังกะสี เป็นตัวช่วยในการเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย และป้องกันการติดเชื้อรวมทั้งช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อได้เป็นอย่างดี โดยสังกะสีสามารถพบได้ใน อาหารทะเล นม ธัญพืชไม่ขัดสีและเนื้อสัตว์ เป็นต้น 

ผู้สูงอายุจำเป็นต้องเสริมอาหารหรือไม่?

วัยสูงอายุ เป็นวัยที่ระบบย่อย อาหาร และการดูดซึมแย่ลง จึงทำให้วัยนี้จำเป็นต้องเสริมวิตามินและอาหารมากขึ้น เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แต่อย่างไรก็ตามการเสริมอาหารก็ไม่สามารถทดแทนการทานอาหารหลักที่ต้องบริโภคในชีวิตประจำวันได้เสมอไป และมีข้อควรระวังในการเสริมอาหารดังนี้

1. วิตามินเอ ความต้องการวิตามินเอของคนเราจะลดลงไปตามช่วงอายุ และเนื่องจากวัย ผู้สูงอายุ ไม่สามารถขจัดวิตามินเอส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนวัยอื่นๆ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังไม่ให้ได้รับวิตามินเอมากเกินไป และกรณีที่ต้องการเสริมวิตามินเอจากการทานวิตามินรวม ก็ควรเลือกที่มีวิตามินเอไม่เกิน 100-200 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน

2. ธาตุเหล็ก ในวัยสูงอายุ หากได้รับธาตุเหล็กมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายได้เหมือนกัน ดังนั้นจึงควรเสริม อาหาร ชนิดที่มีธาตุเหล็กน้อยที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมของธาตุเหล็กมากเกินไปนั่นเอง

ข้อแนะนำอื่นๆ ในการบริโภคในผู้สูงอายุ

สำหรับการบริโภคอาหารในวัยสูงอายุ มีคำแนะนำดังต่อไปนี้

  • ควรกินอาหารให้ครบทุกมื้อและกินตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญจะต้องให้ผู้สูงอายุกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอด้วย นอกจากนี้ห้ามอดอาหารเด็ดขาด เพราะจะทำให้ฟื้นตัวได้ช้าในยามที่กำลังเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บนั่นเอง
  • ควรแบ่งอาหารออกเป็นมื้อเล็กๆ เพื่อให้ง่ายต่อการย่อยและการดูดซึม นอกจากนี้ควรได้รับอาหารว่างในระหว่างมื้อด้วย โดยอาจจะเป็น ลูกเดือย นม โยเกิร์ต ขนมปัง ผลไม้หรือข้าวโอ๊ตที่ ผู้สูงอายุ สามารถทานได้ง่าย
  • ควรเลือกกินอาหารอ่อนๆ เคี้ยวง่าย และเป็นอาหารที่ย่อยได้ง่าย เพราะวัยผู้สูงอายุนั้นจะมีการหลั่งน้ำย่อยและน้ำลายน้อยลง เป็นผลให้ประสิทธิภาพในการย่อยลดลงไปด้วยนั่นเอง ส่วนในรายที่ไม่มีฟัน ก็ควรใช้วิธีการสับเนื้อสัตว์ให้ละเอียดและต้มจนเปื่อยเพื่อให้ทานง่ายขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการทานอาหารรสเค็มจัด เพราะจะทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นสูงได้ ดังนั้นจึงควรเลี่ยงการปรุง อาหาร ด้วยเกลือ และงดการทานอาหารพวกหมักดอง ปลาเค็ม ไข่เค็ม รวมถึงลดปริมาณของน้ำปลาและซีอิ๊วลงเช่นกัน นอกจากนี้ในขนมหรืออาหารที่มีโซเดียมแฝงก็จำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงด้วย เพราะอาหารเหล่านี้ล้วนเป็นตัวการทำร้ายสุขภาพโดยไม่รู้ตัวเลยทีเดียว    
  • ไขมันเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะโรคไขมันอุดตันเส้นเลือดและภาวะคอเลสเตอรอลสูง ดังนั้นผู้สูงอายุจึงควรเลี่ยงการทานอาหารประเภทไขมันอย่างเด็ดขาด โดยสามารถทำได้ด้วยการเลี่ยงเมนูทอด เนื้อสัตว์ที่ติดมัน อาหารที่มีกะทิ เนยและขนมที่ผ่านการทอดและมีเนยเป็นส่วนประกอบทั้งหลาย ที่สำคัญหากไม่สามารถเลี่ยงเมนูทอดได้ ก็ควรจำกัดการใช้น้ำมันในการปรุงอาหารวันละไม่เกิน 2-3 ช้อนโต๊ะเท่านั้น

จะเห็นได้ว่าแค่ดูแลเรื่อง อาหาร ให้ดี ก็จะทำให้ ผู้สูงอายุ มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ และยังห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ ที่มักจะมาเยือนวัยสูงอายุอยู่เสมออีกด้วย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะดูแลในเรื่องของอาหารและโภชนาการเป็นอย่างดีแล้ว ก็ต้องมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูกและกล้ามเนื้อ รวมถึงกระตุ้นให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งก็จะช่วยลดปัญหาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีของวัยสูงอายุ มาทานอาหารอย่างเหมาะสม ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอและเลี่ยงการดื่มเหล้าสูบบุหรี่ที่เป็นตัวการทำลายสุขภาพกันดีกว่า แล้วคุณจะมีอายุที่ยืนยาวยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“Archived copy”. Archived from the original on August 24, 2014. Retrieved August 14, 2014.

Song, Hee-Jung; Simon, Judy R.; Patel, Dhruti U (March 21, 2014). “Food Preferences of Older Adults in Senior Nutrition Programs”. Journal of Nutrition in Gerontology & Geriatrics.

Dan (2014). “Life Experience And Demographic Influences On Cognitive Function In Older Adults”. Neuropsychology.

ผลไม้อบแห้ง อันตรายต่อสุขภาพหรือไม่?

0
ผลไม้อบแห้ง
ผลไม้อบแห้ง เป็นวิธีการถนอมผลไม้ให้เก็บได้นานขึ้นและทำให้มีผลไม้ไว้บริโภคนอกฤดูกาล
ผลไม้อบแห้ง อันตรายต่อสุขภาพหรือไม่
ผลไม้อบแห้ง เป็นวิธีการถนอมผลไม้ให้เก็บได้นานขึ้นและทำให้มีผลไม้ไว้บริโภคนอกฤดูกาล

ผลไม้อบแห้ง

ผลไม้อบแห้ง คือ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำผลไม้ที่อยู่ในสภาพดี ไม่เน่าเสีย โดยอาจนำมาผ่านกรรมวิธีแปรรูปเป็น ผลไม้ดองหรือผลไม้แช่อิ่มก่อน หรือไม่ก็ได้มาทำแห้ง ( dehydration ) เพื่อลดความชื้นตามต้องการโดยใช้แสงแดด ( sun drying ) หรือนำไปอบแห้ง โดยการอบแห้งโดยทั่วไปจะใช้วิธีการอาศัยพลังงานความร้อนในการระเหยน้ำออกจากผลไม้ จากนั้นจึงนำผลไม้ที่ได้มาบรรจุลงในภาชนะที่ปิดสนิทและมีกระบวนการดูดเอาออกซิเจนและความชื้นออกไป จึงทำให้ได้ผลไม้อบแห้งที่เก็บไว้บริโภคได้อย่างยาวนานมากขึ้น เป็นการถนอมอาหารที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานและสามารถเก็บรักษาอาหารไว้ได้ดี

ข้อดีของการอบแห้งผลไม้

  • ทำให้เกิดการสูญเสียวิตามินในผลไม้น้อยที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับกระบวนการแปรรูปอื่นๆ
  • สามารถเสริมวิตามินเข้าไปในผลไม้อบแห้งได้ในระหว่างกำลังผลิต
  • ทำให้ผลไม้อบแห้งสามารถเก็บไว้ได้อย่างยาวนานมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเก็บไว้ในสภาวะที่เหมาะสมด้วย
  • มีส่วนช่วยในการยับยั้งการทำงานของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราต่างๆ
  • ผลไม้ที่ผ่านการอบแห้งแล้วส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักเบามาก เพียงแค่ 1 ใน 7 ของน้ำหนักผลไม้สดเท่านั้น แถมช่วยลดต้นทุนในการขนส่งได้ดีอีกด้วย
  • สามารถเก็บผลไม้อบแห้งไว้ได้ในอุณหภูมิห้องโดยไม่ต้องเก็บไว้ในห้องเย็น ช่วยลดต้นทุนในการเก็บรักษาได้ดี
  • บริโภคง่ายและให้ความรู้สึกเพลิดเพลินกับการทานผลไม้อบแห้ง สามารถทานได้ทุกเพศทุกวัยอีกด้วย

การเตรียมผลก่อนนำไปทำผลไม้อบแห้ง

อย่างไรก็ตามก่อนจะนำผลไม้ไปอบแห้งก็จะต้องมีการเตรียมการให้ดีก่อนด้วย โดยมีกระบวนการเตรียมที่ถูกวิธีดังนี้
1. ต้องเก็บเกี่ยวผลไม้ที่มีความสุกในระดับที่เหมาะสม ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับชนิดของผลไม้ด้วย เพราะบางชนิดควรเก็บตั้งแต่เริ่มสุกไม่มาก และบางชนิดต้องเก็บเมื่อสุกกำลังดี ที่สำคัญในระหว่างเก็บเกี่ยวจะต้องระมัดระวังไม่ให้ผลไม้เกิดการช้ำหรือมีแผลเช่นกัน

2. ต้องล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนเสมอ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีการใช้สารฆ่าแมลง ซึ่งการล้างผลไม้ที่ถูกต้อง จะต้องนำผลไม้ไปแช่น้ำผสมกับเบกกิ้งโซดาหรือล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเย็นแบบให้น้ำไหลผ่าน เพื่อพยายามกำจัดสารพิษตกค้างให้ได้มากที่สุด

3. การปอกเปลือกจะต้อปลอกให้เหมาะสม คือปลอกด้วยมีด ด้วยการขัดสีหรือการใช้สารละลายด่าง และหั่นให้สวยงาม โดยพยายามอย่าให้เกิดความช้ำ 

การนำผลไม้มาแปรรูป

สำหรับการนำผลไม้มาแปรรูป พบว่าผลไม้บางชนิดสามารถนำมาแปรรูปได้ทั้งผล แต่ผลไม้บางชนิดก็จะต้องผ่านการปอกเปลือกและการหั่นให้เรียบร้อยก่อน เพื่อให้ง่ายต่อการแปรรูปมากขึ้น นอกจากนี้จะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดสีน้ำตาลในการแปรรูปอีกด้วย ซึ่งอุตสาหกรรมการแปรรูปส่วนใหญ่ก็จะใช้เทคนิคการใส่สารเคมีต่างๆ ลงไป เพื่อป้องกันการเกิดสีน้ำตาลและทำให้สีของผลไม้อบแห้งยังคงดูน่ากินอยู่เสมอ โดยสารที่นิยมใช้ได้แก่สารละลายกรดแอสคอร์บิค สารละลายซัลเฟอร์ กรอดซิตริก และสารที่ใช้เพื่อป้องกันการเกิดออกซิเดชั่น เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีกระบวนการอื่นๆ ที่สำคัญในการแปรรูปอาหารดังนี้

  • การลวกด้วยน้ำร้อนหรือไอน้ำ คือ การทำให้ผลไม้บางส่วนสุกก่อนนำไปอบแห้ง ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาในการอบแห้งได้ดี และสามารถป้องกันการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ในระหว่างการเก็บรักษาผลไม้อบแห้งอีกด้วย ที่สำคัญก็สามารถรักษาปริมาณของแคโรทีนและวิตามินซีของผลไม้อบแห้งได้ดีทีเดียว
  • การลวกด้วยน้ำเชื่อม วิธีนี้จะใช้กับการทำผลไม้เชื่อมแห้ง โดยอาศัยความเข้มข้นของน้ำตาลเกลือเพื่อลดการเกิดสีน้ำตาลในผลไม้ และลดการสูญเสียของกลิ่นผลไม้สดได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ก็ช่วยให้ผลไม้อบแห้งมีรสชาติที่กลมกล่อมและน่าทานมากขึ้นเช่นกัน แต่เนื่องจากวิธีนี้จะมีน้ำตาลสูงมาก จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน และอาจเกิดกลิ่นหืนเมื่อเก็บไว้นานๆ อีกด้วย

วิธีการแปรรูป ผลไม้อบแห้ง

วิธีการแปรรูปผลไม้อบแห้งสามารถทำได้หลายวิธี โดยมีวิธีที่ได้รับความนิยมดังนี้
1. ผลไม้แช่อิ่มอบแห้ง คือ การนำผลไม้ไปแช่ในน้ำเชื่อมจนเกิดการอิ่มตัว แล้วจึงนำไปอบแห้ง ซึ่งจะทำให้ผลไม้มีความกรอบ อร่อยและหวานมาก และด้วยปริมาณของน้ำตาลที่สูงมากนี่เอง จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานอย่างยิ่ง

2. ผลไม้อบแห้งแบบฟรีซดราย คือวิธีการนำผลไม้มาทำแห้งเยือกแข็งแบบสุญญากาศ ซึ่งจะทำให้ผลไม้มีความแห้ง กรอบ และยังคงคุณค่าทางโภชนาการไว้อย่างครบถ้วน แต่ก็มีข้อเสียอยู่บ้างคือ มีรสสัมผัสที่ค่อนข้างแห้งและแข็งจนเกินไป ผลไม้บางชนิดอาจถึงขั้นเคี้ยวไม่ออกได้เลยทีเดียว

3. ผลไม้อบนิ่มด้วยวิธีการผ่านลมร้อน คือวิธีการอบแห้งผลไม้แบบใหม่ ซึ่งจะทำให้ผลไม้มีความยืดหยุ่นสูง และมีเนื้อนิ่มน่าทาน แถมสามารถคงคุณค่าทางโภชนาการสูงถึง 80%

ในปัจจุบันต้องบอกเลยว่าผลไม้อบแห้งได้รับความนิยมและมีจำหน่ายอย่างแพร่หลายมาก เพราะมีรสชาติหวานอร่อยและสามารถเก็บไว้ทานได้เป็นเวลานาน แต่เนื่องจากผลไม้อบแห้งส่วนใหญ่จะมีปริมาณของน้ำตาลที่สูงมาก จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามผลไม้อบแห้งที่ไม่ได้ใส่น้ำตาลลงไปเพิ่มก็มีเหมือนกัน เพียงแต่จะมีรสชาติหวานน้อย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ผลไม้อบนิ่ม ที่ผ่านกระบวนการแปรรูปที่ไม่ได้เติมน้ำตาลลงไป แถมยังมีความนิ่มทานง่าย เหมาะกับผู้ที่ฟันไม่แข็งแรง หรือวัยเด็กและวัยสูงอายุที่สุด ทั้งยังเป็นผลไม้อบแห้งที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานอีกด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ขอขอบคุณคลิปสาระดีๆ : หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ สุขภาพดี คุณมีได้

Hui, YH. Handbook of fruits and fruit processing. Blackwell Publishing, Oxford UK (2006) .

Brothwell D, Brothwell P. Food in Antiquity: A survey of the diet of early people. Johns Hopkins University Press, Baltimore and London (1998) pp. 144–147.