Home Blog Page 130

การตรวจอัลบูมิน (Albumin) ในเลือด: ความสำคัญ วิธีตรวจ และแนวทางแปลผล

0
การตรวจ Albumin ในเลือดจำเป็นอย่างไร
อัลบูมิน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างขึ้นได้เองจากตับ และพบมากในเลือดส่วนที่เป็นน้ำเลือดหรือที่เรียกว่า พลาสมา
การตรวจ Albumin ในเลือดจำเป็นอย่างไร
อัลบูมิน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างขึ้นได้เองจากตับ และพบมากในเลือดส่วนที่เป็นน้ำเลือดหรือที่เรียกว่า พลาสมา

การตรวจอัลบูมิน (Albumin) ในเลือดคืออะไร?

การตรวจอัลบูมินในเลือดเป็นการวัดระดับของโปรตีนอัลบูมินซึ่งเป็นโปรตีนหลักในเลือด การตรวจนี้ช่วยประเมินสุขภาพโดยรวม โดยเฉพาะการทำงานของตับและไต รวมถึงภาวะโภชนาการของร่างกาย

อัลบูมินมีบทบาทอย่างไรในร่างกาย?

อัลบูมินมีบทบาทสำคัญหลายประการในร่างกาย ทั้งการควบคุมสมดุลของเหลว การลำเลียงสารต่างๆ และเป็นตัวบ่งชี้การทำงานของอวัยวะสำคัญ

อัลบูมินช่วยควบคุมสมดุลของของเหลวในร่างกายอย่างไร?

อัลบูมินช่วยรักษาแรงดันออสโมติกในเลือด ป้องกันการรั่วของของเหลวออกจากหลอดเลือด ช่วยควบคุมปริมาณน้ำในเนื้อเยื่อและกระแสเลือด

อัลบูมินมีผลต่อการลำเลียงสารอาหารและฮอร์โมนอย่างไร?

อัลบูมินทำหน้าที่เป็นพาหะลำเลียงสารต่างๆ ในเลือด เช่น กรดไขมัน ฮอร์โมน วิตามิน และยาบางชนิด ช่วยให้สารเหล่านี้ถูกส่งไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย

ระดับอัลบูมินสัมพันธ์กับการทำงานของตับและไตอย่างไร?

ตับเป็นแหล่งผลิตอัลบูมิน ระดับอัลบูมินต่ำอาจบ่งชี้ถึงปัญหาการทำงานของตับ ส่วนไตมีหน้าที่กรองโปรตีน ระดับอัลบูมินต่ำอาจเกิดจากการสูญเสียโปรตีนทางปัสสาวะในโรคไตบางชนิด

การตรวจอัลบูมินในเลือดทำได้อย่างไร?

การตรวจอัลบูมินเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจเลือดทั่วไป โดยมีวิธีการและการเตรียมตัวที่ไม่ยุ่งยาก

วิธีการตรวจวัดระดับอัลบูมินคืออะไร?

การตรวจวัดระดับอัลบูมินทำโดยการเจาะเลือดจากหลอดเลือดดำที่แขน แล้วนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการด้วยวิธีทางเคมี

จำเป็นต้องงดอาหารก่อนตรวจอัลบูมินหรือไม่?

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องงดอาหารก่อนตรวจอัลบูมิน แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือห้องปฏิบัติการ

ค่าปกติของอัลบูมินในเลือดควรอยู่ที่เท่าใด?

ค่าปกติของอัลบูมินในเลือดอยู่ในช่วง 3.5-5.0 กรัมต่อเดซิลิตร (g/dL) สำหรับผู้ใหญ่

อะไรเป็นสาเหตุของค่าผิดปกติของอัลบูมิน?

ค่าอัลบูมินที่ผิดปกติอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรค ภาวะทางสุขภาพ หรือปัจจัยอื่นๆ

อะไรเป็นสาเหตุของค่าอัลบูมินต่ำ?

สาเหตุของค่าอัลบูมินต่ำ ได้แก่:

  • โรคตับเรื้อรัง เช่น ตับแข็ง
  • โรคไตเรื้อรัง
  • ภาวะทุพโภชนาการ
  • การอักเสบเรื้อรัง
  • แผลไหม้รุนแรง

อะไรเป็นสาเหตุของค่าอัลบูมินสูง?

ค่าอัลบูมินสูงพบได้น้อยกว่า แต่อาจเกิดจาก:

  • ภาวะขาดน้ำ
  • การใช้สเตียรอยด์บางชนิด
  • ภาวะ Cushing’s syndrome

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับอัลบูมินในร่างกายมีอะไรบ้าง?

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับอัลบูมิน ได้แก่:

  • อายุ (ระดับอัลบูมินมักลดลงเล็กน้อยในผู้สูงอายุ)
  • การตั้งครรภ์
  • การออกกำลังกายหนัก
  • ภาวะเครียด
  • การใช้ยาบางชนิด

การแปลผลค่าอัลบูมินบ่งบอกถึงสุขภาพอย่างไร?

การแปลผลค่าอัลบูมินต้องพิจารณาร่วมกับอาการทางคลินิกและผลการตรวจอื่นๆ

ค่าอัลบูมินต่ำสัมพันธ์กับโรคตับและโรคไตอย่างไร?

ค่าอัลบูมินต่ำอาจบ่งชี้ถึง:

  • การทำงานของตับบกพร่อง เช่น ในโรคตับแข็ง
  • การสูญเสียโปรตีนทางไต เช่น ในโรคไตเรื้อรัง

ค่าอัลบูมินสูงสามารถบ่งชี้ถึงภาวะหรือโรคอะไรได้บ้าง?

ค่าอัลบูมินสูงอาจบ่งชี้ถึง:

  • ภาวะขาดน้ำ
  • ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด
  • ภาวะ Cushing’s syndrome (พบได้น้อย)

ค่าผิดปกติของอัลบูมินควรดำเนินการอย่างไรต่อไป?

หากพบค่าอัลบูมินผิดปกติ ควร:

  • ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ
  • ตรวจเพิ่มเติมตามคำแนะนำของแพทย์
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารหากจำเป็น

โรคและภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับค่าผิดปกติของอัลบูมิน

ค่าอัลบูมินที่ผิดปกติอาจเกี่ยวข้องกับโรคและภาวะสุขภาพหลายอย่าง

โรคตับเรื้อรัง (เช่น ตับแข็ง) ส่งผลต่ออัลบูมินอย่างไร?

โรคตับเรื้อรังทำให้ตับผลิตอัลบูมินได้น้อยลง ส่งผลให้ระดับอัลบูมินในเลือดต่ำ

โรคไตวายเรื้อรังมีผลต่อระดับอัลบูมินอย่างไร?

โรคไตวายเรื้อรังอาจทำให้เกิดการสูญเสียอัลบูมินทางปัสสาวะ ส่งผลให้ระดับอัลบูมินในเลือดต่ำ

ภาวะทุพโภชนาการเกี่ยวข้องกับค่าอัลบูมินอย่างไร?

ภาวะทุพโภชนาการทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็นในการผลิตอัลบูมิน ส่งผลให้ระดับอัลบูมินในเลือดต่ำ

วิธีดูแลสุขภาพให้ระดับอัลบูมินอยู่ในเกณฑ์ปกติ

การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยรักษาระดับอัลบูมินให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้

อาหารที่ช่วยรักษาระดับอัลบูมินมีอะไรบ้าง?

อาหารที่ช่วยรักษาระดับอัลบูมิน ได้แก่:

  • โปรตีนคุณภาพดี เช่น เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ ปลา ไข่
  • ถั่วและเมล็ดพืช
  • ผักใบเขียว
  • ผลิตภัณฑ์จากนม

การออกกำลังกายและพฤติกรรมสุขภาพส่งผลต่อค่าอัลบูมินอย่างไร?

การออกกำลังกายสม่ำเสมอและการรักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสมช่วยรักษาสมดุลของอัลบูมินในร่างกาย

วิธีการลดความเสี่ยงต่อภาวะอัลบูมินผิดปกติคืออะไร?

วิธีลดความเสี่ยง ได้แก่:

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบถ้วน
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • ดูแลสุขภาพตับและไต
  • ตรวจสุขภาพประจำปี

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับค่าอัลบูมิน?

การสังเกตอาการผิดปกติและพบแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพ

อาการที่ควรเฝ้าระวังเมื่อค่าอัลบูมินผิดปกติ

อาการที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่:

  • บวมตามร่างกาย โดยเฉพาะที่ขาและข้อเท้า
  • อ่อนเพลียผิดปกติ
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ปัสสาวะเป็นฟอง

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีค่าอัลบูมินสูงหรือต่ำกว่าปกติ

สำหรับผู้ที่มีค่าอัลบูมินผิดปกติ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ตรวจติดตามค่าอัลบูมินและการทำงานของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ปรับเปลี่ยนอาหารตามคำแนะนำของแพทย์หรือนักโภชนาการ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตามความเหมาะสม
  • แจ้งแพทย์ทุกครั้งเกี่ยวกับยาที่ใช้ รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
  • สังเกตอาการผิดปกติและรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการที่น่ากังวล
  • หากมีโรคประจำตัว ควบคุมโรคให้ดีตามคำแนะนำของแพทย์
  • พักผ่อนให้เพียงพอและจัดการความเครียด
  • งดหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์

การตรวจอัลบูมินในเลือดเป็นการตรวจที่สำคัญในการประเมินสุขภาพโดยรวม โดยเฉพาะการทำงานของตับและไต รวมถึงภาวะโภชนาการของร่างกาย การเข้าใจถึงบทบาทของอัลบูมิน การแปลผลการตรวจ และการดูแลสุขภาพเพื่อรักษาระดับอัลบูมินให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

หากมีข้อสงสัยหรือพบความผิดปกติเกี่ยวกับค่าอัลบูมิน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป การดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้ระดับอัลบูมินอยู่ในเกณฑ์ปกติและส่งเสริมสุขภาพโดยรวมของร่างกาย

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Sowa ME, Bennett EJ, Gygi SP, Harper JW (2009). “Defining the Human Deubiquitinating Enzyme Interaction Landscape”. Cell. 138 (2): 389–403. doi:10.1016/j.cell.2009.04.042. PMC 2716422 Freely accessible. PMID 19615732.

Curry S (2002). “Beyond expansion: structural studies on the transport roles of human serum albumin”. Vox Sang. 83 Suppl 1: 315–9. doi:10.1111/j.1423-0410.2002.tb05326.x. PMID 12617161.

Fu BL, Guo ZJ, Tian JW, Liu ZQ, Cao W (2009). “[Advanced glycation end products induce expression of PAI-1 in cultured human proximal tubular epithelial cells through NADPH oxidase dependent pathway]”. Xi Bao Yu Fen Zi Mian Yi Xue Za Zhi. 25 (8): 674–7. PMID 19664386.

Ascenzi P, di Masi A, Coletta M, Ciaccio C, Fanali G, Nicoletti FP, Smulevich G, Fasano M (2009). “Ibuprofen Impairs Allosterically Peroxynitrite Isomerization by Ferric Human Serum Heme-Albumin”. J. Biol. Chem. 284 (45): 31006–17. doi:10.1074/jbc.M109.010736. PMC 2781501 Freely accessible. PMID 19734142.

วิธีลดผิวแตกลายอย่างเห็นผลได้จริง

0
วิธีลดผิวแตกลายอย่างเห็นผลได้จริง
ผิวแตกลาย หรือ รอยแตกลาย เป็นแผลเป็นชนิดหนึ่งที่เกิดจากการฉีกขาดของหนังแท้ที่ผิวหนังชั้นกลาง เกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
วิธีลดผิวแตกลายอย่างเห็นผลได้จริง
ผิวแตกลาย หรือ รอยแตกลาย เป็นแผลเป็นชนิดหนึ่งที่เกิดจากการฉีกขาดของหนังแท้ที่ผิวหนังชั้นกลาง เกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ผิวแตกลาย

ผิวกระจ่างใส เรียบเนียนดูสุขภาพดีเป็นผิวในฝันของใครหลายๆคน แต่เมื่อผิวสวยกลับประสบปัญหามีรอยแตกลายมากวนใจ อาจทำให้หลายคนขาดความมั่นใจ ไม่กล้าสวมใส่เสื้อผ้าที่อวดผิวได้ ทุกปัญหามีทางแก้ ปัญหา ผิวแตกลาย ก็เช่นกัน ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับผิวแตกลายกันก่อน เพื่อที่จะได้หาทางรับมือ แก้ไข และป้องกันการเกิดขึ้นใหม่ในอนาคตได้

สาเหตุของผิวแตกลาย

ผิวแตกลาย หรือ รอยแตกลาย ที่ทางการแพทย์เรียกว่า Stretch marks หรือ Striae เป็นแผลเป็นชนิดหนึ่งที่สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย เนื่องจากปรากฏเด่นชัดบนผิวหนัง มีสีแตกต่างอย่างชัดเจนกับผิวหนังส่วนอื่นๆ สาเหตุเกิดจากการฉีกขาดของหนังแท้ที่ผิวหนังชั้นกลาง อันเนื่องมาจากผิวหนังในบริเวณนั้นเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ผิวแตกลายนี้มักเกิดได้ง่ายในบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่มาก เช่น บริเวณหน้าอก หน้าท้อง เต้านม ต้นแขน ต้นขา สะดือ สะโพกและน่อง เป็นต้น พบมากในคนบางกลุ่ม เช่น ในเด็กที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น โดยเฉพาะในเด็กที่เจริญอาหารจนทำให้ร่างกายอ้วนท้วนหรือโตเร็วเกินไป เมื่อร่างกายเติบใหญ่ขึ้นจนผิวหนังขยายตามไม่ทันจึงส่งผลให้ผิวแตกลายได้ง่าย ในกลุ่มนักกีฬาเพาะกายที่กล้ามเนื้อโตขึ้นในเวลาอันสั้น ในกลุ่มคนที่ควบคุมน้ำหนักจนทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ในกลุ่มผู้ป่วยโรคตับอักเสบเรื้อรังและโรค Marfan Syndrome เป็นต้น กลุ่มผู้ที่ใช้ยาทาหรือรับประทานยาในกลุ่มของสเตียรอยด์มาเป็นเวลานาน และในกลุ่มสุดท้ายที่พบเจอปัญหาผิวแตกลายมากถึง 90 % คือกลุ่มสตรีตั้งครรภ์

ลักษณะของรอยแตกลาย

คำว่า Striae นั้น แปลว่า ร่องหรือลายเส้นขนาน อาการเริ่มแรกของ ผิวแตกลาย คือผิวหนังจะเกิดรอยเป็นเส้นสีแดงหรือม่วง จากนั้นจะมีสีอ่อนลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นสีขาวขุ่น ผิวแตกลายอาจเรียกอย่างจำเพาะเจาะจงตามลักษณะอาการที่ปรากฏ อาทิ

  • Striae distensae มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานจากการยืด
  • Striae atrophicans มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานโดยมีอาการผิวฝ่อ
  • Striae rubra มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานสีแดง
  • Striae alba มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานสีขาว

    วิธีลดรอยแตกลาย

    วิธีลดรอยแตกลายมีหลากหลายวิธี ทั้งวิธีจากภูมิปัญญาชาวบ้าน วิธีทายาแผนปัจจุบัน ตลอดจนการใช้วิทยาการทางการแพทย์ร่วมกับเครื่องมือที่ทันสมัยเข้าช่วย ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้อย่างรวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น ดังนี้

    1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น การรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอและแร่สังกะสี ( พบมากในแคร์รอต ฟักทอง ตำลึง มะละกอ กวางตุ้งและผักบุ้ง ) รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีและวิตามินดี ( พบมากในนม เนย ตับและปลาแซลมอน ) หากอยากให้เห็นผลไวขึ้นอาจทานวิตามินเสริมร่วมด้วย นอกจากนี้การดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นและสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิว เครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยงได้แก่ ชาและกาแฟ

    2. ทาครีมบำรุง โดยเน้นการทาครีมบำรุงที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่งมักมีส่วนผสมของกรดเอเอชเอ ( AHA ) และวิตามินเอเพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและสร้างความยืดหยุ่นให้ผิว การทาครีมทุกวันเป็นประจำหลังอาบน้ำในตอนเช้าและก่อนนอน จะช่วยลดรอยเดิมและยังช่วยป้องกันการเกิดรอยแตกลายใหม่อีกด้วย เคล็ดลับในการทาครีมบำรุงคือพยายามทาครีมและนวดผิวย้อนรอยขึ้นไป สำหรับผู้ออกกำลังกายเพิ่มกล้ามเนื้อหรือสตรีมีครรภ์ ควรทาครีมบำรุงที่เหมาะสมเพื่อให้ผิวบริเวณนั้นมีความชุ่มชื่น ยืดหยุ่น พร้อมสำหรับการขยายตัวในอนาคต

    3. ชโลมน้ำมันจากธรรมชาติ เช่นน้ำมันงา โดยการนำน้ำมันงามาชโลมบนผิวที่แตกลาย ทาทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น น้ำมันงาสามารถช่วยทำให้ผิวที่เคยแห้งกร้านกลับมาดูสดใสมีน้ำมีนวล แต่หากมีน้ำมันมะกอกก็สามารถใช้ได้เช่นกัน วิธีการคือให้นำไปอุ่นจนเกือบร้อนแล้วนำมานวดวนบริเวณผิวที่แตกลาย ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วค่อยล้างออก ส่วนน้ำมันอื่น ๆ ที่สามารถช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นและป้องกัน ผิวแตกลาย ได้แก่ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันละหุ่ง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันอะโวคาโด น้ำมันอัลมอนด์และน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ เป็นต้น

    4. ทาสมุนไพรลดรอยแตกลาย มีหลายวิธี ดังนี้

    • ว่านหางจระเข้ ใช้วุ้นสีขาวจากว่านหางจระเข้ ( ที่ล้างยางออกแล้ว ) นำมาทาบริเวณ ผิวแตกลาย เป็นประจำทุกเช้า-เย็น ซึ่งจะช่วยทำให้รอยแตกลายนั้นค่อย ๆ ดูจางลงได้ อีกวิธีคือใช้เฉพาะน้ำเมือกจากใบสดว่านหางจระเข้ 1 ส่วน นำมาผสมกับครีมบำรุงผิว 5 ส่วน นำมาทาผิว โดยผสมเพียงพอใช้ในแต่ละครั้ง
    • ใบบัวบก หากมีใบบัวบกก็สามารถใช้ได้ โดยนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำ จากนั้นนำมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้า-เย็น ผิวที่แตกลายก็จะค่อย ๆ จางลงได้ในที่สุด
    • มันฝรั่ง หากเป็น ผิวแตกลาย ในระยะเริ่มต้น อีกวิธีที่แนะนำคือ ใช้มันฝรั่งสด 1 หัว นำมาปอกเปลือกออกแล้วบดให้ละเอียด ทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

    ผิวแตกลาย หรือ รอยแตกลาย เป็นแผลเป็นชนิดหนึ่งที่เกิดจากการฉีกขาดของหนังแท้ที่ผิวหนังชั้นกลาง และเกิดการขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

    5. ขัดหรือสครับผิว ในระหว่างอาบน้ำให้ใช้ใยบวบขัดผิวควบคู่ไปกับการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีสารสกัดมาจากธรรมชาติ ทำเพียง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ก็สามารถช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปและกระตุ้นเซลล์ผิวหนังใหม่ให้ขึ้นมาทดแทนผิวเดิมได้ ซึ่งสูตรสครับผิวสามารถนำวัตถุดิบใกล้ตัวมาทำเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน คือ

    • สูตรมะนาว คั้นเอาน้ำมะนาวและดินสอพองมาผสมกัน จากนั้นนำมาทาพอกบริเวณ ผิวแตกลาย น้ำมะนาวจะมีฤทธิ์เป็นกรดแบบธรรมชาติช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้อาการแตกลายบนผิวจางลงอย่างรวดเร็ว
      สูตรขมิ้นผสมมะขาม ให้นำขมิ้นและมะขามมาผสมกันแล้วใช้ขัดนวดผิว ขมิ้นมีเคอคูมินที่ทำให้ผิวขาว ส่วนมะขามนั้นมีกรด AHA ที่ช่วยในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิว

    ปัจจุบันก็จะนิยมใช้สบู่สมุนไพรจากธรรมชาติสูตรที่ช่วยสครับผิว เพราะสะดวก ใช้ง่าย มีความอ่อนโยนต่อผิวมากขึ้นจึงช่วยลดการระคายเคืองผิวได้มากกว่า สรรพคุณช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกและกระตุ้นการเกิดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้รอยแตกลายและริ้วรอยต่างๆจางลง สามารถใช้ได้เป็นประจำทุกวัน เช้า-เย็น สบู่สมุนไพรที่มีคุณสมบัติดังกล่าว เช่น สูตรกาแฟอาราบิก้า สูตรมะขามน้ำผึ้ง และหากต้องการให้ผิวพรรณเรียบเนียนขึ้น ขาวขึ้นเพื่อช่วยให้รอยแตกลายจางลงก็เลือกใช้สบู่สมุนไพรสูตรขมิ้นน้ำผึ้ง หรือขมิ้นทานาคาได้

    6. ทายาแก้ผิวแตกลาย เลือกใช้ยาทาในกลุ่มอนุพันธ์กรดวิตามินเอ เช่น เรตินเอ ( Retin A ) ความเข้มข้นที่เหมาะสมคือ 0.025% หรือ 0.05% หากเข้มข้นมากเกินไปอาจเกิดอาการแสบร้อนผิวได้ วิธีการใช้คือหลังจากอาบน้ำและขัดหรือสครับผิวแล้ว เช็ดตัวรอให้ผิวแห้งสนิท ประมาณ 10 นาที จากนั้นทาเรตินเอบริเวณผิวที่เป็นรอยแตก ( ไม่ต้องลงครีมบำรุงหรือโลชั่นอื่น ) โดยให้ทาเฉพาะก่อนเข้านอนและทำวันเว้นวันเท่านั้น ( สตรีมีครรภ์ห้ามใช้เป็นอันขาด ) ส่วนวันที่ไม่ได้ใช้ก็ให้ทาด้วยครีมบำรุงตามปกติ ทำแบบนี้อย่างสม่ำเสมอประมาณ 1 เดือน จะสังเกตได้ว่าผิวเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ( ในระยะแรกที่ทาอาจทำให้เกิดรอยแดงเป็นวง เป็นรอยดำไหม้ สักพักอาการจะทุเลาและดีขึ้นตามลำดับ )

    7. ทำทรีตเมนต์ เช่น การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี ( Microdermabrasion ) เพื่อช่วยทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นโดยการกำจัดเซลล์ชั้นบนออกไป หรือทำการผลัดเซลล์ด้วยกรดผลไม้ ( Chemical Peel ) เพื่อช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป รวมถึงการรักษาโดยใช้คลื่นวิทยุเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เป็นต้น 

    8. การทำเมโสรักษารอยแตกลาย‎ ( Mesotherapy ) เป็นวิธีการใช้เข็มส่งตัวยาที่มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสมานรอยแตกลายของผิว จึงทำให้รอยแตกลายดูจางลง ใช้กลุ่มยาหลาย ๆ ตัว เช่น กรดอะมิโนไกลซีน ( Glycine ) วาลีน ( Valine ) โปรลีน ( Proline ) ไฮดรอกซีโปรลีน ( Hydroxyproline ) และสารอาหารผิวอื่น ๆ (สตรีมีครรภ์ไม่ควรรักษาด้วยวิธีนี้)

    9. เดอร์มาโรลเลอร์ ( Dermaroller ) อีกหนึ่งเครื่องมือทางการแพทย์ โดยนำมาใช้กลิ้งบริเวณผิวที่ต้องการรักษา ช่วยทำลายพังผืดที่หลุมบนผิวหรือรอยที่เป็นปัญหา ทั้งยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง จึงช่วยรักษารอยแตกลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ และโดยมากแล้วจะนำมาใช้ควบคู่ไปกับตัวยาหรือเซรั่มบำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว จึงช่วยทำให้ตัวยาซึมผ่านผิวหนังได้ดีขึ้น แต่ควรทำเป็นประจำทุก ๆ 2 สัปดาห์ ติดต่อกันประมาณ 5-6 ครั้ง จึงจะเห็นผล

    10. การทำเลเซอร์ลดรอยแตกลาย การรักษา ผิวแตกลาย ด้วยเลเซอร์ช่วยให้เห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็วทันใจ แลกกับค่ารักษาที่ค่อนข้างสูง มีทั้งเลเซอร์แบบช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับสีรอยแตกลายให้ใกล้เคียงกับสีผิวปกติ และเลเซอร์สร้างผิวใหม่และเลเซอร์แบบรักษารอยแดงหรือรักษาความผิดปกติของเส้นเลือด ที่แนะนำคือ Fraxel Laser ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะกับรอยแตกลายที่เป็นมานาน และ V-Beam Laser ซึ่งช่วยทำลายเส้นเลือดในคนที่มีรอยแตกแดง เหมาะกับรอยแตกลายที่เพิ่งเกิดใหม่หรือมีสีชมพู แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องประมาณ 3-5 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 2 สัปดาห์ จนกว่ารอยแตกลายจะค่อย ๆ จางหายไป จากการศึกษาพบว่า การรักษาด้วยวิธีนี้จะได้ผลประมาณ 40-60%

    11. การทำไอพีแอล ( Intensed Pulsed Light – IPL ) เป็นเทคนิคการใช้แสงความเข้มสูง นำมายิงบริเวณผิวที่เป็นรอยแตก ในขณะยิงจะรู้สึกเจ็บคล้าย ๆ กับโดนหนังสติ๊กดีดผิว แต่วิธีนี้จะได้ผลดีกับรอยแตกในระยะแรกที่มีสีแดง หากเป็นรอยแตกในระยะหลังที่มีสีขาวซีดมักไม่ได้ผล และต้องทำอย่างน้อย 5 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 2 สัปดาห์ จากการศึกษาพบว่า วิธีนี้สามารถทำให้รอยแตกจางลงได้ประมาณ 30-50% ขึ้นอยู่กับระยะของรอยแตกที่เป็น

    12. การฉีดคาร์บ็อกซี่ ( Carboxytherapy ) เป็นวิธีแก้รอยแตกลายด้วยการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในบริเวณที่ต้องการ เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว การฉีดเพื่อรักษา ผิวแตกลาย ใช้เทคนิคเป็นการฉีดเข้าไปตื้นๆ เพียงชั้นหนังแท้ตามแนวร่องแตกลายผิวหนัง ไม่ได้ฉีดลึกเข้าไปในชั้นไขมันใต้ผิวเหมือนการฉีดสลายไขมัน แต่การรักษาด้วยวิธีนี้จะต้องทำอย่างน้อย 3-5 ครั้ง ติดต่อกันทุก ๆ 1 สัปดาห์ ซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้ผลประมาณ 30-60% หรืออาจไม่ได้ผลเลยขึ้นอยู่กับอาการแตกลายของแต่ละบุคคล
    วิธีต่าง ๆ ที่นำมาแนะนำข้างต้นเป็นเพียงวิธีการรักษาที่ปลายเหตุเท่านั้น ทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิด ผิวแตกลาย วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดผิวแตกลาย ได้แก่ การหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพราะช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและระดับฮอร์โมนในร่างกายเกิดความสมดุล การทาครีมดูแลผิวให้ชุ่มชื่นแข็งแรง พยายามไม่อาบน้ำอุ่นและไม่เกาผิว เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ช่วยบำรุงผิว และควบคุมพฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดผิวแตกลายได้แล้ว ปัญหา ผิวแตกลาย นั้นมักพบได้ในบุคคลทั่วไป จึงไม่ควรกังวลใจเรื่องผิวจนทำให้สูญเสียความมั่นใจ อย่างไรก็ตามหากมีความจำเป็นต้องสวมใส่ชุดเผยผิวบริเวณที่แตกลาย การทารองพื้นอำพรางก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ทำให้เกิดความมั่นใจและส่งเสริมบุคลิกภายนอกให้ดียิ่งขึ้นได้

    อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Chang, AL; Agredano, YZ; Kimball, AB (2004). “Risk factors associated with striae gravidarum”. J Am Acad Dermatol. 51: 881–5. doi:10.1016/j.jaad.2004.05.030.

James, William D.; Berger, Timothy G.; et al. (2006). Andrews’ Diseases of the Skin: clinical Dermatology. Saunders Elsevier. ISBN 0-7216-2921-0.

“Stretch Mark”. Encyclopædia Britannica. Retrieved 1 November 2009.
“Stretch Mark”. Retrieved 2011-11-10.

ไขมันศาสตร์พิชิตไขมันส่วนเกิน

0
ไขมันศาสตร์พิชิตไขมันส่วนเกิน
การดูดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายเป็นวิธีที่สามารถขจัดไขมันส่วนเกิน ช่วยกระชับสัดส่วนและปรับรูปร่าง
ไขมันศาสตร์พิชิตไขมันส่วนเกิน
การดูดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายเป็นวิธีที่สามารถขจัดไขมันส่วนเกิน ช่วยกระชับสัดส่วนและปรับรูปร่าง

ไขมันส่วนเกิน

ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ต้องการมีรูปร่างที่สมส่วนปราศจาก ไขมันส่วนเกิน ทั้งสิ้น เพราะรูปร่างที่ดีสามารถช่วยเสริมบุคลิกภาพให้ดูดีขึ้นได้ หลายคนที่มีรูปร่างที่ดีจะมีความมั่นใจในตนเองสูงกว่าคนที่มีรูปร่างอ้วนและมีโอกาสทางด้านสังคม การงานมากขึ้นตามไปด้วย สำหรับหลายคนแล้วการมีรูปร่างที่ดีปราศจากไขมันส่วนเกินเป็นแค่ความฝันที่ยังไม่เป็นจริง เพราะเจ้าไขมันยังมีสะสมอยู่ตามส่วนต่างของร่างกายให้เห็นอยู่ทั่วไป เช่น ที่บริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สะโพก ซึ่งไขมันส่วนนี้เรียกว่า “ไขมันส่วนเกินเฉพาะที่” ไขมันเหล่านี้ไม่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง แต่มีปัจจัยที่ส่งเสริมให้ร่างกายสร้างขึ้นมาก นั่นคือ

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

มีปัจจัยที่ส่งเสริมให้ร่างกายสร้างไขมันส่วนเกินมากขึ้น

1.ฮอร์โมน คนแต่ละคนจะมีปริมาณฮอร์โมนที่แตกต่างกัน ซึ่งปริมาณฮอร์โมนเหล่านี้จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นการสร้าง ไขมันส่วนเกิน สะสมเฉพาะที่

2.อายุ คนเรามีอายุมากขึ้นกระบวนการเผาพลาญพลังงานหรือเมตาบอลิซึม ( Metabolism ) ก็จะมีประสิทธิภาพที่ลดลง ทำให้มีโอกาสสะสมของไขมันส่วนเกินมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย

3.พันธุกรรม เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดไขมันส่วนเกินสะสม ซึ่งสังเกตได้จากบุตรที่มีพ่อแม่รูปร่างอ้วนมีไขมันสะสมมาก ส่วนใหญ่ก็จะมีรูปร่างที่เต็มไปด้วยไขมันส่วนเกินเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะรับประทานอาหารน้อยก็ตาม

4.พฤติกรรมการกิน เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้มีการสะสมของ ไขมันส่วนเกิน เป็นอันดับที่หนึ่ง เพราะในปัจจุบันนี้มีอาหารหลายชนิดที่นิยมรับประทานกันมักประกอบไปด้วยไขมัน แป้งและน้ำตาลที่เป็นที่มาของไขมันส่วนเกินในร่างกาย
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าร่างกายของเรามีไขมันส่วนเกินหรือไม่ ซึ่งการตรวจดูว่าร่างกายมีไขมันส่วนเกินหรือไม่สามารถทำได้ด้วยการคำนวณค่าดัชนีมวลกาย ซึ่งสามารถคำนวณด้วยการใช้สูตรดังนี้

ดัชนีมวลกาย ( Body Mass Index : BMI ) = น้ำหนักตัว ( กิโลกรัม ) / ( ส่วนสูง ( เมตร ) 2 )
หรือ Body weight ( kg ) / ( Hight (m)2 )
ซึ่งเมื่อคำนวณค่า BMI ออกแล้ว สามารถระบุได้ว่าร่างกายมีไขมันส่วนเกินหรือไม่ สามารถดูได้ตามตารางข้างล่าง

ค่า BMI ภาวะน้ำหนักตัว
น้อยกว่า 18.5 น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
18.5 – 22.9 น้ำหนักสมส่วน
23.0 – 24.9 น้ำหนักเกินกว่ามาตราฐาน
25.0 – 29.9 น้ำหนักมากกว่ามาตราฐานและเป็นโรคอ้วน
มากกว่า 30 เป็นโรคอ้วนที่อยู่ในภาวะที่อันตราย

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ถึงแม้ว่าการคำนวณค่าดัชนีมวลกายจะไม่สามารถระบุได้ว่าน้ำหนักส่วนเกินที่เกินค่ามาตรฐานนั้นมาจากการสะสมของ ไขมันส่วนเกิน หรือเป็นปริมาณของมวลกล้ามเนื้อกันแน่ เพื่อทำการยืนยันว่าค่าดัชนีมวลกายที่เกินนั้นเป็นปริมาณของไขมันหรือปริมาณของกล้ามเนื้อ ทำได้ด้วยการตรวจวัดปริมาณไขมันโดยการแปลงค่าเพื่อหาเปอร์เซ็นต์ของปริมาณไขมันที่มีอยู่ในร่างกายที่มีความเฉพาะเจาะจง โดยสามารถคำนวณจากค่า BMI ได้ดังนี้
เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย = ( 1.20 x BMI ) + ( 0.23 x อายุ ) – ( 10.8 x เพศ ) – 5.4
ซึ่งค่าของเพศหญิงจะมีค่าเท่ากับ 1 และค่าของเพศชายจะมีค่าเท่ากับ 0
นอกจากนั้นการคำนวณหาความหนาของชั้นไขมันที่มีอยู่บริเวณหน้าท้องหรือบริเวณท้องแขนสามารถทำได้ด้วยการวัดด้วยเครื่องวัดปริมาณไขมัน ซึ่งมีให้บริการอยู่ตามโรงพยาบาลหรือสถานบริการเกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป เช่น สถานที่ออกกำลัง สถานเสริมความงามเกี่ยวกับรูปร่าง เป็นต้น และค่าของปริมาณไขมันที่เหมาะสมที่อยู่ในร่างกายคือ ในเพศชายควรมีค่าไขมันไม่เกินร้อยละ 22 และในเพศหญิงควรมีค่าไขมันไม่เกินร้อยละ 31 ซึ่งสามารถสรุปปริมาณไขมันในร่างกายจากค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันที่ทำการวัดได้ ดังตารางข้างล่าง

ลักษณะของร่างกาย ค่าเปอร์เซนต์ไขมันในเพศหญิง ค่าเปอร์เซนต์ไขมันในเพศชาย
ไขมันมีน้อยมากจนหรือขั้นที่ร่างกายขาดไขมันจนเข้าขั้นวิกฤต (Essential fat)  10 – 13 %  3 – 6 %
ปริมาณไขมันที่มีอยู่ในร่างกายน้อยมาก ( Athletes)  14 – 20 %  7 – 13 %
ปริมาณไขมันน้อยแต่อยู่ในระดับที่ส่งผลดีต่อร่างกาย (Fitness good) 21 – 25 %  14 – 17 %
ปริมาณไขมันที่มีอยู่ในร่างกายอยู่ในระดับที่ปกติทั่วไป (Average (acceptable))  26 – 31 % 18 – 22 %
ปริมาณไขมันที่มีอยู่ในร่างกายมากกว่าปกติส่งผลให้ร่างกายมีรูปร่างท้วม (Overweight) 32 – 39 %  23 – 29 %
ปริมาณไขมันสะสมในร่างกายสูงจนร่างกายอ้วน (Obese) 40 % หรือมากกว่า 30 % หรือมากกว่า

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เชื่อว่าทุกคนที่มีไขมันสะสมอยู่ในร่างกายย่อมที่จะต้องการนำไขมันส่วนนั้นออกจากร่างกาย ไม่ต้องการที่สะสมไว้เป็นเวลานาน เพราะนอกจากจะทำให้รูปร่างไม่สวยงามแล้ว ยังส่งผลให้ร่างกายมีความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงในอนาคตได้อีกด้วย แต่จะให้ทำการออกกำลังเพื่อลดปริมาณไขมันในร่างกายออกไปทั้งหมดก็เป็นได้ยาก เนื่องจากภาระกิจในชีวิตประจำวันที่ต้องดิ้นรน เวลาที่จะพักผ่อนให้เพียงพอยังน้อยและการที่จะออกกำลังกายเพื่อนำ ไขมันส่วนเกิน เฉพาะที่ต้องเป็นการอออกกำลังแบบเฉพาะส่วนและต้องอาศัยระยะเวลาค่อนข้างนาน จนหลายคนเกิดอาการท้อก่อนที่จะนำไขมันส่วนเกินออกไปได้ ดังนั้นจึงมีการพัฒนาวิธีการที่จะนำไขมันส่วนเกินเฉพาะส่วนออกจากร่างกายอย่างได้ผล ด้วยการดูดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย

การดูดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายเป็นวิธีที่สามารถขจัด ไขมันส่วนเกิน อย่างได้ผล ซึ่งการดูดไขมันส่วนเกินนั้นมีมานานนับ 100 ปี แต่ว่าไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากวิธีและขั้นตอนในการดูดไขมันส่วนเกินในอดีตมีอัตราความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูง ต่อมาได้มีการพัฒนานำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ ทำให้วิธีการและขั้นตอนในการดูดไขมันมีความเสี่ยงและอาการแทรกซ้อนที่น้อยลง จึงทำให้มีผู้ที่นิยมทำการดูดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายมากขึ้น วิธีการดูดไขมันมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ทั้งการดูดด้วยเครื่องดูดไขมันและการฉีดยาเพื่อสลายไขมันส่วนเกิน ซึ่งอาจจะใช้วิธีเดียวหรือใช้ทั้งสองวิธีร่วมกันก็ได้ และวิธีการดูดไขมันที่ได้รับความนิยมกันมาก คือ การใช้เครื่องมือในการดูดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย การใช้เครื่องมือจะช่วยให้การดูดไขมันออกมามีความปลอดภัยสูง ทำได้ง่าย แผลที่เกิดจากการดูดไขมันเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย และที่สำคัญสามารถทำการดูไขมันส่วนเกินเฉพาะออกมาและสามารถปรับรูปร่างได้พร้อม ๆ กันด้วย ซึ่งเราได้สรุปข้อดีและข้อเสียของการใช้เครื่องดูดไขมัน ได้ตามตารางดังนี้

ชนิดของเครื่อง LAL ( Laser Assisted Liposuction) RFAL ( Radio Frequency Assisted Liposuction ) VAL ( VASER Assisted Liposuction ) PAL ( Power Assisted Liposuction )
กลไกการทำงานเพื่อให้เซลล์ไขมันเกิดการแตก แสงเลเซอร์ ( Laser ) คลื่นวิทยุ ( Radio Frequency ) คลื่นเสียงความถี่สูง ( VASER ) การสั่นหรือการหมุนของหัวดูด ( Power )
ข้อดีของเครื่อง ลักษณะและขนาดของแผลเปิดเพื่อสอดใส่สายนำแสงเลเซอร์จะมีขนาดเล็กมาก เป็นเครื่องที่เน้นด้านการกระชับผิวด้วยการปล่อยคลื่นวิทยุผ่านเข้าไปสู่บริเวณ ไขมันส่วนเกิน ที่อยู่ภายในร่างกาย คลื่นเสียงที่ทำการปล่อยเข้าไปจะไม่เข้าไปกระทบกับเส้นเลือดหรือเส้นประสาทที่อยู่ภายในร่างกาย เมื่อทำการสั่นหรือการหมุนแล้ว ปฏิกิริยาไม่มีความร้อนเกิดขึ้น ส่งผลให้เมื่อทำการดูดไขมันออกมาสามารถทำได้ง่ายขึ้นและร่างกายมีอาการช้ำน้อยลง
ข้อเสียของเครื่อง ขณะที่ทำการฉายแสงเลเซอร์จะมีความร้อนเกิดขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อเนื้อเยื่อที่อยู่อยู่รอบได้ ความร้อนที่เกิดจากคลื่นวิทยุ อาจส่งผลให้ผิวหนังเกิดการหดตัว และถ้าคลื่นมีความเข้มสูงอาจทำให้เนื้อเยื่อถูกไหม้ได้ หากแพทย์ผู้ใช้งานขาดประสบการในการใช้งานเครื่อง จะทำให้มีความร้อนเกิดขึ้นสูง ส่งผลแผลที่เกิดขึ้นหายได้ช้า หากปริมาณไขมันส่วนเกินมีมาก ต้องใช้เวลาในการดูดที่นานกว่าเครื่องชนิดอื่น
บริเวณที่เหมาะสมกับการใช้งาน ส่วนของใบหน้า เช่น ที่บริเวณใต้คางหรือบริเวณเหนียง ส่วนของใบหน้าหรือบริเวณที่อยู่ตื้นๆ ใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกาย และสามารถทำการดูดไขมันเฉพาะที่ได้ ใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกาย แต่ใช้งานได้ยากกับส่วนที่ไขมันตื้น

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การใช้เครื่องมือในการสลายและดูดไขมันสามารถที่จะใช้เครื่องมือพร้อมกันได้มากกว่าครั้งละ 1 ชนิด เช่นการใช้เครื่อง Vaser ทำการฉายคลื่นเสียงความถี่สูงเข้าสู่บริเวณที่ต้องการดูดไขมันออกไปและทำการดูดไขมันออกมาด้วยเครื่อง Power ที่สามารถทำการสั่นสลับกันทั้งแบบหน้าหลังและการหมุนเป็นวงกลม ซึ่งการใช้สองเครื่องร่วมกันในการดูดไขมันจะสามารถทำการดูดไขมันได้ดีขึ้น

การดูดไขมันไม่ใช่การลดความอ้วน เพราะว่าการดูดไขมันไม่สามารถช่วยลดน้ำหนักของร่างกายได้ เพียงแต่ช่วยกระชับและปรับรูปร่างให้มีความเหมาะสมเท่านั้น ซึ่งการดูดไขมันนี้เหมาะกับ
1.สุขภาพร่างกายแข็งแรง
คนที่ต้องการทำการดูด ไขมันส่วนเกิน จะต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวที่อาจก่อให้เกิดอันตรายในขณะหรือหลังจากการดูดไขมัน
2.ร่างกายมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์
ผู้ที่ต้องการทำการดูดไขมันจะต้องมีค่า BMI อยู่ระหว่าง 18-25 จึงจะสามารถทำการดูดไขมันได้ โดยที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด
3.สุขภาพจิตใจเข้มแข็ง
ผู้ที่ทำการดูดไขมันต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการดูดไขมันไม่สามารถขจัดไขมันออกจากร่างกายได้ทั้งหมด หรือสามารถช่วยให้รูปร่างดีได้ตลอดกาล เพราะว่าเมื่อทำการดูดไขมันแล้ว ถ้าร่างกายได้รับอาหารมากเกินความต้องการของร่างกายเข้าไป ไขมันก็สามารถที่กลับมาสะสมได้อีก
4.ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ทำการดูดไขมันออกจากร่างกายได้ จะต้องมีอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป เนื่องจากร่างกายมีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว

การเตรียมตัวก่อนดูดไขมันส่วนเกิน

เมื่อมีคุณสมบัติตามที่ได้กล่าวมาแล้ว คุณก็สามารถที่จะทำการดูดไขมันได้ ซึ่งก่อนที่จะทำการดูดไขมันจะต้องมีการเตรียมความพร้อมของร่างกาย ดังนี้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
1. ตรวจเช็คร่างกาย ก่อนที่จะทำการดูดไขมัน จะต้องทำการตรวจเช็คร่างกาย เช่น การตรวจเลือด การหาความเข้มข้นของเลือด ปริมาณเกล็ดเลือด การตรวจคลื่นหัวใจ การแฝงของเชื้อที่อยู่ภายในร่างกายในกรณีที่มีพาหะของโรคบางชนิด ตรวจระบบการทำงานของตับ ไต สำหรับผู้ที่มีอายุสูงจะต้องมีการตรวจการแข็งตัวของเลือดด้วย
2. เสริมความแข็งแรงของร่างกาย ก่อนที่จะทำการดูดไขมันจะต้องทำการรับประทานอาหารเสริม ประเภทวิตามิน ธาตุเหล็ก ก่อนที่จะเข้ารับการดูดไขมันประมาณ 2-4 สัปดาห์
3. งดสูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่ที่ต้องการทำการดูดไขมันจะต้องหยุดสูบบุหรี่ก่อนการดูดไขมัน อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์
4. ลดน้ำหนัก สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานจะต้องทำการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถทำการดูไขมันได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อน และสำหรับผู้ที่มีพุงขนาดใหญ่จะต้องมีการใส่ชุดรัดลำตัว ( Garment Support ) ก่อนเพื่อสร้างความเคยชินในการใส่ผ้ารัดหลังจากทำการดูดไขมัน และลดขนาดของกระเพาะอาหารให้มีขนาดเล็กลงได้อีกด้วย

ขั้นตอนการดูดไขมันส่วนเกิน

การเตรียมความพร้อมของร่างกาย สำหรับบางคนอาจจะมีมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ซึ่งแพทย์ที่ทำการผ่าตัดจะเป็นผู้วินิจฉัยและชี้แจงให้กับผู้เข้ารับการดูดไขมันทราบ เมื่อเตรียมความพร้อมตามกำหนดเวลาแล้ว แพทย์จะทำการดูดไขมันตามขั้นตอนดังนี้
1.ทำความสะอาด แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญการดูดไขมันจะทำความสะอาดที่บริเวณที่จะทำการผ่าตัดและบริเวณที่อยู่ใกล้เคียงด้วยการล้างด้วยสบู่ยา
2. ทำการกำหนดจุดที่จะทำการดูด ไขมันส่วนเกิน
3.ให้ยาชาหรือดมยาสลบแก่ผู้ที่เข้ารับการดูดไขมัน ซึ่งนอกจากยาชาและยาสลบแล้วในบางรายจะต้องให้ยาคลายเครียด เพื่อลดความวิตกของผู้เข้ารับการดูดไขมันด้วย
4.ทำการเปิดแผล ซึ่งแผลที่เปิดเพื่อทำการดูดไขมันจะมีขนาดประมาณ 5 มิลลิเมตร ไว้ประมาณ 15 นาที
5.ทำการใส่น้ำยาผ่านทางแผลที่เปิดไว้ และเริ้มขั้นตอนการใช้เครื่องมือในการสลายไขมันด้วยการตี จนไขมันมีการแตกตัว
6.ทำการดูดไขมันที่แตกตัวแล้วออกมาด้วยเครื่องดูดที่มีแรงในการดูดต่ำ ลักษณะของไขมันที่ดูดออกมาได้จะมีมีน้ำปนออกมาด้วย
7.ทำการดูดจนไขมันออกตามปริมาณที่ต้องการ
8.ทำการปิดแผลด้วยการทากาวปิดแผล และใช้ผ้าพันแผลปิดทับอีกครั้ง หลังจากที่ปิดแผลแล้วผู้ทำการดูดไขมันจะต้องใส่ชุดรัดที่บริเวณที่ทำการดูดไขมันด้วย
เมื่อทำการดูดไขมันเสร็จเรียบร้อย ผู้เข้ารับการผ่าตัดจะมีอาการบวมอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์หลังจากการดูดไขมัน และอาการบวมจะค่อย ๆ ลดลง และประมาณ 2 สัปดาห์ร่างกายจะเข้าสู่สภาวะปกติ และอาการที่เกิดขึ้นจะหายภายใน 6 สัปดาห์หลังจากการดูดไขมัน

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

หลายคนเข้าใจผิดว่าเมื่อทำการดูดไขมันจะสามารถช่วยลดน้ำหนักให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี แต่ว่าที่จริงแล้วไขมันที่ทำการดูดออกมาเป็นไขมันที่สะสมอยู่ใต้ชั้นผิวของร่างกาย ไม่ใช่ไขมันที่สะสมอยู่ภายในร่างกายทั้งหมด ดังนั้นการดูดไขมันจะสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่ จะขึ้นอยู่กับผู้ที่เข้ารับการดูดไขมันมีไขมันสะสมอยู่ที่บริเวณใต้ผิวหนังมากกว่าไขมันที่สะสมอยู่ในอวัยวะของร่างกายหรือไม่ ถ้าปริมาณไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังมากกว่าการดูดไขมันจะสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง แต่ถ้าปริมาณไขมันที่สะสมอยู่ตามอวัยวะ เช่น เส้นเลือด ตับ ไต กระดูก ปอด หัวใจ มากกว่าการดูดไขมันออกมาก็ไม่สามารถช่วยลดน้ำหนักตัวได้ ช่วยได้เพียงแต่กระชับรูปร่างให้ดูดีขึ้นเท่านั้น ดังนั้นก่อนที่จะทำการดูดไขมันควรปรึกษาแพทย์ถึงผลลัพธ์ที่ได้จากการดูดไขมันเสียก่อน ซึ่งเมื่อดูดไขมันออกมาแล้วไขมันที่ทำการดูดออกมานั้น สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อีกไม่จำเป็นที่จะต้องทำไปกำจัดทิ้งเพียงอย่างเดียว ซึ่งการนำไขมันสามารถนำไปใช้ต่อได้ดังนี้

ประโยชน์จากไขมันส่วนเกิน

1.นำไปเสริมใบหน้า
ไขมันส่วนเกินที่อยู่ใต้ผิวสามารถนำไปฉีดเข้าสู่บริเวณที่ไขมันเกิดการฝ่อตัวและยุบตัวลง เพื่อช่วยให้ผิวหนังส่วนนั้นเต่งตึงส่งผลให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์มากขึ้น หรือนำไปฉีดเพื่อสร้างใบหน้าให้มีรูปร่างตามที่ต้องการ เช่น เพิ่มแก้มให้อิ่ม ลดรอยบุ๋มที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ เป็นต้น
2.เสริมขนาดของเต้านม
การเสริมขนาดของเต้านมนอกจากจะใส่ถุงเต้านมเทียมแล้ว สามารถนำ ไขมันส่วนเกิน ที่มีอยู่ในร่างกายไปฉีดเพื่อเพิ่มขนาดของเต้านมให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น
3.แก้ปัญหารอยแผลเป็น
การฉีดไขมันไปที่บริเวณที่มีรอยแผลเป็นบุ๋มลึกลงไป จะสามารถช่วยลดขนาดรอยของแผลเป็นให้ตื้นขึ้น ส่งผลให้รอยแผลเป็นสังเกตเห็นได้ยาก
ซึ่งการนำไขมันที่ทำการดูดออกมาจากร่างกายมาใช้ จะไม่สามารถนำมาใช้ได้ในทันที แต่ไขมันจะต้องไปผ่านกรรมวิธีการเตรียมไขมันก่อนที่จะนำมาใช้ได้ เช่น การปั่น การกลั่น การกรอง การทิ้งไว้ให้แยกชั้น เพื่อให้ได้ไขมันที่มีคุณภาพสูงสามารถนำไปฉีดเข้าสู่ร่างกาย ถึงแม้ว่าไขมันที่ทำการคัดแยกออกมาแล้วจะสามารถทำการเก็บรักษาไว้ใช้ในครั้งต่อไปได้ แต่อัตราการรอดของไขมันที่นำมาใช้ก็มีน้อยมาก ดังนั้นการนำไขมันมาใช้ในการเสริมและแก้ไขปัญหามักจะใช้ในทันทีมากกว่าเก็บรักษาไว้ใช้ในอนาคต    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การปฏิบัติตนหลังฉีดไขมันเข้าสู่ร่างกาย

เมื่อได้ไขมันที่มีคุณภาพสามารถนำมาฉีดเข้าสู่ร่างกายได้แล้ว แพทย์จะใช้เข็มฉีดยาที่มีขนาดเล็กและต่อกับเข็มที่มีลักษณะปลายทู่ ทำการฉีดสารที่มีลักษณะเป็นร่างแห ไม่ทำการฉีดเป็นก้อน ๆ เข้าสู่ร่างกาย เพราะจะทำให้ไขมันเข้าไปอยู่กันเป็นกลุ่ม และส่งผลให้ผิวหนังมีลักษณะที่ขรุขระ ซึ่งการฉีดไขมันเข้าสู่ร่างกายจะต้องระวังภาวะที่เลือดไม่แข็งตัวหรือในคนที่มีการรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด ซึ่งก่อนที่จะทำการฉีดไขมันเข้าสู่ร่างกายจะต้องทำการแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทุกครั้ง และหลังจากที่ทำการฉีดไขมันเข้าสู่ร่างกายแล้วจะต้องปฏิบัติตนดังนี้

1.ห้ามนวดหรือคลึงบริเวณที่ทำการฉีดไขมันเข้าไป
2.งดสูบบุหรี่หรืออยู่ในที่มีควันบุหรี่
3.งดทานยาที่มี่สรรพคุณในการลดน้ำหนัก
4.งดออกกำลังกายหลังจากฉีดไขมันเข้าสู่ร่างกายอย่างน้อย 2 สัปดาห์

การฉีดไขมันเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะเป็นการเสริมขนาดของอวัยวะ การลดรอยแผลเป็นหรือเพื่อจุดประสงค์อื่น ก็เป็นการรักษาเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากเมื่อไขมันเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วไม่มีเลือดมาหล่อเลี้ยงในทันที เซลล์ไขมันส่วนดังกล่าวจะตายและเกิดการสลายตัวในเวลาต่อมา ทำให้ไขมันมีโอกาสที่จะยุบตัวลงได้ ซึ่งอัตรารอดของมันจะมีเพียงร้อยละ 20-60 เท่านั้น นั่นหมายความว่าเมื่อฉีดไขมันเข้าไป 100 กรัม ไขมันจะเหลือเพียง 20- 60 กรัมเท่านั้น ซึ่งการที่ไขมันจะคงอยู่มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ
1.ขนาดที่ทำการฉีด ถ้าขนาดของไขมันที่ฉีดเข้าไปมีขนาดที่ใหญ่โอกาสที่เลือดจะเข้าไปหล่อเลี่ยงไขมันที่ส่วนกลางของไขมันจะเป็นไปได้ยาก ทำให้ไขมันมีโอกาสที่จะตายมากกว่าการฉีดไขมันที่มีขนาดเล็ก
2.การสูบบุหรี่ คนที่สูบบุหรี่จะทำให้เส้นเลือดที่ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงเซลล์เกิดการหดตัว ทำให้เลือดไม่สามารถเข้าไปหล่อเลี้ยงไขมันที่ทำการฉีดเข้าไปได้ จึงทำให้เซลล์ไขมันเกิดการสลายตัวมากขึ้น
3.ลักษณะการฉีดไขมัน การฉีดไขมันที่มีลักษณะเป็นร่างแหที่โปร่งไม่แน่นมากจะทำให้ไขมันมีโอกาสที่จะรอดมากกว่าการฉีดไขมันเป็นกลุ่มก้อน

สำหรับการฉีดไขมันเข้าสู่ร่างกายแล้ว บางครั้งผิวหนังบริเวณดังกล่าวอาจจะมีลักษณะไม่เรียบเนียนหรือมีลักษณะเป็นคลื่นขนาดเล็ก ซึ่งเมื่อเกิดลักษณะดังกล่าวสามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้เทคนิค Microfat ที่ทำให้ไขมันมีโมเลกุลที่เล็กลงแล้วจึงทำการฉีดไขมันเข้าไปเพื่อปรับผิวให้เรียบ ซึ่งต้องทำการสังเกตว่าที่ผิวไม่เรียบเนื่องจากไขมันเป็นก้อนหรือว่ามีการเกิดก้อนเนื้อที่เรียกว่า “ซีสต์” อยู่ภายใน ถ้าไม่เรียบเนื่องจากก้อนซีสต์จะต้องทำการเจาะเอาก้อนซีสต์ดังกล่าวออกมา และเมื่อระยะเวลาผ่านไปไขมันที่ฉีดเข้าสู่ร่างกายจะเกิดการยุบตัวลงอย่างช้า ๆ ซึ่งประมาณ 1 ปีขึ้นไปลักษณะการยุบตัวจะเห็นได้ชัดเจน แต่ในบางรายการยุบตัวของไขมันอาจจะสามารถสังเกตได้ชัดก่อนระยะเวลา 1 ปี ก็สามารถทำการฉีดไขมันเพิ่มไปยังบริเวณที่เกิดการยุบตัวของไขมันได้ แต่ปริมาณที่แพทย์แนะนำให้ทำการฉีดเพิ่มจะขึ้นอยู่กับอายุของผู้ที่ต้องการฉีด โดยผู้ที่มีอายุสูงสามารถฉีดได้ในปริมาณที่มากกว่าผู้ที่มีอายุน้อย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเกิดขึ้นน้อยกว่านั่นเอง และไขมันที่นำมาฉีดเพื่อเสริมสร้างและแก้ไขข้อบกพร่องของร่างกายไม่สามารถที่จะใช้ไขมันที่มาจากบุคคลอื่น เพราะมีความเสี่ยงในการเกิดปฏิกิริยาการต่อต้านมาก

[adinserter name=”sesame”]

ปัจจุบันนี้การดูดไขมันและการนำไขมันที่ดูดมาทำการฉีดเพื่อใช้ในการเสริมและแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ได้มีการพัฒนาทั้งวิธีการและเทคนิคด้วยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้เพื่อช่วยเพิ่มการประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้น สามารถทำการดูดไขมันออกมาได้อย่างเฉพาะเจาะจงและสามารถดูดได้ในปริมาณที่เหมาะสมจนสามารถสร้างรูปร่างให้ชัดเจนสมส่วนมากที่สุด และยังส่งผลให้สามารถสังเกตเห็นกล้ามเนื้อที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวได้อย่างชัดเจน รวมถึงการฉีดไขมันเข้าไปสู่บริเวณที่ต้องการสามารถเสริมส่วนที่ต้องการให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น หรือทำการปกปิดส่วนที่มีข้อบกพร่องได้อย่างเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ และสามารถความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนให้น้อยลง จึงทำให้การดูด ไขมันส่วนเกิน และการฉีดไขมันมีความปลอดภัยมมากขึ้น แต่การดูด ไขมันส่วนเกิน ออกจากร่างกายและการฉีดไขมันเข้าสู่ร่างกายไม่สามารถทำให้รูปร่างสวยงามได้ตลอดไป แต่ทั้งสองสิ่งนี้จะต้องทำควบคู่กับการดูแลร่างกาย ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักและผลไม้ ดื่มน้ำสะอาด งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้รูปร่างที่สวยงามสมส่วนก็จะอยู่กับคู่กับเรือนร่างของคุณไปตลอด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Glicenstein, J (1989). “L’affaire Dujarier” [Dujarier’s case]. Annales de Chirurgie Plastique Esthétique (in French). 34 (3): 290–2. PMID 2473691.

Sterodimas, A; Boriani, F; Magarakis, E; Nicaretta, B; Pereira, LH; Illouz, YG (March 2012). “Thirtyfour years of liposuction: past, present and future”. European review for medical and pharmacological sciences. 16 (3): 393–406. PMID 22530358.

เสริมหน้าอก เพิ่มเสน่ห์ผู้หญิง

0
เสริมหน้าอกเพิ่มเสน่ห์ผู้หญิง
เต้านมมีส่วนประกอบ คือ ไขมัน เนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อและต่อมน้ำนม เต้านมมีองค์ประกอบที่มีขนาดเล็ก ๆ
เสริมหน้าอกเพิ่มเสน่ห์ผู้หญิง
การศัลยกรรมเสริมนมให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น จำเป็นต้องใช้วัสดุใส่เข้าไปในเต้านมเพื่อให้เต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้น

เสริมหน้าอก

เสริมหน้าอก เพิ่มเสน่ห์ผู้หญิงความสวยของผู้หญิงประกอบด้วยหลายองค์ประกอบ ทั้งรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ สัดส่วนของร่างกายและหน้าอก ซึ่งนอกจากจะเป็นอวัยวะที่แสดงความเป็นผู้หญิงแล้วเต้านมยังเป็นอวัยวะที่มีอยู่ในผู้ชายด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าในผู้ชายหน้าอกจะไม่มีความสำคัญเท่ากับในผู้หญิง

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

เต้านมมีส่วนประกอบ คือ ไขมัน เนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อและต่อมน้ำนม เต้านม มีองค์ประกอบที่มีขนาดเล็ก ๆ ที่เรียกว่า Lobes ที่มีอยู่ประมาณ 15-20 หน่วยในแต่ละข้าง ซึ่ง Lobes จะมีลักษณะที่เหมือนพูขนาดเล็กวางเรียงตัวและประกอบกันเป็นวง โดยมีการกระจายจากจุดกึ่งกลางของเต้านมบานออกสู่บริเวณรอบถึงส่วนฐานของเต้านม ซึ่งภายในพูจะประกอบด้วยหน่วยย่อยขนาดเล็กรวมตัวกันอยู่ภายในอีก ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างน้ำนม และหน่วยเล็ก ๆ ทุกหน่วยจะมีท่อเชื่อมต่อถึงกันได้ โดยมีปลายท่อจะรวมตัวกันอยู่ที่บริเวณหัวนม ที่บริเวณท่อน้ำนมจะมีไขมันแทรกตัว
แต่ว่าในปัจจุบันโครงสร้างและขนาดของเต้านมในผู้หญิงบางคนมีขนาดที่เล็กไม่สมส่วนหรือไม่สวยงามตามสมัยนิยม จึงทำให้มีการพัฒนาการ ทำนม ขึ้น ซึ่งการ ทำนม ทีทั้งการสร้างเต้านมเทียมเพื่อเพิ่มขนาดของเต้านมให้มีขนาดตามที่ต้องการ หรือการผ่าตัดเพื่อลดขนาดของเต้านมในผู้ที่มีเต้านมใหญ่เกิดความต้องการ รวมถึงการทำให้เต้านมเต่งตึง มีรูปร่างที่สวยงามก็ทำได้เช่นเดียวกัน
ปัจจุบันนี้การ ศัลยกรรมตกแต่งเต้านม ไม่ได้เกิดขึ้นในหมู่ของผู้หญิงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะในกลุ่มของผู้ชายที่ต้องการแปลงเพศเป็นหญิงก็นิยมเข้ามาทำการศัลยกรรมเพื่อเพิ่มขนาดของเต้านมให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และมีลักษณะเหมือนผู้หญิงมากยิ่งขึ้นอีกด้วย หรือแม้แต่ในผู้หญิงที่ต้องการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางโครงสร้างให้เหมือนเพศชายก็ต้องทำการตัดเต้านมที่มีอยู่ออกไป เพื่อที่โครงสร้างของร่างกายจะมีหน้าอกที่แบนราบเหมือนเพศชายนั่นเอง

   [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

การเสริมหน้าอกต้องทำการเสริมในจุดที่ถูกต้องจึงจะสามารถทำการเสริมหน้าอกได้อย่างสวยงาม ซึ่งจุดที่นิยมทำการสร้างแผลเพื่อเสริมหน้าอกด้วยการใส่ถุงซิลิโคน มีอยู่ด้วยกัน 3 จุด คือ

1.จุดที่บริเวณฐานนม ( InfraMammary Fold; IMF )

การ เสริมหน้าอก ด้วยการสร้างแผลที่ส่วนของฐานมเป็นตำแหน่งที่ปัจจุบันมีการนิยมใช้กันมาก เนื่องจากที่บริเวณนี้สามารถปรับขนาดและตำแหน่งในส่วนฐานนมได้เป็นอย่างดี และเมื่อทำกรเลาะเนื้อเยื่อออกมาแล้วสามารถมองเห็นภายในเต้านมได้อย่างชัดเจน วิธีการเปิดแผลจะต้องทำการผ่าตัดเพื่อทำการแก้ไขด้วยการเปลี่ยนซิลิโคนที่ใส่เข้าไปใหม่ได้ แผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดสามารถซ่อนที่บริเวณใต้ฐานของเต้านมทำให้สังเกตเห็นได้ยาก แต่การสร้างแผลที่บริเวณดังกล่าวถ้าแพทย์วางตำแหน่งไม่เหมาะสม อาจจะส่งผลให้รอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นสังเกตเห็นได้ชัดเจนเช่นกัน

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

2.จุดที่บริเวณรักแร้ ( TransAxillar;TA )

การ เสริมหน้าอก ด้วยการสร้างแผลที่ส่วนของรักแร้ ( TransAxillar;TA ) การสร้างแผลที่บริเวณรักแร้เพื่อทำการเสริมหน้าอกสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อน และรอยแผลที่เกิดขึ้นก็จะสังเกตเห็นได้ยากอีกด้วย การผ่าตัดที่บริเวณรักแร้แม้จะสามารถซ่อนรอยแผลได้แต่เมื่อทำการเปิดแผลแล้วจะสังเกตโครงสร้างของเต้านมได้ยาก ทำให้ไม่การแก้ไขหรือลดขนาดของเต้านมหรือการผ่าตัดเพื่อทำการเลาะพังผืดเพื่อทำการแก้ไขเต้านมจะสามารถทำได้ยาก ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ที่ทำการผ่าตัดเท่านั้น ส่งผลให้การปรับขนาดของระดับที่บริเวณฐานเต้านม นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ส่วนของระบบทางเดินน้ำเหลืองที่บริเวณรักแร้ ที่อาจมีการรั่วซึมหรือเกิดการอักเสบได้

3.จุดที่บริเวณรอบลานนม ( Periareolar )

การ เสริมหน้าอก ด้วยการสร้างแผลที่ส่วนรอบลานนม ( Periareolar ) การผ่าตัดที่บริเวณรอลานนมสามารถที่จะเสริมขนาดของเต้านมให้มีขนาดตามที่ต้องการและสามารถทำการกระชับผิวหนังที่บริเวณเต้านมให้มีความกระชับเต่งตึงรวมถึงสามารถลดขนาดของลานนมให้มีขนาดตามที่ต้องการได้พร้อมกันด้วย แต่การผ่าตัดที่บริเวณนี้จะมีรอยแผลเกิดขึ้นที่บริเวณรอบลานของหัวนม ทำให้ประสาทรับรู้ที่บริเวณหัวนมเกิดความผิดปกติและอาจจะเกิดความผิดปกติในการให้นมบุตรอีกด้วย จึงทำให้วิธีนี้ไม่นิยมใช้ในการผ่าตัดเพื่อศัลยกรรมนม

การศัลยกรรมเสริมนมให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น จำเป็นต้องใช้วัสดุใส่เข้าไปในเต้านมเพื่อให้เต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งวัสดุที่นิยมใช้ในการเสริมหน้าอกคือ ถุงซิลิโคน ซึ่งถุงซิลิโคนมีวิธีการใช้ที่ทำการแบ่งตามลักษณะทางภายวิภาคของบริเวณหน้าอก ดังนี้

1.การใส่ซิลิโคน ( ถุงเต้านมเทียม ) ที่บริเวณเหนือกล้ามเนื้อ

คือ การใส่ถุงซิลิโคนที่บริเวณใต้เนื้อของเต้านมโดยตรง โดยทำการใส่ที่บริเวณใต้ชั้นเนื้อยื่อที่อยู่ในส่วนข้างใต้ของเนื้อเต้านม การใส่ถุงที่บริเวณนี้ร่างกายจะมีความรู้สึกเจ็บน้อยมากและต้องใช้เวลาในการพักฟื้นน้อย เพราะกล้ามเนื้อได้รับการกระทบกระเทือนน้อยแต่เต้านมที่สร้างขึ้นจะแลดูไม่เป็นธรรมชาติ เนื่องจากสามารถสังเกตเห็นสันหรือขอบของเต้านมเทียม แต่เห็นบริเวณขอบของเต้านมที่อยู่ด้านบนได้ไม่ชัด โดยเฉพาะในผู้ที่เต้านมมีเนื้อนมในปริมาณที่น้อยและผิวมีคุณภาพที่ไม่ดีนัก และในระยะยาวเต้านมอาจมีริ้วรอยเกิดขึ้นได้หรืออาจเกิดเต้านมแฝดได้ในภายหลัง  [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

2.การใส่ซิลิโคน ( ถุงเต้านมเทียม ) ที่บริเวณใต้กล้ามเนื้อ

คือ การใส่ถุงซิลิโคนไปยังบริเวณใต้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่อยู่ทางด้านหน้าของหน้าอก การใส่ถุงซิลิโคนที่บริเวณนี้จะแลดูเป็นธรรมชาติมาก จะไม่สามารถสังเกตเห็นขอบล่างและขอบบนได้ ลักษณะของเนินนมที่เกิดขึ้นจะดูสวยงามและลดความเสี่ยงในการเกิดนมแฝดได้เป็นอย่างดี แต่ว่าการผ่าตัดเพื่อ เสริมหน้าอก ที่บริเวณนี้จะต้องทำการเลาะและตัดกล้ามเนื้อที่บริเวณเต้านมออกบางส่วน ทำให้ร่างกายจะรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก จึงจำเป็นต้องใช้เวลาพักฟื้นนานและขนาดของซิลิโคนที่นำมาเสริมจะมีขนาดที่จำกัด เพราะกล้ามเนื้อสามารถยืดได้อย่างมีขีดจำกัด เต้านมที่เสริมจึงมีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนัก และเมื่อมีการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อก็จะสามารถสังเกตเห็นถุงซิลิโคนได้อย่างชัดเจน

3.การใส่ซิลิโคน ( ถุงเต้านมเทียม ) ที่บริเวณระหว่างเหนือเนื้อถึงใต้กล้ามเนื้อ

คือ การใส่ถุงเต้านมที่บริเวณครึ่งหนึ่งของถุงซิลิโคนอยู่ที่บริเวณใต้กล้ามเนื้อและอีกครึ่งหนึ่งอยู่ใต้ส่วนของเนื้อเต้านมนั่นเอง การผ่าตัดเพื่อใส่ถุงซิลิโคนที่บริเวณนี้ปัจจุบันนิยมใช้กันมาก เพราะลักษณะของเต้านมที่สร้างขึ้นดูเป็นธรรมชาติและสวยงาม ไม่สามารถสังเกตเห็นขอบของถุงเต้านมได้ และถุงซิลิโคนจะอยู่กับที่ไม่เคลื่อนที่ไปยังจุดอื่นได้ แต่การผ่าตัดวิธีนี้ต้องทำการตัดเอากล้ามเนื้อหรือทำการเลาะเนื้อในส่วนของเต้านมบางส่วนออกมากกว่าวิธีอื่น ร่างกายจึงต้องมีการฟักฟื้นนานและมีอาการปวดมากตามไปด้วย

การใส่ถึงเต้านมเทียมสามารถใส่ได้ทุกตำแหน่ง ขึ้นอยู่กับรูปร่าง ลักษณะของเต้านมที่ต้องการเสริม และขนาดของเต้านมที่ต้องการหลังจากการ เสริมหน้าอก ด้วยซิลิโคนแล้วด้วย ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยตำแหน่งให้กับผู้เข้ารับการผ่าตัด

ถุงซิลิโคนที่เราใช้อยู่ด้วยกันมีอยู่หลายแบบ แต่การแบ่งสามารถแบ่งได้ตามส่วนประกอบของแต่การแบ่งสามารถแบ่งได้ตามส่วนประกอบของถุงเต้านม คือ

1.เปลือกหุ้มที่อยู่ภายนอกของซิลิโคน ( ถุงเต้านมเทียม ) ส่วนของเปลือกถุงซิลิโคนจะทำจากสารซิลิโคน ซึ่งผิวของเปลือกหุ้มจะมีทั้งแบบผิวเรียบ ( smooth surface ) และแบบผิวหยาบคล้ายผิวทราย ( textured surface ) คือ เต้านมเทียมที่มีเปลือกให้สัมผัสที่รู้สึกขรุขระ ซึ่งความหยาบของเปลือกเต้านมเทียมมีตั้งแต่น้อยจนถึงผิวที่หยาบมาก ซึ่งผิวหยาบสามารถช่วยลดพังผืดที่เกิดขึ้นหลังจากใส่ถุงซิลิโคนได้บางส่วน

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

2.วัสดุที่อยู่ภายในของซิลิโคน ( ถุงเต้านมเทียม ) สารที่บรรจุอยู่ภายในถุงซิลิโคนมีอยู่ด้วยการหลายชนิด ได้แก่ น้ำเกลือ ซิลิโคน เจล และน้ำมันพืช ซึ่งน้ำเกลือเป็นวัสดุที่นิยมใช้ใส่ภายในถุงซิลิโคนเป็นอย่างมาก เพราะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่มีข้อเสียคือเมื่อใช้ไปนาน ๆ แล้วน้ำเกลือจะเกิดการรั่วซึมออกมาทำให้ต้องทำการผ่าตัดใส่ถุงอันใหม่เข้าไปแทน ต่อมาได้มีการพัฒนาใช้ซิลิโคนเจล ที่มีความหนึบ มีความทนทานและความปลอดภัยสูง และถุงซิลิโคนที่ได้มีความเป็นธรรมชาติ
ถุงเต้านมที่นำมาใช้ในการเสริมขนาดหน้าอกมีอยู่ด้วยกันหลายรูปทรง เช่น ทรงกลมพุ่งสูง ทรงกลมพุ่งกลาง ทรงกลมพุ่งต่ำและทรงหยดน้ำ การเลือกใช้จะขึ้นอยู่กับโครงสร้างด้านสรีระ ซึ่งแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดจะเป็นผู้แนะนำ ในอดีตได้มีการวิจัยและสรุปออกมาว่าถุงเต้านมมีอายุโดยประมาณของซิลิโคนนจะอยู่ที่ประมาณ 10 ปี แต่ในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีและคุณภาพของซิลิโคนที่นำมาใช้ในการผลิตถุงเต้านมที่มีสูงมาก ทำให้ถุงเต้านมมีอายุที่ยาวนานมากกว่า 10 ปี ซึ่งการที่เราจะรู้ได้ว่าถุงเต้านมที่ใช้อยู่หมดอายุหรือสามารถสังเกตได้จากปฏิกิริยาของร่างกาย ถ้าไม่มีอาการปวดหรืออักเสบแสดงว่าถุงเต้านมยังใช้ได้ หรือสามารถเข้าไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจสอบคุณภาพของถุงเต้านมที่ใช้อยู่ได้เช่นเดียวกัน

ขนาดของถุงเต้านมที่ใส่เพื่อเสริมขนาดของเต้านมให้ใหญ่ขึ้น ใช่ว่าทุกคนจะสามารถใส่ได้ทุกขนาดตามความต้องการ แต่ต้องขึ้นอยู่กับ ความเหมาะสมและลักษณะทางกายวิภาคหน้าอกของตนเองด้วย วิธีการประเมินไซส์ซิลิโคนจะสามารถประเมินได้จากความหนาของเนื้อเต้านม ความกว้างของหน้าอก ที่ทำการวัดจากกระดูกไหปลาร้า กระดูกทรวงอก บริเวณหัวนม บริเวณลานนมและบริเวณฐานเต้านม ซึ่งขั้นตอนและวิธีการแพทย์ผู้ทำการศัลยกรรมจะเป็นผู้คำนวณตามความถนัดของตนเอง ค่าที่คำนวณออกมาได้จะเป็นค่าน้อยสุดถึงค่าที่มากสุดที่ของขนาดเต้านมที่สามารถเลือกขนาดได้นั่นเอง ซึ่งก่อนที่จะทำการเสริมหน้าอกแพทย์ยังจะต้องทำการตรวจร่างกายก่อนทำการผ่าตัดทุกอย่างรวมถึงการตรวจเต้านมเพื่อตรวจหาความเสี่ยงโรคที่เกี่ยวกับเต้านมด้วยทุกครั้ง ซึ่งการตรวจจะเน้นไปที่การตรวจหาโรคและความผิดปกติที่บริเวณกระดูกทรวงอก กล้ามเนื้อ ผิวหนังและต่อมน้ำเหลือง ผู้ที่ต้องเข้ารับการตรวจสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

1.กลุ่มคนมีประวัติ คือ กลุ่มคนที่บุคคลในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคเกี่ยวกับเต้านม เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือเคยได้รับยาฮอร์โมนหรือยาคุมกำเนิดติดต่อกันเป็นระยะเวลาที่นาน ซึ่งอาจมีความเสี่ยงในการเกิดโรคที่บริเวณเต้านมได้

2.กลุ่มที่มีความผิดปกติ คือ กลุ่มที่เคยตรวจพบความผิดปกติที่บริเวณเต้านม เช่น ก้อนเนื้อที่บริเวณเต้านม ผู้ที่มีอาการเจ็บเต้านมบ่อยหรือมากผิดปกติ มีน้ำไหลออกมาจากหัวนมหรือมีแผลเกิดขึ้นที่ผิวหนังของเต้านมโดยไม่ทราบสาเหตุ สำหรับการตรวจเต้านมแล้วพบว่าคนไข้มีก้อนเนื้อต้องทำการตรวจอย่างถี่ถ้วนว่าก้อนเนื้อดังกล่าวเป็นอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ ถ้าเป็นก้อนเนื้อที่ไม่เป็นอันตรายก็สามารถทำการเสริมหน้าอกได้

3.กลุ่มที่มีอายุเกิน 35 ปี คนในกลุ่มนี้หากต้องการเสริมหน้าอกจะต้องทำการตรวจคัดกรองโรคที่มีความเสี่ยงที่บริเวณเต้านมอย่างละเอียด
หลายคนที่เข้ารับการผ่าตัดเสริมหน้าอกต้องการเต้านมที่ใหญ่เกิดความจำเป็น แต่แพทย์ไม่ทำการเสริมให้ตามขนาดที่ต้องการ เนื่องจากการเสริมหน้าอกที่มีขนาดใหญ่เกินความจำเป็นจะต้องทำการเลาะเนื้อหรือกล้ามเนื้อให้เกิดช่องว่างที่มีขนาดใหญ่ตามขนาดของซิลิโคน จึงมีความเสี่ยงที่เส้นประสาทและเส้นเลือดจะถูกตัดออก ส่งผลให้เกิดอาการชา เลือดออกมากและมีอาการเจ็บปวดมาก และในระยะยาวจะมีอาการ ผิวหนังแตกลาย หนังเกิดการยืดคราก เต้านมมีการย้อยต่ำมากกว่าปกติ เต้านมมีลักษณะเป็นลอนคลื่นอย่างเห็นได้ชัด บริเวณหัวนมและเต้านมมีความรู้สึกชาหรือไร้ความรู้สึก การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นทำได้ด้วยการผ่าตัดใหญ่เท่านั้น และบางปัญหาไม่สามารถแก้ไขให้เต้านมกลับมาสวยงามเช่นเดิมได้

การเสริมหน้าอกต้องทำการเสริมในจุดที่ถูกต้องจึงจะสามารถทำการเสริมหน้าอกได้อย่างสวยงาม ซึ่งจุดที่นิยมทำการสร้างแผลเพื่อเสริมหน้าอกด้วยการใส่ซิลิโคน

ผู้ที่สามารถทำการเสริมหน้าอกได้ควรมีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป สำหรับหญิงที่ให้นมบุตรควรหยุดให้นมบุตรหรือหยุดปั้มนมอย่างน้อย 6 เดือนเพื่อที่เต้านมจะกลับเข้าสู่สภาพปกติก่อนที่จะมีน้ำนมหรือผู้ที่อยู่ในสภาวะการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนักหรือเพิ่มน้ำหนักต้องรอให้น้ำหนักคงที่อย่าองน้อย 6 เดือนเช่นเดียวกัน เพื่อที่ขนาดของซิลิโคนที่เสริมเข้าไปจะได้พอดีกับขนาดของลำตัวนั่นเอง ผู้ที่ทำการเสริมหน้าอกแล้วเมื่อตั้งท้องก็สามารถให้น้ำนมบุตรได้ตามปกติแต่ปริมาณน้ำนมที่มีอยู่อาจจะน้อยกว่าคนที่ไม่ได้เสริมหน้าอกอยู่บ้าง    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

ก่อนที่ทำการผ่าตัดผู้เข้ารับการผ่าตัดต้องเตรียมตัวเพื่อเข้ารับการผ่าตัด ดังนี้

1.งดสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างน้อย 3 สัปดาห์- 1 เดือนก่อนเข้ารับการผ่าตัด

2.งดรับประทานยา อาหารเสริม วิตามินทุกชนิด

3.งดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดก่อนการเข้ารับการผ่าตัด 6-8 ชั่วโมงก่อนเข้ารับการผ่าตัด

4.แจ้งแพทย์ทุกครั้งถ้ามีอาการแพ้ยาหรือสารเคมีตัวใด เพื่อที่แพทย์จะได้หลีกเลี่ยงการใช้ที่อยู่ในกลุ่มดังกล่าว

5.เลือกสถานที่ให้บริการที่ได้รับมาตรฐานชัดเจนเพื่อความปลอดภัยของชีวิต และลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อน

นอกจากการ เสริมหน้าอก ด้วยการใส่เต้านมเทียมแล้ว ยังมีการเสริมหน้าอกด้วยการฉีดไขมันเข้าสู่เต้านม
ซึ่งการฉีดไขมันเพื่อเสริมขนาดของเต้านมจะทำการดูดไขมันจากส่วนอื่นของร่างกายมาทำการฉีดเข้าสู่เต้านมเพื่อเพิ่มขนาดของเต้านม แต่เมื่อทำการฉีดไขมันเข้าไปแล้ว ไขมันจะมีการยุบตัวลงและสลายตัวสูงสุดถึงร้อยละ 70 การฉีดไขมันจึงคงอยู่ไม่นานและขนาดที่สามารถเพิ่มขึ้นได้ก็ไม่ใหญ่มากเหมือนกับการเสริมด้วยซิลิโคน การฉีดไขมันเข้าสู่เต้ามีการใช้กันมาอย่างยาวนานเพื่อรักษาความผิดปกติของเต้านม เช่น เต้านมที่มีเนื้อบางมาก เต้านมที่มีผิวเป็นลอนคลื่น เต้านมที่มีพังผืด เป็นต้น ซึ่งการฉีดไขมันจะสามารถแก้ไขปัญหาได้บางส่วนเท่านั้น ข้อดีของการฉีดไขมันคือมีความเสี่ยงในการเกิดปฏิกิริยาการต่อต้านน้อยเนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายอยู่แล้วเพียงแต่ย้ายที่อยู่เท่านั้นเอง ปัจจุบันได้มีการนำฟิลเลอร์มาฉีดเพื่อเพื่อขนาดของเต้านม ซึ่งการนำฟิลเลอร์มาฉีดเข้าสู่เต้านมจัดเป็นอันตรายต่อร่างกายมาก เพราฟิลเลอร์ไม่สามารถสลายได้เอง จึงเกิดสารตกค้างทำให้เต้านมเกิดอาการอักเสบซึ่งบางครั้งไม่สามารถทำการรักษาได้จนต้องทำการตัดเต้านมทิ้งก็มี
เมื่อเข้ารับการผ่าตัดแล้วผู้ปวยจะต้องพักฟื้นประมาณ 7-14 วันจึงจะสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ และอาการปวดจะเกิดขึ้นเพียงแค่ะ 2-5 วันแรกหลังจากการผ่าตัดเท่านั้น ซึ่งแพทย์จะให้ยาแก้ปวดและลดอาการอักเสบ  [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

ในการผ่าตัดถ้ามีการเตรียมความพร้อมของร่างกายไม่ดี หรือเกิดความผิดพลาดในขณะที่ทำการผ่าตัดก็อาจเกิดอาการแทรกซ้อนได้ ดังนี้

1.อาการชา

อาการชาอาจเกิดขึ้นเนื่องจากมีการตัดเส้นประสาทที่บริเวณเต้านมโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งอาการดังกล่าวจะหายไปเองหลังจากเข้ารับการผ่าตัด 3-6 เดือน

2.อาการเสียว

อาการเสียวเกิดขึ้นจากการที่เส้นประสาทที่บริเวณเต้านมเกิดการยึดหรือตึง หรือบริเวณปลอกเส้นประสาทมีอาการบาดเจ็บ ซึ่งอาการเสียจะหายไปได้เองหลังจากเข้ารับการผ่าตัดประมาณ 2-3 สัปดาห์

3.อาการนมแฝด

คือ ภาวะที่นมมีการชิดกันมากเกินไป ซึ่งมีลักษณะเหมือนเต้านมแฝด เกิดจากการที่ฐานของเต้านมทั้ง 2 ข้างเชื่อมติดกัน ทำให้นมไม่มีกล้ามเนื้อตรงกลางทำการแบ่งเต้าทั้งสองออกจากัน สาเหตุของการเกิดเต้านมแฝด คือ

1.ซิลิโคนที่ใส่เข้าไปในเต้านมมีขนาดที่ใหญ่มากเกินไป

2.ทำการใส่ซิลิโคนที่บริเวณเหนือกล้ามเนื้อ

3.มีการเลาะโพรงที่บริเวณใกล้กับตรงกลางของส่วนของกระดูกจนชิดกันมากเกินไป

4.เนื้อเยื่อมีการสูญเสียความยืดหยุ่น

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

5.หลังจากการผ่าตัดที่บริเวณโพรงของถุงซิลิโคนมีอาการครากและยืดตัวออก ที่มักเกิดจากได้รับการนวดที่รุนแรง

6.เกิดแต่กำเนิดเนื่องจากตัวผู้ป่วยหรือผู้ป่วยมมีขนาดของเต้านมและน้ำหนักของเต้านมที่มากผิดปกติ

ซึ่งการแก้ไขอาการนมแฝดนี้ทำได้ยาก ส่วนมากแพทย์จะแนะนำวิธีป้องกันก่อนที่จะทำการ เสริมหน้าอก เพื่อลดความเสี่ยงและในการเสริมหน้าอกไม่ควรเสริมด้วยการใส่ซิลิโคนที่มีขนาดใหญ่มากเกินและไม่ทำการนวดที่รุนแรงในบริเวณเต้านม แต่เมื่อมีการเกิดนมแฝดขึ้นแล้ว จะต้องผ่าตัดเพื่อเอาเต้านมเก่าออกและทำการเสริมหน้าอกใหม่เข้าไปแทนที่ ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการที่ยากมาก ส่วนมากจะต้องทำการดูดนมเก่าออกและพักร่างกายแล้วจึงจะสามารถทำการเสริมหน้าอกใหม่ได้ในภายหลัง

4.อาการนมห่าง

คือ สภาวะที่เต้านมมีความห่างมากกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งสาเหตุของเต้านมห่างเกิดขึ้นจาก

1.โครงสร้างของกระดูกที่บริเวณหน้าอกที่นูนและมีการออกห่าง หรือที่เรียกว่า “อกอกถังเบียร์”

2.มีเนื้อที่บริเวณเต้านมน้อย จึงทำให้เต้านมห่างออกจากัน

3.มีการเกิดพังผืดที่บริเวณเต้านมเทียม พังผืดจึงทำการรั้งซิลิโคนให้ออกห่างจากกัน

4.ขนาดของถุงซิลิโคนมที่ใช้ในการ เสริมหน้าอก มีขนาดเล็กเกินไป

5.บริเวณที่ทำการใส่ซิลิโคนอยู่ห่างกันมากเกินไป

ซึ่งอาการนมห่างสามารถแก้ไขอด้วยการเลาะเอาซิลิโคนให้มาอยู่ใกล้กันมากขึ้น หรือทำการใส่ซิลิโคนให้มีขนาดใหญ่ขึ้น หรือทำการฉีดไขมันเข้าไปเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณของเนื้อที่อยู่ด้านในและเพิ่มขนาดของ เนินนม ให้มากขึ้น นมจะได้ชิดกันมากขึ้น แต่ถ้ามีความผิดปกติมากจากโครงสร้างของกระดูกจะไม่สามารถแก้ไขได้
การเสริมหน้าอกสามารถทำการเสริมได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ขั้นตอนและวิธีการผ่าตัดเพื่อเสริมหน้าอกจะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับลักษณะของร่างกายนั่นเอง  [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

การปฏิบัติตนให้เต้านมหายและได้รูปทรงที่สวยงามหลังผ่าตัด

ผู้ที่ทำการ เสริมหน้าอก มาแล้ว สิ่งที่มีความจำเป็นก็ คือ เสื้อชั้นใน ที่ต้องใส่ติด เต้านม อยู่เสมอ การใส่เสื้อชั้นในก็เพื่อลดอาการอักเสบ เพิ่มความกระชับให้กับเต้านม และลดอาการบวมได้เป็นอย่างดี จึงควรเลือกใส่เสื้อชั้นในที่มีความยืดหยุ่นและกระชับพอดีกับเต้านม อย่าใส่เสื้อช้นในที่คับหรือหลวมจนเกินไป และผู้ที่ทำการเสริมหน้าอกมาแล้วสามารถออกกำลังกายได้หลังจากทำการผ่าตัดมาแล้วประมาณ 1 -1.5 เดือน และควรเลือกออกกำลังกายเบา ๆ ก่อน เพื่อให้ร่างกายปรับตัวกับขนาดของเต้านมที่มีขนาดเพิ่มขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดการอักเสบขณะออกกำลังกาย หรือบางท่านต้องการทำการนวดเพื่อให้กล้ามเนื้อเต้านมมีควมยืดหยุ่นรับกับวัสดุที่เสริมเข้าไปในเต้านม ซึ่งการนวดสามารถทำได้แต่ควรเป็นการนวดเพียงเบา ๆ เท่านั้น และควรนวดเพียงรอบเดียวต่อวันอย่านวดซ้ำวนไปมา เพราะเต้านมอาจเกิดการอักเสบจากการนวดได้ เต้านมที่ทำการผ่าตัดมาจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติประมาณ 2-3 เดือนหลังจากเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดก็จะต้องปฏิบัติตนดังนี้ เพื่อให้เต้านมหายและได้รูปทรงที่สวยงาม

1.นอนหงายหรือนอนตะแคง

หลังจากผ่าตัดแล้วควรนอนด้วยท่านอนหงายหรือนอนตะแคงเท่านั้น ห้ามนอนคว่ำ โดยเฉพาะในช่วง 1-3 สัปดาห์หลังจากเข้ารับการผ่าตัดแล้ว และควรใส่เสื้อชั้นนอนเพื่อช่วยพยุง เต้านม ให้อยู่กับทีไม่เคลื่อนที่ไปมาขณะที่นอนหลับ

2.งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 3 สัปดาห์หลังจากการผ่าตัด เสริมหน้าอก เพื่อที่แผลจะได้สมานตัวเร็วขึ้น และลดการเกิดพังผืดที่ทำให้เกิดการบวมของเนื้อที่บริเวณเต้านม หรือการคั่งของเลือดและน้ำภายในเต้านม

3.รับประทานอาหารที่สด สะอาด เช่น ไข่ไก่ อาหารทะเล หมู ปลาผักและผลไม้สามารถรับประทนได้ทุกชนิด

4.งดอาหารหมักดอง เพื่อลดความเสี่ยงในการได้รับสารพิษที่อยู่ในอาหารหมักดอง

สำหรับผู้ที่ทำการ เสริมหน้าอก แล้วไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นมะเร็งเต้านม เนื่องจากมีการทำสถิติพบว่าผู้ที่ไม่ได้ทำการเสริมหน้าอกพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมใกล้เคียงกับผู้ที่ทำการเสริมหน้าอก จึงสรุปได้ว่าการเสริมหรือไม่เสริมหน้าอกไม่มีผลต่อการเป็นมะเร็ง ผู้ที่ทำการเสริมหน้าอกสามารถทำการตรวจแบบเมมโมแกรมและอัตราซาวด์ได้ปกติ แต่ต้องมีการตรวจแบบอื่นร่วมด้วย ผลที่ได้จากการตรวจจึงจะมีความแม่นยำ และผู้ทำการเสริมหน้าอกไม่จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเป็นประจำ แต่ถ้าเต้านมมีความผิดปกติ เช่น รูปร่างเปลี่ยนไป รู้สึกมีน้ำรั่วซึม หรือเกิดรอยแผลต้องรีบไปพบแพทย์ในทันที    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

นอกจากการเพิ่มขนาดของเต้านมแล้ว ยังมีการ ศัลยกรรมเต้านม อีกอย่างหนึ่ง คือ การลดขนาดของเต้านม ซึ่งการลดขนาดของเต้านมจะทำในคนที่มีขนาดเต้านมใหญ่ จนทำให้เกิดอาการปวดคอ ปวดไหล่ ปวดหลัง หรือมีเชื้อราเกิดขึ้นที่บริเวณใต้ราวนม หรือในผู้ที่มีความผิดปกติของเต้านม เช่น ในผู้ชายที่มีเต้านมโตเนื่องจากความผิดปกติจากฮอร์โมนทำให้นมโตหรือการเกิดเนื้องอกที่บริเวรเต้านม หรือในผู้ที่ต้องการแปลงเพศ่จากผู้หญิงเป็นผู้ชาย ซึ่งแพทย์จะต้องทำการประเมินทั้งด้านจิตใจและร่างกายก่อนทำการผ่าตัดร่วมด้วย

ซึ่งการผ่าตัดลดขนาดของเต้านมมีข้อควรระวังดังนี้

1.เส้นประสาทที่บริเวณหน้าอกหายไปทำให้หน้าอกไม่มีความรู้สึก

2.แผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดมีขนาดที่ใหญ่มาก จึงมีความเสี่ยงในการเกิดรอยแยกของแผล การติดเชื้อ และเนื้อตายได้

3.ในระยะยาวเต้านมอาจมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นได้ จึงต้องทำการผ่าตัดซ้ำอีก

สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติที่เต้านม เช่น เกิดก้อนเนื้อหรือก้อนเนื้อร้อยที่บริเวณเต้านม เมื่อทำการตัดเต้านมทิ้งไปแล้วสามารถทำการเสริมขนาดของเต้านมให้กลับมามีชนาดที่เท่าเดิมได้ ด้วยการใช้เทคนิคการเอาเนื้อส่วนอื่อนของร่างกายมาทำการตัดปะที่บริเวณเต้านมหรือการนำเต้านมเทียมมาใช้แทนก็ได้เช่นเดียวกัน

นอกจากการผ่าตัดเพื่อลดขนาดเต้านมแล้วยังสามารถยังสามารถทำการผ่าตัดเพื่อปรับปรุงลักษณะของเต้านมได้อีก ดังนี้

1.ผ่าตัดลดขนาดลานนม

การผ่าตัดเพื่ลดขนาด ลานนม ทำได้ด้วยการฉีดยาชาและทำการเย็บรอบบานนมให้มีขนาดที่เล็กลง ซึ่งการผ่าตัดลดลานนมสามารถทำการกระชับเต้านมให้มีความเต่งตึงมากขึ้นด้วย

2.การผ่าตัดลดขนาดของหัวนม

ด้วยการผ่าตัดเอาเนื้อบางส่วนของหัวนมออกไปและทำการเย็บแผล การผ่าตัดลดขนาดหัวนมจะทำให้หัวนมชาหรือมีความรู้สึกน้อยลง และผู้ที่ให้นมบุตรน้ำนมอาจจะไหลน้อยลงเนื่องจากช่องทางออกของน้ำนมน้อยลงนั่นเอง  [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

3.การผ่าตัดแก้หัวนมบอด

หัวนมบอดสามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดไขมันในกรณีที่หัวนมบอดเล็กน้อย แต่ถ้าหัวนมบอดลึกมากต้องทำการผ่าตัดเพื่อดึงหัวนมออกมา

เมื่อทำการผ่าตัด เสริมหน้าอก มาแล้ว และผ่านไปสักระยหนึ่งร่างกายมีความเปลี่ยนแปลงตามอายุ ผิวหนังเริ่มมีความหย่อนคล้าย ทำให้เต้านมเกิดความหย่อนยานจึงจำเป็นต้องทำการยกกระชับเต้านมเพื่อให้เต้านมมีรูปทรงที่สวยงาม ซึ่งการยกกระชับเต้านมมีอยู่ด้วยกันดังนี้

1.การร้อยไหม คือการนำไหมหลาย ๆ เส้นเข้าไปไว้ภายในเต้านมและนำไปแขวนไว้กับกระดูกส่วนของไหปลาร้า สามารถใช่ในกรณีที่เต้านมมีความหย่อนยานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

2.การผ่าตัดเพื่อยกกระชับ วิธีนี้การตัดเอาเนื้อของนมและผิวหนังส่วนที่หย่อนยานออกไป และทำการเลื่อนตำแหน่งอขงหัวนมและลานนมให้สูงข้น ซึ่งสามารถลดขนาดลานนมและยกกระชับเต้านมได้เป็นอย่างดี ซึ่งวิธีนี้ได้รับความนิยมกันมาก

การผ่าตัดยกกระชับเป็นการผ่าตัดที่ต้องใช้ความชำนาญมากกว่าการผ่าตัด เสริมหน้าอก มาก ดังนั้นควรเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการยกกระชับในการให้บริการ เพื่อผลการผ่าตัดที่ออกมาสมบูรณ์ไม่มีอาการข้างเคียงเกิดขึ้น และก่อนทำการผ่าตัดต้องทำความเข้าใจกับแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดเสียก่อนว่าจะต้องผ่าตัดแผลลักษณะใดในการยกกระชับ ซึ่งแผลที่ใช้ในการผ่าตัดยกกระชับมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ คือ

1.การผ่าตัดแผลที่บริเวณรอบลานนม

2.การผ่าตัดแผลที่บริเวณรอบลานนมและแผลที่เป็นแนวตั้งจากบริเวณขอบล่างของลานนม ขึ้นมาจรดบริเวณฐานนม

3.การผ่าตัดแผลที่มีลักษณะคลายกับตัวทีคว่ำหรือคล้ายกับสมอเรือ

[adinserter name=”navtra”]

การผ่าตัดจะใช้แผลลักษณะใดก็ขึ้นอยู่กับลักษณะความหย่อยยานของเต้านมด้วย ซึ่งการยกกระชับที่ต้องการทำนั้นจำเป็นต้องมีการ เสริมหน้าอก เทียมเข้าไปอีกหรือไม่ เพราะว่าในรายที่มีเนื้อนมที่ส่วนของเต้านมเนินอกน้อยมาก การผ่าตัดเพื่อยกกระชับจะไม่สามารถทำการยกกระชับให้เต้านมเต่งตึงได้ แต่ต้องทำการ ทำนม เข้าไปร่วมด้วย เต้านมจึงจะเต่งตึงสวยงาม และโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จะต้องเกิดขึ้นนอ้ยที่สุดด้วย เนื่องจากการผ่าตัดเพื่อยกกระชับเต้านมจะต้องมีการวางยาสลบในขณะที่ทำการผ่าตัด และหลังการผ่าตัดแพทย์จะทำการใส่สายระบายเลือดไว้ที่ส่วนในของ เต้านม และติดไว้ประมาณ 24 ชั่วโมงจึงจะนำออกและทำการปิดแผล ผู้ป่วยสามารถที่จะกลับมาพักฟื้นที่บ้านและรับประทานยาปฏิชีวนะ ยาลดอาการบวมและยาแก้ปวด หลังจากผ่าตัด 5-10 วัน แพทย์จะทำการตรวจแผลอีกครั้งเพื่อดูความเรียบร้อยของแผลที่เกิดขึ้น และหลังจากนั้น 1 เดือนผู้ป่วยสามารถทำการออกกำลังกายเบา ๆ ได้ จนผ่านไป 3 เดือนร่างกายจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ แม้ว่าการยกกระชับจะสามารถยกกระชับเต้านมได้แต่ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้นเต้านมก็ย่อมที่จะมีโอกาสที่จะกลับมาหย่อนยานได้อีก ดังนั้นการเสริมขนาดของเต้านมจึงไม่ควรเสริมให้มีขนาดที่ใหญ่มากเกินไป และต้องใส่ชุดชั้นในเพื่อยกกระชับเต้านมอยู่ตลอดเวลา

การผ่าตัดเสริมหรือลดขนาดเต้านมมีทั้งข้อดีและข้อควรระวังดังนั้นก่อนที่จะทำการผ่าตัดทุกครั้ง ควรศึกษาหาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจ เพราะการผ่าตัด ทำนม ที่ดีสามารถสร้างความมั่นใจและโอกาสทางสังคมให้มากได้เช่นกัน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Yalom (1998) pp. 9–16; see Eva Keuls (1993), Reign of the Phallus: Sexual Politics in Ancient Athens for a detailed study of male-dominant rule in ancient Greece.

Yalom (1998), p. 18.
“Bra Cup Sizes—getting fitted with the right size”. 1stbras.com. Archived from the original on 8 March 2016. Retrieved 11 May 2010.

การดูดไขมันที่ให้ผลลัพธ์ 15 เท่า

0
การดูดไขมันที่ให้ผลลัพธ์ 15 เท่า
การดูดไขมัน เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีลักษณะเป็นการเจาะเพื่อดูดเอาเฉพาะส่วนไขมัน
การดูดไขมันที่ให้ผลลัพธ์ 15 เท่า
การดูดไขมัน เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีลักษณะเป็นการเจาะเพื่อดูดเอาเฉพาะส่วนไขมัน

ดูดไขมัน

แม้ว่าการมีรูปร่างที่ผอมเพรียวจะเป็นกระแสแฟชั่นอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตามสมัยนิยม อย่างเมื่อหลายสิบปีก่อนเราก็จะชื่นชอบคนที่มีรูปร่างเจ้าเนื้อ ดูมีน้ำมีนวลสักหน่อย ต่อมาก็กลายเป็นคลั่งไคล้หุ่นบางๆ ราวกับจะปลิวไปตามลมได้ และล่าสุด เนื่องจากกระแสรักสุขภาพมาแรงมาก เลยส่งผลให้คนนิยมรูปร่างผอมเพรียวและฟิตเฟิร์มอย่างเดียวกับที่เหล่านักกีฬามีกัน เมื่อเป็นอย่างนี้หลายคนจึงมองว่ามันเป็นเรื่องที่เดี๋ยวมาเดี๋ยวไป เอาแน่นอนไม่ได้ และยึดเอาเป็นข้ออ้างในการลดน้ำหนักและ ดูดไขมัน ส่วนเกิน แต่อยากให้มองอีกมุมหนึ่งก็คือเรื่องของสุขภาพด้วย

เพราะไม่ว่าอย่างไรการมีรูปร่างผอมบางและสมส่วนย่อมดีกว่าปล่อยให้ตัวเองเกิดภาวะอ้วนลงพุงแน่นอน จากสถิติเดิมที่เคยมีมาก็ชี้ชัดแล้วว่าคนอ้วนมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ มากกว่าปกติหลายเท่า ดังนั้นหากไม่สนใจตามกระแสแฟชั่น ก็หันมาสนใจสุขภาพร่างกายของเราเอง ด้วยการ กำจัดไขมัน ส่วนเกินออกไป ไม่ใช่แค่สุขภาพดีเท่านั้นที่จะได้ ผิวพรรณและบุคลิกภาพก็จะดีขึ้นด้วย

แต่ปัญหาหนึ่งในการกำจัดไขมันก็คือ ทำได้ค่อนข้างยากและต้องมีวินัยมากเพียงพอ การกำจัดไขมันนั้นแตกต่างจากการลดน้ำหนัก เพราะน้ำหนักที่หายไปจากร่างกายอาจไม่ใช่ส่วนของไขมันก็ได้ แต่เป็นน้ำและมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ย่อมต่างกันอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ในคนที่มีภาวะอ้วนบางคน จะมีเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการออกกำลังกายอยู่ ยิ่งอ้วนมากก็จะยิ่งมีข้อจำกัดมากด้วย เช่น ไม่สามารถออกกำลังบางประเภทได้ เพราะมีผลกับข้อต่อต่างๆ หรือไม่สามารถออกแรงอย่างต่อเนื่องได้ เพราะระบบหายใจและอัตราการเต้นของหัวใจรับไม่ไหว เป็นต้น ดังนั้นจึงมีอีกทางออกหนึ่งซึ่งถูกใช้ค่อนข้างมากในทางการแพทย์ของเมืองนอก นั่นก็คือ การดูดไขมัน

การดูดไขมัน เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีลักษณะเป็นการเจาะเพื่อดูดเอาเฉพาะส่วนไขมัน ซึ่งสามารถกำหนดได้ว่าจะดูดไขมันบริเวณไหน ท้องแขน ต้นขา หน้าท้อง เหนียงใต้คาง ทำได้ทั้งนั้น เพียงแค่ชั่วอึดใจก็จะเปลี่ยนร่างใหม่กลายเป็นคนละคนได้เลย แต่ก็ต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วยเช่นกัน ก่อนการดูดไขมันจำเป็นต้องผ่านการตรวจร่างกายเบื้องต้น และวัดค่าความเสี่ยงจากโรคประจำตัวหรือสภาวะทางร่างกายอื่นๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดด้วยว่าจะต้องมีน้ำหนักหรือมวลไขมันขั้นต่ำเท่าไรจึงจะดูดไขมันได้ ใครที่มีรูปร่างเพียงแค่อวบๆ ก็จะไม่สามารถกำจัดไขมันด้วยวิธีที่ว่านี้ได้

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะเกิดคำถามขึ้นมาว่าการ ดูดไขมัน เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปร่างในเวลาอันรวดเร็ว จะมีอันตรายมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องตอบว่าหากทำตามขั้นตอนและวิธีการที่ถูกต้องแล้ว แทบจะไม่มีอันตรายอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะการดูดไขมันมีข้อกำหนดค่อนข้างเยอะ ที่จะช่วยป้องกันอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายได้ เช่น กำหนดน้ำหนักและมวลไขมันขั้นต่ำของคนที่ต้องการดูดไขมัน กำหนดช่วงอายุ กำหนดขอบเขตของโรคประจำตัวที่สามารถรองรับการดูดไขมันได้ เป็นต้น กว่าจะได้เข้ารับการรักษาจริงๆ หลายคนต้องใช้เวลาเตรียมตัวอยู่เป็นเดือน อีกอย่างการดูดไขมันนั้นไม่ใช่การดูดไขมันทั้งหมดออกไปภายในคราวเดียว เนื่องจากว่าปริมาณมากที่สุดในการดูดไขมันแต่ละครั้งอยู่ที่ราวๆ 5 ลิตรเท่านั้น หากต้องการกำจัดไขมันมากกว่านี้ก็ต้องมาทำการดูดไขมันเพิ่มในครั้งต่อไป ทั้งหมดนี้ก็เพื่อไม่ให้ร่างกายเกิดอาการช็อคกับความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วเกินไปนั่นเอง

บริเวณใดบ้างของร่างกายที่สามารถใช้เทคนิคการดูดไขมันได้

ไม่ว่าเราจะอ้วนลงพุงมากขนาดไหน ก็ไม่ใช่ว่าทุกสัดส่วนจะสะสมไขมันได้มากเหมือนกันหมด บางส่วนแทบไม่มีไขมันสะสมอยู่เลย เช่น ข้อเท้า ข้อมือ หัวเข่า เป็นต้น จึงไม่ใช่ทุกส่วนของร่างกายที่ทำการ ดูดไขมัน ได้ รวมไปถึงบริเวณที่มีความเสี่ยงสูง อย่างเช่นพื้นที่ที่มีเส้นประสาทจำนวนมาก หรือมีการอักเสบอยู่ เราลองมาดูกันว่ามีบริเวณไหนบ้างที่นิยมใช้การดูดไขมันเพื่อลดสัดส่วนให้เล็กลง

หน้าท้อง : นี่เป็นส่วนที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในการดูดไขมัน และเป็นส่วนที่สะสมปริมาณไขมันได้มากที่สุดในร่างกายด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย จุดที่จะทำการดูดไขมันก็คือช่วงเอวและหน้าท้องส่วนล่าง แต่ละครั้งสามารถลดรอบเองได้ประมาณ 3 นิ้ว แต่ก็ต้องพิจารณาตามความสมส่วนของร่างกายด้วย
บั้นท้าย : ถึงแม้ว่าจะมีกระแสนิยมการมีบั้นท้ายใหญ่ๆ อยู่บ้าง แต่ในบางคนมันก็ดูไม่เหมาะกับรูปร่างโดยรวมของเขา ยิ่งถ้าเป็นการมีขนาดใหญ่จากไขมันไม่ใช่กล้ามเนื้อที่กระชับดี มันยิ่งไม่น่าดูมากกว่า ผลของการดูดไขมันตรงบั้นท้ายนี้จะทำให้บั้นท้ายดูยกกระชับและส่งเสริมให้ช่วงขาดูเรียวยาวขึ้น
ต้นขา : โดยเฉพาะผู้หญิง ต้นขาจะเป็นส่วนที่สะสมไขมันได้ไม่แพ้ส่วนของหน้าท้องเลย เริ่มจากเห็นเป็นผิวเปลือกส้มและขยายขนาดเพิ่มขึ้นเรื่อย การดูดไขมันต้นขาเป็นบริเวณที่ต้องทำซ้ำหลายครั้ง แม้ว่าปริมาณไขมันที่มีอยู่จะไม่มากเท่าไรก็ตามที เพราะต้องค่อยๆ ดูดออกแบบรอบด้าน เพื่อให้ท่อนขาดูลดลงแบบสมดุลกันทั้งหมด และหลังจาก ดูดไขมัน ต้องใส่ชุดกระชับรอบต้นขาไว้อีกระยะหนึ่ง

ต้นแขน : ส่วนนี้จะมีรูปแบบและวิธีการคล้ายคลึงกับการดูดไขมันที่ต้นขา ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ที่มีความชำนาญในระดับหนึ่งด้วย ไม่งั้นอาจได้แขนแบบเบี้ยวๆ ไม่สมส่วนกลับไปได้
เหนียงใต้คาง : ตรงนี้จะมีเส้นประสาทเยอะหน่อย และต้องดูดไขมันด้วยเครื่องมือขนาดเล็กกว่าส่วนอื่นๆ สามารถ ดูดไขมัน ให้หมดได้ในคราวเดียว แต่ต้องค่อยๆ ดูดทีละจุดไล่ไปอย่างสมดุลเช่นกัน
แผ่นหลัง : นี่อาจเป็นจุดเดียวที่มีไขมันน้อยที่สุดในบรรดาบริเวณที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด การดูดไขมันก็จะเน้นไปที่จุดกลางหลัง ข้างรักแร้เท่านั้น

การดูดไขมัน เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีลักษณะเป็นการเจาะเพื่อดูดเอาเฉพาะส่วนไขมัน ซึ่งสามารถกำหนดได้ว่าจะดูดไขมันบริเวณไหน

รูปแบบและวิธีการในการดูดไขมัน

1. Triple Impact

เป็นการ ดูดไขมัน ที่จัดว่ามีระดับความปลอดภัยสูงที่สุด ให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจแม้จะเป็นบริเวณที่ผิวเป็นคลื่นง่าย ใช้ร่วมกับการทำเลเซอร์เพื่อวิเคราะห์ตำแหน่งของไขมันไปด้วย จึงแม่นยำและลดความเสี่ยงของความเสียหายภายในร่างกายด้วย ส่วนมากนิยมใช้กับบริเวณที่ลดไขมันด้วยการออกกำลังกายได้ยาก เช่น ต้นแขน ต้นขา เป็นต้น

2. Accusculpt

หากแปลตรงตัวคำนี้หมายถึง การแกะสลัก ซึ่งก็เป็นการอธิบายรูปแบบของการ ดูดไขมัน ที่เข้าใจง่ายและตรงไปตรงมาดี เพราะวิธีการจะใช้ท่อขนาดเล็กมาก ร่วมกับคลื่นแสงสลายไขมันแล้วตกแต่งเนื้อเยื่อไขมันคล้ายการแกะสลัก นิยมใช้กับการปรับรูปหน้าให้เป็นทรงวีเชฟ

3. Body tite

เป็นการใช้ Radio – Frequency Assisted Liposuction ในการ ดูดไขมัน ซึ่งทำให้ระยะเวลาในการรักษาสั้นลง ร่างกายบอบช้ำน้อยกว่า และยังลดการสูญเสียเลือดลงด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีข้อดีในเรื่องของการกระชับสัดส่วนไปพร้อมๆ กับการดูดไขมัน จึงไม่เกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อยเพราะหดตัวไม่ทัน

4. Power Assisted

เป็นการดูดไขมันด้วยเครื่องมือที่ถูกปรับปรุงให้มีค่าความถี่ของเข็มดูดมากขึ้น จึงโดดเด่นมากในการดูดไขมันบริเวณที่เอาออกมาได้ยาก ส่วนใหญ่นิยมใช้ร่วมกับการดูดไขมันวิธีอื่นๆ ด้วย

การดูดไขมันเหมาะกับคนกลุ่มไหนบ้าง

อย่างแรกก็คือเรื่องของน้ำหนักและปริมาณไขมัน ต้องเป็นคนที่มีค่าเกินข้อกำหนดเท่านั้น หากไม่ถึงก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเงื่อนไขอื่นๆ อีก และต่อไปนี้คือประเด็นทั้งหมดที่ต้องใช้พิจารณาร่วมก่อนตัดสินใจ ดูดไขมัน

  • โรคประจำตัว : โรคประจำตัวบางชนิดมีผลกระทบต่อค่าต่างๆ ในร่างกาย เช่น ความดัน อัตราการเต้นของหัวใจ เป็นต้น ต้องผ่านการทดสอบจนแน่ใจเสียก่อนว่า หากทำการดูดไขมันไปแล้วจะไม่ส่งผลกระทบอะไรที่ร้ายแรง และอีกทางเลือกหนึ่งก็คือ ควบคุมโรคให้อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้เสียก่อน
  • ยาที่ทานประจำ : ถ้าเป็นกลุ่มวิตามินหรืออาหารเสริมก็ไม่มีผลอะไร แต่ถ้าเป็นยารักษาโรคที่ต้องทานต่อเนื่อง จำเป็นต้องนำมาวิเคราะห์ก่อนว่าจะทำให้เกิดอันตรายระหว่างดูดไขมันหรือไม่
  • ไขมันหน้าท้องมากเกินไป : ถ้าเป็นคนที่มีส่วนหน้าท้องยื่นมากๆ หากรักษาด้วยการดูดไขมันทันที ผลลัพธ์ที่ออกมาจะไม่น่าพึงพอใจ ออกไปทางน่ากลัวเสียด้วยซ้ำ จึงต้องรักษาด้วยวิธีอื่นๆ มาก่อน เช่น การผ่าตัดหน้าท้อง เป็นต้น
  • อาการบวมที่ไม่ได้เกิดจากไขมัน : บางครั้งหน้าท้องที่ขยายใหญ่ หรือต้นแขนต้นขาที่อวบอ้วนกว่าปกติ ก็ไม่ได้เกิดจากไขมันสะสมเสมอไป มีโรคบางชนิดที่ทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติในทำนองนี้ได้เช่นกัน หากอยู่ในกรณีนี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำการ ดูดไขมัน เพียงแค่พบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้ถูกวิธีก็พอ

การเตรียมความพร้อมก่อนการดูดไขมัน

  • งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกประเภท รวมทั้งลดเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลมากด้วย
  • งดยาบางชนิดตามแพทย์สั่ง
  • หลังการดูดไขมัน งดการทำกิจกรรมหนักๆ ประมาณ 1 สัปดาห์
  • อย่ารบกวนบริเวณที่เป็นแผล ห้ามนวด ห้ามกดทับ เพราะแผลจะหายช้าและอักเสบบวมได้
  • สวมชุดกระชับสัดส่วนอย่างต่อเนื่องหลังการทำ จนกว่าจะครบกำหนดเวลา
  • ถ้าจุดที่ทำการดูดไขมันเป็นจุดที่เสี่ยงจะโดนน้ำได้ ให้งดการอาบน้ำไปก่อนในช่วงแรก

การดูแลรูปร่างตัวเองหลังจากการดูดไขมัน

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การดูดไขมันก็คือการ กำจัดไขมัน ออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก เรียกว่าสวยได้ทันใจ แต่มันไม่ได้ทำให้เราผอมเพรียวอย่างถาวร หากกลับไปใช้ชีวิตที่มีพฤติกรรมการกินเหมือนเดิม ก็จะกลับมาอ้วนได้อีกในไม่ช้า ซึ่งหลายคนประสบปัญหาที่ว่านี้อยู่ด้วย เพราะเห็นว่าผอมได้ง่ายดาย จึงชะล่าใจและไม่ได้ดูแลตัวเองเพิ่มเติม ดังนั้น เมื่อรูปร่างลดขนาดลงแล้ว ก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องด้วย การ ดูดไขมัน ไม่ได้ทำให้กระเพาะอาหารเล็กลง อัตราการกินจึงไม่ได้เปลี่ยนไป ทุกคนยังสามารถกินได้เท่าเดิม จึงต้องระวังและควบคุมปริมาณอาหารให้พอเหมาะ หมั่นออกกำลังกายตามสไตล์ที่ชื่นชอบอย่างสม่ำเสมอ และเตือนตัวเองอย่างต่อเนื่องว่า ให้ใช้พลังงานเท่ากับหรือมากกว่าค่าพลังงานที่รับเข้าสู่ร่างกาย เน้นทานผักผลไม้ ที่จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุอย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงอาหารหวานจัด ของทอด ของมัน และปรับลดปริมาณการทานแป้งในแต่ละวันลง เพียงเท่านี้ก็จะมีหุ่นสวยพร้อมสุขภาพดีไปตลอด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Tierney, Emily P.; Kouba, David J.; Hanke, C. William (December 2011). “Safety of tumescent and laser-assisted liposuction: review of the literature”. Journal of Drugs in Dermatology. 10 (12): 1363–9. PMID 22134559.

Draelos, Zoe (2011). Cosmetic Dermatology: Products and Procedures. John Wiley & Sons. p. Chapter 56. ISBN 9781444359510.

Norton, Jeffrey A. (2012). Surgery Basic Science and Clinical Evidence. Berlin, Heidelberg: Springer Berlin Heidelberg. p. 2014. ISBN 9783642572821.

Khan, MH (November 2012). “Update on liposuction: clinical pearls”. Cutis. 90 (5): 259–65. PMID 23270199.

เลเซอร์ ( Laser ) นวัตกรรมเพื่อความงาม

0
“เลเซอร์”นวัตกรรมเพื่อความงาม
เลเซอร์มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถเพิ่มความเข้มของแสงที่เกิดขึ้น จึงมีการประยุกต์นำแสงเลเซอร์มาใช้ในการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อที่อยู่ภายในร่างกาย
“เลเซอร์”นวัตกรรมเพื่อความงาม
เลเซอร์มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถเพิ่มความเข้มของแสงที่เกิดขึ้น จึงมีการประยุกต์นำแสงเลเซอร์มาใช้ในการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อที่อยู่ภายในร่างกาย

เลเซอร์ ( Laser )

เลเซอร์ ( Laser ) มีชื่อเต็มว่า “ Light Amplification by the Stimulated Emission of Radiation ” ที่มีความหมายถึง การเพิ่มปริมาณของคลื่นแสงที่ออกมาโดยการกระตุ้นเข้าไปทำให้มีการปล่อยคลื่นแสง ซึ่งการแผ่รังสีที่เกิดขึ้นจะเกิดจากการกระตุ้นแบบร้าว โดยทำการกระตุ้นผ่าตัวกลางเลเซอร์ ( Laser medium ) ทำให้ความยาวของคลื่นที่ออกมามีขนาดที่เท่ากัน ส่งออกมาจากตัวกลางในทิศทางเดียวกัน และมีเฟสของคลื่นแสงที่ตรงกัน

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

การที่เฟสของคลื่นแสงตรงกันจะทำให้แสงสามารถรวมตัวกันเกิดการขยายตัวของสัญญาณ ( Amplitude ) ส่งผลให้ขนาดของแสงเลเซอร์มีความเข้มที่มาขึ้นหรือมีความสว่างมากกว่าแสงสว่างตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง ซึ่งเราสามารถบอกถึงความแตกต่างระหว่างแสงเลเซอร์และแสงตามธรรมชาติได้ดังนี้

แสงธรรมชาติ เป็นแสงที่สามารถเกิดขึ้นได้เอง ( Spontaneous emission ) ซึ่งแสงที่เกิดขึ้นจะมีความยาวคลื่นแสงผสมกันอยู่ ( Polychromaticity ) และแสงที่เกิดขึ้นจะสามารถเดินทางได้หลายทิศทาง ( Incoherence ) นอกจากนั้นเฟสของคลื่นแสงหรือระยะของคลื่นแสงก็จะมีขนาดที่ไม่เท่ากันทั้งหมด แม้ว่าแสงดังกล่าวจะสามารถให้แสงสว่างและพลังงานได้ แต่พลังงานและแสงสว่างที่เกิดขึ้นก็จะมีความเข้มข้นที่ต่ำมาก
แสงเลเซอร์ คือ แสงที่เกิดขึ้นจากสร้างไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งแสงเลเซอร์จะมีลักษณะพิเศษ คือ แสงที่เกิดจากแหล่งกำเนิดเดียวกันจะมีความยาวคลื่นที่มีความจำเพาะเพียงค่าเดียว ( Monochromaticity ) และแสงยังมีการเดินทางที่เป็นแนวเดียวกันอย่างเป็นระเบียบและเดินทางในทิศทางที่ขนานกัน ซึ่งคลื่นของเลเซอร์จะมีเฟสที่ตรงกันดังนั้นคลื่นเลเซอร์จึงสามารถที่จะเสริมกัน ( Coherec )

จากการที่ เลเซอร์ ( Laser ) มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถเพิ่มความเข้มของแสงที่เกิดขึ้น จึงมีการประยุกต์นำแสงเลเซอร์มาใช้ในการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อที่อยู่ภายในร่างกาย ซึ่งพลังงานของเลเซอร์สามารถที่จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หรือการทำลายและตัดเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการภายในร่างกายออกไป ซึ่งลักษณะของเลเซอร์ที่ใช้อยู่มีการแบ่งประเภทของเลเซอร์ สามารถแบ่งได้ลักษณะเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตหรือทำการแบ่งตามวัตถุประสงค์ของการนำเลเซอร์ไปใช้งาน ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้

วัตถุประสงค์ของการใช้ เลเซอร์ ( Laser )

1.ประเภทของตัวกลางที่ใช้ในเป็นแหล่งกำเนิดของเลเซอร์

ตัวกลางที่ใช้เป็นแหล่งกำเนิด เลเซอร์ ( Laser ) คือ ตัวที่ทำหน้าที่ในการเก็บพลังงานและทำการปล่อยแสงเลเซอร์ออกมาสู่ภายนอก ซึ่งตัวกลางที่ใช้สามารถแบ่งออกเป็น 3 สถานะ คือ
1.1 ตัวกลางที่เป็นของแข็ง เช่น ผลึกทับทิม ( Ruby ) เรียกว่า Ruby Laser ผลึกแย็ค เรียกว่า Nd: Yag laser เป็นต้น
1.2 ตัวกลางที่เป็นของเหลว เช่น สารย้อม ( Dye ) เรียกว่า Pulse dye laser เป็นต้น
1.3 ก๊าซ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์เรียกว่า CO2 Laser ก๊าซฮีเลียมนีออน ( HeNe ) เรียก ฮีเลียมนีออนเลเซอร์ ก๊าซอาร์กอน ( Ar ) เรียก Argon beam laser

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

2.การแบ่งเลเซอร์ออกตามระดับพลังงานของแสงเลเซอร์ที่ทำการยิงออกมาจากตัวกลาง

ซึ่งการแบ่งตามระดับพลังงานที่ปล่อยออกมานั้น เพื่อที่จะสามารถระบุการใช้งานได้ว่าแสงเลเซอร์ที่มีระดับพลังงานเท่านี้สามารถใช้งานกับเนื้อเยื่อชนิดใดได้บ้าง ซึ่งระดับพลังงานของ เลเซอร์ ( Laser ) จะเป็นตัวระบุการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพที่เกิดขึ้นของเนื้อเยื่อนั่นเอง ซึ่งการแบ่งตามระดับพลังงานสามารถแบ่งได้ ดังนี้
2.1 กลุ่มเลเซอร์ที่มีระดับพลังงานสูง ( High power Laser ) คือกลุ่มเลเซอร์ที่ให้พลังงานสูง มีประสิทธิภาพในการทำลายเนื้อเยื่อนที่เป็นโปรตีนให้มีการสลายตัวได้ เลเซอร์ชนิดนี้จะใช้ในการผ่าตัดหรือทำการห้ามเลือดในอวัยวะส่วนต่าง ๆ
2.2 กลุ่มเลเซอร์ที่มีระดับพลังงานระดับกลาง ( Moderate Power Laser ) คือกลุ่มเลเซอร์ที่มีระดับพลังงานในการกระตุ้นเนื้อเยื่อน้อยกว่าในกลุ่มแรก เมื่อใช้ เลเซอร์ ( Laser ) ในกลุ่มนี้เนื้อเยื่อจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในส่วนที่ตรงกับจุดเป้าหมายมากที่สุด โดยที่เนื้อเยื่อบริเวณข้างเคียงได้รับผลกระทบน้อยมากและเมื่อหยุดการใช้งานแล้ว เนื้อเยื่อข้างเคียงจะไม่ถูกทำลาย เช่น การใช้เลเซอร์ในการยิงเพื่อลดความผิดปกติของเม็ดสีผิว โดยการยิงไปยังจุดสีผิวที่มีความผิดปกติ เป็นต้น
2.3 กลุ่มเลเซอร์ที่มีระดับพลังงานต่ำ ( Low Level Laser ) คือ กลุ่มของเลเซร์ที่มีระดับพลังงานไม่สูงมาก  เลเซอร์ ( Laser ) ในกลุ่มนี้จะใช้ในการกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ ภายในร่างกาย ไม่ได้ใช้เพื่อทำลายเนื้อเยื่อของร่างกายเหมือนกันเลเซอร์ในสองกลุ่มแรก เช่น การใช้เลเซอร์ในการกระตุ้นการสร้างเซลล์ที่บริเวณแผลทำให้แผลหายเร็วขึ้น หรือการใช้เลเซอร์เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เป็นต้น

3.การแบ่งตามจุดประสงค์ของการใช้งานเลเซอร์

เป็นการแบ่งลักษณะของเลเซอร์ตามการใช้งานที่แท้จริง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้
3.1การผ่าตัดหรือการห้ามเลือด ( Cutting Laser )
3.2การใช้เลเซอร์เพื่อเสริมความงามหรือเพื่อการฟื้นฟูความงาม ( Aesthetic and Rejuvenation Laser )
3.3การใช้เลเซอร์เพื่อการรักษา ระงับอาการปวดบวมหรือเพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวให้เกิดขึ้นเพื่อให้แผลหายเร็วขึ้น ( Laser Therapy )

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

การใช้ เลเซอร์ ( Laser ) มีการประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะในด้านของการเสริมความงามหรือการศัลยกรรม ที่ในปัจจุบันนี้มีการใช้เลเซอร์กันมากขึ้น ซึ่งมีการประยุกต์ใช้เลเซอร์ในการผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อตกแต่งส่วนของใบหน้าและลำคอเป็นส่วนมาก โดนใช้เลเซอร์ทำการผ่าตัดเพื่อทำการดึงผิวหนังส่วนที่หย่อนยานให้ตึง ซึ่งการผ่าตัดด้วยเลเซอร์สามารถผ่าตัดเพื่อทำการดึงชั้นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันได้ตั้งแต่ส่วนของลำคอจนไปถึงบริเวณใบหน้าทั้งหมด การใช้เลเซอร์สามารถที่จะช่วยเก็บรายละเอียดและปรับปรุงผิวหน้าให้ดูเรียบเนียนได้ง่าย ซึ่งเพื่อประโยชน์ดังนี้

การใช้เลเซอร์ประยุกต์ในการทำศัลยกรรม

1. ช่วยกระตุ้นให้ผิวพรรณมีความเต่งตึงเปล่งปลั่ง ( Skin Rejuvenation )

ซึ่งการกระตุ้นผิวพรรณนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ
1.1 เพื่อแก้ไขปัญหาผิวหนังเสื่อมแบบเรื้อรัง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการกระทบกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น แสงแดด สายลม สารอนุมูลอิสระ เป็นต้น ส่งให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ฝ้า กระ
1.2 เพื่อเพิ่มความเต่งตึงให้กับผิวหนัง โดยการใช้ร่วมกับการผ่าตัดเพื่อทำการดึงผิวหนังที่บริเวณใบหน้าและลำคอ ซึ่งแสงเลเซอร์จะเข้าไปกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว รวมถึงกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ( Collagen and Elastin ) ที่อยู่ในผิวให้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น การใช้ เลเซอร์ ( Laser ) ร่วมกับการผ่าตัดจะใช้หลังจากที่ทำการผ่าตัดแล้วประมาณ 1 สัปดาห์

2. ช่วยลดรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้น ( Scar Reduction )

บริเวณที่มีรอยแผลเป็นจะมีเม็ดสี Hemoglobin อยู่ในปริมาณที่สูงมาก ซึ่งผลให้รอยแผลเป็นมีขนาดและสีที่เข้ม เมื่อทำการฉายแสงเลเซอร์ไปยังบริเวณรอยแผลเป็น แผลจะนิ่มขึ้น ความนูนลดลง นับเป็นการป้องกันไม่เกิดรอยแผลเป็นที่เห็นชัดเจนหรือมีขนาดใหญ่ เหมาะกับผู้ที่มีประวัติเป็นรอยแผลเป็นนูนขนาดใหญ่เท่านั้น และการฉายเลเซอร์จะทำได้หลังจากที่ทำการผ่าตัดไปแล้ว 1- 6 เดือน

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

3. ช่วยเพิ่มความเต่งตึงให้กับผิวหนัง ( Skin Tightening )

สำหรับผิวที่มีผิวหนังมีความยืดหยุ่นสูง ( Poor Skin Quality and Low Elasticity ) หลังจากที่ทำการผ่าตัดดึงใบหน้าและลำคอแล้ว ผิวหนังส่วนที่บวมเมื่อหายบวมจะเกิดการหย่อนขึ้น จึงต้องใช้ เลเซอร์ ( Laser ) ในการฉายเข้าไปในบริเวณดังกล่าวเพื่อกระต้นให้มีการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินที่บริเวณดังกล่าว ผิวส่วนนั้นก็จะกลับมาเต่งตึงอีกครั้ง ซึ่งการฉายเลเซอร์จะทำการฉายหลังจากการทำการผ่าตัดมากกว่า 1 เดือนขึ้นไป

4. การใช้เลเซอร์เพื่อรักษาผิวที่มีความผิดปกติ
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของเม็ดสีเมลานิน ( Melanin Pigment ) ที่อยู่ระหว่างชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ แต่เมื่อเกิดความผิดปกติเม็ดสีผิจะขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่ตื้นขึ้น ซึ่ง เลเซอร์ ( Laser ) จะช่วยขจัดเม็ดสีผิวที่ขึ้นมาตื่นผิดปกติให้หายไป ทำให้ผิวหนังมีสีผิวที่สม่ำเสมอเป็นปกติ ซึ่งระบบเลเซอร์ที่ใช้มีอยู่ด้วยกันหลายแบบ แต่ที่นิยมใช้กันมาก คือ
1.1 ระบบ Q Switch Laser ข้อดีคือมีความจำเพาะเจาะจงกับเม็ดสีเมลานินสูงและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อที่อยู่บริเวณรอบข้างมีน้อย ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็น แต่ว่ามีโอกาสที่จะรอยดำหลังจากที่มีการฉายแสงเลเซอร์ได้
1.2 ระบบแสง IPL ( Intent Pulsed Light ) เหมาะกับการใช้รักษาเม็ดสีที่อยู่ตื้น ๆ ซึ่งมีข้อดีคือสามารถที่จะปรับระดับความยาวคลื่นได้หลากหลายในการรักษาเม็ดสีที่ความลึกต่างกัน และมีโอกาสที่จะเกิดรอยดำน้อยมาก แต่ต้องทำอย่างน้อย 3-5 ครั้งถึงจะหาย และเม็ดสีอาจกลับมาเกิดขึ้นอีกได้

ลักษณะของพยาธิสภาพของสีผิวหรือลักษณะของเม็ดสีที่สามารถทำการรักษาด้วยการใช้เลเซอร์

กระแดด ( Lentigines ) คือ สีผิวที่มีลักษณะเป็นจุดที่มีสีน้ำตาล บริเวณจุดมีผิวเรียบ ขนาดประมาณ 1 เซนติเมตรหรือเล็กกว่า กระจายอยู่บนบริเวณใบหน้าหรือในส่วนของบริเวณนอกร่มผ้าส่วนอื่น เช่น กระที่บริเวณแขน กระที่บริเวณใต้ร่มผ้า เป็นต้น กระแดดมีสาเหตุมาจากแสงแดดโดยตรง กระแดดช่วงแรกจะมีสีอ่อนและจะมีสีเข้มขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากถูกแสงแดด พบมากในผู้ที่มีอายุมาก    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

กระตื้น ( Freckles ) คือ กระที่มีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ สีน้ำตาล มีพื้นผิวเรียบ กระมีขนาดเล็กประมาณ 0.5 มิลลิเมตร กระจายอยู่ทั่วไปอยู่ในบริเวณใบหน้าและบริเวณลำคอ กระตื้นจะมีสีอ่อนและเมื่อโดนแสงแดดมาก ๆ จะมีสีเข้ม หากไม่โดนแสงแดดสีของกระก็จะจางและหายไปเอง กระชนิดนี้พบบ่อยในคนที่มีผิวขาว สามารถพบได้ตั้งแต่เด็กหรือวัยรุ่น

กระเนื้อ ( Seborrheic keratosis ) คือ กระที่มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อที่มีการนูนขึ้นมาลักษณะคล้ายตุ่มเล็ก ๆ พื้นผิวของกระเรียบหรือบางครั้งมีผิวขรุขระ กระจะกระจายตัวและยื่นออกมาจากส่วนของผิวหนังที่บริเวณใบหน้า ลำคอ หรือส่วนของลำตัว กระเนื้อจะมีสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ สาเหตุของกระมาจากพันธุกรรมเป็นส่วนมาก ซึ่งกระเนื้อพบได้ตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป

กระลึก ( Hori’s Nevus ) คือ รอยโรคที่เกิดขึ้นมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีน้ำตาลอมเทา พบมากในเพศหญิงมากกว่าการพบในเพศชาย สาเหตุของกระลึกส่วนมากเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม พบได้ที่ส่วนของโหนกแก้มทั้งสองข้าง กระลึกจะมีลักษณะคล้ายฝ้า สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ เลเซอร์ ( Laser ) ระบบ Q-Switch กระลึกจะพบมากในช่วงอายุ 20-30 ปี

ปานโอตะ ( Nevus of Ota ) คือ รอยโรคที่สามารถพบตั้งแต่กำเนิด ซึ่งคนเอเชียจะพบปานแบบนี้เป็น ปานโอตะจะมีสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลอมม่วงหรือสีน้ำตาลอมน้ำเงิน ปานโอตะสามารถใช้เลเซอร์ฉายเพื่อรักได้ตั้งแต่อายุน้อย

ฝ้า ( Melasma ) คือ ลักษณะของรอยโรค มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อนถึงสีน้ำตาลเข้ม สาเหตุยังไม่สามารถะบุได้ แต่ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดฝ้า คือ การใช้ยาคุมกำเนิดหรือการใช้ยาเกี่ยวกับฮอร์โมนเพศ การโดนแดดเป็นประจำหรือเกิดขึ้นในขณะหรือหลังจากตั้งครรภ์ บริเวณสามารถที่พบฝ้าได้แก่ บริเวณโหนกแก้ม บริเวณคาง บริเวณหน้าผาก การรักษาด้วยการใช้ เลเซอร์ ( Laser ) ในการรักษาฝ้าหน้า อาจช่วยได้ในปริมาณเล็กน้อยจึงต้องใช้ร่วมกับการป้องกันที่สาเหตุจะดีที่สุด

5. เลเซอร์ที่ใช้ในการรักษาแผลเป็นที่นูนแบบทั่วไป ( Hypertrophic Scar ) และแผลเป็นชนิดที่เรียกว่า คีลอยด์ ( Keloid )      [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

แผลเป็นที่มีลักษณะนูนแบบทั่วไป เกิดขึ้นหลังจากที่แผลหายแล้วจึงเกิดรอยแผลหรือแผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัด ซึ่งในระย 1-6 เดือนแรก รอยแผลจะมีลักษณะเป็นรอยนูนสีแดง มีลักษณะที่แข็งและบริเวณขอบโดยรอบรอยนูนจะเป็นลักษณะขอบเขตของบาดแผลทั้งหมด
และแผลเป็นชนิดที่เรียกว่า “คีลอยด์” เป็นแผลเป็นที่มีลักษณะนูน ที่หนาและแข็ง สีของรอยแผลจะเป็นสีชมพูหรือสีแดง บริเวณโดยรอบของขอบแผลจมีลักษณะนูนและขยายออกมานอกขอบเขตของรอยแผลเดิม ซึ่งอาจะมีอาการเจ็บและคันเกิดขึ้น แผลเป็นชนิดนี้พบได้มากในบริเวณที่ผิวหนังมีสีคล้ำหรือมีต่อมไขมันในปริมาณมาก สาเหตุมักเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
เลเซอร์ที่ใช้ในการรักษาแผลเป็นทั้งสองแบบนี้ คือ
-Puls dye Laser เลเซอร์ชนิดนี้จะเข้าไปทำลายหลอดเลือดขนาดเล็กที่เป็นส่วนนำเลือดมาหล่อเลี้ยงส่วนของแผลเป็น ทำให้รอยแผลเป็นมีลักษณะที่นูนมีอาการแดงเกิดขึ้นน้อยลงและมีลักษณะที่นิ่มขึ้น แต่ต้องใช้การฉายเลเซอร์ร่วมกับวิธีการรักษาแบบอื่น เช่น การใช้แผ่นซิลิโคนมาทำการปิดแผล การฉีดยาที่อยู่ในกลุ่มสเตียร เพื่อช่วยให้แผลเป็นมีลักษณะที่นิ่มขึ้นและยุบลง

6. เลเซอร์สำหรับรักษารอยแดงที่เกิดจากสิวและรอยแผลเป็นที่เกิดจากหลุมสิวหรือรอยแผลเป็นที่มีขนาดลึก ( Post Acne Scan and Atrophic scar )

ลักษณะทางพยาธิสภาพขอรอยแดงที่เกิดจากสิวหรือรอยแผลเป็นในกลุ่มนี้ เกิดจากการที่โครงสร้างของคอลลาเจนเกิดการหดตัวลง หรือการที่เส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงในส่วนของรอยโรคในปริมาณที่มากหลังจากที่เกิดแผลไปแล้ว 1-3 เดือนจึงทำให้เกิดรอยแผลในกลุ่มนี้ เลเซอร์ที่สามารถและเหมาะสมที่จะนำมาทำการรักษารอยแผลในกลุ่มนี้ คือ Puls dye Laser โดยเลเซอร์จะเข้าไปทำให้หลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงในบริเวณดังกล่าวฝ่อหายไป รวมถึงเลเซอร์จะเข้าไปกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งจะทำให้รอยแผลเป็นมีสีแดงจางลงและรอยแผลเป็นตื้น

7. เลเซอร์เพื่อใช้ในการรักษาความผิดปกติของหลอดเลือดที่บริเวณผิวหนัง ( Laser Treatment of Vascular Lesions )

เลเซอร์ ( Laser ) สามารถรักษาความผิดปกติของหลอดเลือดที่บริเวณผิวหนังได้ ซึ่งการรักษาสามารถแบ่งได้ ตามลักษณะของความผิดปกติของหลอดเลือดตั้งแต่กำเนิด คือ    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

เนื้องอกที่เกิดขึ้นจากหลอดเลือด ( Hemangioma ) ลักษณะของรอยโรคแบบนี้ สามารถพบได้บ่อยที่ส่วนของศีรษะและส่วนของลำคอ ซึ่งเนื้องอกแบบนี้จะหยุดเติบโตในปีแรกและจะมีขนาดที่เล็กลงประมาณร้อยละ 50 และสามารถที่จะหดหายลงได้ในระยะ 5 ปีแรก ซึ่งการใช้เลเซอร์รักษาจะเป็นการรักษาร่วมกับการรักษาวิธีอื่น แต่ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีการฉีดในกลุ่มสเตียรอยด์เพื่อรักษาหรือเนื้องอกที่แผลยังมีเลือดออกเป็นต้น
ปานแดงที่มีตั้งแต่เกิด ( Port-wine Stains ) คือ การใช้เลเซอร์เพื่อรักษาปานแดงที่มีมาตั้งแต่กำเนิดนั้นจะให้ผลการรักษาที่ดี และควรเริ่มทำการรักษาให้รวดเร็วที่สุด และลักษณะเลเซอร์ที่ใช้ในการรักษาคือ Puls dye Laser ที่มีความยาวคลื่น 595 nm
กลุ่มที่เส้นเลือดฝอยมีการเกิดขึ้นตามหลังเมื่ออายุมากขึ้น อาการแบบนี้สามารถพบได้ที่บริเวณของใบหน้า ( Telangiectasia, Spider Nevi, Cherry angioma ) ซึ่งอาการส่วนมากเกิดขึ้นจากเส้นเลือดฝอยที่มีขนาดประมาณ 1 มิลลิเมตร ซึ่งเส้นเลือดฝอยกลุ่มนี้สมารถตอบสนองได้ดีต่อการฉายเลเซอร์ชนิด Puls dye Laser ที่มีความยาวคลื่น 595 nm หรือเลเซอร์ชนิด KTP ที่มีความยาวคลื่น 532 nmหรือแลเซอร์ชนิด IPL ที่มีความยาวคลื่น 500-1200 nm

8. เลเซอร์ที่สามารถกำจัดขนในบริเวณที่ไม่ต้องการ ( Laser Treatment of Unwanted Hair )

เมื่อเนื้อเยื่อในบริเวณที่มีขนขึ้นจะทำการดูดซึมพลังงานจากเลเซอร์เข้าไป จึงสามารถเข้าไปยับยั้งการงอกขึ้นมาใหม่ของขน ซึ่งขนที่มีสีดำจะสามารถตอบสนองต่อการทำงานของเลเซอร์ได้มากกว่าขนที่มีสีขาวหรือขนที่มีสีน้ำตาล ชนิดของแสงเลเซอร์ที่สามารถช่วยในการกำจัดขนได้ คือ เลเซอร์ชนิด Long-Pulse Nd: Yag ที่มีความยาวคลื่น1064 nm, เลเซอร์ชนิด Long Pulse Ruby ที่มีความยาวคลื่น694 nm, เลเซอร์ชนิด Long-Pulse Alexandra ที่มีความยาวคลื่น755 nm, เลเซอร์ชนิด Diode ที่มีความยาวคลื่น800 nm หรือเลเซอร์ชนิด IPL (590-1200 nm

9. เลเซอร์ที่สามารถรักษาเนื้องอกบนผิวหนังชนิดที่ไม่ใช่มะเร็ง ( Laser Treatment of Benign Skin Lesions )

ลักษณะของเนื้องอกได้แก่ ไฝ หูด ติ่งเนื้อ กระเนื้อหรือก้อนคอเลสเตอรอลที่อยู่ใต้ผิวหนัง เลเซอร์จะทำการปล่อยคลื่นแสงที่สามารถดูดซึมน้ำได้ดี ทำให้เนื้องอกขาดน้ำและสารอาหารจึงเกิดการฝ่อตัวลง เลเซอร์ที่นำมาใช้ในการรักษาคือ เลเซอร์ชนิดคาร์บอนไดออกไซด์ ( CO2 Laser ) แต่เลเซอร์ชนิดนี้การใช้ต้องอาศัยความระมัดระวังและใช้โดยแพทย์ที่มีความชำนาญเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะะแทรกซ้อนน้อยหเกิดขึ้นน้อยที่สุด    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

10. เลเซอร์ที่สามารถใช้ในการปรับปรุงสภาพของผิวหนัง ( Laser Skin Resurfacing )

ผิวหน้าส่วนที่มีการสัมผัสโดนแสงแดดเป็นเวลานานหรือผิวหนังที่มีรอยแผลเกิดขึ้น หรือผิวหนังที่เกิดเป็นหลุม การใช้ เลเซอร์ ( Laser ) สามารถช่วยปรับผิวหนังบนใบหน้าให้แลดูอ่อนเยาว์และผิวมีลักษณะที่เนียนนุ่มมากขึ้น โดยที่พลังงานของเลเซอร์จืทำให้ผิวหนังบริเวณที่อยู่ด้านบนสุดถูกทำลายจนเกิดการหลุดออกไป ส่งผลให้ร่างกายมีการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยคอลลาเจนมีขึ้นมาทดแทนส่วนที่หลุดลอกไป ซึ่งเลเซอร์สามารถทำการปรับปรุงสภาพผิวหนังได้ทั้งผิวหนังที่มีแผลและไม่มีแผล ขึ้นอยู่กับสภาพของผิวหนังและปัญหาของผิวที่เกิดขึ้น เลเซอร์ที่เหมาะสมและนิยมนำมาใช้เพื่อปรับปรุงสภาพผิว คือ เลเซอร์ชนิด Pulse Carbon Dioxide หรือเลเซอร์ชนิด CO2 และเลเซอร์ชนิด Short-Pulse Erbium: Yag

11. เลเซอร์ที่สามารถใช้เพื่อช่วยในการรักษาแผล ( Laser for wound Healing )

พลังงานจาก เลเซอร์ ( Laser ) ที่ทำการฉายจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนภายในร่างกาย เช่น ระบบน้ำเหลือง ระบบไหลเวียนโลหิตให้สามารถทำการไหลเวียนได้ดีขึ้น เซลล์ภายในร่างกายจึงมีการทำงานที่มากขึ้น มีการสร้างเส้นเลือดและเม็ดเลือดใหม่เพิ่มเข้ามาในระบบ ส่งผลให้เมื่อร่างกายเกิดแผลแล้วจะสามารถหายได้เร็วกว่าเดิม ซึ่งแสงเลเซอร์ที่นำมาใช้จะเป็นเลเซอร์ชนดที่มีพลังงานต่ำ ( Low Level Laser Theraphy ) ที่มีระดับพลังงานอยู่ที่ 25-250 มิลลิวัตต์ เลเซอร์ในกลุ่มนี้สามารถกระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนได้ดีและยังไม่ทำลายเนื้อเยื่อที่อยู่บริเวณข้างเคียงอีกด้วย ชนิดของเลเซอร์ที่นำมาใช้ได้แก่ ระบบแสง LED

12. การใช้เลเซอร์ในการสลายไขมัน

เซลล์ไขมันเป็นเซลล์ที่สามารถดูดซึมพลังงานได้ดี เมื่อฉายแสงเลเซอร์เข้าไปเซลล์ไขมันจะทำการดูดซึมพลังงานจาก เลเซอร์ ( Laser ) ทำให้ไขมันเกิดความร้อนและสลายตัวไป ซึ่งเลเซอลร์ที่ใช้ในการสลายไขมันมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ

• เลเซอร์ที่มีพลังงานต่ำ ( low Level Laser Therapy ) เลเซอร์ชนิดนี้จะมีความจำเพราะเจาะจงกับเซลล์ไขมัน และสามารถปล่อยพลังงานที่มีขนาดน้อยที่สุดที่สามารถทำให้ไขมันเกิดการแตกตัวและสลายไปได้ โดยที่เนื้อเยื่อหรือโครงสร้างที่อยู่ใกล้เคียงหรือรอบข้างจะไม่ได้รับผลกระทบ เมื่อเซลล์ไขมันเกิดการแตกตัวแล้ว ร่างกายจะทำการดูดซึมเข้าไปผ่านส่วนของระบบน้ำเหลือง
• เลเซอร์ที่ทำการฉายผ่านเส้นใยนำแสง ( Fiber Optic Laser Probe ) เป็นการฉายเลเซอร์โดยการปล่อยผ่านเส้นใยนำแสงไปยังบริเวณของไขมันที่ต้องการทำให้แตกสลาย เป็นการกำหนดจุดได้อย่างแม่นยำและเจาะจงที่ต้องการทำลายไขมันออกไป เมื่อไขมันเกิดการแตกตัวจะต้องทำการดูดไขมันส่วนนั้นออกมาจากร่างกายด้วยการดูดไขมันทั่วไป และการใช้เลเซอร์ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินทำให้ผิวหนังส่วนที่ไขมันโดนทำลายไปไม่เกิดการเหี่ยวย่นเพราะมีคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาทดแทน    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

13. เลเซอร์ที่นำมาใช้ในรักษาเส้นเลือดขอด ( Laser Treatment for Varicose Vein )

เส้นเลือดขอดสามารถเกิดขึ้นได้มากที่บริเวณผิวหนัง ซึ่งลักษณะของเส้นเลือดขอดมีทั้งที่มีขนาดเล็กประมาณ 1-2 มิลลิเมตร เช่น Telangiectasia หรือ spider nevi เส้นเลือดขอดที่มีขนาดเล็กสามารถทำการรักษาด้วยการใช้ เลเซอร์ ( Laser )ที่อยู่ในกลุ่ม Puls dye Laser ที่มีความยาวคลื่น 595 nm หรือเลซอร์ชนิด KTP ที่มีความยาวคลื่น 532 nm แต่ถ้าเส้นเลือดมีขนาดที่ใหญ่กว่า 2 มิลลิเมตร จะต้องทำการรักษาด้วยการฉายเลเซอร์เข้าไปที่บริเวณผนังของหลอดเลือดเพื่อทำลายให้ส่วนของผนังหลอดเลือดมีการฝ่อตัวลง จะส่งผลให้อาการเส้นเลือดขอดที่เกิดขึ้นหายไป ซึ่งแสงเลเซอร์ที่เหมาะสมและนิยมนำมาใช้ในการรักษาเส้นเลือดขอด คือ เลเซอร์ชนิด Diode Laser ที่มีความยาวคลื่น1500 nm

14. เลเซอร์ในการลบหรือรักษารอยสัก ( Laser Treatment of Tattoos )

รอยสักเกิดจากการนำเม็ดผงสี ( Ink Granule ) เข้ามาฝั่งไว้ใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ เม็ดสีจะกระจายตัวอยู่ในชั้นเซลล์ไฟโบรบลาส บางส่วนที่เข้าไปจะถูกเซลล์เม็ดเลือดขาว ( Macrophages ) ดูดกลืนและเกิดเป็นก้อนของเม็ดสีที่อยู่ใต้ผิวหนัง พลังงของ เลเซอร์ ( Laser ) จะเข้าไปทำให้เม็ดผงตีเกิดการแตกตัวและสลายกลายเป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กลง จนร่างกายสามารถดูดซึมและทำลายได้ ทำให้รอยเม็ดสีจางลงซึ่งรอยสักก็จะจางลงตามไปด้วย เลเซอร์ที่ใช้ในการลบรอยสัก คือ เลเซอร์ที่อยู่ในกลุ่ม Q-Switch Laser เช่น เลเซอร์ชนิด QS Ruby ที่มีความยาวคลื่น 694 nm,เลเซอร์ชนิด QS Alexadrite ที่มีความยาวคลื่น 755 nmและเลเซอร์ชนิด QS Nd: Yag ที่มีความยาวคลื่น 532 หรือ1064 nm เป็นต้น

เลเซอร์มีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มความเข้มของแสงที่เกิดขึ้น จึงมีการประยุกต์นำแสงเลเซอร์มาใช้ในการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อที่อยู่ภายในร่างกาย

ข้อควรรู้ในการใช้เลเซอร์เพื่อรักษาและการเสริมความงาม

1. การนำ เลเซอร์ ( Laser ) มาใช้ในการผ่าตัดมีผลไม่ต่างจากการผ่าตัดด้วยมีดผ่าตัด ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของแพทย์มากกว่า

2.การใช้เลเซอร์ในการรักษาแผลไม่สามารถรักษาได้แผลได้ทุกแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลร่วมกับการฉายเลเซอร์จึงจะทำให้แผลสวยและเนียนเป็นเนื้อเดียวกับผิวหนังโดยรอบ  [adinserter name=”navtra”]

3.การใช้เลเซอร์สามารถทำให้ผิวส่วนที่โดนแสงมีขนาดที่บางลงได้ แต่เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่งร่างกายก็จะทำการสร้างผิวหนังขึ้นมาทดแทนส่วนที่โดนทำลายไป เพราะมีการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาทดแทนนั่นเอง ดังนั้นเมื่อใช้เลเซอร์แล้วผิวหนังจะกลับมีความหนาเท่ากับสภาวะปกติหลังจากฉายเลเซอร์ไปแล้วประมาณ 6 เดือน

4.เมื่อใช้เลเซอร์ในการรักษา สิว ฝ้า กระแล้ว ส่วนที่ทำการรักษาจะไม่กลับมาเป็นใหม่ได้ แต่ถ้าโดนแสงแดด ฝุ่น มลพิษ เหมือนเดิม ผิวหนังก็จะโดนทำลายและเกิดสิว ฝ้าหรือกระได้เช่นเดิม จึงต้องดูแลผิวหน้าด้วยการทาครีมกันแดด ทาครีมบำรุงผิว รบเลี่ยงแสงแดด จึงจะสามารถป้องกันการเกิดสิว ฝ้า กระได้

5.การรักษาด้วยการใช้เลเซอร์ควรหลี่กเลี่ยงการโดนแสงแดดทั้งก่อนและหลังการรักษาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไป รวมถึงการใช้ครีมกันแดดร่วมด้วย เพื่อที่การรักษาด้วยเลเซอร์จะให้ผลที่ดีที่สุด

6.ก่อนการรักษาด้วย เลเซอร์ ( Laser ) ควรหยุดการใช้ยาเพื่อรักษาสิวและลดความมันที่เกิดขึ้นบริเวณใบหน้า เช่น ไอโซเตรทติโนอิน ( Isotrationin ) อย่างน้อยประมาณ 6 เดือนก่อนทำการรักษาด้วยเลเซอร์ และควรหยุดยาที่มีคุณสมบัติในการละลายลิ่มเลือดด้วย เช่น Aspirin, Warfarin, Heparin เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนเนื่องจากการมีเลือดออก

7.การทำเลเซอร์จะเห็นผลชัดเจนที่สุดหลังจากที่ทำการฉายเลเซอร์ไปแล้วประมาณ 7-10 วัน

8.การรักษาด้วยเลเซอร์เพื่อการรักษา กระ ไฝ ฝ้า ทำการรักษาเพียงครั้งเดียวก็สามารถรักษาได้ ส่วนการรักษารอยแผลเป็นหรือรอยโรคที่เกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับลักษณะของรอยแผลและรอยโรคนั้น ๆ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วินิฉัยและแจ้งให้ผู้เข้ารับการรักษาทราบ

การใช้เลเซอร์เพื่อการเสริมความงามเป็นทางเลือกที่ได้ความนิยมและได้ผลที่ดีอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งก่อนที่จะทำการรักษาด้วยการฉายแสงเลเซอร์ควรทำการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นและเลือกแพทย์ที่มีความเชียวชาญและประสบการณ์ในการใช้ เลเซอร์ ( Laser ) ในการรักษาเพื่อที่ผลการรักษาจะเป็นที่น่าพอใจกับตัวเรามากที่สุด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Convissar, Robert A. (2010-05-19). Principles and Practice of Laser Dentistry – E-Book. Elsevier Health Sciences. ISBN 032307989X.

Morris, Peter J; Wood, William C. Oxford Textbook of Surgery. 2. http://medistar.xyz/

Rosenlicht, J; Vitruk, P (2015). “Ablation and sulcular debridement utilizing the CO2 laser for denture-induced gingival hyperplasia”. Implant Practice US. 8 (2): 35–38.

รักแร้หนังไก่ ตุ่มหนังไก่ วิธีกำจัดหนังไก่คืนความขาวเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

0
บอกลาปัญหารักแร้หนังไก่
รักแร้หนังไก่เกิดจากการถอนขนออกโดยแรงจนเกิดการอักเสบ รูขุมขนเกิดการขยายตัวจนทำให้เห็นรูขุมขนชัดเจน และส่งผลให้ผิวหนังไม่เรียบเนียน
บอกลาปัญหารักแร้หนังไก่
รักแร้หนังไก่เกิดจากการถอนขนออกโดยแรงจนเกิดการอักเสบ รูขุมขนเกิดการขยายตัวจนทำให้เห็นรูขุมขนชัดเจน และส่งผลให้ผิวหนังไม่เรียบเนียน

รักแร้หนังไก่

รักแร้หนังไก่ เป็น อาการทางผิวหนังที่พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายบริเวณรักแร้ทั้งสองข้าง เกิดจากสาเหตุการถอน การแว็กซ์ขนรักแร้ทำให้ผิวบริเวณรักแร้อักเสบ เซลล์ผิวรักแร้ตาย ดังนั้นเมื่อถอนซ้ำ ๆ บ่อยๆ จนเกิดการขยายตัวใหญ่ขึ้นจนทำให้เห็นรูขุมขนได้ชัดเจนส่งผลให้ผิวหนังไม่เรียบเนียนหรือเรียกอีกอย่างว่า รักแร้เป็นหนังไก่ นั่นเอง

สาเหตุที่ก่อให้เกิดรักแร้หนังไก่

ก่อนที่จะไปสู่วิธีป้องกันและรักษา เรามาทำความรู้จักกับ รักแร้หนังไก่ กันก่อน สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดรักแร้หนังไก่ก็คือ “ การถอนขนรักแร้ ” ซึ่งมักจะถอนออกโดยแรงจนทำให้ผิวหนังบริเวณรูขุมขนนั้นเกิดอาการอักเสบ เมื่อถอนซ้ำ ๆ บ่อยๆ เข้าก็เกิดการขยายตัวใหญ่ขึ้นจนทำให้เห็นรูขุมขนได้ชัดเจน ส่งผลให้ผิวหนังไม่เรียบเนียนอย่างที่เคย นอกจากนี้การโกนขนรักแร้และการแว็กซ์ก็เป็นอีกหนึ่งตัวจุดชนวนที่ก่อให้เกิดขนคุดจนลุกลามกลายเป็นผิวหนังไก่ได้เช่นกัน
บ่อเกิดของ “ ขนคุด” สืบเนื่องมาจากรูขุมขนโดนกระตุ้นจนเกิดการอักเสบ บวมและอุดตัน จนปลายเส้นขนรักแร้ที่จะงอกใหม่ไม่สามารถโผล่พ้นผิวขึ้นมาได้ จึงหักกลับเข้าไปในรูขุมขนแทน จากการศึกษาพบว่า ขนคุดยังมีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์และในผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้จะมีโอกาสเป็นขนคุดได้ง่ายกว่าผู้อื่น
ขนคุดมีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ ดำ ๆ นูนขึ้นมาบนผิวหนัง มองเผิน ๆ คล้ายสิว แต่หากสังเกตให้ดีจะพบว่า ภายในจุดดำๆ นั้นคือเส้นขนที่ไม่สามารถงอกขึ้นมาเหนือผิวได้ จนต้องเติบโตอยู่ในผิวหนังนั่นเอง และในบางท่านที่มีลักษณะเส้นขนหนาและแข็ง เมื่อประสบปัญหาขนคุดอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองผิวอย่างหนัก จนทำให้รู้สึกแสบหรือเจ็บ อันเนื่องมาจากการอักเสบของขนคุดได้อีกด้วย

นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์สำหรับใต้วงแขนบางยี่ห้ออาจมีส่วนผสมของสารกันเสีย สารกันเหงื่อออก และน้ำหอม ซึ่งมีส่วนทำให้ผิวบริเวณรักแร้เกิดการอุดตันและดำคล้ำได้ ตลอดจนการสวมเสื้อผ้าที่คับเกินไปจะทำให้ผิวหนังใต้วงแขนเกิดการเสียดสี ผิวหมองคล้ำและยังไปกระตุ้นให้ต่อมเหงื่อใต้วงแขนผลิตเหงื่อออกมามากขึ้นจนเกิดการอุดตันและขนคุดจนลุกลามเป็นผิวหนังไก่ในที่สุด

แม้ว่าเส้นขนดูจะเป็นอุปสรรคต่อความสวยความงาม แต่ในขณะเดียวกันเส้นขนที่ธรรมชาติมอบให้มนุษย์และสัตว์บางชนิดนี้ยังมีประโยชน์แฝงอยู่เช่นกัน เส้นขนแต่ละเส้นจะมีความหนาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 0.08 มิลลิเมตร และในทุก ๆ วัน เส้นขนจะยาวขึ้น 0.1-0.2 มิลลิเมตร อายุของเส้นขนขึ้นอยู่กับตำแหน่ง โดยมีอายุขัยเฉลี่ย 2-5 ปี จากนั้นก็จะหลุดร่วงไปเองตามธรรมชาติ และจะงอกขึ้นมาใหม่ภายในระยะเวลาราว 6 เดือนถัดมา แต่ในส่วนของขนตา ขนคิ้วและขนรักแร้จะมีอายุขัยอยู่ที่ 3-4 เดือนเท่านั้น เส้นขนแต่ละตำแหน่งทั่วร่างกายมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป หลัก ๆ คือ ช่วยลดการกระแทก ลดการเสียดสีระหว่างผิวหนังกับสิ่งแวดล้อมภายนอกโดยตรง ส่วนใดในร่างกายที่มีการเสียดสีบ่อย บริเวณนั้นก็มันจะมีเส้นขนเยอะมากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ที่นอกจากจะมีเส้นขนขึ้นเยอะแล้ว ยังเป็นตำแหน่งที่มีต่อมฟีโรโมน (Pheromone) ซึ่งว่ากันว่าเป็นต่อมที่คอยขับสารอันจะทำให้เกิดแรงดึงดูดกับเพศตรงข้าม

วิธีลดหนังไก่ และการป้องกันรักแร้หนังไก่

เมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงวิธีกำจัดขนซึ่งทำให้เกิดผิวหนังไก่และรอยหมองคล้ำใต้วงแขนได้ การป้องกันเบื้องต้นจึงเป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรละเลย ดังนี้

1. หลีกเลี่ยนการถอน แว็กซ์ หรือโกนขนรักแร้
2. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงรักแร้ที่อ่อนโยน ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ไม่ใส่สารเคมีและน้ำหอม
3. การทาครีมบำรุง ที่มีส่วนผสมของ BHA, AHA และไวท์เทนนิ่ง เป็นประจำ
4. ขัดผิวใต้วงแขนเบา ๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
5. ใช้น้ำมันมะพร้าวทาบริเวณรักแร้ เพื่อลดการอักเสบของรูขุมขนได้
6. การกำจัดขนด้วยเลเซอร์อาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการกำจัดใต้วงแขนของผิวไก่

รักแร้หนังไก่ เกิดจากการถอนขนออกโดยแรงจนเกิดการอักเสบ รูขุมขนเกิดการขยายตัวจนทำให้เห็นรูขุมขนชัดเจน และส่งผลให้ผิวหนังไม่เรียบเนียน

วิธีรักษา รักแร้หนังไก่

ปัญหาขนคุดและ รักแร้หนังไก่ เป็นปัญหาผิวที่สามารถรักษาให้หายได้ หากไม่อยากใช้ยาหรือเทคโนโลยีการยิงเลเซอร์ที่มีค่าใช้จ่ายสูง จะหาสมุนไพรใกล้ตัวมารักษาด้วยตนเองก็ย่อมได้ โดยแต่ละวิธีใช้ระยะเวลาในการรักษาและให้ผลลัพธ์ตลอดจนผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน ดังนี้ 

1. สูตรอะโวคาโด นำเนื้ออะโวคาโด ปริมาณเพียงครึ่งลูกไปผสมกับนมสด ( รสธรรมชาติ ) ผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมาขัดเบาๆ บริเวณใต้วงแขน เสร็จแล้วพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วเช็ดหรือล้างออกให้สะอาด สูตรนี้สามารถทำเป็นประจำได้ไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เพียงเท่านี้สาวๆ ก็จะมีผิววงแขนที่ใสและเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

2. สูตรมะขามเปียก พระเอกของสูตรนี้คงหนีไม่พ้นเจ้ามะขามเปียกสารพัดประโยชน์ วิธีคือเพียงนำมะขามเปียกมาผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อย จากนั้นคั้นให้ได้เนื้อครีมประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ ใส่น้ำผึ้งลงไปประมาณ 2-3 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกรักแร้ทิ้งไว้ 15 นาที ( สูตรนี้ไม่ต้องขัด ) เมื่อครบเวลาล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด จะช่วยลดอาการอักเสบของขนคุดจนเป็นเหตุให้เกิด รักแร้หนังไก่ แลดูผิวเรียบเนียนและกรดผลไม้จากมะขามยังทำให้วงแขนขาวขึ้นอีกด้วย

3. สูตรแตงกวา แตงกวานอกจากจะนิยมนำมาจิ้มกับน้ำพริกและเป็นเครื่องเคียงแสนอร่อยของหลายเมนูแล้ว อีกหนึ่งคุณประโยชน์ของแตงกวาคือช่วยลดการอักเสบ ช่วยให้ผิวรักแร้ขาวใสได้อีกด้วย วิธีการทำง่ายๆ เพียงล้างแตงกวาให้สะอาด จากนั้นปอกเปลือกออก เอาเนื้อไปปั่นหรือสับให้ละเอียด แช่เย็นสัก 10-15 นาที แล้วนำมาขัดวนใต้วงแขนเบา ๆ 10-15 นาที พอกทิ้งไว้อีก 20 นาที เมื่อครบเวลาล้างออกให้สะอาด

4. สูตรมะนาว โดยการนำมะนาวไปล้างให้สะอาด จากนั้นผ่าครึ่งแล้วบีบนำมะนาวออกใส่ภาชนะ ใช้เปลือกมะนาวชุบน้ำมะนาวที่บีบไว้แล้วนำมาขัดถูผิวใต้วงแขน ทิ้งไว้เพียง 5 นาที แล้วล้างออก หากทำได้อย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง รักแร้จะดูขาวและเรียบเนียนขึ้น เพราะกรดอ่อนๆ จากมะนาวมีส่วนช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออก (หากเพิ่งโกนหรือถอนขนควรหลีกเลี่ยงวิธีนี้เพราะอาจทำให้ปวดแสบผิวได้)

5. สูตรมันฝรั่ง นำเนื้อมันฝรั่งดิบปั่นรวมกับน้ำสะอาดเล็กน้อย จากนั้นห่อด้วยผ้าขาวบางนำมาขัดถูกให้ทั่วใต้วงแขน หรือจะนำเนื้อมันฝรั่งนั้นมาขัดเบา ๆ บนผิวใต้วงแขนโดยตรงก็ได้ เมื่อขัดเสร็จแล้วให้พอกทิ้งไว้ 10 นาที ค่อยล้างออก แป้งของมันฝรั่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ และยังมีวิตามินซีที่ช่วยลดอาการตุ่ม รักแร้หนังไก่ และช่วยให้ผิวรักแร้กระจ่างใสขึ้น

6. เรตินเอ ( Retin A ) 0.05 % หรือ 0.025 % มักพบเจอได้ทั่วไปในรูปแบบของยารักษาสิว แต่ก็มีสรรพคุณช่วยรักษาอาการผิวหนังไก่ได้ โดยการนำมาทาวงแขนก่อนเข้านอน ในช่วงแรกที่ทาจะมีอาการรักแร้คล้ำขึ้น เกิดจากการที่ผิวหนังค่อยๆ ผลัดเซลล์เก่าออก จากนั้น 1 สัปดาห์ผิวหนังบริเวณนั้นจะเริ่มลอกพร้อมทั้งตุ่มหนังไก่ก็หลุดลอกออกไปด้วย เมื่อผิวเริ่มลอกให้ทายาน้อยลงและทาแบบวันเว้นวัน จนในที่สุดเมื่อได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ วงแขนกลับมาเรียบใสแล้วจึงค่อยหยุดใช้ยา ( เรตินเอถือเป็นตัวยาอันตรายไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลาต่อเนื่องและสตรีมีครรภ์ห้ามใช้โดยเด็ดขาด )

7. รักษาโดยการใช้เลเซอร์ในกลุ่ม YAG เป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงก็ตาม วิธีนี้สามารถกำจัดขนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยังทำให้ผิวใต้วงแขนดูขาวกระจ่างใสขึ้น โดยเลเซอร์มีคลื่นความยาวอยู่ที่ 1,064 นาโนเมตร ด้วยความเข้มข้นแสงที่สูงนี้จึงสามารถทะลุผ่านชั้นผิวหนังได้ลึกและเข้าไปกำจัดรากขนซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเส้นขนได้โดยไม่ทิ้งรอยไหม้ไว้บนผิวหนัง ทั้งยังเหมาะกับทุกสภาพสีผิว ใช้ระยะเวลาในการรักษาเพียง 20-30 นาทีเท่านั้น ก่อนรักษาแพทย์จะทาเจลเพื่อให้วงแขนรู้สึกชาและเย็นขึ้น เพื่อลดความเจ็บปวดและความร้อนจากการยิงเลเซอร์ หลังรักษาผิวหนังอาจมีอาการแดง บวมเล็กน้อย แต่จะหายไปเองภายใน 30 นาทีถึง 1 ขั่วโมง อาการข้างเคียงหลังจากยิงเลเซอร์ไปแล้ว 2-3 วัน คือผิวแห้งลอกเป็นขุย ซึ่งสามารถแก้ได้โดยการทาครีมบำรุงให้ความชุ่มชื้นและทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดในช่วงสัปดาห์แรกที่รักษา ที่สำคัญคือต้องมีวินัยไปทำการรักษาอย่างต่อเนื่องอีก 5-8 ครั้งก็จะทำให้เส้นขนเริ่มบางและลดน้อยลง ปัญหาขนคุด ผิวหนังไก่ก็หายไปด้วยนับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและน่าพึงพอใจในระยะยาว

8. รักษาโดยการทำ IPL ( Intense Pulsed Light ) เป็นอีกหนึงวิธีที่ช่วยกำจัดขนรักแร้ถาวรได้ เพราะเป็นการใช้คลื่นแสงที่มีความยาวอยู่ที่ 500-1,200 นาโนเมตร เข้าไปทำลายรากขนต้นกำเนิดของปัญหาขนคุด วิธีนี้มีความพิเศษตรงที่สามารถเลือกความถี่และความยาวคลื่นในการปล่อยแสงเลเซอร์แต่ละครั้งได้ นอกจากนี้แสงเลเซอร์ยังเข้าไปจับกับน้ำในเซลล์ของคอลลาเจนและฃ่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ ผลที่ได้คือผิวจะเรียบเนียนและขาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การรักษาด้วยวิธีนี้ต้องทำซ้ำมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป ทิ้งช่วงครั้งละ 3 อาทิตย์ หลังทำผิวอาจบวมแดงเล็กน้อยแต่จะค่อยๆ ดีขึ้น หลังการรักษาควรหลีกเลี่ยงแสงแดดพร้อมทั้งทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป อย่างไรก็ตามวิธีนี้อาจไม่เหมาะกับผู้มีผิวเข้ม เนื่องจากแสงเลเซอร์ชนิดนี้มีคุณสมบัติจับกับเม็ดสีเข้มได้ดีจึงอาจทำให้เกิดจุดด่างขาวและรอยไหม้ได้

รักแร้เป็นส่วนที่มีรูขุมขนเยอะ มีผิวบอบบาง ง่ายต่อการระคายเคือง ดังนั้นหากไม่อยากประสบปัญหาผิว รักแร้หนังไก่ ที่เป็นอุปสรรคต่อความมั่นใจขณะสวมใส่เสื้อผ้าโชว์วงแขนแล้ว การป้องกันมิให้ผิวเกิดขนคุด รวมถึงการรักษาความสะอาด ดูแลบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอก็จะช่วยให้มีรักแร้นวลเนียน ชวนมองได้ไม่ยาก แต่หากกำลังประสบปัญหานี้อยู่ก็ไม่ต้องกังวลไปเพราะการรักษาด้วยวิธีข้างต้นก็จะช่วยให้เจ้าผิวหนังไก่ทุเลาลงจนหายไปได้ในที่สุด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“Two Cases of a Rare Papular Disease Affecting the Axillary Region”. Archives of Dermatology. 138 (1): 16. 2002. doi:10.1001/archderm.138.1.16.

Freedberg, et al. (2003). Fitzpatrick’s Dermatology in General Medicine. (6th ed.). McGraw-Hill. p. 709. ISBN 0-07-138076-0.”Fox Fordyce Disease”. NORD (National Organization for Rare Disorders). synd/1512 at Who Named It.

เต้านมสองข้างไม่เท่ากันแก้ไขได้ไหม

0
เต้านมสองข้างไม่เท่ากันแก้ไขได้ไหม?
ความไม่สมมาตรเกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเต้านมข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง หรือจากต่อมไร้ท่อต่างๆ
เต้านมสองข้างไม่เท่ากันแก้ไขได้ไหม?
ความไม่สมมาตรเกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเต้านมข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง หรือจากต่อมไร้ท่อต่างๆ

เต้านม

เต้านม ถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของผู้หญิง ขนาดของเต้านมที่ไม่เท่ากันมีความเชื่อมโยงกับเสน่ห์ของผู้หญิงโดยตรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจแต่งงานอีกด้วย ปัญหาของขนาดเต้านมที่ไม่เท่ากันนี้จะแก้ไขได้อย่างไร ควรจะเป็นการผ่าตัดรูปแบบไหนที่จะทำให้ได้เต้านมที่มีขนาดสมดุลกันได้ แน่นอนว่าวิธีการรักษาก็จะแปรผันตามลักษณะของความไม่สมมาตรของเต้านมนั่นเอง

วิธีการแก้ไขความไม่สมดุลของเต้านม

โดยธรรมชาติแล้ว ถือเป็นเรื่องยากที่ขนาดของทรวงอกทั้งสองข้างจะสมมาตรกันอย่างสมบูรณ์ มักจะมีความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งไม่ค่อยรับรู้ได้ด้วยตัวเองและก็ไม่จำเป็นต้องมีการรักษาอะไรเป็นพิเศษ ความไม่สมมาตรของทรวงอกนั้นเกิดจากเจริญเติบโตผิดปกติของเต้านมข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง หรือแม้แต่ผลพวงจากต่อมไร้ท่อต่างๆ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. หากเป็นกรณีที่เต้านมข้างใดข้างหนึ่งมีองค์ประกอบภายในเจริญแบบผิดปกติ ในขณะที่เต้านมอีกข้างหนึ่งเป็นไปตามปกติอย่างที่ควรเป็น การรักษาก็จะเป็นเสริมเต้านมให้สมดุลกัน

2. เต้านมข้างใดข้างหนึ่งมีขนาดเล็ก และอีกข้างมีการเจริญเติบโตที่มากเกินไป แบบนี้จะรักษาด้วยการผ่าตัดตกแต่งเพื่อลดขนาดของเต้านมฝั่งที่มีขนาดใหญ่กว่า

3. เต้านมข้างหนึ่งมีการเจริญเติบโตและขยายตัวที่มากกว่า และเต้านมอีกข้างหนึ่งเป็นขนาดปกติ

4. ทรวงอกมีขนาดเล็กและไม่สมมาตร การรักษาเป็นการผ่าตัดปรับขนาดให้เกิดความเท่าเทียมเท่าที่จะเป็นไปได้

5. ทรวงอกมีขนาดใหญ่เนื่องจากเจริญมากเกินไปและไม่สมมาตรด้วย ก็จะใช้วิธีการลดขนาดส่วนที่ไม่เท่ากันเท่าที่จะเป็นไปได้

6. สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการทรวงอกหย่อนยานอย่างรุนแรง บางครั้งการผ่าตัดเต้านมออกก็เป็นสิ่งที่จำเป็น

7. ถ้าขนาดของเต้านมทั้งสองข้างมีขนาดที่ไม่แตกต่างกันมากจนเกินไป ก็สามารถดูแลรักษาได้ด้วยตัวเอง ขอยกตัวอย่างเป็นกรณีที่มีเต้านมด้านซ้ายเล็ก ก็ออกกำลังกายด้วยเครื่องขยายขนาดหน้าอกโดยเพิ่มจำนวนการยืดแขนข้างซ้ายให้มากกว่าอย่างจงใจ วิธีนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหน้าอกและช่วยเพิ่มขนาดของหน้าอกเท่านั้น แต่การใช้แขนซ้ายยังสัมพันธ์กับการส่งเสริมพัฒนาการของสมองซีกขวา ซึ่งทำให้ผู้คนฉลาดขึ้นด้วย

นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้การนวดกับหน้าอกข้างซ้ายที่มีขนาดเล็กนั้น ด้วยการใช้มือขวา นวดวนทิศตามเข็มนาฬิกา 3 ครั้งต่อวัน ครั้งละ 30 นาที คุณก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเต้านมได้ 
และถ้าหากทรวงอกมีช่องว่างระหว่างกลางที่กว้างเกินไป ก็ควรเข้าพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาและเลือกวิธีการแก้ไขที่ดีที่สุด เมื่อเราไม่สามารถแก้ไขอย่างถูกต้องได้ด้วยตัวเอง

โดยธรรมชาติขนาดของทรวงอกทั้งสองข้างจะไม่สมมาตรกันอย่างสมบูรณ์ มีความแตกต่างเล็กน้อย ซึ่งไม่ต้องมีการรักษาเป็นพิเศษ ความไม่สมมาตรเกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเต้านมข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง หรือจากต่อมไร้ท่อต่างๆ

วิธีป้องกันความไม่สมมาตรของทรวงอก

ผู้หญิงจำนวนมากมักมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่สมมาตรของขนาดทรวงอก จากมุมมองทางการแพทย์ ไม่มีวิธีอื่นใดที่แก้ปัญหาความไม่สมดุลของทรวงอกได้ดีเท่ากับศัลยกรรมพลาสติก อย่างไรก็ตามปัญหานี้ก็ยังสามารถป้องกันได้ ดังนี้

1.การดูแลในช่วงวัยแรกรุ่น หมั่นคอยสังเกตว่าเต้านมทั้งสองข้างมีการเจริญเติบโตที่สมดุลกันหรือไม่ ถ้าเริ่มพบว่าเต้านมมีขนาดที่แตกต่างกันแล้วก็ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทันที เพื่อหาสาเหตุของการพัฒนาขนาดเต้านมที่ไม่สมดุลกันและเลือกวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละกรณี อย่างเช่น การนวดเต้านมข้างที่มีขนาดเล็ก การขยายขนาดหน้าอก หรือเสริมสร้างความแข็งแรงของอกช่วงบน เพื่อกระตุ้นพัฒนาการของเต้านมข้างที่เล็กให้เทียบเท่ากับเต้านมอีกข้างหนึ่ง นั่นหมายความว่าการพัฒนาอย่างถูกต้องจะสามารถเปลี่ยนขนาดที่ไม่สม่ำเสมอของเต้านมได้ในช่วงที่ยังเป็นระยะเติบโตนี้   

2.ช่วงของการให้นมบุตร เป็นอีกช่วงที่มีความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาทรวงอกไม่สมมาตรได้เช่นเดียวกัน หากก่อนให้นมบุตรเต้านมมีขนาดที่แตกต่างกัน ให้เพิ่มจำนวนการในนมบุตรด้วยเต้านมข้างที่มีขนาดเล็ก การทำแบบนี้จะกระตุ้นให้เต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมได้ แต่ก็ยังต้องคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอด้วยการหมั่นส่องกระจกและสำรวจอย่างระมัดระวัง หลังจากช่วงเวลาการให้นมที่ยาวนานขนาดของเต้านมที่เคยเล็กนั้นก็จะถูกแก้ไขไป

3.ควรสังเกตด้วยว่าความสมมาตรของทรวงอกที่มีมาก่อนให้นมบุตรนั้นไม่ได้สูญเสียไป ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าเทคนิคการให้นมบุตรนั้นกลับมีผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามกับความต้องการ ซึ่งถือเป็นกรณีที่ทำให้เกิดความเสียหายมากกว่า และนั่นก็อิงตามกฎเกณฑ์ในเชิงชีววิทยาทั่วไป เต้านมที่มีขนาดเล็กแต่ถูกใช้งานอย่างเหมาะสม ส่วนของต่อมต่างๆ ในเต้านมก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ปริมาณของเต้านมเพิ่มขึ้นด้วย หลังจากผ่านช่วงการหย่านมไป หากเต้านมข้างที่เคยเล็กยังคงแบนราบเมื่อเทียบกับอีกฝั่งอยู่ ก็ยังมีอีกหนทางหนึ่ง ในชีวิตประจำวัน ผู้หญิงส่วนใหญ่ใช้มือขวาเป็นหลัก กล้ามเนื้อหน้าอกด้านขวาจึงมีมากกว่าด้านซ้าย การไหลเวียนของโลหิตก็ดีด้วย ฮอร์โมนก็ถูกกระตุ้นให้ไปทำงานยังบริเวณเต้านมนั้นมากขึ้น เนื้อเยื่อต่างๆ ก็พัฒนาอย่างสมบูรณ์และกระบวนการเผาผลาญพลังงานในส่วนของเต้านมก็ย่อมมีประสิทธิภาพ ในขณะที่แขนซ้ายซึ่งไม่ค่อยได้ใช้มากนักก็จะส่งผลให้หน้าอกข้างซ้ายมีขนาดเล็กนั่นเอง ถ้าปรับเปลี่ยนวิธีการใช้แขนให้สมดุลก็จะช่วยปรับขนาดของเต้านมได้ แต่ว่ามันค่อนข้างจะเป็นไปได้ยากในวัยผู้ใหญ่ เพราะกล้ามเนื้อต่างๆ เริ่มคงที่แล้ว อย่างไรก็ตามการบริหารกล้ามเนื้อบริเวณทรวงอกก็ยังส่งเสริมความแน่นของทรวงอกได้อยู่ดี

ทั้งสามเหตุผลนี้เป็นกุญแจสำคัญในการลดขนาดของเต้านม ทำไมเราจึงควรให้ความสำคัญกับการทำให้ทรวงอกมีความสมมาตรให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้ นั่นก็เพราะว่า จากผลการวิจัยของนักวิจัยชาวต่างชาติระบุไว้ว่า อัตราส่วนของปริมาณเต้านมข้างหนึ่งต่อปริมาณเต้านมอีกข้างหนึ่ง ยิ่งมีค่าน้อยเท่าไรก็ยิ่งลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านมเท่านั้น และแน่นอน ในทางตรงกันข้ามหากมีค่าอัตราส่วนที่สูงก็ยิ่งมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านม มหาวิทยาลัย Liverpool และมหาวิทยาลัย Central Lancashire ผู้เชี่ยวชาญในประเทศอังกฤษได้ทำการเอ็กซเรย์ทรวงอกของผู้หญิงที่มีสุขภาพดีจำนวน 504 คน และมีการวัดปริมาณของทรวงอกด้วย อัตราส่วนของปริมาณเต้านมต่อสุขภาพร่างกายของผู้หญิงที่ได้นั้นอยู่ที่ไม่เกิน 2.5% ขณะที่กลุ่มผู้หญิงซึ่งเป็นโรคมะเร็งเต้านมจะมากกว่า 2.7% แสดงให้เห็นว่าค่าอัตราส่วนที่มากกว่ามีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมที่สูงกว่าด้วย
จากนั้นขนาดของทรวงอกก็จะเริ่มแตกต่างกัน แล้วมะเร็งเต้านมเกิดขึ้นได้อย่างไร จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่ นี่คือ

ปัจจัยที่อาจจะเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคเต้านม

1. ด้วยเหตุที่ขนาดของเต้านมทั้งสองข้างแตกต่างกัน ทำให้ส่วนของเนื้อเยื่อภายในเต้านมกระจายตัวอย่างไม่สม่ำเสมอ ซึ่งนั่นทำให้ความไวต่อความรู้สึกที่ระคายเคืองของต่อมฮอร์โมนนั้นแตกต่างกันไปด้วย ส่วนที่มีค่าความไวต่อการระคายเคืองของต่อมฮอร์โมนที่มากกว่า ก็จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคเต้านมสูงกว่า

2. ด้วยขนาดของทรวงอกที่แตกต่างกัน ความหนาแน่นของเนื้อเยื่อภายในทรวงอกที่ต่างกัน ส่วนที่มีเนื้อเยื่อเต้านมเป็นกลุ่มก้อนหนาแน่นจะสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งเต้านมมากกว่า เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะส่วนที่มีค่าความหนาแน่นสูงจะอ่อนไหวต่อการกระตุ้นฮอร์โมนเอสโตรเจน

3. ด้วยขนาดทรวงอกที่แตกต่างกัน ทำให้เมตาโบไลท์ ( metabolites ) หรือสารที่ใดๆ ที่เกิดจากปฏิกิริยาทางชีวเคมีต่างๆ ในเมแทบอลิซึม ซึ่งถูกผลิตขึ้นภายในเต้านมมีปริมาณแตกต่างกัน และอัตราการกำจัดสารเมตาโบไลท์ก็แตกต่างกันด้วย หากเต้านมด้านในมีการกำจัดสารตกค้างจากการเผาผลาญที่ช้ากว่าก็จะส่งผลให้เกิดโรค นอกจากนี้ปริมาณน้ำเหลืองที่แตกต่างกันก็อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคเกี่ยวกับเต้านมอื่นๆ ด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

แพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข. 100 เรื่องน่ารู้ มะเร็งในผู้หญิง : กรุงเทพฯ : อมรินทร์สุขภาพ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2556.

พวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อน เข้าใจว่า การตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 240 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994.

การป้องกันและการแทรกซ้อนจากการ เสริมจมูก

0
การป้องกันและการแทรกซ้อนจากการเสริมจมูก
การเสริมจมูกด้วยการฉีดสารเติมเต็ม เป็นการฉีดเพื่อนำวัสดุเข้าสู่อวัยวะของร่างกาย วัสดุจะต้องอยู่ในรูปของเหลวเพื่อให้สามารถผ่านเข็มเข้าสู่จมูก
การป้องกันและการแทรกซ้อนจากการเสริมจมูก
การที่จมูกเบี้ยวหรือคดอาจเกิดจากการบวมของเนื้อเยื่อ และเมื่ออาการบวมลดลงวัสดุมีการเคลื่อนจากตำแหน่งเดิม

เสริมจมูก

การผ่าตัด เสริมจมูก เพื่อนำวัสดุหรือสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกร่างกาย (Foreign Body materials) เข้าสู่ร่างกายย่อมมีความเสี่ยงที่ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาการต่อต้านจากร่างกายอย่างแน่นอน แต่ปฏิกิริยาดังกล่าวจะเกิดขึ้นมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงและวัสดุที่นำเข้ามาใช้ในการเสริมจมูกด้วย ซึ่งวัสดุที่นำมาเสริมจมูกมีทั้งเนื้อเยื่อที่มาจาก

ธรรมชาติและวัสดุที่มาจากการสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ การนำเนื้อเยื่อสามารถนำมาได้จากผู้บริจาคอื่นและการนำเนื้อเยื่อมาจากอวัยวะอื่นภายในร่างกาย ซึ่งเนื้อเยื่อที่นำมาจากอวัยวะส่วนอื่นนั้นถึงแม้ว่าร่างกายจะไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านเกิดขึ้นแต่ว่าผู้เข้ารับการผ่าตัดก็ต้องเจ็บตัวเนื่องจากการนำเนื้อเยื่อดังกล่าวมาใช้ จึงกล่าวได้ว่าต้องเจ็บตัวถึงสองครั้งในการ เสริมจมูก เพียงที่เดียว และบางครั้งปริมาณของเนื้อเยื่อหรือกระดูกที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในการเสริมจมูก จำเป็นต้องใช้วัสดุสังเคราะห์ร่วมด้วย ส่วนวิธีการเสริมจมูกด้วยการเติมวัสดุเข้าไปที่บริเวณด้านบนหรือด้านล่างของจมูก สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มตามลักษณะขั้นตอนการทำ คือ
1.การผ่าตัดเสริมจมูกด้วยวัสดุแบบแท่ง
2.การเสริมจมูกด้วยการฉีดสารเติมเต็ม ( Filler )

การเสริมจมูกด้วยการฉีดสารเติมเต็ม ( Filler )

การทำจมูกหรือ เสริมจมูก ด้วยการฉีดสารเติมเต็ม ( Filler ) คือ การฉีดเพื่อนำวัสดุเข้าสู่อวัยวะของร่างกาย วัสดุจะต้องอยู่ในรูปของเหลว เช่น น้ำ วุ้นหรือผงขนาดเล็กที่สามารถนำมาผสมน้ำหรือตัวทำละลายอื่นให้กลายเป็นของเหลว เพื่อที่จะสามารถทำการฉีดผ่านเข็มเข้าไปสู่จมูกได้ ซึ่งสารที่สามารถนำมาฉีดเข้าไปในร่างกายแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้

   [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

1.ของเหลวที่สามารถฉีดเข้าไปแล้วสามารถคงอยู่ได้ตลอดไป ( Permanent Filler )
สารชนิดนี้มีคุณสมบัติที่สามารถคงตัวอยู่หรือกระจายตัวอยู่ในเนื้อเยื่อของคนไข้ได้ตลอดไป ซึ่งในระยะแรกกลังจากที่สารนี้เข้าไปแล้วลักษณะโดยรวมของจมูกจะดูสวยงาม แต่เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้ว ร่างกายจะรู้ว่าได้รับสิ่งแปลกปลอมเข้ามาย่อมเกิดปฏิกิริยาการต่อต้านขึ้น เช่น การอักเสบ บวมแดง ซึ่งอาการดังกล่าวจะเป็น ๆ หาย ๆ บางครั้งร่างกายจะทำการสร้างพังผืดที่มีลักษณะคล้ายเส้นใยมาห่อหุ้ม ส่งผลให้มีลักษณะเป็นก้อนที่มีผิวเป็นตะปุ่มตะป่ำ การรักษาอาการที่เกิดขึ้นเป็นไปได้ยาก ซึ่งสารที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว คือ ซิลิโคนเหลว พาราฟินและซิลิโคนหงส์ที่ต้องนำมาผสมน้ำ ( Bioplastic )

2.ของเหลวที่สามารถฉีดเข้าไปแล้วสามารถละลายหายไปได้เอง
สารจำพวกนี้ได้มีการคิดค้นเพื่อให้สามารถคงอยู่ภายในร่างกายได้ประมาณ 1 ปี แล้วจึงจะสลายตัวไป เนื่องจากถ้าให้คงอยู่ยาวนานกว่านี้จะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งไม่สามารถทำการรักษาให้หายได้ ซึ่งการฉีดสารเติมเต็มเข้าสู่

จมูกเพื่อทำการ เสริมจมูก ต้องทำโดยแพทย์ที่มีความชำนาญในการฉีดที่สูงมาก เนื่องจากหากเกิดความผิดพลาดในการฉีด เช่น การฉีดเข้าไปในเส้นเลือด ตา โพรงจมูกแล้ว อาจส่งผลให้เส้นเลือดอุดตัน เนื้อเยื่อที่อวัยวะเกิดการเน่าหรือตายได้ ถ้าหากเข้าไปในดวงตาอาจทำให้ดวงตามองไม่เห็นหรือตาบอดได้ และระหว่างที่สารนี้ยังสลายไปไม่หมด อาจก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนหรือโรคแทรกซ้อนกับร่างกายได้ เช่น การอักเสบ การบวมแดง ผิวหนังมีลักษณะที่ขรุขระ สารเติมเต็มที่อยู่ในกลุ่มนี้ เช่น Hyalutonic acid เป็นต้น

การเสริมจมูกด้วยการฉีดสารเติมเต็ม เป็นการฉีดเพื่อนำวัสดุเข้าสู่อวัยวะของร่างกาย วัสดุจะต้องอยู่ในรูปของเหลวเพื่อให้สามารถผ่านเข็มเข้าสู่จมูก

อาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการเสริมจมูกที่พบได้บ่อย

การ เสริมจมูก สามารถสร้างจมูกที่มีรูปทรงที่สวยงาม ส่งผลให้ใบหน้ามีมิติน่ามองยิ่งขึ้น แต่ว่าการผ่าตัดเพื่อเสริมจมูกใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีเพราะว่าในการผ่าตัดย่อมมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้น ซึ่งอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการทำจมูกที่พบได้บ่อยครั้ง คือ

1.การติดเชื้อ
การผ่าตัดที่ไม่สะอาดหรือการผ่าตัดที่ไม่ได้ตามมาตรฐาน ทั้งจากความชำนาญของแพทย์ ความสะอาดของสถานที่ผ่าตัด ความสะอาดและวัสดุที่นำมา เสริมจมูก ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ทั้งสิ้น การติดเชื้อสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้

ระยะแรก คือ ระยะหลังจากที่ทำการผ่าตัดเสร็จสิ้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน บวมแดง เนื่องจากการผ่าตัดที่มีความสะอาดน้อย หรือมีเลือดคั่งบริเวณจมูกหรือภายในโพรงจมูกซึ่งมีเชื้อโรคอยู่ภายในนั้น เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการไซนัสอักเสบ ซึ่งหากมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว แพทย์จะต้องรีบนำสิ่งแปลกปลอมที่มีอยู่ในจมูกออกมาและทำความสะอาดแผลทันที พร้อมทั้งให้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการอักเสบที่เกิดขึ้น

การติดเชื้อระยะที่สั้น คือ ระยะหลังจากผ่าตัดประมาณสัปดาห์ที่ 2 ถึงสัปดาห์ที่ 4 ลักษณะอาการจะคล้ายคลึงกับอาการในระยะแรก คือ มีอาการเจ็บ แดงและบวมเกิดขึ้นก่อนที่จะมีน้ำเหลืองไหลหรือน้ำหนองไหลออกมาจากแผลที่อยู่ภายในจมูก ซึ่งอาการนี้จะเกิดเนื่องจากแผลมีการดูแลรักษาที่ไม่ดี มีสิ่งสกปรกเข้าไปในแผลจนเป็นเหตุให้แผลเกิดการติดเชื้อและอักเสบได้ ซึ่งสามารถทำการรักษาได้ด้วยการทำความสะอาดแผลและให้ยาปฏิชีวนะ

การติดเชื้อในระยะกลาง คือ การติดเชื้อที่เกิดขึ้นหลังจากการผ่าตัดตั้งแต่ 1 เดือนจนถึงหลายปี ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในระยะกลางจะมีอาการบวมแบบเป็น ๆ หาย ๆ บางครั้งมีอาการแสบร้อนและบวมแดงร่วมด้วย หรือมีน้ำไหลออกมาจากจมูกเป็นครั้งคราว ซึ่งสาเหตุของการอักเสบมักไม่เกี่ยวข้องกับเชื้อโรคที่มาการผ่าตัด แต่เกิดจากการอักเสบของผิวหนัง เนื้อเยื่อหรือกระดูกที่อยู่ใกล้กับแผลที่ทำการผ่าตัด เช่น การเกิดสิวอักเสบ ไซนัสอักเสบ ผิวหนังติดเชื้อ เป็นต้น เชื้อโรคที่มาจากการอักเสบดังกล่าวจะเข้ามาที่บริเวณจมูกและส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ ถึงแม้ว่าการติดเชื้อแบบนี้จะไม่รุนแรงแต่ก็ต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้หาย

2.จมูกเบี้ยวหรือคด
การที่จมูกเบี้ยวหรือคดเป็นอาการแทรกซ้อนที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นก็ตาม แต่เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ง่ายและพบได้บ่อยที่สุดในการ เสริมจมูก ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นในระยะแรกไม่เกิน 2 สัปดาห์หลังจากที่ทำการเสริมจมูก อาจจะเกิดขึ้นจากการที่เนื้อเยื่อมีอาการบวม ดังนั้นเมื่ออาการบวมของกล้ามเนื้อลดลงแล้ววัสดุที่เสริมเข้าไปยังไม่อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ แพทย์ยังสามารถทำการเคลื่อนย้ายวัสดุดังกล่าวให้กลับเข้าสู่ตำแหน่งที่ต้องการได้ แต่ถ้าอาการจมูกเบี้ยวเกิดขึ้นนานกว่า 2 สัปดาห์หลังจากทำการผ่าตัด แพทย์จะไม่สามารถทำการเคลื่อนย้ายตำแหน่งของวัสดุที่เสริมจมูกได้ จะต้องทำการผ่าตัดเพื่อเคลื่อนย้ายวัสดุไปยังตำแหน่งที่ต้องการเท่านั้น เนื่องจากร่างกายมีการสร้างพังผืดขึ้นมายึดเนี่ยววัสดุจึงไม่สามารถขยับวัสดุดังกล่าวได้

3.ผิวหนังมีความหนาลดลง
การ เสริมจมูก ด้วยวัสดุสังเคราะห์หรือสิ่งแปลกปลอมชนิดอื่นข้าสู่จมูก วัสดุดังกล่าวจะมีการเสียดสีกับผิวหนังอยู่ตลอดเวลาส่งผลให้ผิวหนังที่มีการสัมผัสวัสดุเสริมจมูกมีขนาดที่บางลง ซึ่งจะทำให้วัสดุเกิดการทะลุออกมาจากผิวหนัง โดยเฉพาะผิวหนังบริเวณปลายจมูกที่มีการเสริมให้โด่งขึ้นจนผิวหนังในส่วนปลายจมูกตึงแน่น การแก้ไขปัญหาสำหรับผิวหนังที่มีความหนาลดลงทำให้ด้วยการลดความสูงของบริเวณปลายจมูกให้อยู่ในระดับที่พอดีให้บริเวณปลายจมูกมีเนื้อหลงเหลือในปริมาณที่สามารถปิดวัสดุไม่ให้ทะลุออกมาได้ หรืออาจใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น กระดูกอ่อน เนื้อเยื่อ ของผู้เข้ารับการผ่าตัดมาใส่ในบริเวณปลายจมูก เพื่อที่ร่างกายจะทำการสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาคลุมส่วนปลายจมูกเพื่อลดความเสี่ยงในการทะลุของวัสดุเสริมจมูกออกมา

4.ผิวหนังทะลุ
อาการผิวหนังทะลุสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของจมูกที่ทำการเสริม แต่ที่พบได้บ่อยจะเกิดที่บริเวณปลายจมูก ซึ่งเมื่อเกิดอาการผิวหนังทะลุแล้วจะทำให้ผู้ป่วยมีรอยแผลเป็นเกิดขึ้นอย่างชัดเจน อาการแทรกซ้อนที่ตามมาหลังจากผิวหนังทะลุก็คือการติดเชื้อเป็นหนอง ส่งผลให้เนื้อเยื่อตาย ดังนั้นเมื่อรู้สึกว่ามีอาการปวดแสบปวดร้อนที่บริเวณจมูกควรรีบไปพบแพทย์ในทันที่เพื่อทำการถอดวัสดุจมูกออกเพื่อป้องกันไม่ให้วัสดุทะลุเนื้อออกมาจนเกิดเป็นแผลเป็นขึ้น

การผ่าตัดเพื่อนำวัสดุหรือสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกเข้าสู่ร่างกาย มีความเสี่ยงที่ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาการต่อต้าน

5.สันจมูกมีลักษณะขรุขระไม่เรียบ
การที่ผิวหนังบริเวณจมูกมีลักษณะที่ขรุขระจะพบได้หลังจากที่ทำการ เสริมจมูก มากกว่า 1 ปี เนื่องจากร่างกายมีการสร้างพังผืดขึ้นมาคลุมวัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกหรือมีแคลเซียมมาเกาะกับวัสดุ ส่งผลให้ผิวหนังจมูกมีลักษณะเป็นคลื่น ซึ่งสามารถทำการแก้ไขด้วยการเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกให้มีความอ่อนนุ่มมากกว่าเดิม
อาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นสามารถเกิดขึ้นเพียงออย่างเดียวหรือเกิดขึ้นได้หลายอย่างในผู้ป่วยคนเดียว และอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย แต่อาการแทรกซ้อนทุกอย่างสามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งการป้องกันอาการแทรกซ้อนทำได้ดังนี้ 

  • ความพร้อมของร่างกาย
    ผู้ที่ต้องการเข้ารับการผ่าตัดเสริมจมูกต้องมีร่างกายที่แข็งแรงไม่เจ็บป่วย หรือมีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยงในการผ่าตัดเสริมจมูก เช่น ไซนัสอักเสบ ไข้หวัด เบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น หรือมีการรับประทานยาที่ลดการแข็งตัวของเลือดหรือได้รับยาที่มีผลยับยั้งการหายของแผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดได้ เช่น การให้คีโม ยาฆ่าเชื้อมะเร็ง
  • สถานะทางการเงิน
    ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดเสริมจมูกจะมีค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่ง ดังนั้นก่อนที่ผู้ป่วยจะเข้ารับการผ่าตัดควรเตรียมเงินให้พร้อมเพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด เพราะในการ เสริมจมูก ยิ่งใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์การทำงานมายาวนาน ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดก็จะสูงตามไปด้วย ค่าใช้จ่ายที่สูงจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย อย่าประหยัดเงินด้วยการเลือกใช้บริการกับสถานพยาบาลที่มีราคาถูกแต่ไม่มีมาตรฐานในการผ่าตัด
  • คลีนิก สถานบริการหรือโรงพยาบาล
    การผ่าตัด เสริมจมูก ถึงแม้ว่าจะเป็นการผ่าตัดขนาดเล็กส่วนมาก แต่ก็ควรทำการเลือกสถานที่ให้บริการที่ได้มาตรฐาน มีความสะอาด ปลอดเชื้อและมีการแบ่งพื้นที่ใช้งานอย่างชัดเจน ว่าส่วนใดเป็นพื้นที่ทำการผ่าตัด ส่วนใดเป็นพื้นที่ต้อนรับผู้ป่วย ส่วนใดเป็นพื้นที่พักฟื้นของผู้ป่วย การกำหนดพื้นที่อย่างชัดเจนจะช่วยป้องกันการสะสมของเชื้อโรคและเพื่อความปลอดภัยของผู้เข้ารับการผ่าตัดจากการติดเชื้อได้มีการับรองจากหน่วยงานของรัฐบาลและกองการประกอบโรคศิลปะ จากกระทรวงสาธารณสุข มีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง
  • แพทย์ผู้ทำการผ่าตัด
    แพทย์ผู้ทำการผ่าตัด เสริมจมูก มีความสำคัญ เพราะแพทย์ผู้มีความชำนาญและเชี่ยวชาญจะสามารถทำการผ่าตัดเสริมจมูกให้ได้รูปทรงที่สวยงามตามที่ต้องการ ในขณะที่ทำการผ่าตัดแพทย์จะต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อเพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายของผู้เข้ารับการผ่าตัด และแพทย์ต้องผ่านการอบรมหลักสูตรเฉพาะทางเกี่ยวกับศัลยกรรมตกแต่งเกี่ยวกับการตกแต่งจมูก เพราะการอบรมเฉพาะทางจะช่วยให้แพทย์มีความรู้ความเข้าใจและสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการศัลยกรรม รวมถึงสามารถป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
  • ศึกษาข้อมูล
    ผู้ที่ต้องการเข้ารับการผ่าตัดควรทำการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการศัลยกรรมเสริมจมูกก่อนที่จะตัดสินใจทำการผ่าตัดเสริมจมูก เพื่อป้องกันกลุ่มผู้ที่ไม่หวังดีเข้ามาหลอกลวงใช้วัสดุที่ไม่ได้คุณภาพในการเสริมจมูก ดังนั้นการศึกษาหาข้อมูลอาจจะทำการสอบถามจากผู้รู้หรืออ่านเอกสารต่าง ๆ ก่อน เพื่อเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจเลือกวัสดุ ขั้นตอนในการผ่าตัดเสริมจมูกที่ได้ผลดีที่สุด

การผ่าตัดเพื่อศัลยกรรม เสริมจมูก สามารถเนรมิตจมูกที่สวยงามตามที่ต้องการ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ไม่มีอะไรที่ดีพร้อมไปเสียทุกอย่าง การศัลยกรรมก็เช่นกัน แม้จะสามารถช่วยให้มีจมูกที่สวยงามขึ้นแต่ถ้าใช้วัสดุที่ไม่ดี แพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ หรือสถานที่ที่ไม่มาตรฐาน ผู้ป่วยก็อาจะมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้น ซึ่งสามารป้องกันได้ด้วยตัวของผู้เข้ารับการผ่าตัดและแพทย์ผู้ให้การรักษานั้นเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

สมาคมแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย. สวยให้สุด หยุดที่ศัลยแพทย์ตกแต่ง : กรุงเทพฯ: ไอดี ออล ดิจิตอล พริ้น จำกัด,2561.

ศัลยกรรมคิ้ว ดวงตาและใบหน้า

0
สัมพันธ์ของคิ้วต่อดวงตาและใบหน้า
การผ่าตัดเพื่อยกคิ้วนอกจากความสวยงามแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือความคงทนของคิ้วที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัด
สัมพันธ์ของคิ้วต่อดวงตาและใบหน้า
การผ่าตัดเพื่อยกคิ้วนอกจากความสวยงามแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือความคงทนของคิ้วที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัด

ศัลยกรรม

ปัจจุบันนี้การ ศัลยกรรม ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก คนทุกเพศทุกวัยต่างให้ความสนใจที่จะสร้างความงามในแบบฉบับที่ตนเองต้องการ แม้ว่าจะไม่ได้สวยงามมาตั้งแต่เกิดแต่ปัจจุบันนี้เราก็สามารถจะสวยตามที่ต้องการได้ด้วยมือของแพทย์ศัลยกรรม ซึ่งการศัลยกรรมสามารถศัลยกรรมได้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เช่น การเสริมนม การเสริมก้น การผ่าตัดตกแต่งใบหน้า เป็นต้น การศัลยกรรมแต่ละส่วนใช่ว่าจะสามารถทำการศัลยกรรมได้ตาที่ต้องการเสียทั้งหมด เพราะแพทย์จะต้องทำการประเมินก่อนว่าการทำผ่าตัดมีความจำเป็นหรือไม่สำหรับปัญหาที่ต้องการแก้ไข

ในกรณีของการผ่าตัดดวงจาเพื่อทำตาสองชั้นก็เช่นเดียวกันที่ไม่สามารถที่จะกำหนดได้ว่าจะต้องทำด้วยวิธีการผ่าตัด ซึ่งโดยมากคนไข้ที่เข้ามาปรึกษากับแพทย์ที่บริการด้านการ ศัลยกรรม จะเข้ามาบอกเล่าและอธิบายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับหนังตาของตนเอง เพื่อให้แพทย์รับรู้ว่าปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่สร้างความเสียหายและเป็นอุปสรรคในการดำรงชีวิต เช่น อาการตาบวมที่ส่งผลให้ชั้นหนังตาลดต่ำลงมาหรือย้อยลงมาอยู่ที่บริเวณด้านหางตา ซึ่งเมื่อพิจารณาดูโดยรวมไม่สวยเหมือนตอนที่หนังตายังไม่บวมห้อยลงมา อาการเปลือกตาหย่อนจนทำให้ชั้นหนังตามีขนาดที่เล็กลง เป็นต้น โดยแพทย์จะทำการรับฟังและพิจารณาถึงลักษณะที่แท้จริงกับปัญหาที่เกิดขึ้นว่าสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีใดบ้าง ซึ่งส่วนมาแล้วคำตอบที่แพทย์บอกกับคนไข้ที่เข้ามาปรึกษามักจะถูกใจคนไข้นั่นคือ ต้องทำการผ่าตัดที่บริเวณชั้นหนังตาบน การผ่าตัดที่บริเวณตาบนเพื่อทำการตัดหนังที่หย่อนคล้อยลงออกไป หรือทำการตัดชั้นไขมันที่อยู่ในเปลือกตาออกไปเพื่อลดขนาดของชั้นหนังตาให้บางลงและไม่ห้อยลงมาบังชั้นหนังตา พร้อมทั้งทำการเย็บชั้นหนังตาขึ้นมาใหม่ให้มีขนาดที่เหมาะสมกับดวงตา

ลักษณะของปัญหาที่เมื่อทำการผ่าตัด ศัลยกรรม

แต่ก็ใช่ว่าการผ่าตัดสร้างชั้นตาทุกครั้งจะสามารถสร้างชั้นตาที่สวยงามและเหมาะสมกับดวงตาและใบหน้าทุกครั้ง ซึ่งลักษณะของปัญหาที่เมื่อทำการผ่าตัด ศัลยกรรม แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นจากการศัลยกรรมออกมาไม่สวยดังที่ต้องการ คือ

1. เมื่อทำการยกคิ้วหรือเลิกคิ้วขึ้นแล้ว ชั้นตาที่มีอยู่มีลักษณะที่เหมาะสม เส้นชั้นตาชัดเจน เปลือกตามีความหนาที่พอดีไม่บวมเท่ากับขนาดของเปลือกตาในขณะที่ไม่เลิกคิ้ว

2. เมื่อทำการยกคิ้วหรือเลิกคิ้วแล้ว ลักษณะของคิ้วและเปลือกตาบนรับกันอย่างสวยงาม แต่เมื่อลดคิ้วลงเปลือกตาด้านบนหย่อนลงมา โดยเฉพาะบริเวณหางตาส่งผลให้ดวงตาดูเศร้า เหนื่อยล้าและแก่ไม่น่ามาอง

3. ลักษณะชั้นตาเดิมเหมาะสมกับดวงตาและใบหน้า ชั้นตาเดิมที่มีอยู่แล้วมีความเหมาะสมกับดวงตาไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป เมื่อมองโดยรวมแล้วชั้นตาไม่ได้ทำให้ใบหน้าดูหน้าเกลียดไม่สวยงาม เพราะว่าการทำชั้นตาถ้าเกิดความผิดพลาดแล้วจะส่งผลให้ชั้นหนังตาเปลี่ยนไปอย่างถาวร การที่จะนำชั้นหนังตาให้เหมือนเดิม 100% นั้นเป็นไปได้น้อยมาก ดังนั้นเมื่อทำการปรับเปลี่ยนลักษณะของชั้นตาแล้ว ชั้นหนังตาก็จะเปลี่ยนไปตลอด สวยหรือไม่สวยก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น

4. ไม่ชอบมีรอยแผลเป็นบนเปลือกตา การผ่าตัด ศัลยกรรม สร้างชั้นตาจะหลงเหลือรอยแผลเป็นบนเปลือกตาเสมอ เพียงแต่ว่ารอยแผลเป็นทีเกิดขึ้นจะมีความชัดเจนหรือไม่ขึ้นอยู่กับความชำนาญของแพทย์และลักษณะของแผลผ่าตัดที่เกิดขึ้น ซึ่งในขณะที่ลืมตาเราจะไม่เห็นรอยแผลเป็นดังกล่าว แต่เมื่อลับตาลงหรือทำการยกคิ้วขึ้นรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นจากการตัดหนังตาส่วนเกินออกไปก็จะปรากฎให้ได้อย่างชัดเจน

5. สาเหตุที่แท้จริงของเปลือกตาที่บวมขึ้น การบวมของเปลือกตาที่เราเห็นอยู่อาจจะไม่ได้เกิดจากการที่เปลือกตามีการสะสมของไขมันในปริมาณที่สูง สำหรับคนที่มีรูปร่างผอมบางแต่สังเกตว่าเปลือกตาของตนบวมมาก ความน่าจะเป็นเกี่ยวกับการสะสมไขมันที่บริเวณเปลือกตาจึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ในทางกลับกันลองพิจารณาดูว่าการที่เปลือกตาบวมอาจจะเกิดจากการโค้งของเปลือกตาก็เป็นได้ การโค้งของเปลือกตาจะมีลักษณะเหมือนกับการโค้งของกระดาษ ซึ่งเราสามารถทำให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้น ด้วยการนำกระดาษ A4 มาถือที่ปลายทั้งสองข้างแล้วทำการโค้งปลายทั้งสองด้านเข้าหากันจะพบว่าส่วนกลางของกระดาษมีลักษณะที่โค้งนูนขึ้นมา ซึ่งคล้ายกับลักษณะของเปลือกตาที่เมื่อยกคิ้วขึ้นเปลือกตาจะมีลักษณะของชั้นตาที่พอดี แต่พอลงคิ้วลงอยู่ในสภาวะปกติ เปลือกตากลับดูนูนบวมขึ้นอย่าง

จากลักษณะของเปลือกตาที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าการบวมของเปลือกตาไม่มีเกิดขึ้นจากความหย่อนยานของผิวหนังที่เปลือกตาหรือเปลือกตามีปริมาณไขมันมากแต่อย่างใด แต่สาเหตุที่แท้จริงของปัญหาหนังตาตกที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากลักษณะที่ผิดปกติของคิ้ว ดังนั้นถ้าต้องการแก้ไขก็ต้องทำการผ่าตัด ศัลยกรรม เพื่อยกคิ้วขึ้นไปให้อยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น ปัญหาหนังตาตกหรือหนังตาบวที่เกิดขึ้นก็จะหายไปเอง แต่การผ่าตัดยกคิ้วแสดงว่าคิ้วต้องมีการเปลี่ยนตำแหน่งขึ้นไปอยู่สูงขึ้นด้วย ซึ่งก่อนที่จะทำการผ่าตัดต้องทดสอบดูก่อนว่าตำแหน่งใหม่ของคิ้วมีความเหมาะสมกับใบหน้าหรือไม่ หรือตำแหน่งคิ้วใหม่นี้สวยถูกใจเจ้าของหรือไม่ เพราะความชอบของแต่ละบุคคลมีความต่างกัน บางคนชอบคิ้วที่อยู่ในระดับโหนกคิ้วที่เหมาะสมกับรูปหน้า บางคนชอบคิ้วที่ยกสูงหรือที่เรียกว่าคิ้วงิ้ว ซึ่งความชอบที่ต่างกันจะส่งผลถึงการตัดสินที่ใจที่จะผ่าตัดเพื่อยกคิ้วขึ้นนั่นเอง

การผ่าตัด ศัลยกรรม เพื่อปรับเปลี่ยนตำแหน่งของคิ้วด้วย ก็คือการย้ายคิ้วให้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่เรายกคิ้วนั่นเอง การผ่าตัดคิ้วไม่สามารถทำได้ทุกคน บุคคลที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดยกคิ้วได้ คือ คนที่มีการสักคิ้วถาวร คนที่ไม่ชอบคิ้วที่ยกขึ้นสูง คนที่มีคิ้วสูงยู่แล้วตามธรรมชาติถ้าผ่าตัดยกคิ้วจะทำให้ดูไม่สวย บุคคลเหล่านี้ไม่สมควรทำการผ่าตัดเพื่อยกคิ้ว และก่อนที่จะทำการผ่าตัดยกคิ้ว เราต้องทำความเข้าใจถึงตำแหน่งกับลักษณะของคิ้วที่จะเกิดขึ้นหลังจากทำการผ่าตัด รวมถึงต้องทำการเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญสูงมาก เพราะการผ่าตัดยกคิ้วมีความเสี่ยงที่ต้องยอมรับเสียก่อนว่าการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งคิ้วนี้เมื่อผ่าตัดแล้วตำแหน่งคิ้วจะเปลี่ยนไปจากเดิม ส่วนมากแล้วตำแหน่งของคิ้วจะยกสูงขึ้น แต่ก็มีในบางรายที่ทำการผ่าตัดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเพียงพอ ทำให้คิ้วไม่อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการและคิ้วยังตกต่ำลงมากว่าตำแหน่งเดิมอีก  

ลักษณะของคิ้วที่สวย

1. คิ้วสูงจากดวงตาพอเหมาะไม่สูงหรือต่ำเกินไป 

คิ้วที่สวยจะต้องมีความสูงจากชั้นของตาประมาณ 1 เซนติเมตร ไม่อยู่ต่ำจนชิดบริเวณชั้นตาและไม่อยู่สูงจากชั้นตามากกว่า 1.5 เซนติเมตร ส่วนมากในผู้ชายจะพบว่ามีคิ้วที่อยู่สูงจากชั้นตามากกว่า 1.5 เชนติเมตร ส่วนในผู้หญิงแล้วการมีคิ้วที่สูงมาก ๆ จะเรียกว่าคิ้วงิ้วเหมือนกับตัวละครที่แสดงงิ้วจะต้องแต่งหน้าและคิ้วที่โก้งสูงกว่าความเป็นจริง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพื่อสร้างจุดสนใจให้กับคนดู แต่ในชีวิตจริงแล้วการมีคิ้วแบบงิ้วจะทำให้ใบหน้าดูหลอกตาไม่น่ามอง

2. หางคิ้วยกสูง

คิ้วที่สวยที่ส่วนของหางคิ้วจะต้องยกสูงกว่าหัวคิ้ว ไม่ต่ำกว่าหัวคิ้ว เพราะถ้าหางคิ้วต่ำกว่าหัวคิ้วจะทำให้ลักษณะโดยรวมของดวงตาแลดูเศร้า เหมือนเวลาที่นักวาดการ์ตูนต้องการสื่ออารมณ์ของตัวการ์ตูนว่ากำลังเศร้าเสียใจ จะทำการวาดดวงตาให้คิ้วตกลงมาต่ำกว่าหัวตายิ่งต่ำมากก็จะทำให้รู้สึกเศร้ามาก ดังนั้นคิ้วที่สวยงามทำให้ใบหน้าดูสดชื่นหางคิ้วจะต้องสูงกว่าหัวคิ้วเล็กน้อย

การผ่าตัด ศัลยกรรม เพื่อยกคิ้วนอกจากความสวยงามแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือความคงทนของคิ้วที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัด

วิธีการผ่าตัดยกคิ้ว

การผ่าตัดเพื่อยกคิ้วจะประสบความสำเร็จได้ออกมาสวยงามหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อทำการผ่าตัดออกมาแล้วลักษณะของคิ้วที่ออกมานั้นสวยงามถูกใจผู้เป็นเจ้าของใบหน้ามากน้อยแค่ไหน นอกจากความสวยงามแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือความคงทนของคิ้วที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัด ว่าสามารถคงอยู่ได้ยาวนานเท่าใด เนื่องจากการผ่าตัดยกคิ้วต้องอาศัยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในการผ่าตัดสูงมาก ซึ่งวิธีการผ่าตัดยกคิ้วมีอยู่ด้วยกันดังนี้

1. การเปิดแผลโดยการกรีดบริเวณก้านบนของคิ้ว ( Direct Brow Lift )

การผ่าตัด ศัลยกรรม ยกคิ้วด้วยการกรีดบริเวณด้านบนของคิ้วเป็นการผ่าตัดรูปแบบที่มีการใช้งานกันมานาน ซึ่งการผ่าตัดแพทย์จะทำการฉีดยาชาและกรีดเพื่อเปิดแผลที่บริเวณเหนือคิ้วเล็กน้อย แล้วทำการตัดผิวหนังที่อยู่ในบริเวณคิ้วด้านบนออกไปและทำการเย็บเพื่อดึงกล้ามเนื้อบริเวณคิ้วให้ยกขึ้นไป การผ่าตัดวิธีนี้ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดจะต้องทำการพักฟื้นประมาณ 10 วันจึงจะสามารถตัดไหมออกได้ วิธีการยกคิ้วแบบนี้นับเป็นวิธีที่ช่วยยกคิ้วอย่างได้ผลและเกิดข้อผิดพลาดน้อยมาก แต่ว่าข้อเสียของการผ่าตัดวิธีนี้ก็คือ รอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดจะสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน

2. การเปิดแผลบริเวณเหนือหน้าผาก ( Pretrichial Incision Brow Lift )

การ ศัลยกรรม วิธีนี้ทำด้วยการผ่าตัดเปิดแผลด้วยการกรีดแผลตลอดแนวของหน้าผาก และทำการดึงกล้ามเนื้อขึ้นมาเพื่อรั้งคิ้วให้ขึ้นสูงตามมาด้วย ก็เหมือนกับการดึงหน้าผากให้ตึงแล้วคิ้วยกขึ้นตามนั่นเอง ในการผ่าตัดเปิดแผลบริเวณเหนือหน้าผากแพทย์จะต้องทำการวางสลบเพราะในการผ่าตัดต้องทำการเปิดแผลขนาดใหญ่ เพื่อที่แพทย์จะสังเกตเห็นเส้นประสาท เส้นเลือดที่อยู่ภายในหน้าผากได้อย่างชัดเจนเวลาที่ทำการดึงเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อขึ้นมาเย็บ ป้องกันการกระทบกระเทือนของเส้นเลือดและเส้นประสาทที่อาจเกิดขึ้นได้ขณะที่ทำการเย็บแผล การผ่าตัดเปิดแผลบริเวณเหนือหน้าผากนอกจากจะสามารถช่วยยกคิ้วให้สูงขึ้นได้แล้ว ยังสามารถช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบริเวณหน้าผากอย่างได้ผลอีกด้วย

ข้อเสียของการผ่าตัดเปิดแผลบริเวณเหนือหน้าผากคือ แผลที่กรีดเปิดมีขนาดที่ใหญ่จึงต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนานและรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดก็รักษาให้หายได้ยาก นอกจากนี้การดึงกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่บริเวณหน้าทั้งหมดทำให้กะระยะความสูงของคิ้วได้ยาก บางครั้งคิ้วที่ยกขึ้นมาอาจสูงหรือต่ำกว่าที่ต้องการได้

3. การผ่าตัดผ่านกล้อง ( Endoscopic Brow Lift )

วิธีนี้เป็นวิธีการผ่าตัดที่ล้ำสมัยที่สุด ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เข้ารับการผ่าตัดที่ไม่ต้องการให้เกิดรอยแผลเป็นจากการผ่าตัด ศัลยกรรม การผ่าตัดการผ่าตัดผ่านกล้องได้นำกล้องส่อง Endoscopic มาใช้ในการผ่าตัด โดยแพทย์จะทำการกำหนดจุดที่จะทำการสอดกล้องเข้าไปและทำการตัดหนังที่ไม่ต้องการออกและทำการเย็บเนื้อเยื่อเพื่อดึงรั้งให้คิ้วยกสูงขึ้น แผลที่เกิดขึ้นจะเป็นการเปิดแผลเพื่อที่จะส่งกล้องเข้าไปยังตำแหน่งที่ต้องการตัดและเย็บหนังเพื่อยกคิ้ว แผลที่เกิดขึ้นจะมีขนาดประมาณ 1-4 เซนติเมตร แล้วทำการเลาะผิวหนังชั้นนอกออกมาจากหน้าผากและลงไปยังที่บริเวณคิ้ว แล้วทำการเย็บดึงรั้งเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อที่บริเวณคิ้วเพื่อรังคิ้วให้ยกสูงขึ้น ซึ่งตำแหน่งของแผลที่เกิดขึ้นจะอยู่ในตำแหน่งที่สังเกตเห็นได้ไม่ชัดเจน เช่น บริเวณไรผม หลังหู กกหู หัวตา หางคิ้ว เป็นต้น ซึ่งการผ่าตัดนอกจากจะช่วยยกคิ้วให้สูงและโก่งขึ้น แล้วยังสามารถช่วยให้ดวงตาดูโตขึ้นได้อีกด้วย การผ่าตัดการผ่าตัดผ่านกล้องเป็นวิธีที่นิยมกันมากในปัจจุบันนี้เนื่องจากหลังการผ่าตัดไม่มีรอยแผลเป็นที่ชัดเจน แผลที่เกิดขึ้นขณะผ่าตัดมีขนาดเล็กดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพักฟื้นนาน ลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อน เช่น อาการชา อาการการกล้ามเนื้อกระตุก

อาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดเพื่อยกคิ้วมีอยู่ด้วยกันหลายอย่างขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้เข้ารับการผ่าตัด ซึ่งอาการแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย คือ อาการชาที่บริเวณหน้าผากเนื่องจากเส้นประสาทและกล้ามเนื้อได้รับความกระทบกระเทือนซึ่งอาการดังกล่าวจะหายไปเองหลังจากพักรักษาตัวแล้วประมาณ 2-3 เดือน อาการเลือดคั่งที่บริเวณแผลผ่าตัด ซึ่งอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจะมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดนั่นเอง

คิ้วเป็นมงกุฎของหน้า ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ถ้าทั้งคิ้วและดวงตาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้วก็จะส่งผลให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ สวยงามน่ามองมากยิ่งขึ้น แต่ใช่ว่าทุกคนจะมีคิ้วและดวงตาที่สวยเหมาะเจาะมาตั้งแต่เกิดทุกคน ดังนั้นการ ศัลยกรรม ยกคิ้วนับเป็นทางเลือกที่ช่วยเสริมความงามให้กับคิ้วและดวงตาเพื่อใบหน้าที่งดงาม

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

สมาคมแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย. สวยให้สุด หยุดที่ศัลยแพทย์ตกแต่ง : กรุงเทพฯ: ไอดี ออล ดิจิตอล พริ้น จำกัด,2561.