Home Blog Page 129

เช็คลิสต์ก่อน ศัลยกรรม ( Surgery )

0
เช็คลิสต์ก่อนทำศัลยกรรม
ศัลยกรรมเป็นศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย ให้เป็นไปตามที่ต้องการ สร้างความสมดุล สมมาตร และสมบูรณ์แข็งแรงให้กับอวัยวะ
เช็คลิสต์ก่อนทำศัลยกรรม
สารนิโคตินซึ่งเป็นสารเคมีให้โทษให้บรรดายาสูบทุกชนิด ออกฤทธิ์ทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัว ทำให้ระบบเลือดไหลเวียนไม่สะดวก

ศัลยกรรม ( Surgery )

จุดเริ่มต้นของการตัดสินใจทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) มักมาจากความต้องการพัฒนาตัวเองในด้านภาพลักษณ์ มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขข้อบกพร่องที่มีอยู่ การเสริมสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้น ไปจนถึงการแก้ปัญหาด้านความสวยความงามที่มีผลต่อสุขภาพในระยะยาวด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร เพราะการทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) ก็เป็นแขนงหนึ่งของการรักษาในทางการแพทย์ และนวัตกรรมสมัยใหม่ก็ก้าวหน้าไปไกลมาก จึงมีตัวช่วยหลากหลายที่จะตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลได้ พร้อมทั้งมีความปลอดภัยในระดับที่สูงกว่าเดิมหลายเท่าตัวด้วย

เช็คลิสต์ร่างกายเบื้องต้น

ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่าจริงๆ แล้ว ศัลยกรรม ( Surgery ) มีความหมายตรงตามที่เราเข้าใจกันหรือไม่ หลายคนมองว่าการศัลยกรรม (surgery) ก็คือการผ่าตัดเพื่อปรับแต่งอะไรบางอย่าง แต่ความจริงแล้วศัลยกรรมเป็นศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย ให้เป็นไปตามที่ต้องการ สร้างความสมดุล สมมาตร และสมบูรณ์แข็งแรงให้กับอวัยวะเหล่านั้น โดยที่ทุกรูปแบบอันส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ล้วนนับเป็นการศัลยกรรมด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น การผ่าตัด การฉีด การดูดออก การปลูกถ่าย หรือวิธีอื่นๆ ซึ่งข้อดีของการ ศัลยกรรม ( Surgery ) ก็ค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้ว คือช่วยปรับให้องค์ประกอบทั้งหมดภายในร่างกายเข้าที่เข้าทางและเปล่งประกายได้มากกว่าที่เคย หลายคนได้โอกาสดีๆ หลังจากศัลยกรรมไปแล้ว หลายคนมีความมั่นใจ กล้าที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น จึงถือได้ว่าการศัลยกรรมเป็นการลงทุนในตัวเองอย่างหนึ่งที่คุ้มค่า แต่ศัลยกรรมก็มีข้อเสียด้วยเหมือนกัน ทั้งเรื่องความเสี่ยงจากการทำโดยตรง ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ไปจนถึงภาวะเสพติดการศัลยกรรมที่ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเกินความพอดีไปมาก ดังนั้นเราจึงต้องรู้แน่ชัดในความต้องการของตัวเองให้มาก พร้อมกับพิจารณาอย่างถี่ถ้วนทุกครั้งก่อนการทำศัลยกรรม ไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็ตาม และต่อไปนี้จะเป็นเช็คลิสต์ร่างกายเบื้องต้น ที่เอาไว้เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจก่อนการทำศัลยกรรมทุกประเภท

1. ความปลอดภัย : นี่เป็นอันดับแรกที่ต้องให้ความสำคัญ ไม่ว่า ศัลยกรรม ( Surgery ) ที่เลือกนั้นจะอยู่ในรูปแบบไหนก็ตาม ต้องแน่ใจว่ามีความปลอดภัยในระดับสูง ไล่ไปตั้งแต่สถานพยาบาลที่เราจะฝากความคาดหวังเอาไว้ ควรตรวจสอบให้มั่นใจเสียก่อนว่าเป็นมืออาชีพ มีความน่าเชื่อถือ และมีประสบการณ์มากเพียงพอ เรื่องเหล่านี้สังเกตได้ง่ายมากเพราะเป็นสิ่งที่สถานบริการต้องการนำเสนอออกมาอยู่แล้ว นอกจากการดูผ่านสื่อโซเชียล เช็ครีวิวหรือตามข่าวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว เราก็สามารถเดินเข้าไปยังสถานพยาบาลที่สนใจเพื่อขอคำแนะนำเบื้องต้น เราจะได้สัมผัสทั้งการดูแลของพนักงาน การวิเคราะห์ของแพทย์ และบรรยากาศโดยรวมที่จะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หากตัดสินใจมารับบริการที่นี่แล้วจะมีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน

2. ระดับของความจำเป็น : ประเด็นนี้เป็นตัวช่วยที่ดีมากที่จะลดการทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) ที่เกินพอดี จนถึงขั้นเสพติดศัลยกรรมมากกว่าการพยายามแก้ไขข้อบกพร่องที่มีอยู่ แน่นอนว่าอะไรที่มากไปหรือน้อยไปย่อมไม่ดีแน่ ดังนั้นก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมทุกครั้งควรถามตัวเองให้ชัดเจนเสียก่อน ว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จำเป็นหรือไม่ อาจเริ่มจากคำถามที่ว่าการศัลยกรรมครั้งนี้จะเป็นการแก้ไขข้อบกพร่องของเราในส่วนไหน ช่วยเพิ่มความมั่นใจได้หรือไม่ หรือว่าเพียงแค่ทำตามกระแสที่คนอื่นเขาว่าดี หากมีใครสักคนมาทักเราว่าควรทำจมูกให้โด่งขึ้นกว่านี้ โดยที่เราไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหาและไม่ได้ต้องการเสริมจมูกมาตั้งแต่แรก แต่เผลอคล้อยตามจนคิดจะทำศัลยกรรมจมูกขึ้นมาจริงๆ อันนี้ก็จะจัดอยู่ในประเภทที่ควรยับยั้งเอาไว้ก่อน แล้วใคร่ครวญดูให้ดีอีกสักที

3. คุณภาพกับราคา : ถ้าเป็นสินค้าหรือบริการอื่นๆ อาจจะไม่ได้เคร่งเครียดมากนักในประเด็นนี้ เพราะเมื่อไรที่ซื้อมาแล้วใช้ไม่ดีก็แค่เลิกใช้ไป หรือขอเงินคืนก็ยังได้ในบางแห่ง แต่การทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) ทำแล้วทำเลย การแก้ไขก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอน และต้องยอมรับว่าเมื่อมีการแก้ไขเกิดขึ้น ก็ไม่การันตีว่าจะกลับมาดีเหมือนเดิมได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจก่อนก็คือ นวัตกรรมทางการแพทย์ที่ดีทำให้ทีมแพทย์เก่งๆ ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และทั้งหมดนี้ย่อมมีมูลค่าที่สูงกว่าบริการทางการแพทย์ในระดับที่ต่ำลงมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสถานพยาบาลที่คิดค่าใช้จ่ายแพงๆ จะให้บริการได้ดีกว่าสถานที่ที่ถูกกว่าเสมอไป เราจึงต้องให้เวลากับการรวบรวมข้อมูลเรื่องของคุณภาพกับราคาพอสมควร เพื่อให้รู้แน่ว่าการลงทุนกับร่างกายในครั้งนี้จะไม่เสียเปล่า ที่สำคัญหากบริการเหล่านั้นดูราคาถูกเกินไป ให้คิดในแง่ลบไว้ก่อนว่าอาจจะมีบางอย่างที่ไม่ได้คุณภาพตามที่ต้องการ แล้วค่อยหาข้อมูลมาหักล้างทีหลัง

4. ความสวยที่บางครั้งต้องเจ็บตัวบ้าง : การศัลยกรรมบางประเภทจะมีความเจ็บที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยให้ระหว่างการทำไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไร แต่หลังจากนั้นรับประกันว่าเจ็บแน่นอน จำเป็นต้องทำใจเตรียมพร้อมไว้สำหรับความเจ็บปวดตรงนี้ด้วย ตัวอย่างของการ ศัลยกรรม ( Surgery ) ที่ว่านี้ได้แก่ การเสริมขนาดหน้าอกที่มีการตัดกล้ามเนื้อบางส่วนออกจากกัน การผ่าตัดลดหน้าท้องที่มีการตัดชิ้นเนื้อออกไปและในบางรายก็จำเป็นต้องทำสะดือใหม่อีกด้วย

5. ข้อควรปฏิบัติก่อนและหลังศัลยกรรม (surgery) : นี่เป็นข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นต้องรู้และต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด การ ศัลยกรรม ( Surgery ) ในแต่ละรูปแบบจะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนทำศัลยกรรม และการดูแลตัวเองในช่วงพักฟื้นหลังการทำศัลยกรรมระบุเอาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งผู้เข้ารับการศัลยกรรมจะได้รับทราบก่อนการตัดสินใจอยู่แล้ว จึงต้องชั่งน้ำหนักให้ดีว่าจะมีปัจจัยไหนที่ไม่สามารถทำได้เลยหรือไม่ เช่น มียาบางตัวที่ไม่สามารถหยุดทานได้เลย และถ้าจะทำศัลยกรรมก็ต้องหยุดยานั้น หรือเรื่องของเวลาที่อาจต้องลางานเป็นเวลายาวนานหลายวัน ซึ่งเกินกว่าข้อกำหนดของบริษัทไปมาก เป็นต้น

6. โรคทุกชนิดต้องแจ้งแพทย์ก่อนเสมอ : หลายคนใช้วิธีพิจารณาเอาเองว่าโรคที่เป็นอยู่นั้นร้ายแรงหรือไม่ หากเห็นว่าไม่ก็ละเลยที่จะแจ้งแพทย์ผู้ดูแลเรื่องการทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) ซึ่งถือว่าอันตรายมากๆ เหมือนกับการเสี่ยงโชคเอาเอง หากโรคนั้นไม่มีผลกระทบต่อทุกกระบวนการในการทำศัลยกรรมก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าไม่ก็ต้องรับผลไปตามที่ควรจะเป็น การทำศัลยกรรม (surgery) ในแต่ละส่วนของร่างกายมีรูปแบบการทำที่ต่างกัน ตัวยาที่ใช้ก็ต่างกัน เราจึงไม่อาจตัดสินได้เองว่าโรคไหนต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบหรือไม่ ควรแจ้งข้อมูลทั้งหมดที่มีแล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่อไปจะดีกว่า

7. เลี่ยงช่วงมีประจำเดือน : กรณีนี้สำหรับเพศหญิงโดยเฉพาะ หากเป็นการ ศัลยกรรม ( Surgery ) ที่ต้องผ่านกระบวนการผ่าตัด เพศหญิงควรหลีกเลี่ยงการทำศัลยกรรม (surgery) ในช่วงที่มีรอบเดือน เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายมีความไม่ปกติอยู่หลายจุด เป็นช่วงที่ทำการห้ามเลือดได้ยากกว่าปกติ และในบางรายก็มีอาการตัวบวมซึ่งสร้างความยากลำบากให้กับทีมแพทย์ผู้ดูแลพอสมควร หากมีความจำเป็นด้วยปัจจัยอื่นๆ ทำให้ต้องทำการผ่าตัดในช่วงเวลานี้ ก็ควรเป็นก่อนการมีรอบเดือนสัก 2-3 วัน หรือหลังจากหมดรอบเดือนไปแล้ว 2-3 วันเช่นเดียวกัน

ศัลยกรรมเป็นศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย ให้เป็นไปตามที่ต้องการ สร้างความสมดุล สมมาตร และสมบูรณ์แข็งแรงให้กับอวัยวะ

การเตรียมตัวทั้งก่อนและหลังการศัลยกรรมความงาม

หากตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) จริง บนพื้นฐานของการรวบรวมข้อมูลและผ่านการคิดวิเคราะห์มาอย่างดีแล้วตามหัวข้อข้างต้น ก็มาถึงการเตรียมตัวก่อนการทำศัลยกรรม ซึ่งจะขอกล่าวเน้นถึงการศัลยกรรมที่มาในรูปแบบของการผ่าตัดโดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นการศัลยกรรมที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด และมีรายละเอียดของการเตรียมตัวทั้งก่อนและหลังการศัลยกรรมมากที่สุดด้วย

1. งดยาทุกชนิดก่อนเข้ารับการผ่าตัด : ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ก็ต้องงดการทานยาทุกชนิดเอาไว้อย่างน้อย 2 อาทิตย์ก่อนการผ่าตัด หรือตามที่แพทย์กำหนด รวมไปถึงอาหารเสริมและวิตามินต่างๆ ด้วย เพราะหลายตัวอาจส่งผลให้การผ่าตัดมีปัญหา เช่น เลือดไม่หยุดไหล เนื้อเยื่อต่างๆ มีอาการบวม เป็นต้น

2. งดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ : สิ่งเหล่านี้มีสารกระตุ้นการอักเสบอย่างรุนแรงได้ โดยเฉพาะสารนิโคตินซึ่งเป็นสารเคมีให้โทษให้บรรดายาสูบทุกชนิด ออกฤทธิ์ทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัวอย่างมาก ระบบเลือดจึงไหนเวียนไม่สะดวก ส่งผลเสียต่อการฟื้นฟูร่างกายของผู้เข้ารับการรักษาเอง ส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะแนะนำให้งดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 3 วันก่อนการผ่าตัด เพื่อให้ร่างกายได้ชำระล้างสารพิษออกไป แต่อันที่จริงหากหยุดได้นานกว่านั้นก็จะยิ่งดี ด้วยเหตุที่ร่างกายของแต่ละคนมีช่วงเวลาของการขับสารพิษออกจากร่างกายเร็วช้าไม่เท่ากัน

3. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ : ส่วนใหญ่ก่อนวันผ่าตัดมักจะมีอาการตื่นเต้นและวิตกกังวล จนส่งผลให้การนอนไม่เป็นไปตามปกติ บ้างก็นอนไม่หลับเลย บ้างก็หลับๆ ตื่นๆ นอนหลับไม่สนิท จึงควรทำใจให้สบายและหาวิธีผ่อนคลายร่างกายเพื่อให้หลับได้อย่างเต็มที่ เพราะการนอนหลับที่ดีมีผลต่อการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดด้วย

4. แจ้งแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการเจ็บป่วย : ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากก่อนวันทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) ความงามไม่กี่วัน เกิดมีอาการเจ็บป่วยกะทันหันขึ้นมา เช่น มีไข้ เป็นหวัด มีอาการไออย่างต่อเนื่อง เป็นต้น แบบนี้ให้แจ้งแพทย์ผู้ดูแลให้ทราบทันที เพื่อตัดสินใจต่อไปว่าสามารถทำการ ศัลยกรรม (surgery) ได้ตามกำหนดเดิม หรือต้องเลื่อนออกไปก่อน

5. เตรียมของใช้ส่วนตัวให้ครบถ้วน : ก่อนทำการผ่าตัด แพทย์จะแจ้งให้ทราบอยู่แล้วว่าจำเป็นต้องนอนพักฟื้นต่อที่โรงพยาบาลหรือไม่ เป็นเวลาประมาณเท่าไร ให้เตรียมข้าวของส่วนตัวมาให้ครบ จะได้ไม่ต้องเกิดความกังวลและยุ่งยากหลังการผ่าตัด

6. งดอาหารและน้ำดื่มก่อนการผ่าตัด : ขั้นตอนการใช้ยาสลบจำเป็นต้องให้ผู้เข้ารับการรักษางดอาหารและเครื่องดื่มมาก่อน โดยจะต้องงดเป็นเวลา 8 ชั่วโมงสำหรับการดมยาสลบ และต้องงด 4 ชั่วโมงสำหรับการวางยาสลบ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการสำลักอาหารเข้าไปในหลอดลม เกิดการอาเจียนขณะที่หมดสติ นอกจากนี้น้ำย่อยที่ถูกขับออกมาเพื่อย่อยอาหารเหล่านั้น มีโอกาสสูงที่จะมาทำลายเนื้อเยื่อปอดจนเกิดการอับเสบอย่างรุนแรงได้

7. มาถึงก่อนเวลาเสมอ : ในวันผ่าตัดเพื่อทำ ศัลยกรรม ( Surgery ) ความงามควรมาถึงสถานพยาบาลก่อนเวลานัดอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง อย่างแรกเพื่อให้มีเวลาผ่อนคลายร่างกายและความตึงเครียดต่างๆ ก่อน อย่างที่สองเป็นกรณีที่มีการเปลี่ยนรายละเอียดบางอย่างกะทันหัน จะได้มีเวลาเตรียมตัวได้ทันนั่นเอง

8. งดใช้อุปกรณ์เสริมความงามบางชนิด : ตัวอย่างของอุปกรณ์ที่ว่านี้ก็คือ เทปติดตาสองชั้น สำหรับคนที่จะผ่าตัดทำตาสองชั้น ต้องงดใช้เทปตัวนี้อย่างน้อย 2 อาทิตย์ เพื่อให้รูปตาเป็นธรรมชาติมากที่สุด ทีมแพทย์จะได้ปรับแต่งได้อย่างถูกต้อง หากติดเทปมาตลอดไม่ได้งดเลย รูปตาจะผิดเพี้ยนไป ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลต่อการผ่าตัดด้วย อุปกรณ์เสริมสวยชนิดอื่นๆ ที่ใช้งานในลักษณะนี้ก็ต้องงดด้วยเช่นเดียวกัน

9. ห้ามลดน้ำหนักอย่างหักโหม : มีหลายคนที่เข้ารับการดูดไขมัน ศัลยกรรมหน้าท้อง หรือผ่าตัดเพื่อลดสัดส่วนต่างๆ นิยมออกกำลังกายและอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักลงอย่างมากก่อนเข้ารับการรักษา ทั้งที่จริงๆ ไม่จำเป็นเลย หากแพทย์ไม่ได้แจ้งเป็นกรณีพิเศษ ซ้ำร้ายการทำแบบนั้นจะกระตุ้นให้ร่างกายต้องรับภาระหนักเกินไป จะมีปัญหาต่อเนื่องตามมาหลังจากการ ศัลยกรรม ( Surgery ) ความงามแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559

ศัลยกรรมใบหน้าเพื่อความสมบูรณ์ของใบหน้า โครงหน้าและแนวขากรรไกร

0
ศัลยกรรมใบหน้าเพื่อความสมบูรณ์ของใบหน้า โครงหน้าและแนวขากรรไกร
ศัลยกรรมใบหน้า เพื่อความสมดุลของส่วนประกอบกับเค้าโครงใบหน้า และองศาความงามบนใบหน้า
ศัลยกรรมใบหน้าเพื่อความสมบูรณ์ของใบหน้า โครงหน้าและแนวขากรรไกร
ศัลยกรรมใบหน้า เพื่อความสมดุลของส่วนประกอบกับเค้าโครงใบหน้า และองศาความงามบนใบหน้า

ศัลยกรรมใบหน้า

เคยสังเกตไหมว่า ทำไมคนที่ ศัลยกรรมใบหน้า มากๆ ตั้งใจให้มีดวงตาที่กลมโตสวยงาม จมูกเป็นสันรูปทรงยอดนิยม ปากได้รูปเป็นกระจับสวยคม ทุกองค์ประกอบถือว่าสมบูรณ์แบบ แต่ทำไมพอดูรวมๆ แล้วจึงเหมือนขาดๆ เกินๆ หรือพาลดูไม่สวยเอาเสียดื้อๆ ประเด็นคือเรื่องความสมดุลของส่วนประกอบกับเค้าโครงใบหน้านั่นเอง มนุษย์เราจะมีสัดส่วนและองศาความงามบนใบหน้าที่ดีอยู่ อย่างที่หลายคนเคยได้ยิน โดยเฉพาะในวงการเมคอัพที่ต้องเข้าใจเรื่องของสัดส่วนที่ว่านี้เป็นอย่างดี ถึงจะแต่งหน้าออกมาสวยและมีเสน่ห์ ใครก็ตามที่อยากได้ความสวยในแบบที่ยกระดับขึ้นจากเดิม จึงต้องพึ่งการศัลยกรรมเป็นสิ่งสำคัญกับความสมบูรณ์ของใบหน้า ทั้งเรื่องกรอบหน้า องศาความงาม สัดส่วนแห่งความสมดุล ทั้งหมดทั้งมวลต้องสอดคล้องสัมพันธ์กัน จะให้น้ำหนักสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไปไม่ได้

การวัดสัดส่วนของการ ศัลยกรรมใบหน้า

การ ศัลยกรรมใบหน้า เป็นการประเมินว่าเค้าโครงของใบหน้ามีความสมดุลที่สวยงามดีหรือไม่ ซึ่งก็มีหลายวิธีที่ถูกเลือกนำมาใช้ทั้งในวงการเมคอัพและศัลยกรรม แต่ก็เป็นเพียงการวิเคราะห์คร่าวๆ เท่านั้น หากจะวัดเพื่อเจาะจงไปที่ปรับแต่งโดยการศัลยกรรม จำเป็นต้องได้รับการตรวจที่ละเอียดอีกขั้นหนึ่งก่อนเข้ารับการรักษาเสมอ ลองมาดูกันว่ามีวิธีวัดสัดส่วนที่สวยงามของใบหน้าอย่างไรบ้าง

1. วัดสัดส่วนโดยแบ่งตามแนวตั้ง : เป็นการแบ่งใบหน้าในแนวตั้งออกเป็น 5 ส่วน คือ จากข้างแก้มถึงหางคิ้ว ด้านซ้ายและด้านขวานับเป็น 2 ส่วน วัดจากหางคิ้วถึงหัวคิ้ว ด้านซ้ายและขวานับเพิ่มอีก 2 ส่วน และตรงกลางก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เหลือ รวมได้ 5 ส่วนพอดี หากทั้ง 5 ส่วนนี้มีขนาดเท่าๆ กันก็ถือว่าเป็นเค้าโครงหน้าที่สวยงาม

2. วัดสัดส่วนโดยแบ่งตามแนวนอน : เป็นการแบ่งใบหน้าในแนวนอนออกเป็น 3 ส่วน ซึ่งน่าจะเป็นวิธีที่ได้ยินบ่อยที่สุด คือวัดจากไรผมถึงแนวคิ้ว วัดจากแนวคิ้วถึงปลายจมูก และวัดจากปลายจมูกไปจนสุดปลายคาง โครงหน้าที่ดีจะต้องมี 3 ส่วนนี้ในขนาดที่เท่าๆ กัน

3. วัดแบบ Ricketts’ E line : วิธีการนี้เราอาจเรียกสั้นๆ ได้ว่า E line เป็นแนวเส้นที่ลากจากปลายจมูกไปจนถึงปลายคาง โดยลากเส้นจากปีกจมูกทั้ง 2 ข้างลงไป จะเป็นกรอบครอบพื้นที่ปากเอาไว้ เพื่อดูระยะของปากว่ายื่นหรือหดจาก E line มากเกินไปหรือไม่ เพราะสัดส่วนที่สมบูรณ์ก็คือมุมปากแตะที่เส้น E line พอดี

4. วัดด้วยเส้นแนว Eye brow : เป็นการลากเส้นเพื่อดูตำแหน่งของคิ้วที่เหมาะสม โดยลากเส้นจากปีกจมูกไปที่หัวตาเป็นเส้นแรก และลากเส้นจากปีกจมูกไปที่จุดสูงสุดของแนวคิ้ว จะได้ตำแหน่งของขอบตาดำด้านนอกที่สวย ปิดท้ายด้วยลากเส้นจากปีกจมูกไปที่หางคิ้ว จะต้องผ่านขอบตาด้านนอกสุดพอดี

การวัดสัดส่วนของใบหน้าที่กล่าวไปแล้วข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีการวัดแบบ S curve, Ogee curve of cheek, Reverse triangular, Ideal cheek และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งหลักสำคัญที่ใช้ก็เป็นธรรมชาติของรูปทรงทางคณิตศาสตร์นั่นเอง ทีนี้เมื่อวัดแล้วพบว่าเค้าโครงรูปหน้าไม่สมบูรณ์พร้อม ก็จะเข้าสู่กระบวนการปรับแต่งด้วยการใช้เทคนิค ศัลยกรรมใบหน้า เข้ามาช่วย แต่จะไม่ใช่การปรับแต่งที่องค์ประกอบเล็กๆ อย่างคิ้ว ตา จมูก ปาก แต่เป็นการปรับโครงหน้า กรอบหน้า และขากรรไกร

การศัลยกรรมกระดูกหน้า

การตัดแต่งกระดูกบริเวณใบหน้าเป็นวิธีพื้นฐานที่ใช้ในการปรับโครงหน้าอย่างถาวร แน่นอนว่าเมื่อใบหน้ามีเส้นประสาทและระบบการทำงานที่ละเอียดอ่อน ทุกครั้งก่อนการ ศัลยกรรมใบหน้า จึงต้องวางแผนเตรียมการเป็นอย่างดี และต้องได้รับการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงนี้จะย้อนกลับไม่ได้ จึงต้องตัดสินใจให้รอบคอบถึงความปลอดภัยและความเหมาะสมก่อนเข้ารับการรักษาเสมอ

การศัลยกรรมผ่าตัดกรามให้เป็น V Line

ส่วนใหญ่ใช้กับผู้ที่มีช่วงกรามเป็นทรงเหลี่ยม หรือที่เรียกว่า U Line เป็นการตัดส่วนของกระดูกกรามออกบางส่วน เพื่อให้โครงหน้าลดเหลี่ยมมุมลงและมีขนาดที่เรียวยาวคล้ายตัว V การศัลยกรรมในรูปแบบนี้จะทำให้โครงหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก หลายคนสวยขึ้นจนผิดหูผิดตา เกิดความมั่นใจที่จะแต่งหน้าแต่งตัวมากกว่าเดิม เพราะการตัดกรามแบบ V Line นี้ไม่ได้ทำเพียงแค่ตัดกระดูกกรามออกไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจัดแต่งให้ใบหน้าทั้งสองด้านมีความสมมาตรกัน พร้อมกับเหลาปลายคางให้แหลมขึ้นเล็กน้อย ใครที่มีปัญหาหน้าเบี้ยวก็จะถูกจัดการให้เรียบร้อย ใครที่มีสัดส่วนใบหน้าที่ช่วงคางสั้นก็จะเกิดความสมดุลมากขึ้น

รูปแบบการการศัลยกรรมผ่าตัดกรามให้เป็น V Line

การผ่าตัดสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ เปิดแผลภายในช่องปากและเปิดแผลด้านนอก โดยมีรายละเอียดดังนี้

เปิดแผลภายในช่องปาก : แพทย์จะทำการกรีดเปิดแผลแถวๆ หลังฟันกรามด้านในสุด เพื่อแยกเนื้อเยื่อกับกระดูกกรามออกจากกัน แล้วใช้เครื่องมือเฉพาะตัดมุมกรามออกไป มีข้อดีตรงที่ไม่มีรอยแผลให้เห็นและลดความเสี่ยงที่จะกระทบต่อระบบประสาทบริเวณมุมปากด้วย

เปิดแผลด้านนอก : เป็นการกรีดบริเวณมุมกรามด้านนอกให้มีความยาวราวๆ 1-2 นิ้ว จากนั้นทำการแยกเนื้อเยื่อออกจากกระดูกกรามแล้วตัดส่วนที่ไม่ต้องการออกไป ข้อดีคือมีอาการบวมน้อยกว่าเปิดแผลในช่องปากมาก แต่ก็จะมีรอยแผลให้เห็นชัดเจน ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือนถึงจะเลือนหายไป

ผ่าตัดแบบ V Line เหมาะกับใครบ้าง

1. ผู้ที่มีช่วงคางใหญ่และทู่ดูไม่สมส่วน

2. ผู้ที่มีโครงหน้าเหลี่ยมหรือกลม ช่วงคางจึงดูสั้นกว่าปกติ

3. ผู้ที่เคยผ่านการ ศัลยกรรมใบหน้า ด้วยการผ่าตัดกรามเหลี่ยมแบบพื้นฐานมาแล้ว ซึ่งเป็นการตัดมุมกรามออกเท่านั้น ไม่มีการเหลาคางแต่อย่างใด คางจึงยังคงดูทู่และสั้นอยู่

4. ผู้ที่มีใบหน้าไม่สมมาตรกันอย่างเห็นได้ชัด จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้สูญเสียความมั่นใจอย่างรุนแรง

การศัลยกรรมปรับแต่งขากรรไกร

กระดูกขากรรไกรก็คือแนวกระดูกที่รองรับแนวฟันอยู่ มีทั้งขากรรไกรล่างและขากรรไกรบน หากเราอ้าปากแล้วสัมผัสที่ไปใต้ใบหู ก็จะรู้สึกได้ถึงจุดที่เป็นข้อต่อของขากรรไกรล่างและบน การศัลยกรรมปรับแต่งขากรรไกรนี้ สามารถแบ่งเป็น 2 กรณีใหญ่ๆ คือ กรอขากรรไกร ผ่าตัดขากรรไกร และปรับแต่งกล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกร

การกรอขากรรไกร : จะเป็นการ ศัลยกรรมใบหน้า ที่เน้นให้เกิดรูปทรงเรียวเล็ก โดยใช้เครื่องมือแพทย์ค่อยๆ กรอส่วนกระดูกขากรรไกร ไล่ตั้งแต่มุมขากรรไกรล่างเป็นต้นไป ทำทีละนิดเพื่อดูความเปลี่ยนแปลง เป้าหมายคือทำให้ใบหน้าเรียวลงและมีความสมมาตรมากขึ้น วิธีนี้เหมาะกับคนที่มีปัญหาไม่มากนัก เหลานิดหน่อยก็ออกมาสวย

การผ่าตัดขากรรไกร : อันนี้เป็นคนละกรณีกับแบบแรกเลย เพราะส่วนใหญ่ใช้กับคนที่มีปัญหาค่อนข้างมาก เช่น ขากรรไกรเบี้ยวไป ฟันจึงไม่สบกันและโครงหน้าก็บิดเบี้ยว เป็นต้น การผ่าตัดจำเป็นต้องจัดฟันร่วมด้วย โดยที่จะจัดฟันไปพร้อมกัน หรือจัดฟันก่อนการผ่าตัดก็แล้วแต่ดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแล แน่นอนว่าจะต้องมีการเตรียมตัวและพักฟื้นที่ค่อนข้างนาน

การปรับแต่งกล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกร : บางครั้งโครงหน้าที่ดูเหมือนผิดเพี้ยนไปเพราะขากรรไกร ก็ไม่ได้เกิดจากโครงกระดูกขากรรไกรจริงๆ แต่เป็นเพราะส่วนของกล้ามเนื้อที่อยู่ในบริเวณนั้นมากกว่า เน้นไปที่กล้ามเนื้อส่วนบดเคี้ยวที่อยู่ตรงมุมขากรรไกรนั่นเอง ถ้าเป็นอย่างนี้ก็สามารถเลือกได้ 2 วิธี

การฉีดโบท็อกซ์ เป็นการทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวและลดการทำงานลง หลังจากทำการรักษาไปสัก 1 อาทิตย์ก็จะเริ่มเห็นว่ากล้ามเนื้อค่อยๆ ลดขนาดลง แต่ว่าเป็นผลที่ไม่ถาวร เมื่อโบท็อกซ์สลายไปก็ต้องกลับมาฉีดซ้ำอีก

การผ่าตัด เป็นการตัดในส่วนของเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อขากรรไกร เพื่อให้กล้ามเนื้อหยุดการทำงานและลดขนาดลง ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ดีและมีคงทนถาวรมากกว่าการใช้โบท็อกซ์

กระดูกขากรรไกรคือแนวกระดูกที่รองรับแนวฟัน มีทั้งขากรรไกรล่างและขากรรไกรบน เมื่ออ้าปากแล้วสัมผัสที่ไปใต้ใบหูจะรู้สึกได้ถึงจุดที่เป็นข้อต่อของขากรรไกรล่างและบน

การศัลยกรรมโหนกแก้ม

โหนกแก้มคือส่วนที่อยู่ใต้หางตา บางคนมีโหนกใหญ่มากจึงนูนขึ้นมาเห็นได้ชัด และทำให้ใบหน้าไม่สวยสมบูรณ์อย่างที่ใจต้องการ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่มีโหนกแก้มชัดแล้วจะดูไม่สวย ในบางคนโหนกแก้มกลับเป็นตัวที่ช่วยเสริมให้ใบหน้าดูมีมิติมากขึ้นด้วยซ้ำ ดังนั้นการ ศัลยกรรมใบหน้า ช่วงโหนกแก้มจึงเป็นเรื่องความชื่นชอบของบุคคลมากกว่าที่จะเป็นปัญหา ซึ่งก็มีทางเลือกหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสมกับสรีระดั้งเดิม

การกรอโหนกแก้ม : หากมีโหนกแก้มที่นูนขึ้นมาไม่มากนัก เมื่อวิเคราะห์แล้วเห็นว่าเหลานิดหน่อยก็ใช้ได้ ก็จะเหมาะกับวิธีนี้ ซึ่งทำได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว และไม่ทิ้งรอยแผลเอาไว้ เนื่องจากแพทย์จะทำการผ่าตัดภายในช่องปากด้วยการกรีดเปิดปากแผลใต้กระพุ้งแก้ม แล้วค่อยๆ ใช้เครื่องมือกรอโหนกแก้มส่วนเกินออก

การผ่าตัดและเลื่อนเข้า : คนที่มีโหนกนูนสูงมากจนไม่อาจใช้การกรอได้ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นการผ่าตัด แต่การผ่าตัดแบบนี้ค่อนข้างซับซ้อนและยุ่งยาก ทีมแพทย์จำเป็นต้องวางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน เมื่อทำการผ่าตัดก็จะกรีดเปิดแผลที่หน้าใบหูใกล้ๆ จอนผม ตัดกระดูกโหนกแก้มแล้วเลื่อนไปด้านในให้อยู่ในตำแหน่งที่ออกแบบไว้ จากนั้นเชื่อมประสานกระดูกเข้าด้วยกันอีกครั้งด้วยวัสดุทางการแพทย์ซึ่งแข็งแรงทนทาน มีอายุการใช้งานยาวนานตลอดชีวิต ผู้เข้ารับการรักษาสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังผ่านช่วงพักฟื้น ไม่ต้องกังวลกลัวว่าจุดเชื่อมจะหลุดออกหรือเสียหาย แม้ว่าวิธีนี้จะยุ่งยากแต่ก็คุ้มค่า เพราะจะเปลี่ยนโครงหน้าไปได้เยอะพอสมควร

การผ่าตัดหมุนโหนกแก้ม : วิธีนี้ใช้สำหรับคนที่มีโหนกแก้มไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ก็ไม่อยากใช้วิธีการกรอโหนกแก้ม รูปแบบการรักษาจะเป็นการผ่าตัดและหมุนกระดูกโหนกแก้มเข้าด้านใน จึงช่วยลดความโหนกนูนที่เคยโปนออกมาเกินความจำเป็นได้ ซึ่งคล้ายคลึงกับการผ่าตัดแล้วเลื่อนเข้า แต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า

การเสริมโหนกแก้ม : ไม่ใช่แค่คนที่มีโหนกแก้มมากเกินไปเท่านั้นที่เป็นปัญหา คนที่ไม่มีโหนกแก้มเลยก็เป็นปัญหาด้วยเหมือนกัน เพราะใบหน้าจะขาดมิติไปเลย จะแต่งอย่างไรใบหน้าก็ไม่อาจสวยคมขึ้นมาได้ จึงต้องเสริมให้มีความโหนกนูนขึ้นมาบ้าง วิธีการที่นิยมกันมี 3 วิธี ได้แก่

การผ่าตัดเพื่อเสริมวัสดุเทียม มีทั้งแบบที่ผ่าตัดจากภายในช่องปากและผ่าตัดที่ด้านนอก วัสดุที่ใช้เสริมมีตั้งแต่ใช้กระดูกของตัวเอง ใช้สารในกลุ่มแคลเซียม และซิลิโคน ซึ่งอันสุดท้ายได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะกำหนดรูปร่างได้ ปรับแต่งง่ายและมีระดับความปลอดภัยสูง

การฉีดไขมัน โดยการดูดเอาไขมันภายในร่างกายตรงส่วนอื่นๆ เช่น หน้าท้อง ใต้ท้องแขน ต้นขา เป็นต้น แล้วเอามาฉีดเข้าที่บริเวณโหนกแก้มที่ต้องการเสริม

การฉีดคอลลาเจน คล้ายกับการเสริมจมูกหรือส่วนอื่นๆ ด้วยคอลลาเจนนั่นเอง วัดปริมาณที่ต้องใช้แล้วเลือกประเภทของคอลลาเจนให้เหมาะสม จากนั้นก็ทำการฉีดตามขั้นตอนปกติ

การศัลยกรรมปรับแต่งส่วนคาง

ส่วนคางเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ผู้คนนิยมปรับแต่งกันมากที่สุด เพราะนอกจากจะมีผลโดยตรงต่อความสมส่วนของใบหน้าแล้ว ก็ยังมีผลในด้านโหงวเฮ้งตามความเชื่ออีกด้วย คนที่มีช่วงคางสั้นเกินไป หน้าจะดูหม่นหมอง ดูเศร้าซึมได้ง่าย และหลายครั้งการมีคางที่ดูสั้นก็เป็นผลพวงมาจากปัญหาโครงสร้างร่างกายอื่นๆ ด้วย เช่น ขากรรไกรไม่พอดี แนวฟันไม่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เป็นต้น หากไม่ทำการแก้ไขก็ไม่ใช่แค่ประเด็นเรื่องความสวยความงามแล้ว แต่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในระยะยาวด้วยการ ศัลยกรรมใบหน้า ปรับแต่งส่วนคางที่นิยมกันมีดังต่อไปนี้

การปรับแต่งส่วนคางด้วยการเสริมวัสดุสังเคราะห์ : จะมีการแบ่งย่อยลงไปอีกเป็น 2 แบบด้วยกัน คือ การเสริมคางจากภายในช่องปาก และการเสริมคางจากภายนอกบริเวณใต้คางนั่นเอง วัสดุเสริมที่ใช้ก็จะเป็นซิลิโคนรูปแบบต่างๆ ทีมแพทย์จะกรีดเปิดแผลแล้วสอดซิลิโคนเข้าไป จัดตำแหน่งให้เหมาะสมพร้อมเย็บปิดปากแผลตามปกติ มีข้อดีตรงที่การฟื้นตัวใช้ระยะเวลาไม่นานนัก ในขณะที่ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ สามารถกำหนดได้ตั้งแต่ก่อนการผ่าตัดว่าอยากให้รูปทรงของคางเป็นอย่างไร

การปรับแต่งด้วยการฉีดไขมัน : โดยการดูดไขมันของผู้เข้ารับการรักษา จากหน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน เป็นต้น แล้วเอามาฉีดบริเวณคางในปริมาณที่ต้องการ ข้อดีคือทำได้ง่าย ไม่มีรอยแผล และมีอาการแพ้น้อยมากเพราะเป็นส่วนประกอบในร่างกายของตัวเอง แต่ก็มีข้อเสียตรงที่หากได้รับการดูแลจากแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญมากพอ คางก็อาจจะบิดเบี้ยวไม่ได้รูป อาจต้องทำการแก้ไขกันหลายครั้ง

การปรับแต่งคางด้วยการเลื่อนโครงกระดูก : เป็นการตัดเอากระดูกส่วนปลายคางออกมา แล้วเลื่อนตำแหน่งมาข้างหน้าเล็กน้อย วางในองศาและความยาวที่ต้องการ ยึดกระดูกไว้ในตำแหน่งนั้นแล้วเย็บปิดปากแผล วิธีนี้จะได้คางที่ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปรับแต่งโครงหน้าให้มีความสวยสมบูรณ์แบบ ไม่ว่ามีจุดบกพร่องตรงไหน เราก็สามารถเสริมเติมแต่งได้ทั้งนั้น แต่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัยเสมอ การเลือกรูปแบบการ ศัลยกรรมใบหน้า การเลือกทีมแพทย์ผู้ดูแล มีความสำคัญเทียบเท่ากับการดูแลตัวเองหลังการทำ และการเข้าใจความต้องการของตัวเองอย่างแท้จริง อย่าลืมที่จะไตร่ตรองพร้อมหาข้อมูลอย่างถี่ถ้วนทุกครั้งที่คิดจะทำศัลยกรรม เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่ากับการตัดสินใจ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559.

สิ่งที่เราเคยสงสัยกับการทำศัลยกรรม

0
สิ่งที่เราเคยสงสัยกับการทำศัลยกรรม
การเสริมหน้าอกยกระดับไซส์ ไม่ได้เกิดปัญหาต่อการให้นมบุตร ร่างกายยังคงสามารถผลิตน้ำนมและส่งผ่านท่อน้ำนมได้ตามปกติ
สิ่งที่เราเคยสงสัยกับการทำศัลยกรรม
คำถามเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมส่วนใหญ่ก็เกิดจากความกังวลใจของผู้ที่สนใจทำศัลยกรรม ซึ่งตั้งข้อสงสัยกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับร่างกาย

การทำศัลยกรรม

แม้ว่า การทำศัลยกรรม จะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อีกแล้วในปัจจุบัน แถมยังมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทำให้การศัลยกรรมไร้ขอบเขตมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย จากเดิมที่มีการทำศัยกรรมจากอวัยวะในร่างกายให้ทำการปรับแต่งได้อยู่ไม่กี่แห่ง เช่น เสริมจมูก ตา ริมฝีปาก เป็นต้น ก็เริ่มมีตำแหน่งใหม่ๆ ที่หลายคนไม่เคยคิดถึงเลยด้วยซ้ำว่าจุดเหล่านั้นจะสามารถทำการศัลยกรรมปรับแต่งได้จริง ไล่ไปตั้งแต่สะโพก ผิวพรรณ บั้นท้าย เป็นต้น นอกจากนี้การทำศัลยกรรมก็เข้าถึงได้ง่ายขึ้นหลายเท่า

อ่านสักนิดก่อนทำศัลยกรรม

เพราะ การทำศัลยกรรม ไม่ว่าจะบริเวณใดในร่างกายก็ตามย่อมมีผลข้างเคียงด้วยกันทั้งสิ้นคุณรับสิ่งที่จะตามมาภายหลังได้หรือไม่?

ปัจจุบันการทำศัลยกรรมมีทั้งโรงพยาบาลและคลินิกมากมายให้เลือกใช้บริการ แต่ไม่ว่าอย่างไร เราก็ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมอยู่เสมอ โดยเฉพาะคนที่เริ่มมีความสนใจอยากจะทำศัลยกรรม ก็จะยิ่งมีคำถามผุดขึ้นมาจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นคำถามคล้ายๆ กันเสมอ เราจะลองมาดูกันว่าคำถามไหนบ้างที่เป็นข้อสงสัยยอดนิยมของคนที่กำลังคิดพิจารณาว่าจะตัดสินใจทำศัลยกรรมดีหรือไม่

1. ผู้หญิงที่ทำศัลยกรรมหน้าอกมาแล้ว จะสามารถให้นมบุตรตามปกติได้หรือไม่

หน้าอกเป็นส่วนที่มีสถิติในการศัลยกรรมอยู่ในอันดับต้นๆ และมีการปรับแต่งหลากหลายรูปแบบด้วย มีทั้งเพิ่มขนาด ลดขนาด และปรับความกระชับเต่งตึง นอกจากเรื่องของขนาดที่สามารถปรับเปลี่ยนได้แล้ว ก็เป็นเรื่องการให้นมบุตรนี่แหละที่หลายคนคาใจกัน เพราะเรารู้กันดีอยู่แล้วว่าถ้าเสริมขนาดหน้าอกให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม จะต้องเสริมซิลิโคนหรือวัสดุเสริมอื่นๆ เข้าไป ก็เลยไม่รู้ว่าจะมีผลต่อการให้นมหรือไม่ อย่างไร อันที่จริงการสอดวัสดุเสริมเข้าไปจะเป็นบริเวณใต้กล้ามเนื้ออก ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อต่อมน้ำนมเลย หมายความว่าการเสริมหน้าอกไม่ว่าจะยกระดับขึ้นกี่ไซส์ ก็ไม่ทำให้มีปัญหาต่อการให้นมบุตรแต่อย่างใด ร่างกายยังคงสามารถผลิตน้ำนมได้ตามปกติ และสามารถส่งผ่านท่อน้ำนมออกมาได้ตามปกติเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ต้องอยู่บนเงื่อนไขของการผ่าตัดที่ถูกต้องและได้มาตรฐานด้วย แต่ถ้าเป็นการศัลยกรรมในรูปแบบของการลดขนาดหน้าอกให้เล็กลง อันนี้ต้องคิดหนักเพราะหลีกเลี่ยงที่จะทำให้ต่อมน้ำนมเสียหายได้ยาก ก็ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ดูแลมาช่วยแล้ว ว่าจะทำอย่างไรให้ต่อมน้ำนมเสียหายน้อยที่สุด และสามารถให้นมบุตรได้เช่นเดียวกับคุณแม่ลูกอ่อนทั่วไป

2. ผลข้างเคียงจากการศัลยกรรม ทำยังไงให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด

ไม่ใช่เฉพาะ การทำศัลยกรรม เท่านั้นที่มีผลข้างเคียง การรักษาพยาบาลแทบทุกอย่างมีผลข้างเคียงด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเสริมหน้าอก เสริมคาง หรือแม้แต่เสริมจมูก เพียงแต่ว่าในด้านการศัลยกรรมอาจจะมีผลข้างเคียงที่เห็นได้ชัดเจนมากกว่าเท่านั้นเอง วิธีการลดผลข้างเคียงต้องอาศัยหลายองค์ประกอบร่วมกัน เริ่มตั้งแต่ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำ ว่ามีรูปแบบไหนบ้าง การเตรียมตัวการพักฟื้น รายละเอียดปลีกย่อยมีอะไรบ้าง ยิ่งมีข้อมูลมากก็จะยิ่งลดความเสี่ยงได้มากตามไป เพราะเราจะรู้จุดบกพร่องหรือจุดที่ต้องระวังทั้งหมด ถัดมาเป็นการเลือกสถานพยาบาลและทีมแพทย์ผู้ดูแล ต้องยอมรับว่าเรื่องประสบการณ์สำคัญกว่าวุฒิการศึกษาหรือตำแหน่งหน้าที่การงานมากนัก แพทย์ที่มีประสบการณ์เฉพาะทางมามากกว่า หมายความว่า ผ่านเคสการรักษาที่แตกต่างกันมามากกว่า นอกจากจะตรวจวัดและวิเคราะห์วางแผนการทำศัลยกรรมได้ดีกว่าแล้ว ก็ยังแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการทำศัลยกรรมได้ดีกว่าด้วย เรื่องเครื่องมือและอุปกรณ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าแพทย์จะเก่งแค่ไหน หากขาดเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพก็ทำให้การรักษาด้อยคุณภาพลงอย่างแน่นอน สถานพยาบาลที่มีพร้อมทั้งทีมแพทย์และนวัตกรรมต่างๆ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีมากสำหรับการศัลยกรรม
ทุกประเภท

การเสริมหน้าอกยกระดับไซส์ ไม่ได้เกิดปัญหาต่อการให้นมบุตร ร่างกายยังคงสามารถผลิตน้ำนมและส่งผ่านท่อน้ำนมได้ตามปกติ

3. ทำยังไงให้หน้าอกที่เสริมมามีความเป็นธรรมชาติ ทั้งการมองเห็นและการสัมผัส

เมื่อก่อนเรามักจะได้ยินคนพูดกันอยู่บ่อยครั้ง ว่าการศัลยกรรมหน้าอก ต่อให้ทำออกมาสวยแค่ไหน มองดูเป็นธรรมชาติเพียงใด แต่ถ้าได้จับต้องรับรองว่ารู้แน่นอนว่าเป็นของปลอม ก็เลยทำให้หลายคนเกิดความกังวลใจว่าจะได้สัมผัสที่ต่างไปจากเดิมมากเกินกว่าจะรับได้ อย่ามองเป็นเรื่องตลกเชียว เพราะนี่เป็นสาเหตุของความสัมพันธ์ในรูปแบบคู่รักด้วยเหมือนกัน อย่างไรก็ตามเมื่อนวัตกรรมทางการแพทย์ก้าวหน้าไปมาก ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้อีกต่อไป เราสามารถเสริมหน้าอกให้เหมือนกับมีมาตั้งแต่เกิดได้เลย ทั้งรูปร่างและการสัมผัส เพียงแต่ต้องให้ความใส่ใจในขั้นตอนก่อน การทำศัลยกรรม ให้มากๆ หน่อยเท่านั้น ปัจจัยที่จะทำให้หน้าอกดูเป็นธรรมชาติขึ้นอยู่กับขนาดของการเสริม ตำแหน่งที่สอดวัสดุเสริมเข้าไป และเทคนิคในการผ่าตัดของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากเสริมด้วยวัสดุชั้นดีที่ใต้กล้ามเนื้อหน้าอก โดยให้แผลผ่าตัดอยู่ใต้หน้าอก ก็จะได้ทรวดทรงใหม่ที่สวยงามอย่างที่ใจต้องการแน่นอน แต่เหล่านี้ก็เป็นเพียงข้อมูลคร่าวๆ เท่านั้น ทางที่ดีต้องปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด ไม่ต้องเขินอาย เพราะลักษณะหน้าอกของแต่ละคนจะมีเงื่อนไขแตกต่างกันไป และแพทย์ต้องวิเคราะห์เป็นแบบเฉพาะเจาะจงเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด

4. การเท้าคางทำให้คางยื่นใช่หรือไม่ แล้วจะมีผลอย่างไรหากผ่านการศัลยกรรมมา

อย่างแรกที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ หากเราทำสิ่งใดก็ตามกับร่างกายในช่วงของการเจริญเติบโต ร่างกายจะสามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับการกระทำเหล่านั้นได้ง่าย แม้ว่าจะเป็นส่วนแข็งอย่างกระดูกก็ตามทีตัวอย่างที่ชัดเจนมากๆ ก็คือประเพณีพันเท้าของชาวจีนโบราณ ที่ต้องการให้ผู้หญิงมีขนาดเท้าที่เล็กกว่าปกติ โดยมีความเชื่อว่ายิ่งเท้าเล็กมากเท่าไรก็ยิ่งแสดงออกถึงความเป็นกุลสตรีมากขึ้นเท่านั้น เมื่อพันเท้าเอาไว้อย่างแน่นหนาตั้งแต่เด็ก และพันทุกๆ วันเป็นประจำ กระดูกเท้าก็จะปรับรูปไปนั่นเอง กลับมาที่ประเด็นของการเท้าคาง หากเป็นพฤติกรรมที่ชอบทำในช่วงวัยเด็กที่โครงกระดูกยังมีพัฒนาการอยู่ ก็แน่นอนว่าอาจทำให้คางยื่นหรือหน้าเบี้ยวได้ แต่การเท้าคางก็ไม่ใช่สาเหตุเพียงอย่างเดียวที่ทำให้โครงหน้าผิดรูปไปจากที่ควรจะเป็น ส่วนหลักด้านล่างของโครงหน้าจะเป็นขากรรไกรบนและล่างซึ่งมีระยะเวลาการเติบโตต่างกันเล็กน้อย ขากรรไกรบนจะหยุดการเติบโตเมื่ออายุได้ประมาณ 10 ปี ในขณะที่ขากรรไกรล่างจะหยุดที่ราวๆ 14-18 ปี การเจริญที่ผิดปกติของขากรรไกรอันใดอันหนึ่งหรือทั้งสองอันทำให้เกิดโครงหน้าผิดรูปได้ รวมถึงพฤติกรรมเล็กน้อยๆ เช่น การเคี้ยวอาหารด้วยกรามเพียงข้างเดียว การนอนตะแคงเพียงข้างเดียว การทานอาหารไม่ครบถ้วนและไม่เหมาะสม ก็เป็นองค์ประกอบที่ทำให้คางไม่สมส่วนและมีโครงหน้าไม่สวยงามได้ทั้งนั้น แต่ก็ไม่ต้องกังวลมากจนเกินไป เพราะมีการศัลยกรรมโครงหน้าด้วยเช่นกัน สิ่งที่ต้องระวังมีเพียงแค่พฤติกรรมหลัง การทำศัลยกรรม ช่วงแรกๆ ที่กระดูกยังไม่ประสานกันดีเท่านั้นเอง

5. การทำศัลยกรรมตาสองชั้น ดวงตาจะสามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่

การทำตาสองชั้นมีวิธีศัลยกรรมได้หลายรูปแบบ มีทั้งการใช้เลเซอร์ การเย็บหนังตาเป็นจุดๆ การกรีดแผลสั้น การกรีดแผลยาว หากอยากรู้ว่าดวงตาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เช่นเดียวกับก่อน การทำศัลยกรรม ได้หรือไม่ ก็คงต้องไปดูวิธีการที่เลือกใช้ว่าปรับแต่งดวงตาให้มีสองชั้นด้วยรูปแบบใด ถ้าเป็นการเย็บหนังตาเป็นจุดๆ แบบนี้จะไม่มีการทำให้เกิดแผล แลดูเป็นธรรมชาติและสามารถตัดจุดที่เย็บติดออกได้ นั่นหมายความว่าเราก็จะได้ดวงตาแบบเดิมกลับมาแน่นอน แต่ถ้าเป็นการทำตาสองชั้นด้วยวิธีอื่นๆ ก็ไม่สามารถทำให้เหมือนเดิมได้ หากต้องการจริงๆ ก็จะเป็นการศัลยกรรมปรับแต่งเพิ่มเติมเพื่อให้คล้ายของเดิมมากกว่า

6. ต้องการลดน้ำหนัก การดูดไขมันเป็นตัวเลือกที่ช่วยได้จริงหรือไม่

เป้าหมายของการดูดไขมันจริงๆ ก็คือการลดปริมาณไขมันส่วนเกินอย่างรวดเร็ว เน้นการกระชับสัดส่วนมากกว่าที่จะลดน้ำหนัก แต่ก็ทำให้น้ำหนักลดลงบ้างเล็กน้อยเท่ากับปริมาณของไขมันที่ดูดออกไปนั่นเอง ตามปกติแล้วการดูดไขมันจะมีข้อจำกัดเกี่ยวกับปริมาณในการดูดแต่ละครั้งอยู่ ราวๆ 5 ลิตร ถ้าจำเป็นต้องดูดออกมากกว่านี้ก็ต้องมาดูดซ้ำในรอบต่อไป ซึ่งต้องเว้นระยะของการดูดไขมันแต่ละครั้ง 2-3 อาทิตย์ นั่นหมายความว่าถ้าเจาะจงมาที่การลดน้ำหนัก เช่น ลดจาก 65 กิโลกรัมให้เหลือเพียง 50 กิโลกรัม การดูดไขมันถือว่าไม่ตอบโจทย์ แต่สามารถใช้เป็นหนึ่งตัวช่วยของกระบวนการลดน้ำหนักได้ คือทำการดูดไขมันส่วนเกินในจุดที่ลดด้วยการบริหารร่างกายได้ยาก ทำร่วมกันไปกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ก็จะเห็นผลได้ดีกว่าการออกกำลังเพียงอย่างเดียวหรือดูดไขมันเพียงอย่างเดียว

7. การเสริมจมูกด้วยการฉีดสารเติมเต็มกับใส่วัสดุเสริมได้ผลลัพธ์เทียบเท่ากันไหม

แต่เดิมเรามีเทคนิคการเสริมจมูกอยู่เพียงไม่กี่แบบ คือการผ่าตัดแล้วสอดวัสดุเสริมเข้าไป ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นแท่งซิลิโคนที่เหลามาให้เหมาะกับรูปทรงจมูกของแต่ละคน ต่อมาจึงได้มีการพัฒนาต่อยอดมาเป็นการเสริมจมูกด้วยสารเติมเต็ม ไม่ว่าจะเป็นฟิลเลอร์หรือไขมันก็ตาม เป็นรูปแบบการปรับแต่งจมูกที่ดูไม่น่ากลัวเท่ากับการผ่าเพื่อเสริมซิลิโคน เหมาะกับคนที่ปรับแก้รูปทรงของจมูกไม่มากนักและกลัวการผ่าตัด โดยที่ฟิลเลอร์ก็จะมีระดับคุณภาพให้เลือกหลายแบบ ไขมันก็จะเป็นการดึงเอาไขมันจากส่วนอื่นๆ ของร่างกายผู้เข้ารับการรักษาเองแล้วมาเติมเข้าที่จมูก ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตอบได้ทันทีว่าไม่อาจเทียบกับการผ่าตัดเพื่อเสริมซิลิโคนได้

เพราะการเสริมซิลิโคนเป็นการปรับเปลี่ยนแบบถาวร ทำครั้งเดียวแล้วไม่ต้องกลับมาทำซ้ำอีก เพียงแค่ต้องมองหาวัสดุชั้นดีกับทีมแพทย์มากประสบการณ์เท่านั้น ในขณะที่บรรดาสารเติมเต็มทั้งหลาย จะมีอายุการใช้งานอยู่ เมื่อครบกำหนดก็จำเป็นต้องมาฉีดเติมซ้ำอีก และเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ส่วนจะอยู่ได้นานเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของสารเติมเต็มแต่ละชนิดนั่นเอง ถ้าจะเทียบกันในเรื่องความเป็นธรรมชาติ เนื่องจากมีหลายข้อมูลกล่าวว่าเสริมด้วยสารเติมเต็มนั้นให้ความเป็นธรรมชาติมากกว่า ก็ต้องบอกว่าอันที่จริงหากเสริมซิลิโคนชั้นเยี่ยมโดยแพทย์ฝีมือดีก็จะได้ความเป็นธรรมชาติไม่ต่างกันเลย

นี่เป็นเพียงบางส่วนของคำถามเกี่ยวกับ การทำศัลยกรรม เท่านั้น ส่วนใหญ่ก็เกิดจากความกังวลใจของผู้ที่สนใจทำศัลยกรรมนั่นเอง ซึ่งถือเป็นเรื่องดีมากๆ ที่เราตั้งข้อสงสัยกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของเรา อย่างน้อยที่สุด เราก็จะได้รู้ถึงความเสี่ยงและผลลัพธ์ที่น่าจะได้ สามารถใช้เพื่อชั่งน้ำหนักดูว่าในแต่ละครั้งที่จะทำศัลยกรรม มันคุ้มค่าเทียบเท่ากับสิ่งที่คาดหวังไว้หรือไม่ และในระยะยาวจะมีผลกระทบอะไรที่ต้องเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้รับมือด้วยหรือไม่ แต่สุดท้ายการศัลยกรรมก็เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดอีกครั้งก่อนตัดสินใจเสมอ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559.

หน้าไม่สวย ขาเรียวสวย ไว้ก่อน

0
หน้าไม่สวยแต่ขอขา เรียวสวย ไว้ก่อน
น่องโตเนื่องจากกล้ามเนื้อ ลักษณะของน่องเมื่อจับดูจะเป็นก้อนแข็ง เวลาเกร็งน่องก็จะเห็นเป็นลูกตามมัดกล้ามเนื้อได้อย่างชัดเจน
หน้าไม่สวยแต่ขอขา เรียวสวย ไว้ก่อน
การนำนวัตกรรมทางการแพทย์เข้ามาใช้ช่วยลดขนาดของน่องที่ใหญ่ ซึ่งมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป

ขาเรียว

สำหรับผู้ชายแล้วการมีกล้ามน่องเป็นมัดๆ ดูจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะแสดงออกถึงความแข็งแกร่งและทรงพลัง แต่ถ้าหันกลับมาถามผู้หญิงรับรองได้ว่าร้อยทั้งร้อยตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ขอน่องเล็ก ขาเรียวสวย  การมีน่องโตเป็นลูกๆ นั้นนอกจากจะใส่ส้นสูงไม่สวยแล้ว การใส่เสื้อผ้าประเภทที่ต้องโชว์เรียวขาก็จะไม่สวยอีกด้วย ซึ่งนี่ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ เลย

ขาสวย ขาเรียว เป็นความใฝ่ฝันของเด็กผู้หญิงที่เริ่มเข้าสู่วัยสาว แต่หลายคนเคยเพื่อนโดนล้อว่ามีขาเป็นขาโต๊ะสนุ๊กเกอร์มาแล้ว แต่การสร้างน่องเรียวเล็กดังใจปรารถนาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ขาสวย ขาเรียวการลดน้ำหนักและบริหารร่างกายเฉพาะส่วนก็ไม่ได้ผลกับทุกคนแถมในบางคนยิ่งทำก็ยิ่งมีน่องใหญ่กว่าเดิมเสียอีก แล้วทำไมดารานักแสดงหลายต่อหลายคนจึงเนรมิตเรียวขาในฝันนั้นได้ คำตอบอยู่ที่นวัตกรรมทางการแพทย์ที่เหมาะสมนั่นเอง

แต่ก่อนที่จะไปถึงส่วนของวิธีการสร้างน่องใหม่ ทำให้ ขาเรียวสวย ตามใจต้องการนั้น มาทำความเข้าใจกันก่อนว่าองค์ประกอบของน่องมีอะไรบ้าง อย่างแรกแน่นอนว่าเป็นส่วนของกล้ามเนื้อ แค่จับดูก็จะรู้ได้ทันทีว่ามัดกล้ามเนื้ออยู่ตรงจุดไหน เราจะมีมัดกล้ามเนื้อน่องอยู่ 2 มัดด้วยกัน คือมัดด้านนอกและมัดด้านใน คนที่เล่นกล้ามหรือออกกำลังกายประเภทที่ต้องใช้กำลังขาเป็นประจำ กล้ามเนื้อส่วนนี้จะแข็งแรงและอาจมีขนาดใหญ่ขึ้นได้ อย่างไรก็ตามกล้ามเนื้อน่องถือเป็นกลุ่มกล้ามเนื้อที่ตั้งใจทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ยากที่สุด อีกส่วนหนึ่งก็คือไขมัน ซึ่งก็จะเกาะอยู่รอบๆ กล้ามเนื้อ นั่นหมายความว่าต้นเหตุที่จะทำให้เรามีน่องอันใหญ่โตมโหฬารได้ก็ต้องมาจาก 2 ส่วนประกอบนี้นี่เอง

เช็คลักษณะน่องโตแบบต่างๆ

น่องโตเนื่องจากกล้ามเนื้อ : ส่วนใหญ่เกิดกับคนที่ชอบเล่นกีฬาบางประเภท และคนทำงานที่ต้องใช้กล้ามเนื้อน่องอย่างหนักเป็นประจำ เช่น ต้องเดินหรือยืนตลอดทั้งวัน เป็นต้น ลักษณะของน่องแบบนี้จับดูจะเป็นก้อนแข็ง เวลาเกร็งน่องก็จะเห็นเป็นลูกตามมัดกล้ามเนื้อได้อย่างชัดเจน ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ดีในแง่ของความแข็งแรง แต่ถ้าเป็นเรื่องความสวยความงามก็อาจจะไม่ถูกใจใครหลายๆ คนเท่าไร น่องแบบนี้เมื่อไม่ได้ใช้งานนานๆ กล้ามเนื้อก็จะค่อยๆ หดเล็กลงได้เอง แต่ก็เป็นไปได้ค่อนข้างยากพอสมควร เพราะอย่างน้อยเราก็ต้องเดินทุกวัน และนั่นก็เป็นการใช้กล้ามเนื้อน่องอย่างหนึ่งแล้ว

น่องโตเนื่องจากไขมัน : แน่นอนว่าเกิดกับคนที่มีปัญหาเรื่องไขมันสะสมและน้ำหนักตัวที่เกินพอดีไป น่องจะใหญ่โตขึ้นตลอดทั้งแนวตั้งแต่ใต้หัวเข่าไปจนถึงข้อเท้า ไม่เห็นเป็นลูกๆ เหมือนกับแบบแรก แต่มีระยะรอบน่องที่ใหญ่ขึ้นอย่างชัดเจน เพราะมีปริมาณไขมันไปเกาะอยู่โดยรอบกล้ามเนื้อน่องจำนวนมาก เมื่อจับดูก็จะเป็นเนื้อนิ่มๆ ไม่รู้สึกถึงกล้ามเนื้อมากนัก อันที่จริงหากว่าตามหลักการแล้ว น่องประเภทนี้สามารถลดขนาดลงได้ด้วยการออกกำลังกายเพื่อลดไขมันในร่างกายลง เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะมี เรียวขา ที่เล็กลงได้เอง เพียงแต่ว่ากว่าจะไปถึงจุดนั้นก็ต้องเหนื่อยหนักกันหน่อย

น่องโตเพราะบวมน้ำ : ลักษณะของน่องที่โตเนื่องจากการบวมน้ำจะมีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายคลึงกับน่องโตเนื่องจากไขมัน แต่จะไม่ได้คงที่อยู่ตลอดเวลา อาจมีขึ้นมีลงได้ และถ้าสังเกตในรายละเอียดดีๆ ก็จะเห็นว่ามีความต่างกันอยู่เหมือนกัน สาเหตุหลักของอาการบวมน้ำที่ว่านี้เกิดจากน้ำเหลืองและระบบเลือดที่ไหลเวียนไม่ดี รวมไปถึงโภชนาการที่ไม่เหมาะสมด้วย ตัวอย่างเช่น คนที่ทานเค็มเกินไปก็จะเกิดอาการบวมง่ายได้เช่นเดียวกัน วิธีแก้ก็ต้องเริ่มที่การหาต้นตอให้ได้เสียก่อนว่า เกิดจากพฤติกรรมของเราเองหรืออาการป่วยกันแน่ แล้วค่อยปรับแก้ไปตามแนวทางที่สมควร

จะเห็นว่าจริงๆ แล้วน่องโตก็มีที่มาที่ไปได้หลากหลาย บางอย่างปรับแก้ได้ง่ายๆ และบางอย่างอาจแก้ไขไม่ได้เลย ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เกี่ยวข้องส่วนบุคคลด้วย และต่อไปนี้ก็จะเป็นแนวทางหนึ่งในการสร้างน่องเรียวสวยที่ได้ผลลัพธ์ชัดเจนรวดเร็ว เหมาะกับคนที่แก้ปัญหาน่องโตไม่ได้ หรือไม่มีเวลามากพอที่จะดูแลตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติอื่นๆ

การนำนวัตกรรมทางการแพทย์เข้ามาใช้ช่วยลดขนาดของน่องที่ใหญ่ ซึ่งมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน

การศัลยกรรมน่อง

การใช้นวัตกรรมทางการแพทย์เข้ามาช่วยลดขนาดของน่องที่ใหญ่เกินไป มีอยู่หลากหลายวิธี ไล่ไปตั้งแต่การฉีดโบท็อกซ์ การผ่าตัด การสลายเส้นประสาท เป็นต้น ซึ่งในแต่ละวิธีจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าใครเหมาะกับการรักษาแบบไหน และพึงพอใจกับรูปแบบของขั้นตอนอย่างไรมากกกว่ากัน

การศัลยกรรมน่องด้วยการฉีดโบท็อกซ์

นี่อาจเป็นวิธีที่เรียบง่ายและได้รับความนิยมมากที่สุด สามารถเข้ารับการรักษาที่ไหนก็ได้ รูปแบบของการรักษาเป็นการใช้ สารโบทูลินั่มท็อกซิน ( Botulinum Toxin ) ฉีดเข้าไปในส่วนของกล้ามเนื้อน่อง ซึ่งเจ้าสารโบทูลินั่มท็อกซินตัวนี้ เราเรียกสั้นๆ ในทางการค้าว่า โบท็อกซ์ มันคือโปรตีนชนิดหนึ่งที่สามารถสกัดได้จากแบคทีเรียคลอสเตรเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) อันที่จริงมันเป็นสารที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษในมนุษย์ด้วย แต่ก็มีจุดเด่นตรงที่ช่วยให้กล้ามเนื้อต่างๆ คลายตัวลงได้ ในทางการแพทย์จึงได้หยิบยกเอาคุณสมบัติข้อนี้มาใช้ประโยชน์ และหนึ่งในนั้นก็คือการศัลยกรรมน่องนี่เอง

การฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดน่อง ถือเป็นการแก้ปัญหาในระยะสั้น ไม่ได้มีผลลัพธ์แบบถาวรซะทีเดียว แต่สามารถเริ่มที่การฉีดโบท็อกซ์แล้วผสมผสานกับการดูแลตัวเองต่อในเชิงธรรมชาติ เพื่อให้น่องคงความเรียวเล็กไว้ตลอดได้ โดยปกติแล้วโบท็อกซ์จะคงอยู่ประมาณ 5-6 เดือน แล้วแต่คุณภาพและปริมาณของโบท็อกซ์ที่ใช้ ขั้นตอนการรักษาจะแบ่งการฉีดเป็น 3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกันราวๆ 3 เดือน หลังฉีดจะไม่เห็นผลแบบทันที เพราะโบท็อกซ์ต้องค่อยๆ ซึมซับเข้าสู่กล้ามเนื้อแล้วออกฤทธิ์ จึงเริ่มเห็นผลเมื่อผ่านไปแล้วประมาณ 1 อาทิตย์

ข้อดี : ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องมีการเตรียมตัวที่ยุ่งยาก

ข้อเสีย : ถ้าใครน่องใหญ่มาก จำเป็นต้องใช้โบท็อกซ์ปริมาณเยอะกว่าปกติ ก็จะมีผลข้างเคียงที่กล้ามเนื้อส่วนล่างที่ต่ำกว่ากล้ามเนื้อมัดน่องลงมาอีก อาจจะใส่ส้นสูงไม่ได้ เขย่งเท้าไม่ได้ แต่ก็เป็นภาวะชั่วคราวเท่านั้น อีกอย่างคือการฉีดโบท็อกซ์ต้องทำต่อเนื่องเป็นระยะ ราคาค่าใช้จ่ายจึงมีมาตลอด อาจทำให้หลายคนมองหาของที่มีราคาถูกกว่า ซึ่งก็มีโอกาสที่จะเป็นของปลอมและให้ผลข้างเคียงที่รุนแรงหลายชนิด

การศัลยกรรมน่องด้วยการผ่าตัดกล้ามเนื้อ

วิธีนี้เป็นกระบวนการรักษาแบบแรกๆ ที่ถูกนำมาใช้ ให้ผลลัพธ์แบบถาวร และได้เรียวน่องที่มีขนาดเล็กลงในทันที แต่ในปัจจุบันก็ลดความนิยมลงมากแล้ว เพราะมีผลข้างเคียงหลายอย่างที่เป็นปัญหาต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน การผ่าตัดกล้ามเนื้อน่อง สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่

ผ่าตัดส่วนของกล้ามเนื้อแกสาร็อกนีเมียส (gastrocnemius) : เป็นกล้ามเนื้อที่เกาะจากส่วนปลายของกระดูกทั้งสองด้าน โดยที่ส่วนปลายสุดของกล้ามเนื้อจะมีการเปลี่ยนรูปเป็นเอ็นเพื่อการยึดเกาะ นี่เป็นกล้ามเนื้อหลักที่ทำให้น่องโตขึ้น จึงรักษาด้วยการตัดกล้ามเนื้อบางส่วนออกไป ใช้การเปิดปากแผลยาวไม่เกิน 8 เซนติเมตร

ผ่าตัดส่วนของกล้ามเนื้อรวม : เป็นการจัดเรียงมัดกล้ามเนื้อในน่องใหม่ พร้อมกับเหลาให้กล้ามเนื้อบางส่วนมีความบางลง เพื่อให้ได้ ขาสวย ขาเรียว ตามที่ต้องการ

ข้อดี : เห็นผลทันทีหลังการศัลยกรรม และเป็นผลลัพธ์ที่จะคงอยู่ถาวร

ข้อเสีย : มีภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย เพราะมวลกล้ามเนื้อถูกทำลายเยอะที่สุด มีโอกาสติดเชื้อและอาจกำหนดไม่ได้เลยว่าน่องจะลดไปมากน้อยแค่ไหน อย่างไร ถ้าดูแลโดยผู้ที่ไม่มีความชำนาญมากพอ น่องใหม่ที่ได้ก็อาจมีขนาดไม่สมดุล นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องการเตรียมตัวและการพักฟื้นที่ยาวนาน

การศัลยกรรมน่องด้วยการทำลายเส้นประสาท

เราได้เรียนรู้ว่าอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายที่มีขนาดเล็กหรือใหญ่ ไม่ได้เป็นผลมาจากส่วนของกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่มีผลพ่วงมาจากระบบของเส้นประสาทต่างๆ ด้วย การศัลยกรรมน่องด้วยการทำลายเส้นประสาท จึงเป็นรูปแบบการรักษาที่พัฒนาขึ้นมาหลากหลายเทคนิค เพื่อให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากลดน่องแบบถาวรแต่ก็กลัวการผ่าตัดกล้ามเนื้อ

การตัดเส้นประสาทออก : นี่เป็นการผ่าตัดขนาดเล็กที่จะทำให้เกิดแผลยาวเพียง 2 เซนติเมตรบริเวณน่อง จากนั้นก็แหวกมัดกล้ามเนื้อเพื่อหาเส้นประสาทที่ทำหน้าที่ควบคุมมัดกล้ามเนื้อนั้น เมื่อตัดเส้นประสาทออกแล้ว กล้ามเนื้อที่ถูกควบคุมจะอ่อนแรงลงโดยอัตโนมัติ ส่งผลให้กล้ามเนื้อค่อยๆ ลดขนาดลงเรื่อยๆ มีข้อดีตรงที่มีความแม่นยำในการรักษาสูงมาก แต่ก็มีข้อเสียตรงที่อาจทำให้ระบบการทำงานของช่วงขาผิดปกติไปจากเดิมได้

External EMG (External Electromyography) : เป็นการหาเส้นประสาทที่ต้องการทำลายจากภายนอก หมายความว่าไม่มีการผ่าตัดเปิดปากแผลแต่อย่างใด ขั้นตอนการรักษาจะเริ่มที่ใช้เครื่องตรวจจับเส้นประสาทจากผิวด้านนอก เมื่อเจอแล้วก็ใช้แอลกอฮอล์ความเข้มข้นสูงฉีดเข้าไปที่เส้นประสาทนั้น แน่นอนว่าเส้นประสาทก็จะถูกทำลายในทันที ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงเช่นเดียวกับการตัดเส้นประสาทออก มีข้อดีตรงที่การทำครั้งแรกๆ นั้นสะดวก ไม่เจ็บตัวมากและเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน แต่ข้อเสียอยู่ที่ทีมแพทย์ไม่ได้เห็นระดับความลึกของเส้นประสาทจริงๆ จึงอาจทำให้การทำลายเส้นประสาทไม่สมบูรณ์ กล้ามเนื้อน่องยังคงทำงาน ต้องแก้ไขด้วยการทำซ้ำอีก และเมื่อมีการทำซ้ำหลายครั้งก็จะเกิดความเจ็บปวดและมีอาการแทรกซ้อนต่างๆ ตามมาได้

Internal EMG (Internal Electromyography) : เป็นอีกรูปแบบที่ถูกพัฒนาขึ้นมา โดยผสมผสานการใช้คุณสมบัติของคลื่นวิทยุความถี่สูงกับเครื่อง EMG โดยเริ่มด้วยการค้นหาตำแหน่งของเส้นประสาทเหมือนกับ External EMG ปกติ แต่เมื่อเจอแล้วจะใช้การส่งคลื่นวิทยุเข้าไปทำลายเส้นประสาทแทนที่จะฉีดสารอะไรเข้าไป ใช้เวลาทำไม่นานนัก และหลังทำก็เห็นผลทันที ไม่มีรอยแผล ข้อดีคือสะดวกรวดเร็ว ภาวะแทรกซ้อนน้อย และคงผลลัพธ์ไว้ได้นานกว่า 20 เดือน สามารถกลับมาทำซ้ำได้อีกด้วย แต่ข้อเสียคือราคาค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และหลังการทำไปสักระยะ น่องมีโอกาสกลับมาใหญ่ได้อีกเล็กน้อย

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการศัลยกรรมลดขนาดของน่องเท่านั้น ใครจะเหมาะกับการรักษาแบบไหน ก็ต้องพิจารณาจากผลลัพธ์ที่ต้องการ เปอร์เซ็นต์ของกล้ามเนื้อที่โตขึ้น ต้นเหตุของน่องที่ขยายใหญ่กว่าปกติ ตลอดจนความสะดวกในการเตรียมตัวและความสามารถในการบริหารค่าใช้จ่ายด้วย สุดท้ายนี้ การมีน่องเรียวสวยนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่การมีช่วงขาที่แข็งแรงนั้นดีมากกว่า หากหารูปแบบและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสมกับตัวเองไม่ได้ ก็อย่าเลือกทางที่มีความเสี่ยงในทุกกรณี สู้มีขาใหญ่แต่แข็งแรง ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพซะยังจะดีกว่า

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559.

สาเหตุและวิธีแก้ขาหนีบดำ

0
สาเหตุและวิธีแก้ขาหนีบดำ
ขาหนีบมีรอยดำเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันอย่างไม่ระวัง เช่นการออกกำลังกาย การใส่เสื้อผ้าที่รัดตึง การปล่อยให้ขาหนีบอับชื้นบ่อย การเกาที่บริเวณขาหนีบ
สาเหตุและวิธีแก้ขาหนีบดำ
ขาหนีบมีรอยดำเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันอย่างไม่ระวัง เช่นการออกกำลังกาย การใส่เสื้อผ้าที่รัดตึง การปล่อยให้ขาหนีบอับชื้นบ่อย การเกาที่บริเวณขาหนีบ

ขาหนีบดำ

เรือนร่างที่ปราศจากริ้วรอยด่างดำต่างเป็นที่ปรารถนาของทุกคน โดยเฉพาะหญิงสาวที่ชื่นชอบการแต่แต่งกายที่ต้องโชว์เนื้อหนังบ้าง ซึ่งปัญหารอยด่างดำที่สร้างความหนักใจและความกังวลใจมักจะหนี้ไม่พ้น รอยดำที่บริเวณขาหนีบ ถึงแม้ว่าบริเวณขาหนีบจะเป็นจุดลับที่มักจะไม่เปิดเผยให้ใครได้เห็นมากนัก แต่การที่ขาหนีบมีรอยด่างดำก็ทำให้สูญเสียความมั่นใจไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งการที่ ขาหนีบดำ เกิดขึ้นเนื่องจาก

สาเหตุของขาหนีบดำ

1.การเสียดสี

บริเวณขาหนีบเป็นบริเวณที่ผิวหนังมีการเสียดสีกันอยู่เกือบตลอดเวลา โดยเมื่อผิวหนังบริเวณขาหนีบมีการเสียดสีบ่อยมากขึ้น ช่วงแรกผิวหนังที่บริเวณดังกล่าวจะมีการอักเสบแดง เมื่อเกิดการอักเสบแล้วร่างกายจึงต้องทำการสร้างผิวหนังที่บริเวณดังกล่าวให้มีความหนามากขึ้น เพื่อลดการระคายเคืองที่เกิดขึ้นจากการเสียดสี ผิวหนังมีความหนาเพิ่มขึ้นจะมีการรวมตัวของเม็ดสีที่บริเวณขาหนีบมากขึ้น จึงทำให้ผิวหนังที่บริเวณขาหนีบมีสีที่เข้มขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสีดำในที่สุด ซึ่งการเสียดสีของผิวหนังบริเวณขาหนีบที่ส่งผลให้เกิดเป็นสีดำเกิดขึ้นจาก 2 ปัจจัย คือ

1.1การเสียดสีของผิวหนังกับผิวหนัง ในผู้ที่มีน้ำหนักมากเมื่อมีการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น การเดิน การวิ่ง การลุก หรือการขยับตัวแล้ว ผิวหนังที่บริเวณขาหนีบจะเกิดการเสียดสีมากขึ้นเนื่องจากความแนบชิดของเนื้อที่เพิ่มขึ้นตามน้ำหนักตัว

1.2การเสียดสีของผิวหนังกับเสื้อผ้า ในผู้ที่ชื่นชอบการใส่กางเกงที่รัดแน่นแนบชิดกับเนื้อหรือกางเกงในหรือกางเกงขาสั้นมาก ๆ ที่มีขอบหนาตามแฟชั่นนิยมในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกางเกงที่ใส่มีเนื้อผ้าที่หยาบ เช่น กางเกงยีนส์ การเกงผ้าเนื้อหนา จะส่งผลให้เนื้อผ้าทำการเสียดสีกับผิวหนังที่บริเวณขาหนีบ จนส่งผลให้ขาหนีบเกิดการอักเสบและเป็นรอยดำเกิดขึ้นได้

2.โรคเชื้อราที่ขาหนีบ

โรคเชื้อราที่เกิดขึ้นบริเวณขาหนีบมักจะเกิดจากการติดเชื้อที่อยู่ในกลุ่ม Dermatophyte เช่น โรคสังคัง ( Tinea Cruris ) ซึ่งการติดเชื้อราจะเกิดขึ้นในบริเวณที่บริเวณขาหนีบที่มีความอับชื้น เมื่อเกิดการติดเชื้อแล้วผิวหนังจะเกิดอาการอักเสบ มีผื่นแดง และมีอาการคันร่วมด้วย หลายคนจึงมักจะทำการเกาที่บริเวณขาหนีบส่งผลให้ผิวหนังเกิดการอักเสบมากขึ้น เมื่อรักษาจนหายผิวหนังที่บริเวณขาหนีบจึงมีรอยดำเกิดขึ้นตามมา

3.โรคผิวหนังช้าง ( Acanthosis Nigricans )

โรคผิวหนังช้าง คือ โรคที่ทำให้ผิวหนังมีสีคล้ำหรือดำ มีความหนามากกว่าผิวหนังบริเวณอื่น ซึ่งผิวหนังที่เป็นโรคผิวหนังช่างจะมีลักษณะที่หยาบคล้ายกับผิวหนังของช้าง ซึ่งจะเกิดในผู้ที่มีปริมาณอินซูลินในร่างกายสูงผิดปกติ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิด ยากระตุ้นการผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ยารักษาโรคไทรอยด์ เป็นต้น เมื่อร่างกายมีปริมาณฮอร์โมนอินซูลินสูงส่งผลให้ร่างกายมีการผลิตเม็ดสีผิวเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณที่เกิดการเสียดสีมาก เช่น ต้นคอที่มีรอยพับ ขาหนีบ เป็นต้น

4.การตั้งครรภ์

ขาหนีบดำเป็นภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้ในผู้หญิงที่การตั้งครรภ์ เนื่องจากในขณะที่มีการตั้งครรภ์ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างเฉียบพลัน ทำให้ร่างกายมีการผลิตเม็ดสีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผิวหนังมีสีเข้มขึ้นทั่วร่างกายโดยเฉพาะส่วนที่มีการเสียดสีมาก เช่น ใต้รักแร้ ขาหนีบ ต้นคอ เป็นต้น ซึ่งในบางรายความเข้มของผิวหนังจะยังคงอยู่แม้ว่าจะคลอดบุตรแล้วก็ตามแต่ในบางรายเมื่อคลอดบุตรผิวหนังก็จะกลับมาเป็นสีปกติก่อนที่จะตั้งครรภ์ได้เช่นกัน
จะพบว่าปัจจัยที่ทำให้ขาหนีบมีรอยดำเกิดขึ้นเป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นเนื่องจากการใช้ชีวิตประจำวัน และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายถ้าไม่ระมัดระวัง แต่ถึงแม้ว่าสาเหตุของอาการขาหนีบดำจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายในเป็นประจำก็ตาม

วิธีการป้องกันไม่ให้ขาหนีบเกิดเป็นรอยดำ

1.การลดการเสียดสี

อาการขาหนีบดำส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นส่วนมากจะเกิดจากการเสียดสีของผิวหนังบริเวณขาหนีบ ซึ่งมักเกิดขึ้นในผู้ที่มีเนื้อที่บริเวณต้นขาหรือคนที่มีรูปร่างอ้วน ดังนั้นการลดการเสียดสีที่เกิดขึ้นบริเวณขาหนีบเป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถช่วยลดอาการรอยดำที่บริเวณขาหนีบได้ โดยการลดการเสียดสีสามารถทำได้ดังนี้

1.1 การทาครีม การทาครีมหล่อลื่น เช่น น้ำมันสกัดจากธรรมชาติ ปิโตรเลียมเจล โลชั่น ครีมบำรุงผิว เพื่อเข้ามาเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวหนังบริเวณขาหนีบและลดการเสียดสีที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ป้องกันการเกิดรอยดำหรือลดรอยดำที่เกิดขึ้นบริเวณขาหนีบให้ค่อย ๆ จางลง

1.2 การทาแป้ง นอกจากการทาครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นแล้ว การทาแป้งเพื่อป้องกันความอับชื้นที่บริเวณขาหนีบสามารถช่วยลดการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียที่สะสมอยู่ในบริเวณขาหนีบได้ ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้จะทำให้บริเวณขาหนีบมีการอักเสบจนเป็นที่มาของรอยดำที่บริเวณขาหนีบ

1.3 สวมใส่กางเกงที่ระบายอากาศได้ดี กางเกงที่สวมใส่ ไม่ว่าจะเป็นกางเกงชั้นนอกหรือกางเกงชั้นใน ควรเลือกกางเกงที่ตัดเย็บจากผ้าที่ไม่ระคายเคืองผิว สวมใส่สบาย ระบายอากาศได้ดี และควรสวมกางเกงที่ไม่รัดแน่นจนเกินไป เพราะกางเกงที่รัดแน่นจะทำให้เกิดการเสียดสีระหว่างผิวหนังกับเนื้อผ้าทำให้เกิดการอักเสบได้ ส่วนเวลานอนไม่ควรที่จะสวมกางเกงในที่รัดแน่นหรือบิกินี้ที่เป็นเส้นหนา ๆ เพื่อช่วยลดการรัดตึงซึ่งจะทำให้เกิดการเสียดสีที่บริเวณขาหนีบให้น้อยลง

1.4 ควบคุมน้ำหนัก สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวสูงหรือผู้ที่มีเนื้อมากในบริเวณขาหนีบจะทำให้เนื้อที่บริเวณขาหนีบมีโอกาสเกิดการเสียดสีจนทำให้เกิดการอักเสบได้ ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงในการเสียดสีของเนื้อที่บริเวณขาหนีบให้น้อยลง ควรทำการลดน้ำหนักและออกกำลังกายเพื่อบริหารกล้ามเนื้อที่บริเวณขาหนีบให้มีความกระชับ และมีความแข็งแรง เพื่อลดการเสียดสีที่จะทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ ป้องกันการเกิดรอยดำที่ส่วนของขาหนีบอย่างได้ผล เพราะรอยดำที่ขาหนีบรอยละ 80 เกิดจากการเสียดสีของเนื้อส่วนเกินนั่นเอง

2. ควบคุมระดับฮอร์โมน

สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมีความเสี่ยงที่จะมีระดับฮอร์โมนอินซูลินสูงมากกว่าคนปกติทั่วไป จึงส่งผลให้ผิวหนังบริเวณขาหนีบมีรอยดำเพิ่มขึ้น ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างถูกต้อง เพราะนอกจากจะสามารถช่วยควบคุมอาการของโรคเบาหวานได้แล้ว ยังสามารถป้องกันไม่ให้เกิดลดรอยดำที่เกิดขึ้นในบริเวณขาหนีบได้อีกด้วย

3.การขัดผิว

การขัดผิวเป็นการเร่งการผลัดเซลล์ผิวที่ตายและเกาะติดอยู่ที่บริเวณผิวหนังส่วนของขาหนีบให้หลุดออกไป โดยเฉพาะเซลล์ผิวที่มีความหนาและมีสีเข้ม ซึ่งการขัดผิวสามารถขัดผิวด้วยครีมขัดผิว (Scrub) หรือใช้สมุนไพรธรรมชาติ เช่น ผงขมิ้น น้ำมะนาว มะขามเปียก เป็นต้น ซึ่งการขัดผิวควรขัดอาทิตย์ละประมาณ 2-3 ครั้งเท่านั้น ไม่ควรขัดทุกวันเพราะการขัดทุกวัน นอกจากจะไม่ช่วยให้ขาหนีบขาขึ้นแล้ว อาจจะทำให้ผิวหนังบริเวณขาหนีบเกิดการอักเสบจนเกิดรอยดำก็เป็นได้

4.รักษาอาการอักเสบ

หลายคนเมื่อมีอาการคันที่บริเวณขาหนีบ มักจะปล่อยไม่สนใจที่จะทำการรักษา ด้วยคิดว่าไม่เป็นอันตรายร้ายแรง ถึงแม้ว่าอาการอักเสบที่บริเวณขาหนีบจะไม่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่ก็จะทำให้เกิดรอยดำที่บริเวณขาหนีบได้ ดังนั้นเมื่อมีอาการคัน ผื่นแดงหรืออาการอักเสบเกิดขึ้นที่บริเวณขาหนีบ ควรรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง ป้องกันการเกิดรอยดำที่บริเวณขาหนีบเนื่องจากการอักเสบที่เกิดขึ้นนั่นเอง
การป้องกันไม่ให้เกิดรอยดำที่บริเวณขาหนีบเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ขาหนีบแลดูสวยงาม แต่ทว่าบางคนนั้นไม่รู้ตัวว่าพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การออกกำลังกาย การใส่เสื้อผ้าที่รัดตึง การปล่อยให้ขาหนีบอับชื้นบ่อย การเกาที่บริเวณขาหนีบ จะส่งผลให้ขาหนีบเกิดรอยดำ มารู้ตัวอีกทีที่บริเวณขาหนีบก็มีสีดำคล้ำไม่สวยงามเกิดขึ้นแล้ว การจะป้องกันไม่ให้ขาหนีบมีรอยดำเพิ่มมากขึ้นจะต้องทำควบคู่กับการขจัดรอยดำที่มีอยู่ออกไป ดังนั้นแนวทางที่จะช่วยทำให้รอยดำที่บริเวณขาหนีบหายไปจึงมีความจำเป็นที่ต้องปฏิบัติ

ขาหนีบมีรอยดำเป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวันอย่างไม่ระวัง เช่นการออกกำลังกาย การใส่เสื้อผ้าที่รัดตึง การปล่อยให้ขาหนีบอับชื้นบ่อย การเกาที่บริเวณขาหนีบ

วิธีรักษารอยดำที่บริเวณขาหนีบสามารถรักษาและทำให้ผิวหนังกลับมาขาวเนียนดังเดิมได้ ดังนี้

1.การทาครีมลดรอยดำ

ครีมที่มีส่วนผสมของสารไวเทนนิ่ง ( Whitening ) เช่น วิตามินหรือกรดแอสคอร์บิค แอซิด ( Ascorbic Acid ), กรดผลไม้ หรือสารกลุ่ม AHA ( Alpha Hydroxy Acids ) เป็นต้น ซึ่งสารไวเทนนิ่งจะเข้าไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิแนส ( Tyrosinase ) ที่มีหน้าที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสีผิว ดังนั้นเมื่อยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิแนสได้แล้ว อัตราการสร้างเม็ดสีผิวจึงลดลงผิวหนังจึงมีสีที่ขาวขึ้น ดังนั้นการทาครีมลดรอยดำจึงสามารถช่วยลดรอยดำที่บริเวณขาหนีบได้ การทาครีมลดรอยดำอาจจะต้องใช้เวลานานกว่ารอยดำที่เกิดขึ้นจะหาย

2.การรักษาด้วยเลเซอร์ ( Laser )

แสงเลเซอร์ ( LASER หรือ Light Amplification By Stimulated Emission of Radiation ) คือ การใช้แสงที่มีคลื่นความถี่และความยาวแสงเท่ากันมารวมตัวกันเพื่อให้ได้คลื่นแสงที่มีความเข้มสูง การรักษาด้วยแสงเลเซอร์จะทำการฉายไปยังบริเวณขาหนีบที่มีรอยดำจะเข้าไปยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีของร่างกายที่บริเวณดังกล่าว ทำให้ผิวหนังที่บริเวณขาหนีบมีการสร้างเซลล์เม็ดน้อยลง ผิวหนังจึงมีสีขาวขึ้นนั่นเอง

3.การรักษาด้วย IPL ( Intense Pulse Light )

IPL คือ การรักษาที่ใช้แสงที่มีความยาวคลื่นกว้างกว่าแสงเลเซอร์ ซึ่งความยาวคลื่นของ IPL มีความยาวคลื่นอยู่ใน 420 นาโนเมตร ( nm ) ถึงความยาวคลื่น 1,200 นาโนเมตร ( nm ) ซึ่งกลไกการทำงานจะมีลักษณะเดียวกับแสงเลเซอร์ นั่นคือ คลื่นแสง IPL จะเข้าไปยับยั้งการผลิตเม็ดสีผิวของร่างกายที่บริเวณขาหนีบ ทำให้การผลิตเม็ดสีผิวน้อยลง สีผิวที่บริเวณขาหนีบจึงค่อย ๆ จางลงและขาวขึ้น และคลื่นแสง IPL ยังสามารถช่วยลดอาการอักเสบที่เกิดขึ้นจากการเสียดสีหรือเชื้อราให้ลดลงได้อีกด้วย

4.การรักษาด้วยไอออนโตฟอรีซิส ( Iontophoresis )

วิธีนี้เป็นการรักษารอยดำที่บริเวณขาหนีบโดยอาศัยกระแสไฟฟ้าต่ำควบคู่กับการใช้วิตามิน โดยจะใช้วิธีการไอออนโตฟอรีซิส ( Iontophoresis ) จะใช้กระแสไฟฟ้าทำการกระตุ้นให้รูขุมขนที่บริเวณผิวหนัง ( Skin pore ) ที่บริเวณขาหนีบมีการขยายตัวขึ้น และเมื่อมีการใช้วิตามิน เช่น วิตามินอี วิตามินซี ร่วมด้วย กระแสไฟฟ้าจะกระตุ้นให้วิตามินสามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ลึกมากขึ้น จึงสามารถเข้าไปยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีอย่างได้ผล ทำให้ผิวหนังที่บริเวณขาหนีบมีผิวขาวกระจ่างใสขึ้น

การรักษารอยดำที่บริเวณขาหนีบสามารถทำให้รอยดำหายไป ผิวหนังที่บริเวณขาหนีบกลับมาเป็นขาวเนียนตามธรรมชาติได้อย่างแน่นอน แต่จะต้องทำการรักษาเพียงครั้งเดียวหรือหลายครั้ง ขึ้นอยู่กับความหนาและความเข้มของรอยดำที่บริเวณขาหนีบด้วย ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยหรือขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้เข้ารับการรักษาด้วย

แต่ถึงแม้ว่าการรักษาจะสามารถทำให้รอยดำที่บริเวณขาหนีบหายไปได้ก็ตาม แต่ถ้าผู้รักษายังมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดรอยดำ เช่น ขาหนีบมีความอับชื้นตลอดเวลา ผิวหนังบริเวณขาหนีบมีการเสียดสี ใส่กางเกงที่รัดตึง ใส่กางเกงเนื้อหยาบแล้ว รอยดำที่หายไปก็จะสามารถเกิดขึ้นได้อีก ดังนั้นเมื่อรักษารอยดำที่บริเวณขาหนีบหายแล้ว ควรทาครีมลดรอยดำและปฏิบัติตามวิธีการป้องกันการเกิดรอยดำที่บริเวณขาหนีบร่วมด้วย ก็จะทำให้ขาหนีบขาวเนียนสวยใสตลอดไป ขาหนีบดำป้องกันและรักษาได้ไม่ยากเพียงคุณใส่ใจสักนิด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“American Running Association”. Archived from the original on March 19, 2006. Retrieved 2008-08-23.

Kenneth S. Saladin (2010). Anatomy & Physiology: The Unity of Form and Function (5th ed.). McGraw Hill. OCLC 743254985.

โบท็อกซ์ (Botox) คืออะไรกัน?

0
โบท็อกซ์ (Botox) คืออะไรกัน?
โบทูลินั่ม ท็อกซิน หรือ โบท็อกซ์เป็นโปรตีนที่ทำการสกัดจากแบคทีเรีย และนำมาใช้ในการศัลยกรรมเสริมความงาม
โบท็อกซ์ (Botox) คืออะไรกัน?
โบทูลินั่ม ท็อกซิน หรือ โบท็อกซ์เป็นโปรตีนที่ทำการสกัดจากแบคทีเรีย และนำมาใช้ในการศัลยกรรมเสริมความงาม

โบท็อกซ์ ( Botox )

โบท็อกซ์ ( Botox ) เป็นการศัลยกรรมเสริมความงามอีกอย่างหนึ่ง ในปัจจุบันถือเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ทั้งการเสริมจมูก เสริมเต้านมและปรับโครงสร้างของใบหน้าตามความต้องการ และเชื่อว่าเมื่อกล่าวถึงการศัลยกรรมเสริมความงามทุกคนจะต้องคุ้นเคยกับคำว่า โบทูลินั่ม ท็อกซิน ( Botulinum toxin ) หรือที่เรียกสั้นว่า โบท็อกซ์ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับสารตัวนี้กัน 

สารโบทูลินั่มมี 7 ชนิดคือโบทูลินั่มชนิด เอ – จี   ซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติดีต่างกัน และโบทูลินั่มที่ใช้ในทางการแพทย์มี 2 ชนิดคือ โบทูลินั่มชนิดเอ  ที่ใช้ในทางความงาม และ โบทูลินั่มชนิดบี ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

โบท็อก ( Botox ) คืออะไร

โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum toxin) คือโปรตีนที่ทำการสกัดจากแบคทีเรีย ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม ( Clostridium botulinum ) ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้จะสร้างสารที่เป็นพิษที่เรียกว่า โบทูลิซึม ( Botulism ) ที่มีพิษต่อร่างกายมนุษย์ โดยจะมีอาการหน้ามืด ปากแห้ง คลื่นไส้ วิงเวียน และอาจอันตรายถึงชีวิตถ้าได้รับในปริมาณที่สูง เนื่องจากภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงและหายใจไม่ออก แต่ต่อมาได้มีการพัฒนาโปรตีนชนิดนี้ให้กลายมาเป็นยารักษาโรค ซึ่งคำว่า “ Botulus ” แปลว่า “ ไส้กรอก ” เพราะว่าการระบาดของสารพิษชนิดนี้พบว่ามาจากไส้กรอกเป็นครั้งแรก โดยสารพิษจะเข้าไปออกฤทธิ์กับส่วนของเส้นประสาทส่วนปลาย ด้วยการทำการยับยั้งไม่ให้เส้นประสาทส่วนปลายทำการหลั่งสารสื่อประสาท ทำให้เส้นประสาทไม่สามารถทำการสั่งงานไปยังเส้นใยประสาทได้ ซึ่งสารนี้จะออกฤทธิ์กับเส้นประสาทกล้ามเนื้อชนิด Acetycholine และต่อมเหงื่อ ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและมีการหลั่งเหงื่อออกมาได้ลดลง และได้พัฒนากลไกการออกฤทธิ์เข้ามาช่วยในการรักษาอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งที่เกิดขึ้นใน ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับระบบประสาท ระบบสมอง ระบบกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดการชักกระตุก ภาวะกล้ามเนื้อลูกตาหดตัวหรือภาวะตาเข และนายแพทย์ Dr.Alastair Carruthers ชาวแวนคูเวอร์ ในประเทศแคนนาดาได้สังเกตเห็นว่าเมื่อทำการฉีดยาโบทูลินั่ม ท็อกซินเข้าไปเพื่อรักษาโรคกล้ามเนื้อรอบตาที่เกิดอาการหดเกร็ง แล้วริ้วรอยที่มีอยู่ระหว่างคิ้วจางลง จึงได้มีการทดลองนำยาชนิดนี้มาฉีดเข้าสู่บริเวณที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นที่มีอยู่บนใบหน้า พบว่าริ้วรอยที่มีเกิดขึ้นบางส่วนหายไปและบางส่วนจางลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ส่งผลให้ผิวหน้าแลอ่อนเยาว์ และได้นำยาชนิดนี้เข้ามาใช้ในการริ้วรอยเหี่ยวย่นที่บริเวณคิ้ว หน้าผาก บริเวณหางตา ต่อมาได้นำมาใช้ในการศัลยกรรมเสริมความงามจนเป็นอันดับหนึ่งที่มีคนนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน

   [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

การใช้โบท็อกซ์เพื่อเสริมความงาม

สารโบทูลินั่มท็อกซินมีฤทธิ์ต่อระบบประสาท อะซีตินโคลีน ( acetylcholine ) ที่สั่งให้กล้ามเนื้อยึดและหดตัว ส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัวชั่วคราว เมื่อนำสารโบทูลินั่มท็อกซินมาสกัดให้บริสุทธิ์ สามารถใช้รักษาในทางการแพทย์และในวงการความงาม 

1. การใช้โบท็อกซ์เพื่อลดริ้วรอยย่นบนใบหน้า

โบทูลินั่ม ท็อกซิน ( Botulinum toxin ) สามารถช่วยในการลดริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นที่บริเวณใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นรอยตีนกา ริ้วรอยใต้ตา รอยที่บริเวณหน้าผาก หรือการลดการหย่อนคล้อยของผิวหนังส่วนอื่น โดยเมื่อทำการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซินเข้าสู่บริเวณที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยหรือรอยเหี่ยวย่น โบทูลินั่ม ท็อกซินจะเข้าไปทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว ทำให้ริ้วรอยที่เกิดขึ้นหายไป  ดังนั้นเมื่อทำการฉีดยาในปริมาณและตำแหน่งที่เหมาะสมแล้วก็จะสามารถทำให้ริ้วรอยจางลงอย่างเห็นได้ชัด จึงนับได้ว่าความเชี่ยวชาญและประสบการของแพทย์ที่ทำการฉีดสารเข้าสู่ร่างกายมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะถ้าฉีดในตำแหน่งที่เหมาะสมจะช่วยลดเลือนริ้วรอยอย่างได้ผล แต่ถ้าฉีดในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม จะทำให้ริ้วรอยหายไปได้น้อยและอาจอาการแทรกซ้อน เช่น คิ้วตก คอห้อย มุมปากเบี้ยว เป็นต้น ซึ่งตำแหน่งที่นิยมทำการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซินเพื่อทำการรักษาริ้วรอย ได้แก่ รอยตีนกา ร่องระหว่างคิ้ว รอยย่นที่บริเวณหน้าผาก ไม่ว่าจะเป็นรอยลึกหรือรอยตีนการฉีดสารชนิดนี้ก็สามารถลดริ้วรอยได้ หลังจากการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซินเพียงแค่ 1 สัปดาห์ริ้วรอยที่ต้องการลบเลือนก็จะหายไป ซึ่งความเรียบเนียนของผิวหน้าจะคงอยู่ประมาณ 3-6 เดือนหลังจากการฉีด ทั้งนี้จะการกลับคืนของริ้วรอยจะเร็วหรือช้า จะขึ้นอยู่กับการแสดงสีหน้า อารมณ์ด้วย ถ้ามีการแสดงอารมณ์และสีหน้ามาก ริ้วรอยก็จะกลับมาเร็ว แต่ถ้ามีการแสดงสีหน้าและอารมณ์ไม่มาก ริ้วรอยที่เกิดขึ้นก็จะกลับมาช้านั่นเอง

ผลผัพธ์หลังการฉีด : ลดเลือนริ้วรอยได้นานประมาณ 3 – 6 เดือน

2. การใช้โบท็อกซ์เพื่อทำการปรับรูปทรงของใบหน้าหรือรูปทรงของอวัยวะบนร่างกาย
ซึ่งสามารถแบ่งการปรับรูปร่างและรูปทรงได้เป็น 2 แบบ คือ

2.1 การใช้โบท็อกปรับรูปทรงของใบหน้า
การทำงานของโบท็อก คือ การทำให้กล้ามเนื้อขยับได้น้อยลง กล้ามเนื้อกรามจึงหดกระชับลงเรื่อยๆกรามจึงมีขนาดเล็กลง นั่นคือ สามารถเปลี่ยนรูปทรงของใบหน้าที่มีลักษณะอวบอิ่ม กลมโต ให้กลายเป็นใบหน้ารูปทรงตัววี (V-shape) หรือทรงตัวยู (U-shape) การที่จะมีใบหน้ารูปทรงทั้งสองแบบได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะที่สำคัญ 2 ส่วนด้วยกัน คือ ลักษณะของขากรรไกรและลักษณะของกล้ามเนื้อที่บริเวณมุมกราม ลักษณะของทั้ง 2 ส่วนจะเป็นตัวกำหนดรูปร่างของใบหน้า

การฉีดเพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อที่บริเวณมุมกรามนี้จะต้องใช้ความระมัดระวังในการฉีดที่คอนข้างสูง เพราะหากว่าทำการฉีดไม่ถูกตำแหน่งหรือตำแหน่งทั้งสองข้างไม่สมมาตรกัน หรือแม้แต่การให้ยาในปริมาณที่ไม่เหมาะสมทำให้กล้ามเนื้อหดตัวในปริมาณที่ไม่เท่ากัน จะส่งผลให้ลักษณะของใบหน้าที่เกิดขึ้นมีการบิดเบี้ยว หรือถ้าทำการฉีดยาในปริมาณที่สูงและลึกมาเกินไปอาจจะส่งผลต่อการบดเคี้ยว และอาจส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงเกิดขึ้นได้ ถึงแม้ว่าอาการดังกล่าวจะคงอยู่เพียงแค่ชั่วคราวแต่ก็สามารถสร้างผลกระทบต่อการดำรงชีวิตได้

ผลผัพธ์หลังการฉีด : ลดกรามได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน

2.2 การใช้โบท็อกปรับแต่งรูปคิ้ว
คนที่มีปัญหาเรื่องคิ้วตก หรือบางคนคิ้วอาจไม่ตกแต่อยากมีคิ้วโก่งสวยได้รูป ก็สามารถใช้ โบท็อกซ์ ( Botox ) ในการปรับแต่งรูปคิ้วได้ การฉีดโบท็อกเข้าไปลายกล้ามเนื้อในตำแหน่งที่ต้องการเพื่อปรับเปลี่ยนรูปให้คิ้วเป็นทรงต่างๆ เช่น คิ้วทรงตรง คิ้วทรงโค้ง และคิ้วแบบนางแบบ ซึ่งความนิยมรูปคิ้วแบบต่างๆขึ้นอยู่กับแฟชั่นในแต่ละปี

ผลผัพธ์หลังการฉีด : ออกฤทธิ์หลังการฉีด 1-2 สัปดาห์ และอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน

2.3 การใช้โบท็อกแก้ปัญหาหน้ามัน
โบท็อกซ์ ( Botox ) สามารถฟื้นฟูโครงสร้างของผิวหน้าและยกผิวหน้าให้กระชับ ด้วยเทคโนโลยีเมโสโบท็อกซ์ เพื่อลดการทำงานของต่อมเหงื่อ ต่อมน้ำมัน และกล้ามเนื้อบริเวณผิวหน้า ทำให้รูขุมขนกระชับ ผิวเรียบเนียน และลดความมันบนใบหน้าลง

ผลผัพธ์หลังการฉีด : ออกฤทธิ์หลังการฉีด 1-2 สัปดาห์ และอยู่ได้นานประมาณ 3 เดือน

2.4 การใช้โบท็อกซ์เพื่อช่วยลดขนาดของแขน น่อง ขา
อวัยวะของร่างกายบางส่วนจะมีขนาดที่ใหญ่ไม่เป็นที่ต้องการ โดยเฉพาะส่วนของน่องที่เมื่อมีขนาดใหญ่จะส่งผลให้ขาแลดูหนาและเตี้ยไม่สวยงาม ต่างจากน่องที่มีลักษณะเล็กเรียวจะทำให้รูปร่างดูสูงและเพรียวมากขึ้น ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์สามารถช่วยลดขนาดของน่องได้ โบท็อกซ์ ( Botox ) จะเข้าไปทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดที่ลดลงแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การวิ่ง ต่างจากการผ่าตัดเพื่อลดขนาดของน่องที่อาจสร้างผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ เมื่อทำการฉีดสารนี้เข้าไปยังบริเวณกล้ามเนื้อของน่องที่มีลักษณะปูดหรือนูนออกมามากจนทำให้น่องมีลักษณะใหญ่ โบท็อกซ์จะเข้าไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อที่บริเวณดังกล่าว ทำให้กล้ามเนื้อดังกล่าวมีขนาดที่เล็กลง หลังจากทำการฉีดสารเข้าไปประมาณ 1-2 เดือน กล้ามเนื้อจะมีขนาดที่เล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ขนาดของน่องเล็กลงตามขนาดของกล้ามเนื้อที่ลดลง จากน่องใหญ่จึงกลายมาเป็นน่องเล็กเรียวตามต้องการ แต่ถ้าน่องโตเพราะไขมันหรือเซลลูไลต์สะสมต้องแก้ไขด้วยวิธีอื่น

ข้อจำกัดในการฉีดเพื่อลดขนาดของน่อง ขา

1.ฉีดได้เฉพาะบางส่วนเท่านั้น ไม่สามารถทำการฉีดได้ตลอดทั้งขา เพราะโดยโบทูลินั่ม ท็อกซินจะเข้าไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อที่บริเวณดังกล่าว จึงส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย

2.ผลของโดย โบท็อกซ์ ( Botox ) จะไม่คงอยู่ตลอดชีวิต แต่ผลของยาจะสามารถคงอยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือนเท่านั้น ขนาดของน่องจะกลับเข้าสู่ขนาดเดิมก่อนที่ทำการฉีดสารเข้าไป ดังนั้นการรักษาขนาดของน่องให้เรียวเล็กจำเป็นต้องทำการฉีดสารโดย โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum toxin) อย่างต่อเนื่อง

ผลผัพธ์หลังการฉีด : ลดแขน น่อง ขาได้นานประมาณ 6 – 12เดือน

โบทูลินั่ม ท็อกซิน หรือ โบท็อกซ์ เป็นโปรตีนที่ทำการสกัดจากแบคทีเรียที่ได้รับความนิยมนำมาใช้ในการศัลยกรรมเสริมความงามในปัจจุบัน

2.5 การใช้โบท็อกซ์เพื่อช่วยลดปริมาณเหงื่อและกลิ่นตัว
ปัญหาเหงื่ออกมากเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อความมั่นใจของใครหลายคน ภาวะเหงื่อที่ออกมากผิดปกติ โดยเฉพาะอาการเหงื่อออกเฉพาะที่ ( Hyperhidrosis ) และกลิ่นตัว มีสาเหตุมาจาการทำงานที่มากผิดปกติ ส่งผลให้ร่างกานมีการสร้างเหงื่อออกมามาก ซึ่ง โบท็อกซ์ ( Botox ) สามารถช่วยลดปริมาณเหงื่อและกลิ่นตัวที่ร่างกายผลิตออกมาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ เช่น ใต้รักแร้ ฝ่ามือ เป็นต้น แม้จะทาโรลออนระงับกลิ่นกายหรือแป้งเพื่อลดปริมาณและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จากเหงื่อ ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์จะสามารถช่วยลดปริมาณเหงื่อให้มีปริมาณน้อยลงได้สาร โบทูลินั่ม ท็อกซิน ( Botulinum toxin ) จะเข้าไปยับยั้งการทำงานของต่อมเหงื่อ โดยจะเข้าไปยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาทของเส้นใยประสาทที่ทำหน้าที่ในการสั่งงานให้ต่อมเหงื่อทำการหลั่งเหงื่อออกมา ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์เพียงครั้งเดียวจะสามารถยังยั้งการทำงานของต่อมเหงื่อได้ประมาณ 1 ปี ถึงแม้ว่าจะสามารถรักษาอาการเหงื่อออกมากได้ แต่ว่าการฉีดโบท็อกซ์จะทำให้เกิดอาการห้อเลือด มีรอยเข็ม และถ้าทำการฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อที่ลึกเกินไปจะทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการกล้ามเนื้อที่บริเวณฝามือหรือรักแร้มีอาการอ่อนแรงได้

ผลผัพธ์หลังการฉีด : เห็นผลการรักษาว่าเหงื่อลดลงในเวลา 1-2 สัปดาห์ และลดปริมาณเหงื่อและกลิ่นตัวได้นานราว 4 – 6 เดือน

ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่และความสามารถของสาร โบทูลินั่ม ท็อกซิน ( Botulinum toxin ) ที่ใช้ในการเสริมความงาม เพื่อช่วยสร้างรูปร่างที่สมส่วนให้กับร่างกายได้ ซึ่งความสามารถที่นอกเหนือจากนี้จะเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นหรือบางครั้งอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็เป็นได้ ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจเสริมความงามด้วยการใช้สารชนิดนี้ควรพิจาณาด้วยเหตุและผลอย่างหลงเชื่อคำโฆษณาเพียงอย่างเดียว และควรพิจารณาเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายได้ แม้ว่าอาการดังกล่าวจะอยู่เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

จะเห็นว่าสาร โบทูลินั่ม ท็อกซิน ( Botulinum toxin ) ที่นอกจากจะสามารถช่วยรักษาโรคกล้ามเนื้อหดเกร็งได้แล้ว ยังสามารถช่วยสร้างความงามให้กับใบหน้าและเรือนร่างได้ ปัจจุบันพบว่าการนำสารชนิดนี้มาใช้ในการเสริมความงามเป็นที่นิยมกันมากเป็นอันดับต้น ๆ เพราะวิธีการใช้ที่ง่ายและสามารถสร้างความงามอย่างได้ผล

การศัลยกรรมสร้างความงามสามารถความมั่นใจให้กับตนเอง สามารถช่วยเปิดโอกาสทางด้านสังคมและการงานได้ แต่การศัลยกรรมที่ดีผู้ที่เข้ารับการศัลยกรรม ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด การฉีดสารเข้าสู่ร่างกาย ควรจะต้องทำการศึกษาหาข้อมูลก่อนที่จะตัดสินใจทำการศัลยกรรม เพื่อที่จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้ที่หวังเพียงผลประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับผู้เข้ารับการผ่าตัด และควรที่จะเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการข้างเคียง แล้วการฉีด โบท็อกซ์ ( Botox ) จะสามารถสร้างชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างที่ใจต้องการ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“FDA Approves Botox to Treat Chronic Migraines”. WebMD. Retrieved 12 May 2017.
Small R (August 2014). “Botulinum toxin injection for facial wrinkles”. American Family Physician. 90 (3): 168–75. PMID 25077722.

Eisenach JH, Atkinson JL, Fealey RD (May 2005). “Hyperhidrosis: evolving therapies for a well-established phenomenon”. Mayo Clinic Proceedings. 80 (5): 657–66. doi:10.4065/80.5.657. PMID 15887434.

ผิวเรียบเนียนด้วยเมคอัพเบส

0
ผิวเรียบเนียนด้วยเมคอัพเบส
เมคอัพเบส ทำหน้าที่คล้ายผิวชั้นที่สองที่ช่วยปรับ แก้ไข และอำพรางจุดบกพร่องของผิวจริงทั้งจุดด่างดำ ริ้วรอย และสีผิวไม่สม่ำเสมอ
ผิวเรียบเนียนด้วยเมคอัพเบส
เมคอัพเบส ทำหน้าที่คล้ายผิวชั้นที่สองที่ช่วยปรับ แก้ไข และอำพรางจุดบกพร่องของผิวจริงทั้งจุดด่างดำ ริ้วรอย และสีผิวไม่สม่ำเสมอ

เมคอัพเบส

มักพบปัญหาผิวทั้งเล็กและใหญ่อย่างรอยคล้ำรอบดวงตา จุดด่างดำ ความมันบนใบหน้า รูขุมขน และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว นั้นไม่ใช่ปัญหาที่เกิดกับคุณแค่คนเดียว คนบันเทิงสวยหล่อต่างกังวลเรื่องนี้เหมือนกัน การแต่งหน้าแบบบางๆ ลงบีบีครีมแล้วตบแป้งตามก็ไม่ช่วยทำให้ดูสดใสอย่างที่คิด ในทางกลับกันผิวที่เนียนและใสกระจ่างด้วย เมคอัพเบส ที่มีคุณภาพจะช่วยเผยภาพลักษณ์ที่ดูสดใสและดูอ่อนกว่าวัย ถึงแม้จะไม่ค่อยมีเทคนิคในการแต่งหน้า แต่ก็ทำให้ดูเหมือนกับว่าแต่งหน้าเก่งได้

ความรู้สึกอึดอัดผิวนั้นค่อนข้างจะเป็นเรื่องทางจิตวิทยา ผลิตภัณฑ์ เมคอัพเบส ที่วางจำหน่ายเมื่อไม่นานมานี้บอกว่า ทาแล้วเบาบางเหมือนขนนกและนุ่มลื่นเหมือนเส้นไหม เปรียบเสมือนการเคลือบผิวชั้นที่ 2 และช่วยขจัดความกังวลว่าแต่งหน้าหนาจนเกินไป หากเป็นมือใหม่เลือกทินต์มอยเจอไรเซอร์ หรือประเภทลิควิดที่มีเนื้อบางเบา และลองใช้รองพื้นให้ชินก่อน แล้วค่อยลองแต่งหน้าจริง

    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

สิ่งที่ขาดไม่ได้ที่จะช่วยให้โชว์ผิวที่เปล่งประกายงดงาม

1. ครีมกันแดด
เป็นไอเท็มที่ต้องทาตลอด 365 วัน ถ้าใช้ชนิดที่ผสมกับ เมคอัพเบส ก็จะสะดวกขึ้น

2. น้ำแร่ (มิสต์)
ป้องกันไม่ให้ผิวแห้งระหว่างวัน และช่วยให้เครื่องสำอางติดทนนาน

3. รองพื้น
ช่วยให้สีผิวดูสม่ำเสมอ และควรต้องเปลี่ยนสีและเนื้อรองพื้นตามฤดูกาลและสภาพผิว

4. เมคอัพเบส
ทำให้รองพื้นติดทน และทำให้ผิววาวฉ่ำ ควรเลือกเมคอัพที่โปร่งใส ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกเมคอัพเบสชนิดที่มีเม็ดสีน้อยที่สุด ส่วนผิวที่มีตำหนิเยอะ หรือสีผิวไม่สม่ำเสมอให้เลือกชนิดที่ผสมมุกเล็กน้อย

5. คอนซีลเลอร์
ใช้ปกปิดปัญหาผิวและช่วยเน้นโครงหน้าได้ การเลือกคอนซีลเลอร์สีเดียวกับสีผิวหรือสว่างกว่าสีผิว 1 เบอร์จะดีที่สุด และต้องเตรียมคอนซีลเลอร์ประเภท moisturizer และประเภทครีมหรือแบบแท่งไว้อย่างละ 1 ชิ้นอยู่เสมอ โดยเลือกสีคอนซีลเลอร์ตามบริเวณที่จะปกปิด

6. แป้งฝุ่น
เป็นสิ่งที่ใช้ขั้นตอนสุดท้ายในการแต่งหน้า เพื่อให้ใบหน้าดูสะอาดสะอ้าน

เวลาลง เมคอัพเบส ในแต่ละขั้นตอนควรพยายามทำให้ผิวซึมซับเครื่องสำอางเหล่านั้นให้ได้มากที่สุดแล้วจึงแต่งขั้นตอนต่อไปทั้งนี้การใช้เครื่องสำอางคุณภาพดีก็เป็นสิ่งสำคัญ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

วิธีเลือกเมคอัพเบส

หน้าที่พื้นฐานของ เมคอัพเบสคือ ปรับโทนสีผิวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของรองพื้น มีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติหลายประการออกมาวางขายมากมายการสังเกตฉลาดจะช่วยให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพได้

1. ผิวของเราต้องใช้เคลียร์เบสถึงจะดีที่สุด
ผิวสีแดงต้องใช้เบสสีเขียว ผิวซีดต้องใช้เบสสีชมพู รอยคล้ำใต้ดวงตาต้องใช้เบสสีเหลือง สำหรับผิวที่ไม่สม่ำเสมอและมีตำหนิมากควรใช้เบสสีเนื้อประกายมุก แต่โดยทั่วไปแล้วใช้เคลียร์เบสจะดีกว่าเพื่อตัดความกังวลเรื่องสีผิวและสีเบสไม่เข้ากัน

2. เมคอัพเบสที่ทำให้ใบหน้าดูวาวฉ่ำ (Shimmer, Brightening, Glow)
เป็นผลิตภัณฑ์มีมุกผสมอยู่เล็กน้อย ช่วยทำให้ผิวขรุขระดูเรียบเนียนขึ้นได้ และปรับสภาพผิวที่หมองคล้ำให้ดูเปล่งประกาย อีกทั้งยังช่วยกระจายแสงได้อย่างยอดเยี่ยม

3. เมคอัพเบสที่รักษาความชุ่มชื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Treatment, Moisturizer)
เป็นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มหน้าที่ในการบำรุงผิวเข้าไปด้วย ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นขึ้น ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ เวลาแต่งหน้าจึงทำให้แต่งได้สวยและติดทนนานขึ้น

4. เมคอัพเบสที่ปกป้องผิวจากรังสียูวี (SPF 40, PA+++)
เป็นเมคอัพเบสที่ทำหน้าที่ปรับสภาพผิวและป้องกันผิวจากรังสียูวีได้ในเวลาเดียวกัน ทำให้เมคอัพบางเบาและแต่งหน้าได้ง่ายขึ้น

เลือกรองพื้นที่เข้ากับตัวเอง

เมื่อเทียบกับรองพื้นสมัยก่อนแล้วรองพื้นสมัยนี้นอกจากจะมีให้เลือกมากมาย ยังมีประสิทธิภาพขึ้นมาก ทั้งสัมผัสนุ่มและบางเบา มีหน้าที่หลากหลายและปกปิดได้ยอดเยี่ยม สิ่งที่สำคัญคือต้องหมั่นตรวจสอบสภาพผิวและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ตามสภาพอากาศด้วย    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

1. รองพื้นแบบแป้งอัดแข็ง มีความชุ่มชื้น ในขณะเดียวกันก็แห้งสบายเหมือนทาแป้ง เวลาใช้รองพื้นชนิดนี้จึงไม่ต้องใช้แป้งอีกก็ได้ ช่วยแก้ไขการแต่งหน้าที่ผิดพลาดได้อย่างรวดเร็วและไม่ยุ่งยาก

2. รองพื้นแบบลิควิด เป็นเนื้อเหลวซึ่งให้สัมผัสที่บางเบา ใช้ได้ดีเมื่อต้องการเผยผิวใส แต่ไม่ค่อยปกปิดปัญหาผิว แนะนำให้ใช้เวลาแต่งหน้าแบบเบาเบาๆที่ต้องการปรับโทนผิวให้ดูสม่ำเสมอ

3. ทินต์มอยส์เจอไรเซอร์ ทาแล้วให้ความรู้สึกบางเบาและโปร่งใสเหมือนโลชั่น เป็นเทรนที่ใช้ในการแต่งหน้าแบบใสๆ และได้รับความนิยมมากที่สุดในการแต่งหน้าแบบเผยโทนผิวธรรมชาติในช่วงฤดูใบไม้ผลิต หรือฤดูร้อน

4. รองพื้นแบบแท่ง ช่วยให้เครื่องสำอางติดทนนานและยังพกพาสะดวก เหมาะแก่การใช้งานสำหรับทำกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกาย

5. รองพื้นแบบครีม เป็นเนื้อครีมที่มีความเข้มข้นจึงช่วยรักษาความชุ่มชื้นได้อย่างดี ปกปิดได้ยอดเยี่ยม เหมาะสำหรับผิวแห้งหรือผิวที่มีปัญหากระหรือริ้วรอย

เลือกรองพื้นให้ได้สีเดียวกับผิว

การเลือกสีรองพื้นเป็นเรื่องที่ต้องพิถีพิถันขนาดที่ต้องใช้เวลาเลือกนานจนทำให้รู้สึกรำคาญ แนะนำให้ไปร้านเครื่องสำอางโดยไม่แต่งหน้า แล้วทดลองใช้รองพื้นสีใกล้เคียงกับใบหน้าให้หมด แทนที่จะลองใช้ทีละชิ้นแล้วลบออกเป็นรองทุกชิ้นในเวลาเดียวกันแล้วเปรียบเทียบดูจะดีกว่า ถ้าเลือกรองพื้นตอนที่แต่งหน้าอยู่ให้ลองทารองพื้นบริเวณคอแทนใบหน้า รองพื้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำให้สภาพผิวดูดีขึ้น ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผิว รองพื้นที่สมบูรณ์แบบคือรองพื้นสีเดียวกับผิวเรา แต่ถ้าอย่างลองเปลี่ยนสีผิวดูให้เลือกรองพื้นโทนสีต่างจากสีผิวเดิม 1 โทนแล้วเกลี่ยให้ดูแนบเนียน

5 เทคนิคเพื่อไม่ให้หน้าบวมในยามเช้า

1. ถ้าตาบวมปูด มาสคาร่าช่วยได้ ให้ทาอายแชโดว์สีธรรมชาติทั่วเปลือกตา แล้วดัดขนตาให้โค้งงอนขึ้น หลังจากนั้นก็ปัดมาสคาร่าโดยเน้นที่โคนขนตา จะช่วยให้ใบหน้าดูบวมน้อยลง      [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

2. การยืดเส้นยืดสายจะช่วยให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้น เวลาที่ใช้สกินแคร์ให้กดจุดใต้คาง โหนกคิ้ว และขมับ เพื่อช่วยลดบวม

3. ใช้รองพื้นแบบเหลวที่สีเข้มกว่าสีปกติที่ใช้ 1 เบอร์ แล้วใช้อายแชโดว์ที่ไม่มีประกายมุกทาบริเวณขอบตา จะช่วยให้ใบหน้าดูบวมน้อยลง

4. ถ้ากินอาหารเค็มในตอนเย็นวันรุ่งขึ้นใบหน้าอาจบวมๆ ในกรณีนี้ให้ลองดื่มนมอุ่นๆ 1 แก้ว จะช่วยปรับปริมาณเกลือในร่างกายให้สมดุลได้

5. ใส่น้ำแข็ง 3-4 ก้อนลงในน้ำเย็นแล้วใช้ล้างหน้า ขัดนวดใบหน้าแล้วตบหน้าเบาๆเพื่อกระตุ้นเรียกความมีชีวิตชีวาบนใบหน้า

เมคอัพเบสคือ ปรับโทนสีผิวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของรองพื้น และทำให้การแต่งหน้าติดทนนาน

การทำรองพื้นที่เราต้องการใช้แบบต่างๆด้วยตนเอง

เราทำรองพื้นแบบที่เราต้องการได้ด้วยการผสมผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ สำหรับรองพื้นที่ให้ความรู้สึกหนักๆผสมเมคอัพเบสหรือครีมที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ลงไปในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อปรับความหนาของเนื้อรองพื้นก็ใช้ได้แล้ว ถ้าไม่มีสีที่ต้องการให้ผสมรองพื้น 2 สีขึ้นไปเพื่อทำรองพื้นสีที่ต้องการก็ได้

1. รองพื้น + ครีมมอยส์เจอไรเซอร์
ลองใช้ในเวลาที่ต้องการรักษาความชุ่มชื้นของผิวไว้นานๆ ผสมรองพื้นกับครีมมอยส์เจอไรเซอร์ในอัตราส่วน 2:1 ถ้าอยากทาได้เรียบเนียนไม่เป็นก้อน ให้เลือกครีมมอยส์เจอไรเซอร์ที่บางเบาและชุ่มชื้นเหมือนครีมสดแทนครีมมอยส์เจอไรเซอร์เนื้อหนา    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

2. รองพื้น + เฟซออยล์
ผสมรองพื้นชนิดครีมกับเฟซออยล์ในอัตราส่วน 7:3 เบาเบาๆในทิศทางจากบริเวณปีกจมูกออกมายังด้านนอกของใบหน้า เฟซออยล์จึงมีประสิทธิภาพในการรักษาความชุ่มชื้นผิวจะช่วยกำจัดเซลล์ผิวหนังที่เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น

3. รองพื้น + เมคอัพเบส
วิธีแต่งหน้าอย่างรวดเร็ว ผสมเมคอัพเบสกับรองพื้นในอัตราส่วน 2:1 ถ้าใช้ในยามเช้าที่เร่งรีบจะช่วยให้ผิวดูใสขึ้นและลดเวลาแต่งหน้าลงครึ่งหนึ่ง

4. รองพื้น + รองพื้น
ในฤดูร้อนถ้าผิวคล้ำลงเป็นสีแทน ให้ใช้รองพื้นที่สีเข้มกว่าสีผิวตัวเอง 1 หรือ 2 เบอร์ ผสมกับรองพื้นที่เข้ากับผิวตัวเอง ฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาว ผสมรองพื้นสีค่อนข้างสว่างลงในรองพื้นที่คุณใช้ในฤดูนี้ จะช่วยให้ผิวดูสดใสขึ้น

5. รองพื้น + ครีมชิมเมอร์
ใช้ปกปิดตำหนิบนผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติแบบไร้ที่ติ ทารองพื้นที่ผสมกับครีมชิมเมอร์ในอัตราส่วน 7:3 ผิวจะมีประกายมุกในปริมาณพอเหมาะ จึงจะช่วยพรางตาทำให้ผิวดูเรียบเนียนและสม่ำเสมอเป็นอย่างมาก ถ้าอยากเน้นส่วนไหนให้ดูระยิบระยับเป็นพิเศษก็ทาครีมชิมเมอร์บริเวณนั้นเพิ่มบางๆ

การทารองพื้นให้เรียบเนียนราวเครื่องเคลือบ

เวลาพูดถึงผิวที่สมบูรณ์แบบ คนเกาหลีมักจะพูดว่า ผิวเครื่องเคลือบ ซึ่งหมายถึงผิวที่มองไม่เห็นตำหนิและรูขุมขน ผิวที่เปล่งประกายอย่างอ่อนโยนและเรียบเนียนอย่างมีระดับ ผิวที่สาวๆทุกคนวาดฝันไว้ ถ้าอยากมีผิวเครื่องเคลือบอย่างนี้ ถึงจะเป็นเมคอัพอาร์ติสท์ที่มีความสามารถแค่ไหน ก็ต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามในการลง เมคอัพเบส ดังนั้นว่าหยุดความคิดที่จะหาทางลัด แล้วมาลองลงรองพื้นอย่างพิถีพิถันและใส่ใจเหมือนช่างฝีมือปั้นเครื่องเคลือบกันดู

1. ทดสอบสี
หาสีที่เข้ากับผิว สีผิวมีการเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูและสภาพผิว จึงต้องหมั่นทดสอบบ่อยๆ

2. แบงค์ลงมือในบริเวณที่พอเหมาะ
แบ่งรองพื้นลงบนฝ่ามือด้านในบปริมาณเท่าเม็ดถั่วเขียว คือแบ่งปริมาณน้อยน้อยไว้ก่อน การแบ่งไว้บนมืออย่างนี้ อุณหภูมิของร่างกายจะทำให้รองพื้นอุ่นขึ้น    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

3. ถ้าบริเวณที่มีพื้นที่มากๆ
แก้มทั้งสองข้างและหน้าผาก ทาให้ทั่วตั้งแต่รอบจมูกลงมาจนถึงคาง ทาโดยใช้นิ้วนวดเป็นจังหวะ ลักษณะของผิว

4. ทาให้ทั่วบริเวณที่แคบแคบ
เปลือกตา ร่องจมูก รอบริมฝีปาก ยิ้มมุมปากห้ามลืมเป็นอันขาด

5. นวดเบาๆ
นวดคลึงเบาเบาพอประมาณจนรองพื้นซึมซาบเข้าสู่ผิวอย่างทั่วถึง

6. ปิดท้ายด้วยคอนซีลเลอร์
สำหรับบริเวณที่ยังไม่น่าพอใจ เพราะรองพื้นปกปิดได้ไม่เพียงพอนั้น ให้ปกปิดด้วยการใช้คอนซีลเลอร์แต้มเป็นจุดๆ

การใช้แปรงทารองพื้น

แปรงรองพื้นกำลังเป็นที่นิยม แต่น้อยคนนักที่จะใช้แปลงได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม แม้จะใช้มือลงรองพื้นได้อย่างคล่องแคล่วแต่เวลาที่อยากโชว์ผิวที่แวววาวและเปล่งประกายอย่างอ่อนโยนอีกทั้งยังรักษาความชุ่มชื้นไว้ได้ก็ควรจะใช้แปรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ต้องการปกปิดรอยร่องจมูกและบริเวณที่มีตำหนิแปลงจะมีประโยชน์มากๆเวลาต้องใช้ปกปิดรูขุมขนและเติมเต็มร่องริ้วรอย

เทคนิคการใช้แปรง
ควรผ่อนแรงมือที่ใช้จับแปลง สิ่งสำคัญอยู่ที่การปัดแปรงจากบริเวณกลางใบหน้าออกมาด้านนอกตามทิศทางของผิว เวลาที่ใช้รองพื้นชนิดครีม ต้องใช้แปรงเบลนด์ให้เนื้อรองพื้นซึมเข้าไปในขนแปรงก่อน ไม่ใช่ใช้แปรงแต้มรองพื้นแล้วทับบนใบหน้าเลย สำหรับใบหน้าที่มีขนอ่อนๆเยอะ การใช้แปรงทารองพื้นจะช่วยให้ทาได้ละเอียดทั่วถึงกว่าการใช้มือทา เพราะเนื้อรองพื้นจะแทรกซึมไปยังขนแปรงอย่างทั่วถึง หลังจากทารองพื้นด้วยแปรงแล้วใช้มือทั้งสองทำท่าปิดหน้าแล้วใช้ฝ่ามือกดทับลงไปเบาๆจะยิ่งทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
บริเวณที่มีสิวหรือตำหนิที่เห็นได้ชัดเจน ให้ใช้ฟองน้ำลงรองพื้นอีกครั้งหนึ่งจะช่วยปกปิดและให้ความรู้สึกชุ่มชื้นได้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เคล็ดลับการใช้คอนซีลเลอร์ของผู้เชี่ยวชาญด้านการแต่งหน้า

คำว่าใช้คอนซิลเลอร์เป็นกับคำว่าใช้ไม่เป็นน้ำแตกต่างกันอย่างมหาศาล ไอเท็ม 1 ชิ้นที่ทำให้แต่งหน้าได้ดีนั้น คือคอนซีลเลอร์ บรรดาผู้เชี่ยววชาญด้านการแต่งหน้าจะใช้คอนซีลเลอร์เพื่อจุดประสงค์หลักหลาย แต่จุดประสงค์ขั้นพื้นฐานคือ ใช้เพื่อปกปิดตำหนิหรือรอยแผลเป็นจางๆ จุดประสงค์อื่นๆคือใช้ลดริ้วรอย ทำให้ใบหน้าดูเล็กลงและดูมีมิติ หรือไม่ก็ใช้ปรับแต่งรูปปากหรือดวงตา

1. ทำผิวที่มีกระและจุดด่างดำให้ดูสม่ำเสมอ
คอนซีลเลอร์ที่แนะนำ : ชนิดครีมหรือแบบแท่งที่ปกปิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือคอนซีลเลอร์ที่มีไวท์เทนนิ่งเป็นส่วนประกอบ ถ้าใช้คอนซีลเลอร์ที่สีสว่างมากเกินไป แทนที่จะปกปิดก็อาจทำให้ตำหนิชัดขึ้น ควรเลือกคอนซีลเลอร์สีเดียวกับโทนสีผิวของเราหรือสีเดียวกับผิวบริเวณที่ต้องการปกปิด ไม่ต้องลงรองพื้นหนาหากมีเพียงกระและจุดด่างดำ เพื่อรักษาความใสของผิวโดยรวมไว้ ใช้คอนซิลเลอร์บนใบหน้าบางส่วนก็โอเคแล้ว หลังจากทาคอนซีลเลอร์ให้ทั่วต้องเบลนด์อีกครั้งเพื่อไม่ให้เห็นคราบคอนซีลเลอร์ หากต้องการปกปิดส่วนที่หมองคล้ำ ถ้าใช้คอนซีลเลอร์สีสว่างมากๆจะทำให้เห็นเป็นรอยด่างได้ จึงต้องใช้คอนซีลเลอร์ทูโทน

2. ปกปิดรอยสิว
คอนซีลเลอร์ ที่แนะนำ : คอนซีลเลอร์สำหรับปกปิดสิวโดยเฉพาะหรือไม่ก็สปอร์ตคอนซีลเลอร์ ให้ใช้คอนซีลเลอร์สำหรับผิวมีสิวซึ่งมีส่วนผสมของสารระงับอาการอักเสบหรือไม่ก็สปอร์ตคอนซีลเลอร์ ทาแต้มเป็นจุดจุดแทน จะช่วยปกปิดรอยตำหนิในขณะเดียวกันก็ช่วยปกป้องผิวจากความหมองคล้ำเนื่องจากแสงแดด อีกทั้งยังรักษาการติดเชื้ออีกด้วย บริเวณที่บวมแดงจากการอักเสบนั้นมีความร้อนสะสมอยู่ จึงทำให้เครื่องสำอางลบเลือนได้ง่าย ใช้แป้งทาทับเพื่อให้ติดทนนาน

3. ลดความหมองคล้ำใต้ดวงตา
คอนซีลเลอร์ที่แนะนำ : คอนซีลเลอร์ชนิดลิควิดที่มีประสิทธิภาพในการรักษาความชุ่มชื้นของผิว
เลือกสีที่สว่างกว่าโทนสีผิวประมาณ 1 โทน ถ้าใต้ดวงตาสว่าง ใบหน้าโดยรวมก็จะดูสว่างด้วย จึงเลือกคอนซีลเลอร์ที่สว่างกว่าสีผิวตนเองเพียงเล็กน้อย คอนซีลเลอร์ที่สามารถทาทับแป้งได้ก็จะยิ่งดี ถ้าหากอยากให้คอนซีลเลอร์ติดทนนานมากขึ้น ทาแป้งไฮไลท์แบบกดกดบางบางให้ใช้ไฮไลต์ที่ไม่มีประกายมุกทาโซนสามเหลี่ยมใต้ดวงตา และใช้ชนิดผสมมุกเล็กน้อยทาบริเวณโซนซีที่มีริ้วรอย เลือกอายแชโดว์สีสว่างสว่างเพื่อทำให้รอบดวงตาดูสว่างสดใส การเน้นความคมชัดของดวงตาด้วยอายไลเนอร์ก็เป็นวิธีการแต่งหน้าที่มีประสิทธิภาพ ผิวหนังรอบดวงตานั้นบอบบางมากๆเวลาทาอายแชโดว์จึงต้องทาอย่างเบามือและนุ่มนวล    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

รองพื้นคือ ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนก่อนแต่งหน้า ใช้ลงหลังทาไพรเมอร์และเบส

เทคนิคการปกปิดปัญหาผิว

1. ริ้วรอยที่ต้องเอาใจใส่
เริ่มมองเห็นริ้วรอยที่บริเวณหางตา ใต้ตา กลางหน้าผาก มุมปาก และรอบจมูกแล้ว ลองใช้ เมคอัพเบส รองพื้นหรือแป้งประกายมุกละเอียด ประกายมุกช่วยสะท้อนแสง จึงทำให้เห็นริ้วรอยน้อยลงได้อย่างแน่นอน ริ้วรอยบริเวณโซน C ข้างดวงตาแต้มไฮไลท์ประกายมุกเนื้อชุ่มชื้นแทน แล้ววางมิสต์ไว้ใกล้ตัวเสมอ ผิวหน้าแห้งลงเมื่อไหร่ให้หยิบมาใช้ทันที

2. ใช้คอนซิลเลอร์จัดการเส้นขอบปากที่ไม่ชัดเจน
ในกรณีที่มีขอบปากไม่ชัดเจนหรือดูไม่สะอาดตาเพราะร่องริ้วรอยหรือรูปปากไม่ถูกใจ ถ้าเป็นแต่ก่อนก็จะแก้ไขด้วยการใช้ดินสอเขียนขอบปากแล้วทาลิปสติกสีเข้มทัพ แต่สมัยนี้ต้องใช้คอนซิลเลอร์เสียแล้ว หากใช้คอนซีลเลอร์ชนิดดินสอเขียนขอบปากให้คมสะอาดแล้วเราก็ไม่ว่าลิปสติกเนื้อไหนก็ทาแล้วดูเป็นธรรมชาติได้

3. ประกายมุกเนื้อละเอียดอำพรางรอยแผลเป็นได้อย่างยอดเยี่ยม
บริเวณรอยแผลเป็นลึกนั้นมีสีที่แตกต่างจากผิวบริเวณทั่วไป การใช้เครื่องสำอางปกปิดอย่างแนบเนียนจึงทำได้ยาก แต่คอนซีลเลอร์ที่มีประกายมุกเนื้อละเอียดผสมอยู่จะช่วยเติมเต็มร่องผิวที่ไม่สม่ำเสมอและช่วยสะท้อนแสง จึงช่วยอำพรางตาให้รอยแผลเป็นดูเล็กลงได้บ้าง

4. อยู่ๆเซลล์ผิวที่ตายแล้วก็หลุดลอกออกมา
ถ้าอยู่ๆเซลล์ผิวที่ตายแล้วหลุดลอกออกมาคงจะรบกวนจิตใจไปตลอดทั้งวัน ควรจะเตรียมเอกซ์ โฟลิเอเตอร์ที่สามารถใช้เฉพาะจุดบนใบหน้าที่มีเครื่องสำอางเอาไว้ให้พร้อม ทาให้ทั่วบริเวณที่เซลล์ผิวหลุดลอกออกมาแล้วทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที หลังจากนั้นใช้ทิชชู่นุ่มนุ่มๆเช็ดออกมาเบาๆให้หมด แล้วใช้คอนซิลเลอร์ทาปกปิด หลีกเลี่ยงคลอซินเลอเนื้อแมตต์    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

5. ปกปิดสิวเสี้ยนด้วยแปรงทารองพื้น
แทนที่จะใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยนที่เห็นผลทันตา ลองค่อยค่อยใช้เวลาจัดการกับสิวเสี้ยนบนจมูกด้วยสครับนุ่มนุ่มๆและเอสเซนส์กระชับรูขุมขน ใช้แปรงทารองพื้นบนจมูกแทนการใช้มือ แปรงรองพื้นที่บางและมีปลายกลมมนนั้น ใช้ปกปิดส่วนโค้งเว้าเล็กๆและรูขุมขนบนสันจมูกให้ดูเรียบเนียนได้อย่างดี บริเวณสีแดงๆใต้จมูกก็เช่นกัน ควรใช้แปรงหรือฟองน้ำทารองพื้น

6. เปลี่ยนกระบนใบหน้าให้กลายเป็นจุดเสน่ห์
ทารองพื้นเนื้อบางเบาให้ทั่วใบหน้า แล้วทาคอนซีลเลอร์ชนิดปกปิดได้สูงบริเวณที่เป็นกระเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเลือกรองพื้นที่ถึงแม้จะทาบางมากๆแต่เกาะติดผิวได้ดีเยี่ยม

7. สิวขึ้นก็ดูสดชื่นได้
ถ้าแต่งหน้าหนาหนาเพื่อปกปิดรอยสิว ผิวอาจแย่ลงจนเกิดปัญหาผิวที่รุนแรงกว่าเดิมได้ ผิวที่มีปัญหาสิวอาจไม่ใช่ผิวมันเสมอไป จึงต้องใช้รองพื้นที่ช่วยปรับความสมดุลของน้ำและน้ำมัน และช่วยแก้ไขสภาพผิวเป็นอันดับแรก เลือกใช้รองพื้นชนิดที่ไม่มีสีแดงเจืออยู่อย่างสีเบจอ่อน มีเดียมเบจ หรือสีเหลืองอ่อน และทาอย่างเบามือ

เมคอัพเบส 4 ประการที่ต้องรู้

  1. ผิวสะอาดเรียบเนียนไร้จุดด่างดำ
    ผิวเพอร์เฟ็กต์ เพียวร์ตีเนียนนุ่มราวใหญ่ไหมและสะอาดบริสุทธิ์ไร้จุดด่างดำไม่ว่าจะแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางสีไหนก็ดูมีระดับและเก๋ได้
    1.1 ทาเมคอัพเบสเนื้อละเอียด
    ทาเมคอัพประกายมุกเนื้อละเอียดเล็กน้อยและเลือดสีน่ารักๆอย่างสีพีชหรือสีชมพูให้ทั่วใบหน้า
    1.2 ทารองพื้นบางๆ
    ทารองพื้นชนิดลิควิดที่ชุ่มชื้นแต่ติดทนอย่างบางๆ รวมถึงเปลือกตาจะช่วยให้อายแชโดว์ติดทนและคงสีสันไว้ได้นานขึ้น ถึงแม้จะไม่แต่งตาแต่ก็ทำให้รอบดวงตาดูกระจ่างใสมากขึ้น
    1.3 จัดการกับบริเวณรอบจมูกและใต้ดวงตา
    ใช้แปรงแต้มลองพื้นเล็กน้อยแล้วทาบริเวณรอบจมูกและใต้ดวงตา ต้องปกปิดบริเวณนี้ให้แนบเนียนจึงจะตกแต่งโทนผิวให้ดูสม่ำเสมอได้มากขึ้น
    1.4 ใช้คอนซีลเลอร์ปกปิดรอบดวงตา
    ใช้คอนซีลเลอร์ชนิดลิควิดสูตรเนื้อนุ่มเพื่อทำให้บริเวณใต้ดวงตาที่หมองคล้ำดูกระจ่างใสขึ้น ปกปิด ถ้าบริเวณโหนกแก้มมีจุดดำเยอะให้พลังด้วยคอนซีลเลอร์ชนิดไวเทนนิ่ง
    1.5 ทาแป้ง
    ใช้แปรงทาแป้งอัดแข็งปัดเบาเบาๆให้ทั่วใบหน้า จากนั้นใช้พัฟแต่งแต้มเล็กน้อย ค่อยๆทาแบบกดกดบริเวณรอบจมูก  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

2. ผิวหน้าชุ่มชื้นดูสุขภาพดี
ผิวที่ชวนให้สัมผัสและการแต่งหน้าที่ดูไม่ออกว่าแต่งหรือไม่ได้แต่ง อย่างเวลาออกเดทแบบกะทันหันแถวๆบ้าน ถึงแม้ว่าจะมัดผมหลวมหลวมๆแต่จัดการให้หน้าสดเป็นประกายจากภายใน ไม่เอาแบบนี้ใช้ประโยชน์ได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นตอนไปประชุมเบาเบาๆช่วงสุดสัปดาห์หรือไม่ก็ตอนเดินทางท่องเที่ยว
2.1 ทาเมคอัพเบส
สำหรับผิวปกติให้ทา เมคอัพเบส ที่มีความชุ่มชื้นมากๆ สำหรับผิวที่มีตำหนิเยอะๆให้ทำเมคอัพเบสประกายมุกเนื้อละเอียด
2.2 ปกปิดรอยคล้ำรอบดวงตา
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้บริเวณใต้ดวงตาดูสว่างสดใส แต้มคอน ซีลเลอร์แบบลิควิดสามจุดบริเวณใต้ดวงตาที่ดูหมองคล้ำที่สุด แล้วใช้นิ้วมือ
แต้มเบาๆให้ผิวซึมซับคอนซีลเลอร์เข้าไป
2.3 ทำให้ผิวเปล่งประกายเหมือนใบหน้าที่พึ่งล้างหน้า
ถ้าทาครีมไฮไลท์มุกให้ทั่วโซน C และโซน T จะทำให้ทางใบหน้าดูเปล่งประกาย
2.4 ทาแป้งทับอีกครั้งหนึ่ง
ถ้าอยากคงหน้าสดไว้นานๆห้ามพลาดการทาแป้งที่ช่วยให้เมคอัพติดทนนาน
ปิดท้ายด้วยการใช้แปรงใหญ่ทาแป้งเนื้อบางเบามากๆหรือแป้งมิเนอรัลให้ทั่วใบหน้า

3. ผิวแกรมบรอนซ์ลุกฤดูร้อนสุดเซ็กซี่
ผิวบรอนซ์ที่รู้สึกถึงความแวววาวเรียบเนียน เป็นเมคอัพที่ดีที่สุดที่ช่วยเผยความเซ็กซี่ของสาวๆ ฤดูร้อนที่แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาช่วยเผยผิวแวววาวได้ดีที่สุด สำหรับหญิงสาวที่ผิวคล้ำอยู่แล้ว ลองแมทกับสีเครื่องสำอางสไตลืทรอปิคัลมู้ด จะยิ่งทำให้ดูสุขภาพดี เหมาะสำหรับการแต่งหน้าแบบคลับลุคอันเจิดจรัส ฤดูกาลอื่นๆก็แต่งลูกนี้ได้เช่นกัน
3.1 ทาเมคอัพเบส
การแต่งหน้าแบบบรอนซ์จะใช้ เมคอัพเบส ที่ระยิบระยับประกายมุกหรือโอปอเป็นหลัก
3.2 ทารองพื้น
เลือกรองพื้นโทนสีเดียวกับผิวตัวเองหรือทนที่เข้มกว่าประมาณหนึ่งธนแล้วถ้าเบาๆให้ทั่ว สิ่งสำคัญคือ การปกปิดร่องรอยและตำหนิรวมทั้งทำให้โทนสีผิวของใบหน้าและร่างกายไม่ดูแตกต่างกันจนเกินไป

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

3.3 ทาบลัชออน
ทำให้ผิวดูเป็นสีแทนจากธรรมชาติโดยใช้แปรงปัดบริเวณแก้มและโหนกแก้มด้วยบลัชออนสี แซนด์เบจ หรือสีทรอปิคัลออเร้นจ์ ที่มีบรอนเซอร์ผสมอยู่
3.4 เน้นโครงหน้าด้วยไฮไลท์
ถ้าไฮไลท์ที่โซน C และโซน T เพื่อให้โครงหน้าดูมีมิติขึ้นมา

4. ผิวเนียนนุ่มที่มีความแวววาว
เราสามารถใช้เครื่องสำอางสร้างลักษณะผิวได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นผิวเปล่งประกายหรือผิวแวววาว ขึ้นอยู่กับว่าแสงจะส่งมากระทบผิวในลักษณะใด ถ้ายิ่งใช้ เมคอัพเบส ที่มีส่วนผสมของแร่ธาตุธรรมชาติซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ล่าสุดนั้น จะยิ่งทำให้ผิวเนียนนุ่มและเปล่งประกายอย่างอ่อนโยน ผิวเนียนนุ่มแวววาวที่ช่วยเผยผิวสดชื่นของคุณนั้นไม่ใช่สีหรือเทคนิคเฉพาะ ซึงประยุกต์ใช้กับการแต่งหน้าในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย
4.1 ทาเมคอัพเบสให้ใบหน้าดูสดใส
แต่งผิวหน้าให้ดูบางที่สุดโดยใช้ เมคอัพเบส ที่มีความชุ่มชื้นและแวววาว หรือไม่ก็ผลิตภัณฑ์ที่ผสมระหว่างเมคอัพเบสและรองพื้น
4.2 ใช้คอนซิลเลอร์แต่งใต้ตาให้ดูสว่าง
ทาคอนซีลเลอร์ชนิดลิควิดบริเวณโซนสามเหลี่ยมใต้ดวงตาเบาๆให้ทั่วในบริเวณที่ปากยื่นและเบ้าตาลึก ถ้าทำให้บริเวณใต้ดวงตาดูสว่างสดใสจะทำให้ใบหน้าดูกระชับและยืดหยุ่นขึ้น
4.3 ทาแป้งชิมเมอร์
ทาแป้งชิมเมอร์เบาเบาๆให้ทั่วใบหน้าด้วยการปัดลงด้านล่างให้โครงหน้าดูชัดขึ้น
4.4 สายพัฟฟ์ตบแป้ง
ใช้พัฟฟ์ตบแป้งฝุ่นแล้วทาบริเวณขมับข้างดวงตา และบริเวณข้างปีกจมูกที่หลังน้ำมันออกมาได้ง่าย

น้ำแร่คู่หูที่ทำให้เมคอัพที่ชุ่มชื้นและติดทนนาน

ถ้าอยากได้ยินคำพูดที่ว่า แต่งหน้าเหมือนกันหรือนี่ ไอเท็มที่ต้องมีติดไว้ในกระเป๋าเครื่องสำอาง โต๊ะเครื่องแป้ง หรือไม่ก็โต๊ะหนังสือ คือ น้ำแร่ ถ้าใช้น้ำแร่ทันทีหลังแต่งหน้าเสร็จเครื่องสำอางจะติดทนนาน เวลาที่แก้มเมคอัพ ถ้าพ่นน้ำแร่บนผิวบ่อยๆผิวที่เคยแห้งจะกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งเหมือนดอกไม้ที่สัมผัสกับความชุ่มชื้น ต้องเลือกน้ำแร่ ให้รอบคอบว่าเวลาพ่นออกมาแล้วเป็นละอองเล็กละเอียดหรือไม่ ผลิตจากสารประกอบธรรมชาติหรือเปล่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่รักษาความชุ่มชื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายหรือเปล่า    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

1.Clarins I Fix’ Make-up Mist
เป็นน้ำแร่ที่ช่วยสร้างความชุ่มชื้น และช่วยให้เครื่องสำอางติดทนนาน ทำให้ผิวผ่อนคลายและเย็นลง และช่วยคงความชุ่มชื้นของผิวไว้ได้นาน

2.Jill Stuart I Fruit & Aroma Mist
โลชั่นชนิดน้ำแร่ที่ทำให้ผิวชุ่มชื้นและลดความมันในเวลาเดียวกัน สารสกัดจากผลไม้ช่วยหล่อเลี้ยงผิวให้ชุ่มชื้นและทำให้ผิวดูใสขึ้น และช่วยป้องกันความมันบนใบหน้า

3.Dior I Hydra Action Deep Hydration Refreshing Spray
ช่วยดูแลและปรับสภาพผิวที่ขาดความชุ่มชื้นให้กลายเป็นผิวที่เปล่งประกายและเนียนนุ่ม ละอองสเปรย์มีขนาดเล็กมาก จึงเหมาะสำหรับใช้หลังแต่งหน้าเสร็จ

4.VIDIVICI I Aloe Soothing Mist
น้ำแร่ที่ผลิตจากว่านหางจระเข้ ช่วยให้ผิวเย็นลงและบรรเทาอาการระคายเคืองผิว เป็นผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นในฤดูร้อน

5.Shu Uemura I Depsea Water
น้ำแร่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นที่ผลิตจากหญ้าภูเขาของฝรั่งเศส และน้ำจากใต้ทะเลลึกของเมืองมุโระโตะในญี่ปุ่นที่กลั่นจนสะอาด

6.AmorePacific I Mosture Bound Skin Energy Mist
ผสมน้ำเลี้ยงจากต้นไผ่แทนน้ำธรรมดา ช่วยคงความชุ่มชื้นของผิวไว้ได้นาน

7.Jurlique I Rosewater Balancing Mist
มีส่วนประกอบจากต้นมาชเมลโลว์ ว่านหางจระเข้ และกุหลาบจากธรรมชาติ จึงให้ความชุ่มชื่นได้อย่างเพียงพอ และช่วยบรรเทาบริเวณที่เป็นรอยแดง เหมาะสำหรับผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย

8.La Roche-Posay I Eau Thermale
ซีลีเนียมจากธรรมชาติที่มีความเข้มข้นสูงจะช่วยให้ผิวคงสภาพดีและเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้ผิว บำรุงให้สุขภาพดีแบบไร้ปัญหาและทำให้ผิวดูแวววาว    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

9.Melvita I Orang Blossom Water
เป็นน้ำแร่ที่กลั่นมาจากพันธุ์ไม้ออร์แกนิก เหมาะสำหรับผิวแห้งและผิวที่เป็นรอยแดงได้ง่าย

10.VIDIVICI I Rose Face Mist
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำดอกกุหลาบจากธรรมชาติและน้ำจากใต้ทะเลลึก กลิ่นกุหลาบละมุนช่วยให้ร่างกายและจิตใจสงบ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

เมคอัพเบส ทำหน้าที่คล้ายผิวชั้นที่สองที่ช่วยปรับ แก้ไข และอำพรางจุดบกพร่องของผิวจริงทั้งจุดด่างดำ ริ้วรอย และสีผิวไม่สม่ำเสมอ

เทคนิคการใช้แปรงอย่างช่างแต่งหน้าผู้เชี่ยวชาญ

1.แปรงอายแชโดว์ทำโครงเบ้าตา
ช่วยวาดโครงเบ้าตาด้วยอายแชโดว์สีเข้มหรือไม่ก็ใช้เบลนด์สีได้สะดวก ทำจากขนแปรงที่มีความยืดหยุ่น จึงรักษาความเข้มของสีเข้มเข้มไว้ได้ดี มีประโยชน์อย่างมากในการวาดโครงเบ้าตาและทำให้ดวงตาดูลึก

2. แปรงหัวเกลียว
สำหรับขนตาที่หนาเป็นแพสามารถแต่งได้ด้วยแปรงนี้อันเดียว โดยการปัดตามทิศทางของคนตา โคนขนตาให้ปัดขึ้น ขนตาช่วงกลางให้ปัดเป็นแนวขนาน ปลายขนตาให้ปัดจากด้านบนแบบตวัด ทั้งยังใช้แทนแปลงมาสคาร่ายามฉุกเฉินได้

3.แปรงทาอายแชโดว์หัวฟองน้ำ
แปรงหัวฟองน้ำแบบปลายแหลมนั้นมีประโยชน์ในการทาอายแชโดว์ที่หางตาหรือขอบตาล่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาทาอายแชโดว์สีเข้ม อายแชโดว์มุกหรือสปาร์คลิ่งที่ฟุ้งกระจายได้ง่าย ส่วนปลายฟองน้ำแบบกลมนั้นใช้เวลาทาอายแชโดว์ที่กระจายเป็นวงกว้าง

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

4.แปรงทารองพื้น
ช่วยทารองพื้นได้อย่างสม่ำเสมอ หลังจากใช้แปรงทารองพื้นแล้ว ให้ใช้นิ้วกดกดเพื่อให้ผิวซึมซับรองพื้นและทำให้รองพื้นติดทนนานขึ้น

5.แปรงทาแป้ง
แนะนำให้ใช้เป็นอย่างยิ่งสำหรับคนผิวแห้งที่ต้องระมัดระวังในการทารองพื้น แปรงทาแป้งช่วยให้ทาแป้งฝุ่นได้บางและดูเป็นธรรมชาติ หากต้องการเผยผิวสม่ำเสมอเนียนนุ่มโดยแป้งไม่จับตัวเป็นก้อน ให้เลือกขนแปรงที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติและขนอ่อนนุ่มมากที่สุดเท่าที่จะนุ่มได้

6.แปรงลงเฉดดิ้ง
เป็นแปลงที่สาวๆที่ไม่พอใจกับโครงหน้าของตัวเองต้องมีไว้ ขนแปรงต้องใหญ่ นุ่ม และมีความยืดหยุ่น จึงจะ แต่งหน้า ได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยเครื่องสำอางไม่จับตัวเป็นก้อน เวลาเศษดิ้งมักจะใช้สีเข้มเป็นหลัก หัวใจสำคัญคือต้องปรับปริมาณเครื่องสำอางให้พอเหมาะเพื่อไม่ให้จับตัวเป็นก้อน

7.แปรงปัดแก้ม
เนื่องจากเป็นแปรงที่ใช้กับบริเวณแก้มซึ่งเป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากใบหน้า จึงแนะนำให้ใช้แปรงหัวกลม

8.แปลงรูปพัด
คือแปลงที่ขนแปรงแถบกว้างเป็นรูปพัด ก่อนที่จะแต่งตาให้ใช้แปรงรูปพัดทาแป้งบริเวณใต้ดวงตา หน้าเสร็จก็ใช้ปัดเศษอายแชโดว์ที่ร่วงลงมัดได้อย่างสะอาดสะอ้าน

9.แปรงทาอายไลเนอร์
แปรงทาอายไลเนอร์มีขนแปรงแข็งแรง ลักษณะแบนและสั้น พัฒนามาให้เข้ากับอายไลเนอร์ชนิดลิควิดหรือเจล แปลงชนิดนี้ออกแบบมาเพื่อให้สามารถปรับทิศทาง องศา และความหนาของอายไลเนอร์ได้อย่างง่ายดาย

10. แปรงทาลิปสติก
ใช้ได้ดีเวลาทาลิปสติกสีแดงๆหรือลิปสติกเนื้อแมตต์ ควรเลือกชนิดขนแปรงสังเคราะห์ ขนแปรงที่บางและยาวจนเกินไปจะทำให้ จับแปลงลำบาก

[adinserter name=”navtra”]

11.แปรงทาจมูก
ถึงแม้จะไม่ใช่แปรงที่จำเป็นต้องใช้ใน การแต่งหน้า ขั้นพื้นฐาน แต่ถ้าอยากปรับรูปทรงหรือความยาวของจมูก ต้องเลือกอันที่ขนแปรงนุ่ม มีความยืดหยุ่น จึงจะแต่งจมูกให้สวยเนี๊ยบได้

12.แปรงทาไฮไลท์
ใช้ทาแป้งมุกหรือไฮไลท์ที่โซน C และโซน T เพื่อเน้นโครงหน้าให้ดูชัดเจน แปรงชนิดปลายตัดเป็นเหลี่ยม จะทาเข้าถึงซอกมุมต่างๆบนใบหน้าได้อย่างง่ายดาย และเมื่อใช้บริเวณใต้ดวงตา เครื่องสำอางก็จะไม่ค่อยฟุ้งกระจาย

13.แปรงทาคอนซีลเลอร์
ช่วยปกปิดจุดด่างดำและตำหนิบนใบหน้าได้อย่างละเอียด สำหรับแปรงคอนซีลเลอร์นั้น ขนแปรงสังเคราะห์ดีกว่าขนแปรงธรรมชาติ และขนาดแปลงที่พอเหมาะ ( ขนาดเท่านิ้วก้อย ) ดีกว่าแปรงที่ขนหนาจนเกินไป

14.แปรงทาคิ้ว
ทาสีขนคิ้วไปตามรูปคิ้ว ต้องเลือกแปรงที่เป็นขนธรรมชาติผสมกับขนสังเคราะห์จึงจะแต่งคิ้วได้อย่างใจชอบ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ลีคยองมิน : เขียน; ชนามาศ เพ็งสมบูรณ์: แปล จาก My sweet makeup recipes อยากสวยต้องกล้าแต่ง : กรุงเทพฯ : Steps อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2558.

วิธีรักษาฝ้าบนผิวหน้าด้วยวิธีธรรมชาติ

0
วิธีรักษาฝ้าบนผิวหน้าด้วยวิธีธรรมชาติ
การลอกผิวด้วยกรดผลไม้ เป็นการลอกผิวในระดับตื้นของเซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้าที่มีเม็ดสีมากหรือเป็นฝ้าหลุดลอกออกจากผิวทำให้ฝ้าแลดูจางลง
วิธีรักษาฝ้าบนผิวหน้าด้วยวิธีธรรมชาติ
ฝ้าเป็นความผิดปกติบนผิวหนังมีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม อาจมีสีน้ำตาลอมเทา สีเทา สีดำ หรือสีม่วงอมน้ำเงิน พบในตำแหน่งที่เผชิญกับแสงแดดโดยตรง

ฝ้าบนผิวหน้า

ในปัจจุบันทั้งหนุ่มสาวหันมาดูแลผิวพรรณโดยเฉพาะผิวหน้ากันมากขึ้น ในบางครั้งถึงแม้จะทาครีมบำรุงอย่างดีแล้ว แต่ผิวสวยก็ยังมีจุดด่างดำมากวนใจ ทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำไม่สดใสเท่าที่ควร หนึ่งในนั้นก็คือ ฝ้า ซึ่งเจ้าฝ้าจุดดำๆ นี้แม้ว่าจะไม่มีอันตรายต่อสุขภาพโดยตรง แต่กลับทำให้หลายๆ คนเสียความมั่นใจและเสียบุคลิกภาพที่ดี จนต้องหาหนทางแก้ไขโดยการใช้รองพื้นปกปิดหรือหาทางรักษาให้ ฝ้าบนผิวหน้า ดูจางลงโดยด่วน

สาเหตุการเกิดฝ้าบนผิวหน้า

ปัญหา ฝ้าบนผิวหน้า พบมากในคนไทย เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองร้อน มีแสงแดดจัดเกือบทั้งปี ยิ่งผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง หรือชอบเล่นกีฬากลางแจ้งจะมีโอกาสเป็นฝ้าที่ผิวหน้าได้มากกว่าผู้อื่น และในเพศหญิงมีโอกาสเป็นฝ้าที่ผิวหน้าได้สูงกว่าเพศชายถึง 9 เท่า โดยมักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงในช่วงอายุ 20-50 ปี นอกจากนี้จากการศึกษาพบว่าผู้ที่มีผิวคล้ำหรือผิวสีเข้มจะมีโอกาสเป็นฝ้าได้มากกว่าผู้มีผิวขาวอีกด้วย
ฝ้า หรือ Melasma ( หรือ Cholasma ) เป็นความผิดปกติบนผิวหนังที่ไม่ได้มีมาแต่กำเนิด พบได้บ่อยในประเทศเมืองร้อนที่มีแดดจัดตลอดทั้งปี เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี หรือ Melanocytes ที่มีหน้าที่สร้างเม็ดสี ( Melanin pigment ) ทำงานมากกว่าปกติ ซึ่งเมื่อผิวต้องเผชิญกับแสงแดด ร่างกายก็จะสร้างเม็ดสีเมลานินออกมาเพื่อช่วยกรองรังสียูวี ยิ่งได้รับแสงแดดมาก เม็ดสีเมลานินนี้ก็ยิ่งถูกผลิตออกมามากยิ่งขึ้นตามไปด้วย โดยฉพาะรังสี UVA ซึ่งมีคลื่นที่ยาวกว่า UVB จะสามารถทำลายชั้นผิวได้ลึกกว่า นอกจากแสงแดดแล้วปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดฝ้าบนผิวหน้ายังมีอีกหลายปัจจัย ได้แก่ การทานยาคุมกำเนิด ฮอร์โมนเพศที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการตั้งครรภ์หรือในวัยทองที่หมดประจำเดือนซึ่งฮอร์โมนเพศลดลง ปัจจัยด้านพันธุกรรมที่เป็นเหมือนกับคนในครอบครัวซึ่งแม้จะรักษาหายแล้วก็มีโอกาสที่จะเกิดซ้ำสูง การแพ้สารบางชนิดในเครื่องสำอาง เช่น เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำหอม ซึ่งน้ำหอมทำปฏิกิริยากับแสงแดดจนก่อให้เกิดฝ้าบนผิวหน้า การรับประทานยาบางชนิด เช่นยากลุ่มไฮโดรควิโนน ( Hydroquinone ) และยากันชักกลุ่มฟีไนโทอิน ( Phenytoin-related anticonvulsants ) ผู้ที่ตับทำงานผิดปกติและการขาดสารอาหารกลุ่มวิตามินบี 12 เป็นต้น

ฝ้าบนผิวหน้า มีหลายชนิดโดยมีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม อาจมีสีน้ำตาลอมเทา สีเทา สีดำ หรือสีม่วงอมน้ำเงิน มักพบในตำแหน่งที่เผชิญกับแสงแดดโดยตรง เช่น หน้าผาก โหนกแก้ม เหนือคิ้ว จมูก เหนือริมฝีปาก คาง และหน้าอก รวมถึงบริเวณแขนด้วย

ฝ้าบนผิวหน้า แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1. ฝ้าบนผิวหน้าแบบตื้น หรือ Epidermal type เป็นฝ้าที่มีขอบเขตชัดเจน มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเข้ม หรือดำ เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี สร้างเม็ดสีและผลักขึ้นสู่ผิวหนังชั้นนอก ( ชั้นหนังกำพร้า ) มีโอกาสรักษาให้หายได้ง่ายในเวลาอันสั้น

2. ฝ้าบนผิวหน้าแบบลึก หรือ Dermal type เป็นฝ้าที่มีขอบเขตไม่ชัดเจน มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อน สีน้ำตาลเทา สีเทา หรือสีม่วงอมน้ำเงิน เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี สร้างเม็ดสีออกมาในชั้นหนังแท้ ซึ่งอยู่ใต้ผิวชั้นนอก ( ชั้นหนังกำพร้า ) จึงทำให้มีสีอ่อนกว่าฝ้าแบบตื้น มีโอกาสรักษาให้หายได้ยากและต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานาน

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าบนผิวหน้า

แม้ว่า ฝ้าบนผิวหน้า จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ก็มีวิธีรับมือป้องกันและสามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยอันก่อให้เกิดฝ้าได้ ดังนี้
1. การป้องกันแสงแดด พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ผิวสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง โดยเฉพาะในช่วงแดดจัดตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง บ่าย 4 โมงเย็น หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงการตากแดดได้ให้ใช้อุปกรณ์ช่วยกันแดดได้แก่ ร่ม หมวก หน้ากาก เสื้อแขนยาว ที่ผลิตมาเพื่อใช้ป้องกันรังสียูวีโดยเฉพาะ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด ที่มีคุณสมบัติป้องกัน UVA และ UVB มีค่าป้องกัน Sun Protection Factor หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่าค่า SPF มากกว่า 30 ขึ้นไป รวมถึงต้องมีค่า Protection Grade of UVA หรือ PA มากกว่า 2+ ขึ้นไป ควรทาครีมกันแดดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และทาก่อนออกแดดอย่างน้อย 30 นาที ใช้ในปริมาณที่เหมาะสมไม่มากหรือน้อยเกินไปจนไม่ทั่วถึง

2. หลีกเลี่ยงยาบางชนิดที่ก่อให้เกิดฝ้าบนผิวหน้า เช่น ยากันชักกลุ่มฟีไนโทอีน อาจแจ้งแพทย์เพื่อให้จ่ายยากลุ่มอื่นแทน และยาเพิ่มฮอร์โมนเพศ เช่น ยาคุมกำเนิด ( ในผู้ที่ฮอร์โมนเพศเพิ่มขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างมิอาจเลี่ยงได้ เช่น สตรีตั้งครรภ์ พบว่าในบางรายเมื่อคลอดบุตรแล้วและฮอร์โมนเพศดังกล่าวลดลง รอย ฝ้าบนผิวหน้ามีโอกาสจางลงและหายไปได้ในที่สุด )

3. หลีกเลี่ยงการทาครีมหรือใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือกลุ่มยาที่อาจเกิดปฏิกิริยา และมีความไวต่อแสงสูง โดยเฉพาะในครีมทาผิวขาวที่มีส่วนผสมของ “ไฮโดรควิโนน” เป็นต้น

ฝ้าเป็นความผิดปกติบนผิวหนัง มีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม อาจมีสีน้ำตาลอมเทา สีเทา สีดำ หรือสีม่วงอมน้ำเงิน พบในตำแหน่งที่เผชิญกับแสงแดดโดยตรง

วิธีรักษาฝ้าบนผิวหน้า

เมื่อป้องกันผิวอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาฝ้ามากวนใจ วิธีต่อไปคือการดูแลรักษา ซึ่งมีด้วยกันหลากหลายวิธี สามารถเลือกไปปรับใช้ได้ตามความชอบและความพร้อมของแต่ละท่าน เนื่องจากบางวิธีอาจมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ไวยิ่งขึ้น ดังนี้

1. รักษาด้วยการทายา วิธีนี้ใช้ได้ผลกับฝ้าตื้นมากกว่าฝ้าลึก หากทายารักษาอย่างต่อเนื่องประมาณ 6 เดือน พบว่า ฝ้าบนผิวหน้า มีอาการจางลงอย่างชัดเจน กลุ่มยาทารักษา ฝ้าบนผิวหน้าได้แก่ กลุ่มยาที่มีส่วนผสมของไฮโดรควินโนน ( Hydroquinone ) โดยตัวยาจะช่วยยับยั้งเอนไซม์ที่มีส่วนในการสร้างเม็ดสีของเซลล์สร้างเม็ดสีใต้ผิวหนัง และยังช่วยทำลายเม็ดสีบางส่วนที่เกิดขึ้นแล้วใต้ผิวหนังอีกด้วย ผลข้างเคียงของการทายาชนิดนี้คืออาจทำให้ผิวบริเวณที่ทา แสบ แดงและลอกเป็นขุยได้ จึงควรทาในปริมาณน้อยๆ ก่อน แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มขึ้น หากมีอาการระคายเคืองรุนแรงควรทาแบบคืนเว้นคืน หรือ เว้น 2 คืน เป็นต้น และอีกตัวยาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง คือ ยาที่มีส่วนผสมร่วมกันของกรดวิตามินเอ

ไฮโดรควินโนนและสารสเตียรอยด์อ่อนๆ เนื่องจากเป็นยาทาที่ใช้งานง่าย เพราะมีสารสเตียรอยด์ในปริมาณต่ำ ช่วยลดอาการระคายเคืองที่อาจเกิดจากตัวยา นอกจากยาทาแล้ว ยังมียากินที่ช่วยในการรักษา ฝ้าบนผิวหน้า ได้แก่ ยากลุ่มทรานีซามิก ( Tranexamic acid ) ซึ่งใช้อย่างแพร่หลายในบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลี ทั้งนี้ควรอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์

2. การรับประทานวิตามินเสริม ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี วิตามินเอ และวิตามินอี ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ดูแลตัวเองจากภายในสู่ภายนอก ช่วยให้ผิวแข็งแรง ลดริ้วรอย และยังช่วยป้องกันไม่ให้ฝ้าที่เป็นอยู่ลุกลามขยายตัวขึ้นใหญ่กว่าเดิมอีกด้วย

3. การทาครีมบำรุง ที่มีส่วนช่วยในการรักษาฝ้า โดยมีส่วนผสมของ วิตามินซี สารอาร์บูติน ( Arbutin ) กรดโคจิก ( Kojic ) และ สาร AHA จะทำให้ผิวหน้าดูขาวกระจ่างใสขึ้น ฝ้าบนผิวหน้าแลดูจางลง ซึ่งการทาครีมบำรุงเป็นวิธีที่ต้องใช้ความสม่ำเสมอและอาจต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรจึงจะเห็นผล

4. การรักษาด้วยหัวไชเท้า โดยการนำหัวไชเท้าไปล้างให้สะอาด จากนั้นนำไปบดหยาบ ๆ แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น จากนั้นล้างตามอีกครั้งด้วยน้ำเย็นเพื่อปิดกระชับรูขุมขน ( สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแพ้ง่ายไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้โดยตรงแต่อาจใช้ได้ในรูปของสบู่สมุนไพรสูตรหัวไชเท้าแทน เพราะจะมีความอ่อนโยนต่อผิวมากกว่าและสามารถชำระล้างได้เป็นประจำทุกวัน เช้า-เย็น ฝ้าบนผิวหน้าก็จะค่อยๆจางลง และผิวดูกระจ่างใสขึ้น ) ทำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้งหรือวันเว้นวันก็ได้ หัวไชเท้ามีคุณสมบัติช่วยลดริ้วรอย ช่วยให้ ฝ้าบนผิวหน้า ดูจางลง และยังช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น

5. การรักษาด้วยว่านหางจระเข้ โดยการเลือกใบว่านหางจระเข้ที่ใหญ่ๆ และแก่แล้ว นำไปล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นแช่น้ำไว้ประมาณ 10 นาที แล้วปอกเปลือกออก ล้างน้ำอีกครั้งก่อนจะนำไปบดหรือปั่นให้ละเอียดพอสมควร นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาที ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะช่วยให้ผิวแลดูกระจ่างใส ไร้ริ้วรอยและฝ้าบนผิวหน้าดูจางลง

6. การใช้มะขามเปียก เป็นอีกหนึ่งวิธีตามธรรมชาติที่ได้ผลดี วิธีการคือให้นำเนื้อมะขามเปียกมาทาหรือพอกบางๆ บริเวณที่เป็นฝ้า พอกทิ้งไว้เพียง 3-5 นาที แล้วล้างออก จะช่วยลดรอยด่างดำ ช่วยผลัดเซลล์ผิว และยังทำให้หน้าดูขาวกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ หากไม่มีมะขามเปียกอาจใช้มะกรูดหรือมะนาว หรือในรูปของสบู่สมุนไพรสูตรมะขามน้ำผึ้งแทนได้ สบู่สมุนไพรจะมีความอ่อนโยนต่อผิวมากกว่าแบบอื่นๆ ใช้ง่าย และยังเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวได้มากขึ้นจากน้ำผึ้งป่าซึ่งเป็นสมุนไพรชั้นดีอีกตัวหนึ่งและยังสามารถชำระล้างผิวหน้าได้เป็นประจำทุกวัน เช้า-เย็นก็จะช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดริ้วรอย และทำให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้น

7. การลอกผิวด้วยกรดผลไม้ เช่น กรดไกลโคลิก ( Glycolic acid ) และกรดซาลิไซลิก ( Salicylic acid ) ซึ่งถือว่าเป็นการลอกผิวในระดับตื้น เพราะเป็นการลอกทิ้งของเซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้าที่มีเม็ดสีมากหรือเป็นฝ้าหลุดลอกออกจากผิวได้เร็วขึ้น จึงทำให้ฝ้าบนผิวหน้าแลดูจางลง วิธีนี้ต้องใช้กรดผลไม้ในปริมาณที่เข้มข้นและเสี่ยงต่อการเกิดผิวไหม้ จึงควรอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์

8. การลอกผิวด้วยสารเคมีในระดับลึก ช่วยรักษาฝ้าบนผิวหน้าแบบลึก โดยการใช้กรดไตรคลอโรอะซิติก ( Trichloroacetic acid ) ซึ่งหลังการรักษาอาจพบผลแทรกซ้อนไม่พึงประสงค์ได้แก่ การเกิดรอยแผลเป็น รอยดำ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเริม การรักษาด้วยวิธีนี้จึงต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษ ต้องรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น สิ่งสำคัญหลังการลอกหน้าด้วยวิธีนี้คือต้องระมัดระวังมิให้ผิวโดนแดด ทาครีมกันแดดอย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ หากพบอาการผิดปกติ เช่น หน้าบวมหรือเจ็บปวดใบหน้ามากต้องรีบกลับไปพบแพทย์โดยด่วน

9. การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี ( Microdermabrasion : MD ) จะช่วยให้เซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้าหลุดลอกเร็วขึ้น จึงช่วยลดรอยดำจากฝ้าบนผิวหน้าให้ดูจางลงได้ แต่เป็นวิธีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง และหลังรักษาต้องระมัดระวังไม่ให้ผิวสัมผัสกับแสงแดดโดยเด็ดขาด

10. การใช้แสง/เลเซอร์ ( Light Therapy/Laser ) การเลเซอร์เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและเห็นผลเร็ว มีผลข้างเคียงน้อย เลเซอร์และคลื่นแสงที่นำมาช่วยในการรักษาฝ้า ได้แก่ เลเซอร์กลุ่ม, Q-switched ruby laser, Q-switched Nd: YAG laser, Fractional Radio Frequency ( RF ) ,Fractional Erbium-glass laser, และคลื่นแสง IPL ( Intense pulsed light ) เป็นต้น โดยหลังทำผิวอาจมีความไวต่อแสงมาก จึงควรทาครีมกันแดดและหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 1 สัปดาห์

11. การฉีดเมโส ( Mesotherapy ) วิธีการฉีดเมโสนี้ไม่สามารถช่วยรักษา ฝ้าบนผิวหน้า ให้หายขาดได้ เพียงแต่ช่วยให้ฝ้าบนผิวหน้าดูจางลง วิธีการคือใช้เข็มเล็กๆ ฉีดยาเข้าไปในชั้นผิวเพียงตื้นๆ เพื่อช่วยให้ยากระจายตัวลงสู่ชั้นผิวบริเวณที่ต้องการรักษาได้ดียิ่งขึ้น โดยจะฉีดลึกประมาณ 1-2 มม. เท่านั้น ระยะห่างกันไม่เกิน 1 เซนติเมตร และต้องทำซ้ำทุก ๆ 1-2 อาทิตย์จึงจะได้ผล

12. วิธีไอออนโต ( Iontophoresis ) โดยเครื่องมือชนิดนี้จะให้กำเนิดกระแสไฟฟ้าในระดับอ่อน ๆ ซึ่งกระแสไฟฟ้านี้จะช่วยผลักวิตามินหรือยาที่ทาไว้ให้ซึมซาบลงสู่ผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น จึงทำให้วิตามินหรือยาดังกล่าวออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งยังเป็นวิธีที่มีผลข้างเคียงน้อย ยาที่นิยมนำมาใช้คู่กับเครื่องโดยมากจะอยู่ในรูปแบบเจล เช่น เจลโคจิก เจลอาร์บูติน เจลลิโคไลซ์ เจลวิตามินซีและทรานซามิคเจล เป็นต้น ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง จะช่วยให้ฝ้าบนผิวหน้าจางลงอย่างเห็นได้ชัด แต่หากท่านใดกลัวอาการระคายเคืองจากการทำโดยวิธีไอออนโตก็สามารถหันไปใช้เครื่องโฟโน ( Phonophoresis ) ที่ให้ความรู้สึกสบายกว่าแทนได้ เพราะสามารถผลักตัวยาเข้าสู่ผิวได้เช่นเดียวกัน

แม้ว่าฝ้าจะเป็นอาการผิดปกติของผิวหนังที่ไม่เป็นอันตรายใดๆ ต่อชีวิต แต่ก็สามารถทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำจนเสียความมั่นใจได้ ดังนั้นการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ก่อให้เกิดฝ้า เช่น แสงแดดจัด ยาที่มีฮอร์โมนเพศ หรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำหอมและสารซึ่งไวต่อแดด น่าจะเป็นหนทางป้องกันที่ดีที่สุด แต่เมื่อผิวต้องเผชิญกับปัญหาฝ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การมีวินัยในการดูแล บำรุง รักษา ก็สามารถช่วยให้ ฝ้าบนผิวหน้าจางลงและหายได้ในที่สุด เพียงเท่านี้ก็สามารถมีผิวสวยใสไร้ฝาได้ไม่ยากทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดฝ้าขึ้นใหม่ในอนาคตได้อีกด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

https://www.saiwink.com/

สุรางค์ เจียมจรรยา, การใช้ Tranexamic รักษาฝ้า, คลินิก, ปีที่ 19, ฉบับที่ 3

ศิริวรรณ เอื้อไพโรจน์ถาวร, ศูนย์การแพทย์ไลออนส์สุพรรณหงส์, ประสิทธิภาพของยาทา Tranexamic acid ในการรักษาฝ้า, http://www.rcskinclinic.com/research/viewcontent.asp?id=30

ประวิตร พิศาลบุตร, โรคฝ้าในเวชปฏิบัติ (Melasma in Clinical Practice)ตอนที่ 2 : ยาทารักษาฝ้า, คลีนิคเล่ม: 7 เดือน-ปี: 07/2008, http://www.doctor.or.th/node/7576

ประวิตร พิศาลบุตร, โรคฝ้าในเวชปฏิบัติ (Melasma in Clinical Practice) ตอนที่ 3 : ยาและเวชสำอางรักษาฝ้าชนิดใหม่, คลีนิคเล่ม: 8 เดือน-ปี: 08/2008, http://dev.doctor.or.th/node/7117

Total Protein บอกอะไรได้บ้าง ค่าที่บ่งบอกสุขภาพของคุณ

0
Total Protein บอกอะไรได้บ้าง ค่าที่บ่งบอกสุขภาพของคุณ
การตรวจ Total Protein ในเลือดจำเป็นอย่างไร
โปรตีน มีความสำคัญมากต่อระบบต่างๆในร่างกาย ซึ่งทำให้เอ็นไซม์ ฮอร์โมน ภูมิคุ้มกัน ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ

การตรวจค่า Total Protein หรือโปรตีนรวมในร่างกาย เป็นการวัดปริมาณโปรตีนทั้งหมดในเลือด ซึ่งรวมถึงทั้งอัลบูมินและโกลบูมิน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการบ่งชี้สุขภาพของร่างกาย ค่า Total Protein ที่สูงหรือต่ำเกินไปอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น การติดเชื้อเรื้อรัง, โรคตับ, โรไต, หรือปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อค่า Total Protein ออกนอกเกณฑ์ปกติ อาจช่วยให้แพทย์สามารถประเมินสภาพร่างกายและวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำขึ้น ดังนั้น การตรวจค่า Total Protein จึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นในร่างกายได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

Total Protein คือ

Total Protein คือ ปริมาณโปรตีนรวมที่อยู่ในกระแสเลือด แต่ถ้าจะขยายความให้เข้าใจได้ชัดเจนมากขึ้นอีกหน่อย โปรตีนรวมที่ว่านี้มีความหลากหลายมาก รวมตัวกันอยู่ในส่วนของพลาสมาหรือส่วนของของเหลวในน้ำเลือด บทบาทหน้าที่ต่อร่างกายจึงค่อนข้างกว้างและครอบคลุม แต่ละชนิดมีหน้าที่อันเฉพาะเจาะจงเป็นของตัวเอง หากมีโปรตีนชนิดใดชนิดหนึ่งที่ขาดหรือเกินไป ก็ถือได้ว่าค่าโปรตีนรวมนั้นบกพร่อง ควรต้องได้รับการแก้ไข เพราะโปรตีนมีความสำคัญมากกับเอ็นไซม์ ฮอร์โมน ภูมิคุ้มกัน และการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพของระบบต่างๆ ในร่างกาย

การตรวจ Total Protein ในเลือดจำเป็นอย่างไร

การตรวจ Total Protein ในเลือดจำเป็นอย่างไรปกติเวลาเราพูดถึงการตรวจเลือด เรามักจะนึกถึงการวัดค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ทั้งเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว ตรวจวัดค่าความเข้มข้นของเม็ดเลือดหรือที่เรียกว่า HCT ( Hematocrit ) สำหรับคนมีโรคประจำตัวก็จะคุ้นชินกับการตรวจวัดระดับค่าน้ำตาลและระดับไขมันในเลือด ดังนั้นหลายคนจึงยังไม่เคยรู้จักการตรวจค่าโปรตีนรวมในเลือด และไม่รู้ด้วยว่าค่าเหล่านี้มีความสำคัญมากแค่ไหน แม้แต่คนที่บริจาคเลือดอยู่เป็นประจำก็อาจเคยได้ยินแพทย์ผู้ตรวจชี้แจงถึงค่าโปรตีน เพียงแค่ “ สมบูรณ์ดี ” หรือ “ ขาดแคลน ” เท่านั้นเอง ซึ่งอันที่จริงแล้วถ้าเราเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น เราจะเห็นความสำคัญและเรียนรู้ที่จะดูแลโภชนาการของตัวเองได้อย่างถูกต้องแน่นอน

Total Protein อาจจำแนกแบ่งกลุ่มได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ Albumin, Globulin และ Prealbumin ในแต่ละกลุ่มก็ยังแบ่งย่อยลงไปอีกหลายชนิด ตัวอย่างของหน้าที่โปรตีนเหล่านี้ได้แก่

  • ช่วยรักษาสมดุลของปริมาณน้ำภายในร่างกาย
  • ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำไหลออกจากหลอดเลือดแล้วไปสะสมอยู่ที่ส่วนอื่นๆ
  • ช่วยรักษาสภาวะความเป็นกรด-ด่างของเลือด
  • ช่วยขนส่งสารภายในร่างกายจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง
  • ช่วยป้องกันการเกิดพิษเนื่องจากสารที่สะสมมากเกินไปในร่างกาย

นั่นหมายความว่าเมื่อ Total Protein มีค่าที่ผิดปกติไปจากระดับมาตรฐาน ก็สามารถเชื่อมโยงไปสู่การวินิจฉัยโรคที่แอบแฝงอยู่ได้ด้วย และประเด็นนี้นี่เองที่ทำให้การตรวจวัดค่า Total Protein เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยอย่างมาก

หลักการจำแนกประเภทของ Total Protein

หลักการจำแนกประเภทของ Total Proteinในเมื่อโปรตีนรวมมีองค์ประกอบหลายส่วนและยังแยกย่อยไปอีกมากมาย หากไม่จำกัดประเภทของโปรตีนเสียเลย การตรวจวัดค่า Total Protein จะยุ่งยากมาก และต้องเสียเวลาไปกับการวิเคราะห์หาสาเหตุเมื่อพบความผิดปกติมากเกินความจำเป็นอีกด้วย ในทางการแพทย์จึงมีหลักการที่ใช้จำแนกประเภทของ Total Protein ดังนี้

1. จำแนกตามภาวะปกติและภาวะที่มีพยาธิสภาพ : โปรตีนบางชนิดพบได้มากในภาวะที่ร่างกายปกติดี ในขณะที่บางชนิดจะพบเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะที่มีพยาธิสภาพเท่านั้น เพียงแค่จำแนกด้วยหลักการข้อนี้ เราก็จะรู้ได้ทันทีหลังการตรวจวัดค่า Total Protein ว่าร่างกายอยู่ในสภาวะแบบใด แล้วต่อยอดด้วยการตรวจหาสาเหตุแบบเจาะจงเมื่อพบความผิดปกติ
2. จำแนกตามแหล่งผลิตหรือแหล่งสังเคราะห์ : โปรตีนในร่างกายอาจรับได้จากหลายทาง แต่ที่สังเคราะห์ขึ้นเอง สามารถจัดได้เพียง 2 กลุ่มเท่านั้น คือโปรตีนกลุ่มที่สร้างมาจากตับโดยตรง และโปรตีนกลุ่มที่สร้างมาจากเซลล์อื่นๆ
3. จำแนกตามส่วนประกอบ : เมื่อพูดถึงอณูที่เล็กลงไปของโปรตีน ก็ต้องเป็นกรดอะมิโนนั่นเอง แต่ไม่ใช่โปรตีนทุกชนิดที่จะมีเพียงแค่กรดอะมิโนเท่านั้น เราจึงสามารถแบ่งโปรตีนทั้งหมดได้เป็น 2 กลุ่ม คือ โปรตีนที่มีกรดอะมิโนเป็นส่วนประกอบเพียงอย่างเดียว และโปรตีนที่มีทั้งกรดอะมิโน ทั้งส่วนอื่นที่ไม่ใช่โปรตีน เช่น สารอนินทรีย์ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เป็นต้น
4. จำแนกด้วยอิเล็กโตรโฟรีซิส ( Electrophoresis ) : วิธีนี้เป็นการแยกสารด้วยการใช้หลักการของสนามไฟฟ้า โดยธรรมชาติสารที่มีประจุจะวิ่งไปหาขั้วไฟฟ้าที่เป็นขั้วตรงกันข้าม และสารที่มีค่าประจุเข้มข้นต่างกัน ก็จะวิ่งไปหาขั้วไฟฟ้าได้เร็วและช้าต่างกันด้วย เมื่อใช้เวลาเท่ากัน สารทั้งหมดจึงวิ่งได้ระยะทางต่างกันไป และเราใช้ระยะทางนี่เองเป็นเงื่อนไขในการจำแนก

จำเป็นแค่ไหนที่ต้องตรวจ Total Protein

อันที่จริงการตรวจวัดค่าโปรตีนรวมในเลือดนั้น เป็นข้อกำหนดของการตรวจร่างกายประจำปีอยู่แล้ว ถือเป็นวิธีการที่ง่ายและสะดวกที่สุดด้วยสำหรับการวิเคราะห์สภาพร่างกายโดยรวม อย่างน้อยที่สุดเราจะได้รู้ว่าอาหารที่ทานอยู่ทุกวันนั้นได้ประโยชน์อย่างเต็มที่จริงหรือไม่ การดูแลโภชนาการดีพอหรือยัง สิ่งใดที่ต้องเพิ่ม สิ่งใดที่ต้องลด และหากพบว่าค่า Total Protein มีความผิดปกติไป ก็อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายบางชนิด โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับตับและไต หลายคนที่เป็นโรคเหล่านี้ไม่มีอาการใดๆ แสดงออกมาเลย จึงไม่ได้ดำเนินการรักษาอย่างถูกต้อง กว่าจะรู้ว่าป่วยก็อยู่ในช่วงที่ระดับอาการหนักหนามากแล้ว การตรวจ Total Protein จึงเป็นตัวช่วยที่ดีมากๆ ในประเด็นนี้

ขั้นตอนการตรวจ Total Protein 

สำหรับการตรวจโปรตีนรวมในเลือดนั้น ต่างจากการตรวจวัดค่าระดับน้ำตาลและระดับไขมันในเลือดเล็กน้อย คือ ผู้ที่ต้องการตรวจวัด Total Protein ไม่จำเป็นต้องอดน้ำหรืออดอาหารแต่อย่างใดเลย อย่างถ้าเราไปบริจาคเลือดแล้วพบว่าค่าเลือดเข้มข้นไม่พอ แพทย์ก็สามารถเจาะเลือดเพื่อตรวจค่าต่างๆ รวมถึงโปรตีนรวมในเลือดได้ทันที ปริมาณของเลือดที่ใช้ไม่มากนัก อยู่ราวๆ 5 มิลลิลิตร โดยเจาะออกจากเส้นเลือดดำ แล้วส่งตัวอย่างเข้าห้องตรวจ ไม่นานนักก็จะรู้ผลทันที แต่ถ้าเป็นการตรวจแบบลงรายละเอียดลึก เช่น การตรวจร่างกายประจำปีหรือตรวจคัดกรองโรค อาจใช้เวลามากถึง 4 ชั่วโมง นอกจากนี้ผู้เข้ารับการตรวจ สามารถขอตรวจซ้ำได้ใน 48 ชั่วโมงนับจากการตรวจครั้งก่อนหน้า

ระดับ Total Protein ที่ปกติ

ระดับ Total Protein ที่ปกติในการตรวจเพื่อวัตถุประสงค์ที่ต่างกันไป เช่น ตรวจร่างกายประจำปี ตรวจเพื่อบริจาคเลือด หรือตรวจคัดกรองโรค อาจมีระดับของค่าปกติที่ต่างกันเล็กน้อย ซึ่งเราจะเห็นได้จากข้อความที่ระบุในผลตรวจเลือดนั่นเอง แต่โดยทั่วไปแล้วหากไม่มีกรณีพิเศษอื่นใด ค่าปกติของ Total Protein จะอยู่ที่

วัยผู้ใหญ่ 6.4 – 8.3 gm/dL
วัยเด็ก 6.2 – 8 gm/dL

ดังนั้นเราอาจเคยได้เห็นค่าปกติของโรงพยาบาลหลายแห่งระบุว่าอยู่ในช่วง 6.0 – 8.5 gm/dL ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ขอให้ยึดตามใบสำคัญจากแพทย์ผู้ตรวจวัดเป็นหลัก หากมีข้อข้องใจสิ่งใดก็สอบถามกับแพทย์ผู้ตรวจได้โดยตรง เมื่อทำการตรวจวัดค่า Total Protein แล้วพบว่าตัวเองมีภาวะโปรตีนรวมไม่ปกติ ก็ต้องมาดูว่าอยู่ในรูปแบบไหน มากไปหรือน้อยไป ก่อนดูแลรักษาตามความเหมาะสม

โปรตีน มีความสำคัญมากต่อระบบต่างๆในร่างกาย ซึ่งทำให้เอ็นไซม์ ฮอร์โมน ภูมิคุ้มกัน ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ปัจจัยที่ทำให้ค่า Total Protein ต่ำกว่าปกติ

  • ดูแลเรื่องโภชนาการไม่ดีพอ ทานอาหารไม่ครบหมู่ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นโปรตีน หรือถ้าทานก็เป็นโปรตีนที่ไม่ดีและร่างกายไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้
  • มีปัญหาเรื่องการดูดซึมของร่างกาย เราเรียกภาวะนี้ว่า Melabsorption เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในส่วนของลำไส้ มีระดับความรุนแรงตั้งแต่ลำไส้ดูดซึมได้น้อย ไปจนถึงไม่มีการดูดซึมเลย
  • ไตเกิดภาวะรั่ว ( Nephrotic syndrome ) ซึ่งเราจะต้องตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะร่วมด้วย เพราะร่างกายขับโปรตีนออกทางปัสสาวะ มักมีต้นตอมาจากผนังหลอดเลือดในไตไม่สามารถกรองโปรตีนได้ตามปกติ
  • ไตเข้าสู่สภาวะเสื่อม อาจมาจากโรคประจำตัว อายุที่มากขึ้น หรือการดูแลร่างกายที่ไม่ดีพอก็ได้
  • เป็นโรคเกี่ยวกับความผิดปกติของเลือด มักมีอาการที่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีสิ่งกระตุ้นใดๆ เช่น อยู่ๆ เลือดกำเดาก็ไหลออกมาเอง เป็นต้น 
  • มีเหตุให้ร่างกายต้องเสียเลือดที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นภายนอกหรือภายในก็ได้ เช่น ปาก ท่อปัสสาวะ สมอง ปอด ทวารหนัก เป็นต้น
  • ครรภ์เป็นพิษ ซึ่งมักจะตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะด้วยเช่นกัน
  • เจ็บป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารอยู่เรื่อยๆ
  • การทำงานของตับผิดปกติ คือ ไม่สังเคราะห์โปรตีน หรือสังเคราะห์โปรตีนได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น

ปัจจัยที่ทำให้ค่า Total Protein สูงกว่าปกติ

  • ร่างกายอยู่ในสภาวะขาดน้ำ เพราะเลือดมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึงประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ เมื่อร่างกายขาดน้ำก็ทำให้สมดุลน้ำในทุกระบบลดน้อยลง อัตราส่วนระหว่างโปรตีนกับน้ำในเลือดก็เช่นกัน โปรตีนจึงเข้มข้นมากขึ้น
  • มีอาการอักเสบหรือติดเชื้อที่บริเวณตับ
  • อยู่ในภาวะคิโตซิส ( Diabetic Ketoacidosis ) เป็นภาวะที่มักพบในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ถือเป็นผลข้างเคียงอีกอย่างหนึ่งที่อันตรายของโรคเบาหวานเลยทีเดียว เมื่อมีน้ำตาลในเลือดสูงมากและระดับอินซูลินก็ลดต่ำลง ส่งผลให้เลือดเป็นกรดจากคีโตน ค่าโปรตีนตลอดจนเกลือแร่ในเลือดจึงผิดปกติไป
  • โรคจากพันธุกรรม มีโรคหนึ่งที่ชื่อว่า Waldenstrom Macroglobulinemia หรือ WM เป็นภาวะที่มีโลหิตจาง ต่อมน้ำเหลืองโต มีมะเร็ง MM ( Multiple myeloma ) ซึ่งเป็นมะเร็งทางโลหิตวิทยาในไขกระดูก ส่งผลให้ค่าโปรตีนในเลือดสูงขึ้นมาก และยังมีการผลิตเม็ดเลือดน้อยลงด้วย

การรักษาเมื่อมีค่า Total Protein ที่ผิดปกติ

จะเห็นได้ว่าค่า Total Protein ที่ผิดปกติไปจากมาตรฐาน ไม่ว่าจะมากเกินไปหรือน้อยเกินไปก็ไม่ดีทั้งนั้น และยังมีโอกาสที่จะเป็นสัญญาณของโรคร้ายอีกด้วย การรักษาจึงไม่ได้เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่ตรวจวัดค่า Total Protein เสร็จเรียบร้อย แต่จะเกิดขึ้นหลังจากที่มีการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดเสียก่อน ว่าต้นเหตุความผิดปกติของแต่ละบุคคลนั้นคืออะไร หากเป็นข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น ดูแลเรื่องอาหารการกินไม่ดีพอ ดื่มน้ำน้อยไป ไม่ควบคุมระดับน้ำตาล เป็นต้น แบบนี้ก็ใช้วิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ และอาจใช้ยาตัวช่วยบ้างในรายที่มีโรคประจำตัว แต่ถ้าค่า Total Protein ที่ผิดปกตินั้นมีต้นตอมาจากโรคที่ร้ายแรงอื่นๆ ก็ต้องหากแนวทางรักษาที่เฉพาะเจาะจงลงไปอีก

การดูแลตัวเองเพื่อรักษาระดับ Total Protein ที่ดีเอาไว้

1. ให้ความสำคัญกับโภชนาการเป็นอันดับแรก ไม่ใช่แค่ทานอาหารประเภทเนื้อ นม ไข่ เพียงเพื่อให้รู้สึกว่าได้ทานเท่านั้น แต่ต้องเลือกสรรโปรตีนคุณภาพดีให้กับร่างกายด้วย หากเป็นอาหารแปรรูปอย่างพวกไส้กรอกหรืออาหารกระป๋องต่างๆ นั่นก็ไม่นับว่าเป็นโปรตีนที่ควรทานเท่าไรนัก

2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทันทีที่ออกกำลังกายอย่างเพียงพอ ระบบต่างๆ ในร่างกายจะทำงานได้สมบูรณ์มากขึ้น ฮอร์โมนดีๆ จะหลั่งออกมาโดยธรรมชาติ ความเครียดและความวิตกกังวลจะลดน้อยลง ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดี สามารถต่อต้านโรคร้ายที่ไม่คาดคิดได้
3. หมั่นตรวจสุขภาพอย่างละเอียดเป็นประจำทุกปี และถ้ามีโรคประจำตัวก็ควรติดตามผลด้วยระยะที่มีความถี่มากกว่านั้น เพื่อที่เราจะได้รู้ลำดับพัฒนาการของร่างกาย ว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นหรือแย่ลง

นอกจากนี้ก็จะเป็นการปฏิบัติตัวและดูแลร่างกายตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ซึ่งหมายความถึงกรณีที่มีภาวะความเสี่ยงหรือมีอาการเจ็บป่วยที่ต้องรักษานั่นเอง
มาถึงตอนนี้คงได้เห็นแล้วว่า ค่า Total Protein ที่เราอาจไม่เคยสนใจกันเลย มีความหมายและมีความสำคัญต่อระบบภายในร่างกายของเรามากแค่ไหน ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยรักษาชีวิตของใครหลายๆ คนเอาไว้ได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นก็อย่าละเลยการตรวจวัดค่า Total Protein ตามช่วงจังหวะที่เหมาะสมอยู่เสมอเพื่อตัวคุณเอง

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

McCudden, C. (2016). “Monitoring multiple myeloma patients treated with daratumumab: teasing out monoclonal antibody interference”. Clin Chem Lab Med. 54 (epub ahead of print)

Tuazon, Sherilyn Alvaran; Scarpaci, Anthony P (May 11, 2012). Staros, Eric B, ed. “Serum protein electrophoresis”. Medscape. Retrieved 2 October 2013.

รู้ก่อนป้องกันก่อน ทำไมต้องตรวจ Globulin และผลต่อร่างกาย

0
การตรวจ Globulin ในเลือดจำเป็นอย่างไร
โกลบูลิน เป็นส่วนประกอบสำคัญที่อยู่ในพลาสมา ส่วนใหญ่เป็นโปรตีนที่มีรูปร่างกลม ไม่ละลายในน้ำ ซึ่งร่างกายสามารถสังเคราะห์เองได้

การตรวจระดับ Globulin เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้เรารู้ถึงสุขภาพภายในร่างกาย โดยเฉพาะการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและการตอบสนองของร่างกายต่อการติดเชื้อต่าง ๆ Globulin คือโปรตีนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสารอาหารและฮอร์โมน รวมถึงการสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง การตรวจนี้สามารถช่วยตรวจจับความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำให้เราสามารถป้องกันและรับมือกับโรคต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มารู้จักกับ Globulin และประโยชน์ของการตรวจนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

Globulin คืออะไร

globulin คือ กลุ่มของโปรตีนทรงกลมที่มีบทบาทสำคัญในกระแสเลือด โดยไม่ละลายในน้ำบริสุทธิ์แต่จะละลายได้ในสารละลายน้ำเกลือเจือจาง บางชนิดถูกสร้างในตับ ขณะที่อีกบางชนิดถูกสร้างโดยระบบภูมิคุ้มกัน และ โกลบูลินยังคงแตกย่อยลงไปได้อีกหลายชนิด แต่เราสามารถจัดกลุ่มเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 3 กลุ่ม คือ α – Globulin ( Alpha globulin ), β – Globulin ( Beta globulin ) และ γ – Globulin ( Gamma globulin ) โดยแต่ละประเภทก็จะมีบทบาทที่สำคัญต่อร่างกายแตกต่างกันไป ดังต่อไปนี้

α – Globulin ( Alpha globulin ) : ภายในกลุ่มนี้ก็ยังแตกแขนงออกไปได้อีกหลายอย่าง แต่ก็มีตัวสำคัญๆ ที่ควรทำความเข้าใจอยู่ไม่มากมายนัก ส่วนใหญ่มีประโยชน์ในการตรวจสอบความผิดปกติของร่างกาย

  • Fetoprotein เป็นสารที่สังเคราะห์ได้จากลำไส้ เซลล์ตับ และ York sac ยังไม่รู้แน่ชัดว่าบทบาทและหน้าที่หลักของมันคืออะไรกันแน่ แต่กลับเป็นสารที่เราใช้เพื่อวิเคราะห์และตรวจกรองมะเร็งได้ ถ้ามีค่าสูงกว่าปกติ มักจะเป็นสัญญาณของมะเร็งตับบางชนิด และยังใช้เพื่อตรวจวัดความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้ด้วย
  • Haptoglobin สังเคราะห์ได้จากตับ ทำหน้าที่เป็นตัวจับกับฮีโมโกบินอิสระในภาวะที่เม็ดเลือดแดงเกิดแตกตัว ความผิดปกติของค่าที่เราตรวจพบจะมีอยู่ 2 กรณี คือ มีค่าต่ำกว่าปกติ หมายความถึงเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกตัวในหลอดเลือด กับอีกแบบคือมีค่าสูงกว่าปกติ หมายถึงการเกิดภาวะอักเสบเฉียบพลันในระดับเซลล์
  • Antitrypsin สารนี้มีหน้าที่ในการป้องกันไม่ให้เอนไซม์บางกลุ่มดำเนินการย่อยสลายโปรตีนที่เป็นโครงสร้างเนื้อเยื่อ และเป็นสารที่สำคัญซึ่งเราใช้เพื่อวิเคราะห์การทำงานของตับอันผิดปกติหรือภาวะตับแข็ง ตลอดจนภาวะถุงลมโป่งพองได้

β – Globulin ( Beta globulin ) : มาถึงกลุ่มที่ 2 ซึ่งแตกย่อยออกไปน้อยกว่าแบบแรก แต่นี่ก็ยังไม่นับรวมตัวที่เราไม่รู้แน่ชัดว่าหน้าที่และประโยชน์ของมันคืออะไร

  • Transferrin ตัวแรกนี้เป็นสารที่สังเคราะห์มาได้จากตับ หน้าที่หลักก็คือการขนส่งธาตุเหล็กในกระแสเลือดนั่นเอง จึงช่วยป้องกันการเกิดพิษจาก free iron และยังป้องกันการสูญเสียธาตุเหล็กผ่านทางปัสสาวะได้ด้วย ถ้าตรวจแล้วพบว่ามีค่าต่ำกว่ามาตรฐาน หมายความว่าร่างกายมีภาวะขาดแคลนโปรตีน ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุของการสังเคราะห์โปรตีนไม่พอหรือสูญเสียออกจากร่างกายไป รวมไปถึงเป็นสัญญาณของการอักเสบภายในได้ด้วย อย่างไรก็ตามกรณีนี้ก็ถือว่าพบได้น้อยมาก อีกแบบหนึ่งคือตรวจแล้วพบว่าค่าสูง ก็เป็นสัญญาณของภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
  • Hemopexin เป็นอีกตัวที่สังเคราะห์ได้ที่ตับเช่นเดียวกัน หน้าที่หลักคือจับกับบรรดาหมู่ฮีมอิสระในเลือด ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากการแตกสลายของฮีโมโกลบินนั่นเอง โดยโปรตีนตัวนี้จะจับแล้วนำไปทำลายที่ตับต่อไป
  • Fibrinogen นี่เป็นโปรตีนที่มีส่วนสำคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด หากมีภาวะอักเสบเกิดขึ้นในร่างกาย ก็จะมีผลทำให้โปรตีนตัวนี้มีค่าสูงขึ้นด้วย

γ – Globulin ( Gamma globulin ) : กลุ่มสุดท้ายนี้โดดเด่นมากในด้านภูมิคุ้มกันร่างกาย สังเคราะห์ได้จากพลาสมาเซลล์ และการสังเคราะห์นั้นต้องได้รับการกระตุ้นจากสิ่งแปลกปลอมบางอย่างที่เข้าสู่ร่างกายด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าไม่ได้มีแค่ส่วนของ γ – Globulin เท่านั้นที่สามารถทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันได้ มีบางส่วนของ β – globulin สูง คือ
ที่ทำหน้าที่นี้เช่นเดียวกัน เพื่อความเข้าใจง่ายจึงเรียกโปรตีนทุกตัวที่ทำหน้าที่ภูมิคุ้มกันว่า “Immunoglobulin” มาถึงตรงนี้ถ้ายังเกิดความสับสนว่า Globulin คืออะไรกันแน่ ก็ให้เหมารวมแบบง่ายๆ ก็ได้ว่าเป็นกลุ่มของภูมิคุ้มกัน

การตรวจ Globulin ในเลือด

การตรวจ Globulin ในเลือด - รู้ก่อนป้องกันก่อน ทำไมต้องตรวจ Globulin และผลต่อร่างกายเมื่อมี การตรวจ Globulin ในเลือด  ทุกคนเคยสงสัยกันไหมว่าค่า globulin สูง อันตรายไหม ที่แสดงในผลตรวจเลือดมันคืออะไร หรือถ้าใครไม่เคยสังเกตเห็น ก็น่าจะเคยได้ยินชื่อนี้กันมาบ้าง จากข้อมูลการเปรียบเทียบคุณค่าทางโภชนาการในด้านโปรตีนต่างๆ เพราะนี่เป็นอีกหนึ่งสารประกอบที่ได้รับความสนใจค่อนข้างมากในปัจจุบัน และผู้คนทั่วไปเริ่มให้ความสำคัญกับการตรวจวัดค่า globulin สูง เนื่องจาก ในเลือดกันมากขึ้น ดังนั้นเราจะมาทำความรู้จักสารชนิดนี้กัน ว่ามีรายละเอียดในเชิงลึกอย่างไร และมีประโยชน์ในด้านไหนบ้าง

ทำไมจึงต้องตรวจวัดค่า Globulin

พื้นฐานของการตรวจวัดค่าต่างๆ ก็คือการประเมินสภาพในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร การตรวจวัดค่า Globulin ในเลือดก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าเราจะพอรู้กันมาบ้างแล้วจากข้อมูลข้างต้น ว่า Globulin นั้นเป็นกลุ่มของภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย แต่อะไรที่มากหรือน้อยเกินไปก็ไม่ดีทั้งนั้น ถ้าภูมิคุ้มกันต่ำ ร่างกายก็เจ็บป่วยได้ง่าย อ่อนไหวต่อความเสี่ยงที่มากกว่าคนปกติทั่วไป ในขณะที่ ถ้าภูมิคุ้มกันสูงผิดปกติ ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังแข็งแรงมาก แต่เป็นภาวะที่ต้องระวังด้วยเช่นกัน ไม่มีเหตุผลที่ร่างกายจะเร่งผลิตภูมิคุ้มกัน หากไม่มีสิ่งผิดปกติอื่นใดเกิดขึ้นในร่างกาย ดังนั้นการตรวจวัดค่า Globulin จึงมีความสำคัญมาก และต้องลงรายละเอียดในส่วนของ alpha beta และ gamma ด้วย

ขั้นตอนการตรวจวัด Globulin ในเลือด

การตรวจวัด Globulin ก็จะเหมือนกับการตรวจวัดระดับโปรตีนชนิดอื่นๆ ในเลือด โดยที่ผู้เข้ารับการตรวจไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษล่วงหน้า ไม่ต้องอดอาหารและอดน้ำ เหมือนกับผู้ที่มีโรคประจำตัวแล้วจำเป็นต้องตรวจระดับน้ำตาลหรือระดับไขมันในเลือด แต่จำเป็นต้องแจ้งแพทย์ผู้ดูแลว่าตัวเองมีโรคประจำตัวหรือมีเงื่อนไขเกี่ยวกับสุขภาพด้านไหนบ้าง เพื่อที่แพทย์จะได้ใช้ประกอบการอ่านค่าผลเลือดที่ได้ ขั้นตอนจะเริ่มจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเจาะเพื่อดูดเลือดจากเส้นเลือดดำออกไป ปริมาณที่ต้องใช้อยู่ประมาณ 5 มิลลิลิตร บรรจุใส่หลอดแก้วแล้วส่งเข้าห้องตรวจ หากสถานพยาบาลแห่งนั้นไม่มีที่ตรวจวัดที่ได้มาตรฐาน ก็อาจจะนำเลือดนั้นไปปั่นแยกชั้นแล้วนำเฉพาะส่วนที่ต้องใช้ ส่งให้กับห้องแลปที่มีความพร้อมมากกว่าต่อไป แน่นอนว่าก็ต้องใช้เวลา เมื่อส่งเข้าห้องตรวจจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงก่อนจะได้รับรายงานผล และสามารถแจ้งความประสงค์ขอตรวจซ้ำได้อีกเมื่อผ่าน 48 ชั่วโมงไปแล้ว

ระดับค่าปกติของ Globulin ในร่างกาย

ระดับค่าปกติของ Globulin ในร่างกาย - รู้ก่อนป้องกันก่อน ทำไมต้องตรวจ Globulin และผลต่อร่างกายหากไม่มีระบุไว้เป็นอย่างอื่นในใบวัดผลตรวจเลือด และแพทย์ไม่ได้แจ้งอะไรเพิ่มเติมอีก ค่าปกติของ Globulin ที่ใช้กันโดยทั่วไปก็คือ 2.3 – 3.4 gm/dL นั่นหมายความว่ามีโอกาสที่จะเจอช่วงค่าปกติที่เป็นค่าอื่นๆ ได้เหมือนกัน อย่างเช่น 2.2 – 4.2 gm/dL หรือ 2.3 – 2.8 gm/dL จึงต้องยึดค่ากำหนดของโรงพยาบาลหรือคลินิกแต่ละที่เป็นสำคัญ สิ่งที่ต้องคอยสังเกตและระมัดระวังมีเพียงแค่ ค่าปกติเหล่านั้นต้องไม่หนีจากค่ามาตรฐานมากเกินไป และเนื่องจากว่า Globulin แยกออกเป็นหลายประเภท จึงมีค่ามาตรฐานที่เฉพาะเจาะจงของแต่ละประเภทอีกด้วย
อีกประเด็นหนึ่งก็คือระดับอัตราส่วนที่เป็นมาตรฐาน ระหว่าง Globulin กับ Albumin จะมีค่าเหมาะสมอยู่ที่ 1:2 แต่ก็สามารถแกว่งได้เล็กน้อย ดังนั้นการตรวจวัดค่าโปรตีนในเลือด จึงต้องตรวจวัดโปรตีนทุกชนิดไปพร้อมกัน เพื่อที่จะได้มีข้อมูลสำคัญมาเปรียบเทียบกันได้

โกลบูลิน เป็นส่วนประกอบสำคัญที่อยู่ในพลาสมา ส่วนใหญ่เป็นโปรตีนที่มีรูปร่างกลม ไม่ละลายในน้ำ ซึ่งร่างกายสามารถสังเคราะห์เองได้

ปัจจัยที่ทำให้ค่า Globulin อยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ

– มีภาวะไตรั่ว หรือ Nephrotic syndrome เป็นลักษณะอาการที่มีสารโปรตีนปนไปกับปัสสาวะ เราอาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าโรคโปรตีนรั่วก็ได้ มักมีต้นตอมาจาก 2 สาเหตุ คือ มีความเสียหายหรือเกิดพยาธิสภาพที่ไต กับ เนื้อเยื่อไตเสียหายเนื่องจากโรคประจำตัวอื่นๆ ของร่างกาย
– ตับทำหน้าที่ได้ไม่เต็มศักยภาพ กรณีนี้แยกได้หลายแบบ อาจเป็นเพราะตับไม่สามารถผลิต Globulin ได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ไปจนถึงผลิตไม่ได้เลย หรือเกิดความเสียหายบางอย่างที่เป็นอุปสรรคบั่นทอนการผลิต Globulin ของตับ
– มีภาวะอักเสบในลำไส้ ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการดูดซึมลดน้อยลง
– มีโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งทำให้ร่างกายผลิต Globulin ได้ในปริมาณน้อยมาก อาจเรียกว่าเป็นภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องก็ได้เหมือนกัน
– เม็ดเลือดไม่แข็งแรง และเกิดการแตกตัวก่อนระยะเวลาที่เหมาะสม

ปัจจัยที่ทำให้ค่า Globulin อยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติ

– เป็นมะเร็งไขกระดูก ทำให้ไม่สามารถผลิตเม็ดเลือดขาวได้ดีเท่ากับภาวะปกติ เมื่อในร่างกายมีเม็ดเลือดขาวน้อยเกินไป Globulin ก็ไม่สามารถจับกับเม็ดเลือดขาวได้เพียงพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกัน กลายเป็นว่ามี Globulin หลงเหลืออยู่ในระบบมากเกินไป ค่าที่วัดได้จึงสูงกว่าปกติ
– เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ภาวะนี้เกิดจากมีการเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาวอย่างรวดเร็วเกินไป จึงไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดขาวที่มีความสมบูรณ์พร้อมได้ เมื่อเม็ดเลือดขาวผิดปกติแล้วก็ไม่อาจจับกับ Globulin ได้ และหลงเหลือ Globulin อยู่ในระบบเช่นเดียวกับมะเร็งไขกระดูก

– ร่างกายเกิดการติดเชื้อหรือมีภาวะที่เป็นพิษ อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า เมื่อภูมิคุ้มกันเพิ่มระดับสูงขึ้นมาก นั่นหมายความว่าต้องมีบางอย่างที่ไม่ปลอดภัย และร่างกายต้องการกำจัดออก เมื่อมีการติดเชื้อเกิดขึ้น ระบบร่างกายจึงส่งสัญญาณให้เร่งผลิตภูมิคุ้มกันขึ้นมา จึงทำให้มีค่าการตรวจ Globulin ในเลือดที่สูงกว่าปกตินั่นเอง
– เป็นโรคตับบางชนิด ซึ่งที่พบได้บ่อยจะเป็นประเภทที่ท่อน้ำดีเกิดการอุดตัน อาจเป็นผลมาจากโรคตับแข็ง ก้อนนิ่ว เนื้องอก หรือดีซ่านก็ได้ทั้งนั้น เมื่อท่ออุดตันเสียแล้ว ไม่ว่าตับจะสร้างองค์ประกอบสำคัญใดๆ ออกมา ก็ย่อมไม่อาจส่งออกไปผ่านทางท่อน้ำดีได้ จึงต้องแก้ไขด้วยการส่งไปทางกระแสเลือด เมื่อเราตรวจเลือดก็จึงพบ Globulin ในปริมาณมาก

รูปแบบการรักษาเมื่อพบว่าค่า Globulin ผิดปกติ

รูปแบบการรักษาเมื่อพบว่าค่า Globulin ผิดปกติเนื่องจากว่า Globulin คือกลุ่มของโปรตีนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเมื่อมีค่าที่ผิดปกติไป ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ก็มักจะเป็นอาการความเจ็บป่วยที่ค่อนข้างรุนแรงทั้งนั้น ไม่เหมือนกับโปรตีนชนิดอื่น อย่างเช่น Albumin ที่บางครั้ง แค่ดื่มน้ำให้มากขึ้น หรือเลือกทานอาหารให้ตรงกลุ่มมากขึ้น ร่างกายก็เข้าสู่สภาวะปกติได้แล้ว
เมื่อการตรวจวัดค่า Globulin แล้วพบว่ามีค่าสูงหรือต่ำเกินไป จึงต้องเร่งดำเนินการตรวจวินิจฉัยโดยละเอียด เพื่อหาสาเหตุให้ได้ว่าเกิดจากอะไรกันแน่ จากนั้นจึงค่อยบำบัดและรักษาตามลำดับอาการต่อไป และในขั้นตอนนี้ผู้เข้ารับการรักษาก็ต้องแจ้งข้อมูลสำคัญของตัวเองทั้งหมดให้กับแพทย์ผู้ดูแลด้วย อย่าได้ละเลย นอกจากจะช่วยให้แพทย์ทำงานได้สะดวกขึ้นแล้ว ก็ยังลดความเสี่ยงของผลกระทบจากโรคประจำตัวที่เราอาจนึกไม่ถึงอีกด้วย
สุดท้ายนี้ การตรวจวัดค่า Globulin ในเลือดนั้น ไม่ได้เป็นกระบวนการที่ยุ่งยากแต่อย่างใดเลย แถมไม่ต้องมีการเตรียมตัวอะไรให้ต้องลำบากอีกด้วย แต่กลับเป็นขั้นตอนทางการแพทย์ที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ที่เข้ารับการตรวจโดยตรง ใครที่มีรูปแบบของโภชนาการไม่ดี มีโรคเกี่ยวกับไตและตับแอบแฝงอยู่ ตลอดจนมีภาวะบกพร่องบางอย่างในภูมิคุ้มกัน การตรวจ Globulin ในเลือด ถือเป็นกิจกรรมเล็กๆ ใช้เวลาไม่นาน แต่คุ้มค่าอย่างแท้จริง

เอกสารอ้างอิง

Harris, T; Eagle (1935). “THE IMMUNOLOGICAL SPECIFICITY OF THE EUGLOBULIN AND PSEUDOGLOBULIN FRACTIONS OF HORSE AND HUMAN SERUM”.

SanchMonge, R.; Lopez-Torrejón, G.; Pascual, C. Y.; Varela, J.; Martin-Esteban, M.; Salcedo, G. (12 November 2004). “Vicilin and convicilin are potential major allergens from pea”. Clinical & Experimental Allergy. 34 (11): 1747–1753.