การเตรียมตัวเองก่อนไปเสริมจมูก แบบง่ายๆ ที่คลินิกทั่วโลกเขาใช้กัน

0
การเตรียมตัวเองก่อนไปเสริมจมูก แบบง่ายๆ ที่คลินิกทั่วโลกเขาใช้กัน
การดูแลตัวเองในช่วงก่อนเสริมจมูกเป็นสิ่งที่สำคัญที่มีส่วนช่วยให้แผลหายเร็ว
การเตรียมตัวเองก่อนไปเสริมจมูก แบบง่ายๆ ที่คลินิกทั่วโลกเขาใช้กัน
การดูแลตัวเองในช่วงก่อนเสริมจมูกเป็นสิ่งที่สำคัญที่มีส่วนช่วยให้แผลหายเร็ว

การเตรียมตัวก่อนเสริมจมูก

การศัลยกรรมเสริมจมูก เป็นศัลยกรรมที่มีคนในความสนใจมากสุดเลยก็ว่าได้ สำหรับใครที่อยากจะปรับเปลี่ยนรูปหน้า โหงวเฮ้งก็มักจะนึกถึงการเสริมจมูกเป็นอันดับแรก 

ความรู้เกี่ยวกับเรื่องศัลยกรรมเสริมจมูก 

1. ควรงดสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยลดโอกาสที่แผลจะหายช้า
2. ควรงดการกินยากลุ่มแอสไพริน หรือไอบิวโพรเฟน เพื่อลดอาการฟกช้ำจากเลือดคั่งหลังผ่าตัด
3. ควรงดทานอาหารประเภทของหมักดอง และอาหารทะเล อย่างน้อย 1 สัปดาห์
4. งดการทานอาหารเสริม น้ำมันตับปลา หรือวิตามินอื่นๆ เพื่อป้องกันอาการเลือดหยุดไหลช้า
5. ผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่า เราเป็นโรคใด กินยาชนิดใด หรือแพ้ยาตัวไหนบ้าง เพื่อแพทย์จะได้ทราบและลดอันตรายภายหลังการเสริมจมูกได้มากขึ้น
6. การงดน้ำและอาหาร ขึ้นอยู่กับรูปแบบว่าคุณจะรับการเสริมจมูกแบบใด
• หากเป็นการดมยาสลบ : ควรงดน้ำและอาหารก่อนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
• หากเป็นการฉีดยาชา : ไม่ต้องงดน้ำและอาหาร แต่ควรทานเป็นอาหารเบาๆ ประมาณ 4-6 ชั่วโมงก่อนเวลาผ่าตัด
7. งดการแต่งหน้า และควรสระผมก่อนให้เรียบร้อย

การดูแลตัวเองหลังไปเสริมจมูก

  1. เตรียมอุปกรณ์ไว้ใช้สำหรับช่วงหลังเสริมจมูก ได้แก่ หมอนรองคอ ผ้าเย็นหรือผ้าขนหนู คอตตอนบัต น้ำเกลือล้างแผล เสื้อที่ใส่แบบติดกระดุม
  2. หลีกเลี่ยงการโดนบริเวณแผล อาทิ การดึง จับ แคะ เพื่อให้ใบหน้ากลับมาสู่สภาพปกติได้เร็วที่สุด
  3. ใส่เสื้อที่มีกระดุมด้านหน้า เพื่อลดการที่จมูกกับสัมผัสกับตัวเสื้อ
  4. หลังจากการผ่าตัด ควรประคบเย็น 3 วัน หลังจากนั้นให้ประคบอุ่น เพื่อให้เลือดไหลเวียนดี หรือจะใช้แบบเจลประคบแบบซอง หรือที่เป็นแผ่นใหญ่ๆ ก็ได้ค่ะ
  5. งดสูบบุหรี่ และงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
  6. งดกินของแสลงประเภทอาหารหมักดอง หลังการทำจมูกเพื่อไม่ให้แผลหายช้า
  7. ทานยาที่แพทย์สั่งให้อย่างเคร่งครัด
  8. ควรงดการออกกำลังกายก่อนสัก 1 เดือน โดยเฉพาะการออกกำลังกายหนักๆที่ต้องใช้แรงกระแทก
  9. งดการแต่งหน้า และเสริมความงามใบหน้า เช่น การกดสิว และยิงเลเซอร์ เพราะอาจทำให้ยิ่งเกิดการอักเสบและแผลหายช้ามากขึ้น
  10. หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีฝุ่นมากๆ เพราะอาจก่อให้เกิดการไอ จาม สั่งน้ำมูก แต่หากจำเป็นจริงๆ ควรใส่ Mask ป้องกันไว้ โดยใช้แบบวันต่อวันนะคะ พอใช้หมด 1 วันแล้วก็ทิ้งไปเลย ไม่ต้องเสียดาย เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นการหมักหมมค่ะ   
  11. ล้างหน้าเบาๆ หรือจะใช้สำลีชุบน้ำมาเช็ดเบาๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มือเราสัมผัสถูกหน้าแรงเกินไป
  12. ในช่วงแรกๆ ควรทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก หรือข้าวต้มไปก่อน และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ดจัด เพราะอาจทำให้เราไอ หรือจาม

นอกจาก 12 วิธีที่กล่าวไปแล้ว การเลือกทานอาหารที่ช่วยลดอาการบวมช้ำภายหลังการเสริมจมูก อาทิ ฟักทอง และใบบัวบก ก็จะยิ่งช่วยลดอาการบวมได้ดียิ่งขึ้น บทความหน้าเราจะพูดถึงประเภทของ วัสดุที่นำมาเสริมจมูก กันแล้ว สาวๆ อย่าลืมติดตามผ่านหน้าจอกันด้วยเพื่อไม่ให้พลาดข่าวคราวความสวยความงามที่สำคัญค่ะ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Heidingsfeld, M. L. (1906). “Histopathology of paraffin prosthesis”. J Cutan Dis. 24: 513–521.

อยากสวยต้องรู้ วัสดุที่นำมาใช้ในการเสริมจมูกได้แก่อะไรบ้าง

0
อยากสวยต้องรู้ ! วัสดุที่นำมาใช้ในการเสริมจมูกได้แก่อะไรบ้าง
การใช้สารเติมแต่ง Filler ไม่ต้องผ่าตัด ใช้เวลาน้อย เพียง 10-20 นาที
อยากสวยต้องรู้ ! วัสดุที่นำมาใช้ในการเสริมจมูกได้แก่อะไรบ้าง
ซิลิโคนเสริมจมูก เป็นวัสดุทางการแพทย์ ปรับแต่งรูปทรงขึ้นมาเพื่อใช้ในการเสริมจมูก เป็นวิธีที่แพร่หลายและได้ผลดีมากที่สุด

วัสดุที่ใช้เสริมจมูก 

อย่างที่เคยกล่าวไปแล้วนะคะ ว่าการนำสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกายของเรานั้นเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง แค่มีเงินเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ สาวๆ จะต้องรู้ด้วยว่า การเสริมจมูก นั้นดีอย่างไร และมีรูปแบบไหนบ้าง ซึ่งเราได้พูดถึงกัน  ไปบ้างแล้ว คราวนี้เราจะมาเจาะลึกลงไปถึงวัสดุที่นำมาเสริมจมูกกันดูบ้าง เชื่อว่าสาวๆ หลายๆ คน ถ้าพูดถึง วัสดุที่ใช้เสริมจมูก ก็คงคิดถึงซิลิโคนแท่งกันใช่ไหมคะ นั่นก็มีส่วนถูกค่ะ แต่นอกจากซิลิโคนแล้ว ยังมีวัสดุอื่นๆ อีก ดังนี้ค่ะ 

ความรู้เกี่ยวกับเรื่องศัลยกรรมเสริมจมูก

1. เสริมจมูกแบบไหน และอย่างไรดี ถึงจะปัง

2.การเตรียมตัวเองก่อนไปเสริมจมูก

3.วัสดุที่นำมาใช้ในการเสริมจมูก

4.ซิลิโคนแต่ละแบบ มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร

5.ทรงจมูกสุดฮิต ที่สาวไทยนิยมทำมากที่สุด

วัสดุที่ใช้เสริมจมูก

  1. จากร่างกายของคนไข้เอง เช่น กระดูก กระดูกอ่อน ไขมันหน้าท้องหรือต้นขา
  2. วัสดุสังเคราะห์ เช่น ซิลิโคนแท่ง สารเติมแต่ง ( Filler ) และ Gore tex

การนำมาใช้ของวัสดุชนิดต่างๆ

1. กระดูก / กระดูกอ่อน

  • ใช้ทำจมูกคนไข้ที่มีรูปร่างผิดรูป เนื่องจากอุบัติเหตุ หรือเกิดการพิการในส่วนต่างๆ
  • ใช้ในกรณีที่คนไข้ต้องการจมูกปลายหยดน้ำ
  • หรือรายที่ซิลิโคนเสริมจมูกสูงมาก จนหนังปลายจมูกบาง จึงใช้กระดูกอ่อนหลังใบหูมาช่วยเสริมให้ดูโค้งมน ดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
  • แต่เนื่องจากกระดูกอ่อนบริเวณใบหูมีจำกัด จงเหมาะกับผู้ที่ต้องการแต่งเสริมเพียงบางส่วนเท่านั้น
  1. ไขมันหน้าท้องหรือต้นขา
  • สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการให้สิ่งแปลกปลอมอื่นๆ เข้าไปในร่างกาย เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายในอนาคต
  • เหมาะกับผู้ที่มีสภาพปัญหาไม่มาก เช่น ปลายจมูกสวยอยู่แล้วแต่ขาดดั้งเล็กน้อย หรืออยากสวยตามธรรมชาติ
  • วิธีนี้จะช่วยให้ไม่มีปัญหาเรื่องการแพ้ ทะลุ หรือเอียง แต่ก็มีข้อจำกัดว่า อาจตกแต่งทรงจมูกไม่ได้มากตามที่ต้องการเหมือนซิลิโคน หรือวัสดุอื่นที่คงรูปกว่า
  1. ซิลิโคนเสริมจมูก
  • ซิลิโคนแบ่งออกเป็น ซิลิโคนสำเร็จรูป และแบบซิลิโคนแท่ง ที่ต้องนำมาเหลาเอง
  • ข้อดี คือ ได้รูปทรงที่แน่นอน ไม่ค่อยเอียง
  • เลือกซิลิโคนได้ตามลักษณะความอ่อน-แข็ง
  • บางคนคิดว่าควรเสริมจมูกด้วยการเลือกซิลิโคนแบบนิ่มๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา แต่จริงๆ แล้ว ถ้าเลือกแบบที่นิ่มมากเกินไป ก็อาจทำให้ซิลิโคนยุบตัวลงได้ค่ะ
  1. Gortex

กอร์เท็กซ์ เป็นวัสดุสังเคราะห์อย่างหนึ่งในกลุ่มของพลาสติกซึ่งมีความปลอดภัย ซึ่งข้อดีของ กอร์เท็กซ์ คือ เข้ากับเนื้อเยื่อได้ ไม่เกิดการต่อต้านกับร่างกาย  ตกแต่งรูปทรงได้สวยเป็นธรรมชาติ และทำได้ง่ายกว่าซิลิโคน รวมถึงเกิดโอกาสเบี้ยว หรือพังผืดยึดน้อยมาก แต่ก็มีข้อจำกัดตรงที่ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการเสริมจมูกโดยใช้วัสดุอื่นๆ

  1. การใช้สารเติมแต่ง Filler

วิธีนี้เป็นอีกวิธีที่นิยมกันมาก เนื่องจากใช้เวลาน้อย เพียง 10-20 นาทีก็เสร็จ ไม่ต้องผ่าตัด

ไม่ต้องนอนพักฟื้น และที่สำคัญ ไม่มีอาการเจ็บหรือบวมมาก สามารถไปทำงานต่อได้เลย ทำให้เป็นวิธีเสริมจมูกที่ถูกใจสาวๆ มนุษย์เงินเดือน แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ต้องระมัดระวังเรื่องการใช้สารที่ไม่ปลอดภัย เพราะอาจทำให้จมูกผิดรูป หรือเกิดก้อนได้ในภายหลัง และวิธีแก้ไขก็ยากมาก ดังนั้น สาวๆ จึงควรเลือกปรึกษาเฉพาะแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง เพื่อให้ได้รับความปลอดภัยสูงสุด

เป็นยังไงกันบ้างคะ กับเรื่องราวน่ารู้ของ วัสดุที่ใช้เสริมจมูก ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ แต่เนื้อหาสาระก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะคราวหน้าเราจะมาพูดถึงซิลิโคนแต่ละชนิด รวมถึงข้อดี ข้อเสียกัน อย่าลืมติดตามอ่านตอนต่อไปกันนะคะ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Heidingsfeld, M. L. (1906). “Histopathology of paraffin prosthesis”. J Cutan Dis. 24: 513–521.

เสริมจมูกแบบไหน และอย่างไรดี ถึงจะปัง พร้อมข้อดีและเสีย

0
เสริมจมูกแบบไหน และอย่างไรดี ถึงจะปัง พร้อมข้อดีและเสีย
การเสริมจมูกแบบปิด แผลจะอยู่ด้านในรูจมูก แพทย์จะใส่ซิลิโคนตั้งแต่สันจมูก ไปจนถึงปลายจมูก
เสริมจมูกแบบไหน และอย่างไรดี ถึงจะปัง พร้อมข้อดีและเสีย
จมูกเป็นจุดสำคัญของรูปหน้า เสริมความมั่นใจให้ตัวเอง บุคลิกภาพให้ดีขึ้นและปรับโหงวเฮ้งให้ดีขึ้น

เสริมจมูก

สาวๆ รู้ไหมคะ ว่าการ เสริมจมูก ที่ใครก็พูดถึงเนี่ย ไม่ใช่ว่าเราขึ้นเขียงปุ๊บ แล้วหมอจะผ่าให้เราได้เลย ชั้บๆๆ อย่างนั้นนะคะ คุณหมอต้องดูก่อนว่า รูปทรงจมูก ของเราเป็นอย่างไร นอกจากนี้ แค่มีเงินก็ยังไม่พอ สาวๆ ควรจะต้องรู้ก่อนว่า การเสริมจมูก มีแบบไหน ? และแต่ละแบบมีข้อดี ข้อเสียอย่างไรบ้าง ถึงจะได้ผลดีและคุ้มค่ากับเงินที่เราจ่ายไป และเพื่อประกอบการตัดสินใจ วันนี้ทางเวป amprohealth.com จึงได้ คัดสรรสาระดีๆ มาฝากกันแล้ว ไปอ่านกันเลยค่ะ   

การเสริมจมูก คือ การผ่าตัดเพื่อปรับรูปร่างลักษณะของจมูกใหม่ ช่วยแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการหายใจที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุหรือความบกพร่องแต่กำเนิด

เสริมจมูกไปเพื่ออะไร

  1. เสริมจมูกเพื่อช่วยแก้ไขรูปทรงจมูกให้สวยขึ้น
  2. เสริมจมูกเพื่อปรับโหงวเฮ้งให้ดีขึ้น
  3. เสริมจมูกความมั่นใจและบุคลิกภาพให้ดีขึ้น ภาพลักษณ์ดีขึ้น /สาวๆ มีความมั่นใจในรูปหน้าและจมูกตัวเองมากยิ่งขึ้น / ความกังวลใจลดน้อยลง

จมูกแบบไหนที่ต้องไปเสริมจมูก

เชื่อกันว่าก่อนสาวๆจะ เสริมจมูก ต้องหาข้อมูล รีวิวทำจมูกมาแล้วบ้าง ว่าทำจมูกทรงไหนสวย และส่วนใหญ่รูปทรงจมูกที่เราคิดว่าไม่สวยเท่าที่ควร และอยากจะแก้ไข ได้แก่

  1. จมูกบาน
  2. จมูกเบี้ยว
  3. จมูกแบน
  4. จมูกมีฮัมพ์ : บริเวณแนวจมูกมีกระดูกนูนๆ ขึ้นมาคล้ายหลังอูฐ

อ่านเพิ่มเติม: 7 ทรงจมูกสุดฮิต ที่สาวไทยนิยมทำมากที่สุด

รูปแบบการเสริมจมูก

1.การเสริมจมูกแบบเปิด ( Open Technique )

วิธีนี้เป็นการเปิดแผลที่บริเวณฐานจมูกของคนไข้ จะใช้วิธีกรีดผ่าจมูกในแนวดิ่ง แล้วทำการแยกเนื้อ

และผิวหนังออกจากโครงสร้างจมูก วิธีนี้จะทำให้คุณหมอเห็นปัญหาของรูปทรงจมูกคนไข้ได้ง่ายขึ้น จึงช่วยปรับแก้ไขทรงจมูกได้ตรงจุด และมีความครบถ้วน สมบูรณ์ 

ข้อดีการทำจมูกแบบเปิด

  1. โอกาสที่จมูกจะเบี้ยวมีน้อย
  2. สามารถตกแต่งให้สวยเนียนได้เป็นธรรมชาติ
  3. ป้องกันไม่ให้ผิวหนังทะลุในอนาคต

ข้อเสียการทำจมูกแบบเปิด :

  1. บางครั้งอาจต้องใช้ยาสลบในการผ่าตัด
  2. ใช้เวลานาน และอาจเกิดอาการบวมช้ำได้นานกว่าการเสริมจมูก แบบปิด
  3. ราคาสูง

2.การเสริมจมูกแบบปิด (Closed Technique)

วิธีนี้เป็นการศัลยกรรมเสริมจมูกแบบทั่วไป แผลจะอยู่ด้านในรูจมูก แพทย์จะใส่ซิลิโคนตั้งแต่สันจมูก ไปจนถึงปลายจมูก วิธีนี้เป็นที่นิยมกันมาก เนื่องจากแผลเล็กและไม่บวมมาก

ข้อดี

  1. ใช้เวลาไม่นาน
  2. การดูแลตัวเองก็ไม่ยุ่งยาก
  3. ค่ารักษาไม่แพง

ข้อเสีย

  1. มีโอกาสที่จมูกจะเบี้ยวมากกว่าการ เสริมจมูก แบบเปิด
  2. การตกแต่งอาจทำไม่ได้เรียบเนียนสวย หรือจมูกโด่งเท่าแบบเปิด

วัสดุที่ใช้เสริมจมูก มีอะไรบ้าง ?

การเสริมจมูก สมัยนี้ ไม่ได้ใช้ ซิลิโคนเพียงอย่างเดียวแล้วนะ จริงๆ มีวัสดุอีกหลายตัวเลย

หลังจากที่เราได้พูดถึงรูปแบบการเสริมจมูกไปแล้วว่า มี การเสริมจมูกแบบเปิด (Open Technique) และ การเสริมจมูกแบบปิด (Closed Technique) รวมถึง สิ่งที่ควรคำนึงก่อนการไปทำจมูก กันไปแล้ว แต่ๆๆๆ แค่ข้อมูลเท่านั้นยังไม่พอค่ะ เพราะว่าการศัลยกรรมนี่ก็เหมือนการผ่าตัดชนิดหนึ่งนี่แหละ ดังนั้น สาวๆ จึงควรรู้วิธีเตรียมตัวก่อน และการดูแลตัวเองหลังไปเสริมจมูกมากันด้วย เรามาตามอ่านกันต่อเลยค่ะ การเตรียมตัวเองก่อนไป เสริมจมูก

สิ่งที่ควรคำนึงก่อนการไปเสริมจมูก

ที่กล่าวมาข้างต้น ก็เป็นรูปแบบของการทำจมูก นะคะ แต่ยังมีสิ่งสำคัญอื่นๆ ที่สาวๆ ควรนำมาพิจารณาก่อนตัดสินใจ ดังนี้ค่ะ 

  1. แน่นอนล่ะ ว่าการศัลยกรรมเพื่อเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดเข้าไปในร่างกายเรานั้นเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้น

สาวๆ จึงควรปรึกษาแพทย์ที่มีความชำนาญด้านนี้จริงๆ เพื่อลดผิดพลาดให้น้อยที่สุด

  1. เรามีโรคประจำตัวอะไรไหม เช่น โรคเบาหวาน อาจทำให้แผลหายช้ากว่าปกติ โรคหัวใจอาจส่งผลต่อความดันเลือด หรือผู้ที่เป็นภูมิแพ้ หรือเป็นไซนัสก็อาจมีผลในช่วงหลังเสริมจมูก

ดังนั้น ก่อนที่จะไปเสริมจมูก ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงหลังการผ่าตัด

  1. หาข้อมูลจากผู้ใช้จริง เช่น รีวิวหลังการไป เสริมจมูก
  2. เมื่อหาข้อมูลได้แล้ว ก็ลองเลือกโรงพยาบาลหรือคลินิกมาสัก 2-3 แห่ง แล้วเข้าไปถามเขาให้ละเอียด เรื่องการรักษา และการดูแลตัวเอง อย่าเกรงใจ หรือเหนียมอาย เพราะจมูกนี้จะต้องอยู่กับเราไปตลอดชีวิตนะคะ

นอกจากนี้ อย่าลืมดูความพร้อมของกระเป๋าเงินเราด้วยนะคะ ถ้าจมูกสวย แต่ป่วยด้วยโรคทรัพย์จางอย่างนี้ก็คงไม่ดีแน่เลย ค่อยๆ คิด ค่อยๆหาข้อมูลและเตรียมเงินให้พร้อมจริงๆ ก่อนจะดีกว่าค่ะ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Heidingsfeld, M. L. (1906). “Histopathology of paraffin prosthesis”. J Cutan Dis. 24: 513–521.

Duffy, D. (1998). “Injectable liquid silicone: New perspectives”. In Klein, A. W. Tissue Augmentation in Clinical Practice: Procedures and Techniques. New York: Marcel Dekker

แป้งเจ้านาง พัฟแห้ง เปียก ภายในตัว กันน้ำ ปกติดริ้วรอยได้ดังใจ

0
รีวิวแป้งเจ้านาง พัฟแห้ง เปียก ภายในตัว กันน้ำ ปกติดริ้วรอยได้ดังใจ
ช่วยการปกปิดริ้วรอยจากสิว รอยแผลเป็น สามารถกันน้ำได้ดี มี SPF 20 PA+++  ติดทนนาน สามารถใช้ได้ทั้งพัฟแห้ง และ เปียก
รีวิวแป้งเจ้านาง พัฟแห้ง เปียก ภายในตัว กันน้ำ ปกติดริ้วรอยได้ดังใจ
ช่วยการปกปิดริ้วรอยจากสิว รอยแผลเป็น สามารถกันน้ำได้ดี มี SPF 20 PA+++  ติดทนนาน สามารถใช้ได้ทั้งพัฟแห้ง และ เปียก

แป้ง เจ้านาง

สวัสดีค่าาา วันนี้ ก็ไม่มีอะไรมากมาย อยากจะมา รีวิวแป้งเจ้านางให้ฟังคะว่า มันดียังไง ซึ่งก่อนอื่นเลยขอเกริ่นก่อนเลยว่า ตัวเราเอง ไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่าย หรือ เป็นเจ้าของ แป้งเจ้านาง แต่อย่างใดนะคะ ดังนั้นไม่ต้องกลัวเลยว่าเราจะมาหลอก อิอิ 

ก่อนอื่นเลย ต้องบอกว่าเรา เป็นคนที่มี ผิวสีค่อนข้างที่จะ คล้ำมาก ๆ เลยคะ แถมยังมีรอยสิว รอยดำอยู่บนใบหน้าอีกด้วยซึ่งมันทำให้เรา ขาดความมั่นใจไปเลยคะ ไม่กล้าที่จะออกไปไหน

ยิ่งเฉพาะตอนที่ไปโรยงเรียนนี่ อายเพื่อนห้องอื่นมากๆเลย คะ พยามแต่งหน้าแล้ว แต่มันก็ปกปิดไม่มิด จะแต่งแบบหนาๆก็ไม่ได้ เพราะทางโรงเรียนเขาก็มีกฏอยู่

สุดท้าย  ไปสะดุดตากับ คลิป ๆ หนึ่ง ซึ่ง เขาเป็น YOUTUBER ที่รีวิวเกี่ยวกับพวกเครื่องสำอางค์ โดยเฉพาะ ซึ่งเขากำลังพูดถึงเกี่ยวกับ แป้งเจ้านาง ที่สามารถปกปิดได้อย่างธรรมชาติ สามารถกันน้ำได้ดี แถมยังมีราคาที่สามารถเอื้อมถึงได้อีกด้วย

เราไม่รอช้า รีบหาข้อมูลต่อทันทีเลยว่า แป้งเจ้านาง เนี่ย มันราคาเท่าไร แล้วมันมีคุณสมบัติที่สำคัญอะไรบ้าง พยามหาเหตุผลให้ได้ ว่าทำไม เหล่า Bloger ชื่อดังถึงต่างให้ความสนใจกันมากขนาดนี้ สุดท้ายได้ข้อมูลมาดังนี้

แป้งเจ้านาง เป็นแป้งที่ถูกผลิตขึ้นในประเทศไทย นั่นหมายความว่า เป็นแบรนด์ คนไทย

แป้งเจ้านาง มีให้เลือกทั้งหมด 4 เฉดสี
C1: แป้งเจ้านาง เป็นเฉดสีที่เหมาะสมกับ คนที่มีผิวขาวอมชมพูคะ
C2: แป้งเจ้านาง เหมาะกับ คนที่มีสีผิวแทน ไม่ขาว ไม่ดำ “สีผิวคนไทย นิยมมาก”
C3: แป้งเจ้านางตัวนี้ เหมาะสมกับเรามากที่สุดเลย ก็คือ คนที่มีผิวคล้ำ < ทุกวันนี้เราใช้ตัวนี้อยู่ รู้สึกว่าถูกใจมากๆ เลย เหมือนเค้าตั้งใจทำมาเพื่อ เราโดยเฉพาะ “แอบมโน”
C21: แป้งเจ้านาง ตัวนี้เป็นเฉดสีใหม่คะ เหมาะสำหรับ ผิวขาวเหลือง ส่วนตัวแล้วเคยลองของเพื่อน มันก็แตกต่างจาก C2 ไม่มากเท่าไรนะคะ

คุณสมบัติแป้งเจ้านาง

แน่นอน ก็คงจะหนีไม่พ้นของเรื่อง ช่วยการปกปิดริ้วรอยจากสิว รอยแผลเป็น สามารถกันน้ำได้ดี มี SPF 20 PA+++  ติดทนนาน ไม่ต้องเติมบ่อยระหว่างวัน สามารถใช้ได้ทั้งพัฟแห้ง และ เปียกค่ะ

แต่สิ่งที่แป้งเจ้านาง เด่นกว่าแป้งอื่นก็คือ มีสารสกัดจากน้ำมันตับปลาฉลาม ที่ขึ้นชื่อด้วยประโยชน์ของการบำรุงผิว เพราะว่ามีโครงสร้างใกล้เคียงกับ น้ำมันใต้ผิว มนุษย์คนเราคะ

รีวิวแป้งเจ้านาง

99.98% ของผู้ทดลองใช้ แป้งเจ้านาง พึงพอใจเป็นอย่างมากคะ เพราะว่าใช้แล้วไม่แพ้ สิวไม่ขึ้น ถ้าหากว่าไม่เชื่อลองดูรีวิวแป้งเจ้านาง เพิ่มเติมเอาเองแล้วกันนะคะ

แป้งเจ้านางหาซื้อได้จากที่ไหน

แป้งเจ้านาง หาซื้อได้จาก Eve and boy, Konvy, Beauticool, lashes, Stardust ,
Suncosmate , Beauty club, Beauty market, CJ Express, Tesco Lotus
และ ตัวแทนจำาหน่ายทั่วประเทศ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Japsen, Bruce (15 June 2009). “AMA report questions science behind using hormones as anti-aging treatment”. The Chicago Tribune. Retrieved 17 July 2009.

How to น่ารู้สำหรับสาวๆ ที่อยากสวยด้วยวิธีการร้อยไหม

0
How to น่ารู้สำหรับสาวๆ ที่อยากสวยด้วยวิธีการร้อยไหม
การร้อยไหม คือ การศัลยกรรมโดยการนำเส้นไหมเส้นเล็กจำนวนมากมาร้อยลงไปในบริเวณใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นเซลล์ที่หน้าให้สร้างคอลลาเจนออกมาใหม่
How to น่ารู้สำหรับสาวๆ ที่อยากสวยด้วยวิธีการร้อยไหม
การร้อยไหม คือ การศัลยกรรมโดยการนำเส้นไหมเส้นเล็กจำนวนมากมาร้อยลงไปในบริเวณใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นเซลล์ที่หน้าให้สร้างคอลลาเจนออกมาใหม่

ร้อยไหม

เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก ไหนจะปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไหนจะหน้าเป็นรูปโอเชฟ (โอเชฟก็คือหน้ากลมๆนี่เอง ><”)  หันไปทางไหนก็มีแต่คนสวยด้วยวิธีร้อยไหม ว่าแต่ว่า การร้อยไหม คืออะไร และมันดียังไงกันล่ะ วันนี้เว็บไซต์ thaibeautysurgery.com หาคำตอบมาให้สาวๆ กันแล้วไปอ่านกันเลยค่ะ 

  • การร้อยไหมคืออะไร

การร้อยไหม คือ การศัลยกรรมวิธีหนึ่ง โดยการนำเส้นไหมเส้นเล็กจำนวนมากมาร้อยลงไปในบริเวณใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นเซลล์ที่หน้าให้สร้างคอลลาเจนออกมาใหม่ ทำให้เลือดไหลเวียนไปยังบริเวณที่ร้อยไหมได้ดีขึ้น และผิวยังตึงกระชับขึ้นอีกด้วย

  • การร้อยไหมเหมาะกับใคร

การร้อยไหม เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีปัญหาเรื่องผิวหน้าหย่อนคล้อย อยากฟื้นฟูสภาพผิวหน้าให้กลับมาเปล่งปลั่ง ตึงกระชับ และผู้ที่อยากร้อยไหมเพื่อปรับรูปหน้าให้เป็นรูปวีเชฟเรียวสวย

  • เส้นไหมมีแบบไหนบ้าง

เส้นไหมที่นำมาร้อยไหมมีอยู่ 2 ประเภท คือ

  1. เส้นไหมละลาย

ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นไหมที่ละลายได้ และเป็นไหมประเภทเดียวกันกับที่ใช้ใน
เรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติม : เส้นไหมละลาย

การผ่าตัด จึงได้รับความนิยมจำนวนมาก เพราะไม่มีอันตรายเรื่องสารตกค้าง และมีโอกาสติดเชื้อได้น้อย เช่น เส้นไหมรูปกรวย เส้นไหมรูปก้างปลา

  1. เส้นไหมถาวร

การร้อยไหมแบบนี้มีข้อดี คือ อยู่ได้นาน และเห็นผลในการยกกระชับผิวได้มากกว่า

ไหมละลาย เช่น ไหมทองคำ แต่ต้องระวังเรื่องความร้อนและการศัลยกรรมที่ใช้ความร้อนหรือเลเซอร์ด้วย

  • ข้อดีของการร้อยไหม

    • ร้อยไหม ไม่ต้องผ่าตัด
    • ร้อยไหม ไม่ใช้เวลานาน
    • ร้อยไหม ไม่มีรอยแผลขนาดใหญ่ให้เป็นที่กังวลใจของสาวๆ
    • ร้อยไหม มีผลข้างเคียงน้อย
    • ร้อยไหม เห็นผลหลังทำทันที
  • ข้อเสียของการร้อยไหม

    • แม้จะไม่ใช่การผ่าตัด แต่ก็อาจมีความเจ็บจากการฉีดยาชาจากการร้อยไหม
    • ร้อยไหมอาจมีอาการผิวหนังบวมแดงเนื่องจากแพ้ไหมละลาย
    • มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากการร้อยไหมลงไปใต้ผิวหนัง
    • ร้อยไหมอาจเกิดรอยบุ๋มของผิวหนัง หรือผิวหนังสองข้างกระชับไม่เท่ากัน
    • หากไม่ได้ใช้ไหมละลาย อาจมีสารตกค้างอยู่ในร่างกาย
    • หากเป็นไหมทองอาจมีราคาสูง ดังนั้น ผู้ที่คิดจะศัลกรรมด้วยการร้อยไหม จึงควรพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจ
  • วิธีการดูแลตัวเองหลังจากการร้อยไหม

    • ไม่ควรทำเลเซอร์หรือหัตถการใดๆ กับใบหน้าประมาณ 2 สัปดาห์
    • ไม่ควรนวดหน้าแรงๆ บริเวณที่ร้อยไหมเป็นเวลา 2 เดือน
    • หากมีอาการผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
  • สิ่งที่ต้องคำนึงก่อนไปร้อยไหม

  1. สาวๆ ควรหาข้อมูลเบื้องต้นก่อน ว่าไปร้อยไหมแล้วดียังไง มีข้อเสียตรงไหน และมีผลข้างเคียงยังไงบ้าง ด้วยการหาข้อมูลจากในอินเตอร์เน็ต จากเพื่อน หรือดูผลของผู้ใช้จริงก่อน เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ
  2. ควรเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีความน่าเชื่อถือ เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ดีที่สุด
  3. การร้อยไหมเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าในช่วงอายุ 35-55 ปี ดังนั้น ผู้ที่อายุยังน้อย ควรพิจารณาเรื่องความคุ้มค่าของราคาที่จะเสียไป หรือพิจารณาแนวทางการศัลยกรรมผิวหน้าด้วยวิธีการอื่นๆ ร่วมด้วย

เป็นยังไงกันบ้างกับข้อมูลเรื่องการ ร้อยไหม ที่ทางเวปของเรานำมาฝากกัน หวังว่าจะเป็น

ประโยชน์ต่อสาวๆ กันบ้างไม่มากไม่น้อย และคราวหน้าจะมี How to เกี่ยวกับความสวยความงามเรื่องอะไรมาฝากกันอีก อย่าลืมติดตามกันนะคะ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“New technique changing eyes from brown to blue sparks debate”, Chencheng Zhao. Medill Reports Chicago, Northwestern University. March 8, 2016. Retrieved 5 feb 2017

Uhr, Barry W. History of ophthalmology at Baylor University Medical Center. Hi Proc (Bayl Univ Med Cent). 2003 October; 16(4): 435–438. PMID 16278761

ปากกระจับ | ปากบาง | ปากปีกนก

0
รีวิวปากกระจับ | ปากบาง | ปากปีกนก
ปากกระจับ หรือ ปากปีกนก เป็นรูปปากที่ดูสวยงามนั้นจะทำให้รูปปากมีความอ่อนหวานชวนมีสเน่ห์
รีวิวปากกระจับ | ปากบาง | ปากปีกนก
ปากกระจับ หรือ ปากปีกนก เป็นรูปปากที่ดูสวยงามนั้นจะทำให้รูปปากมีความอ่อนหวานชวนมีสเน่ห์

ปากกระจับ

เรามั่นใจว่าหลายคนคงอาจจะรู้สึกว่า การมีริมฝีปากหนานั้น จะต้องสร้างปัญหาให้ชีวิตอย่างแน่นอน ถึงขนาดที่ว่า บางคนไม่กล้าออกที่จะพรีเซนต์งานหน้าที่ประชุม ไม่กล้าถ่ายรูป หรือไม่กล้าพูดจากับคนที่ไม่สนิทสนม ซึ่งปัญหาเหล่านี้นั้น ได้ส่งผลให้เกิดความไม่มั่นใจ แต่ในปัจจุบัน เรามีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปมาก ซึ่งการจะแก้ไขปากให้บางลงหรืออยากจะให้เป็น ปากทรงกระจับ ที่ได้รูปสวย ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากอีกต่อไป โดยทางแพทย์จะพยายามซ่อนแผลเป็นเพื่อให้อยู่ในเนื้อเยื่ออ่อน ทำให้มองไม่เห็นแผลเป็นเวลาเรายิ้ม 

ซึ่งการตกแต่งริมฝีปากเพื่อให้ได้รูปนั้น บางทีก็ขึ้นอยู่กับเนื้อปากเดิมด้วย ว่ามีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งแพทย์จะทำการประเมินดูรูปปากของคนไข้ก่อน โดยอาศัยองค์ประกอบอื่นๆ ที่อยู่บนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นตา จมูก คิ้ว โหนกแก้ม หน้าผาก คาง รวมถึงโครงสร้างของฟันด้วย นั่นก็เพื่อให้ริมฝีปากบนและล่างได้สัดส่วนที่พอเหมาะ รับกับใบหน้าของคนไข้ เพื่อความเป็นธรรมชาติที่สุด

ซึ่งรูปปากที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในขณะนี้คือการมี ปากกระจับ หรือ ปากปีกนก เพราะการมีรูปปากที่ดูสวยงามนั้นจะทำให้รูปปากมีความอ่อนหวานชวนมีสเน่ห์ ซึ่งในรูปทรงปากบางและปากกระจับนั้น ทำให้การศัลยกรรมปากบางหรือ ปากกระจับ นั้น ต้องกระทำการโดยศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางที่เป็นการตกแต่งริมฝีปากเท่านั้น

นั่นก็เพื่อให้ดูเป็นความกระจับที่เพิ่มขึ้นเพื่อความสวยงามที่มากยิ่งขึ้น ซึ่งการทำ ศัลยกรรมปากบาง หรือ ปากกระจับ นั้น จะสามารถช่วยในการแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยในการสร้างความมั่นใจให้กับคนที่กำลังประสบปัญหาที่เผชิญอยู่ ซึ่งจะมีคนไข้บางรายเพียงเท่านั้นที่จะมีริมฝีปากหรือรูปปากที่ไม่ได้สัดส่วน ดังนั้น คนไข้จึงควรและจำเป็นที่จะต้องพบศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางด้วยตัวของท่านเองก่อน เพื่อให้แพทย์ผู้ทำดูว่าเหมาะแก่การตกแต่งริมฝีปากหรือไม่

เราบอกแล้วว่าการทำ ศัลยกรรมปากบางที่เป็นที่นิยมนั้น มักจะนิยมทำในหลุ่มคนไข้ที่มีริมฝีปากหนาซึ่งไม่รับกับใบหน้า และการทำศัลยกรรมปากกระจับนั้น ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีริมฝีปากบนค่อนข้างหน้า และมีรูปทรงไม่สวยงาม ซึ่งการทำปากกระจับนั้นก็จะทำให้คุณดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น และนอกจากนี้แล้วยังสามารถช่วยในการแก้ไขลักษณะริมฝีปากที่มี ความผิดรูป ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีเนื้องอก มีการติดเชื้อ และมีการอักเสบทำให้ริมฝีปากนั้นบวมหนา จนกลายเป็นแผลเป็น

การเตรียมตัวก่อนทำปากกระจับ

ซึ่งการเตรียมตัวก่อน ศัลยกรรมปากกระจับ นั้น สิ่งแรกที่คุณลูกค้าจะต้องทำ คือการแจ้งประวัติการแพ้ยา ยาและอาหารเสริมที่กำลังรับประทาน รวมถึงโรคประจำตัว ประวัติการผ่าตัดให้กับแพทย์ได้ทราบ และจะต้องนำยาที่รับประทานประจำมาให้แพทย์ประเมินด้วย นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการงดรับประทานยาละลายลิ่มเลือด วิตามินกลุ่ม เอ อี และซี สมุนไพร  น้ำมันปลา เมล็ดองุ่น ใบแปะก๊วย โสม ในช่วง 2 สัปดาห์ ก่อนรับบริการ 

สำหรับการดูแลช่องปาดก่อนการผ่าตัดก็จะรวมไปถึง การแปรงฟันให้สะอาดก่อนการผ่าตัด ต้องทำการเตรียมปากให้ชุ่มชื้นเช่นการบำรุงริมฝีปาก ก่อนการผ่าตัด 2 สัปดาห์ นั่นก็เพื่อให้แผลที่มีนั้นหายดีอย่างรวดเร็วหลังการผ่าตัด และที่สำคัญที่สุดคือ งดสูบบุหรี่ก่อนทำการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์

นั่นก็เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อและระยะการบวมที่อาจจะนานกว่าปกติ งดแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 สัปดาห์ ตอนช่วงระหว่างผ่าตัด ไม่ควรใช้เครื่องสำอางใดๆ เพราะมันจะทำให้ยากแก่การเช็ดออกก่อนผ่าตัดและการไม่แต่งหน้ายังช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อด้วย ที่สำคัญคือไม่ควรใส่คอนเทคเลนส์ขณะเข้ารับการผ่าตัด รวมไปถึงการใส่ของมีค่าที่เป็นโลหะเช่น แหวน กำไล ต่างหู สร้อยคอ สร้อยข้อมือ นาฬิกา ก็ไม่ควรสวมใส่ขณะเข้ารับการผ่าตัด ที่สำคัญสุดๆคือ ห้ามขับรถกลับที่พักตามลำพัง

นอกจากนี้ สิ่งที่คุณจะต้องปฏิบัติตามยังมีอีก ไม่ว่าจะเป็น การเตรียมเสื้อเชิ้ตหลวมๆ ที่มีกระดุมหน้า นั่นก็เพื่อง่ายต่อการถอดและสวมใส่ รวมไปถึงควรใส่รองเท้าส้นเตี้ย และคุณไม่ต้องอดอาหาร แต่ควรรับประทานอาหารไม่ให้อิ่มเกินไป หากพบว่าตัวเองเป็นหวัด ไอ หรือป่วย คุณจะต้องงดการผ่าตัดในช่วงเวลาดังกล่าว และที่สำคัญที่สุดนั้นคือ ควรทำใจให้สบาย และอย่าวิตกกังวลให้มากเกินไป

ขั้นตอนการผ่าตัดศัลยกรรมปากกระจับ

รีวิวทำปากกระจับ ซึ่งเป็นข้อมูลจากลูกค้าท่านนึงเปิดเผยว่า การทำปากกระจับนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก

  • ฉีดยาชาด้านในริมฝีปาก
  • เริ่มวาดปากตามแบบที่ต้องการ
  • แพทย์ทำการตัดบริเวณปากด้านใน หรือจุดที่ทำการวางตำแหน่งไว้
  • แพทย์ทำการเย็บปิดบาดแผล
  • ระยะเวลาการผ่าตัดที่ใช้นั้นอยู่ที่ 30-45 นาทีโดยประมาณ 

ทำปากกระจับเจ็บไหม ?

เจ็บเฉพาะตอนฉีดยาชาตั้งแต่ตอนแรก หลังจากนั้นไม่เจ็บเลย

ทำปากกระจับใช้เวลาเท่าไร
ใช้เวลาประมาณ 40-50 นาที

ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นทันทีหลังการผ่าตัดนั้น คือ หลังจากยาชาหมดฤทธิ์ อาจมีอาการบวมหรือปวดอย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยยาระงับปวด อาจกินติดต่อกันใน 1-3 วันแรก รวมทั้งใช้การประคบเย็นด้วย เพื่อลดอาการบวม

หลังจากการทำปากกระจับ

สิ่งที่คุณควรปฏิบัติตัวหลังศัลยกรรมปาก ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาด ปาก ด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสะอาด 3 วันแรก  งดการแปรงฟัน และจะต้องทำความสะอาดด้วยยาของทางคลินิกทาบริเวณแผล และ 3 วันแรก ประคบเย็นบริเวณรอบปาก และควรทานอาหารเหลวหรืออาหารอ่อน ที่มีรสจืด ควรดื่มน้ำมากๆ โดยใช้หลอด และที่สำคัญจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ทุกอย่าง นั่นก็เพื่อให้คุณปลอดภัยและมีรูปปากที่สวยอย่างมาก

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Heidingsfeld, M. L. (1906). “Histopathology of paraffin prosthesis”. J Cutan Dis. 24: 513–521.

Duffy, D. (1998). “Injectable liquid silicone: New perspectives”. In Klein, A. W. Tissue Augmentation in Clinical Practice: Procedures and Techniques. New York: Marcel Dekker

3 วิธีปลูกผม Follicular Unit Extraction ( FUE ) ถาวร แบบธรรมชาติ

0
3วิธีปลูกผม FUE ถาวร แบบธรรมชาติ
ผมร่วงที่เกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน ที่เกิดจากโรคบางชนิด เช่น ไทรอยด์ การผ่าตัดรังไข่ หรือช่วงตั้งครรภ์
3วิธีปลูกผม FUE ถาวร แบบธรรมชาติ
ผมร่วงแบบแอนโดรจีนิค เกิดจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเป็นฮอร์โมนดีเอชที ทำให้กระเปราะของรากผมนั้นมีขนาดเล็กลง

การปลูกผม 

การปลูกผม ( Hair Transplantation ) เป็นหนึ่งในการศัลยกรรมผิวหนังเพื่อแก้ไขปัญหาศีรษะล้าน ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะใช้ผมของตัวผู้เข้ารับการปลูกผมมาใช้ในการปลูกผม หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มี ผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน เรามีอีกหนึ่งทางเลือกให้คุณ นั่นคือการ ปลูกผม แต่ที่หลายคนสงสัย ก่อนที่เราคิดว่าจะปลูกผมที่ไหนดี เราไปดูก่อนดีกว่าว่าสาเหตุใดบ้างที่จะทำให้ผมร่วง ผมบาง หรือ ศีรษะล้านก่อนวัยอันควร  

สาเหตุที่ทำให้ ผมร่วง ผมบาง

1.สารเคมี สารเคมีอยู่กับเราในทุกครั้งที่เราเข้าร้านทำผมหรือแม้แต่อยู่ที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็น การดัด ย้อม ฟอก ทำสี ซึ่งถ้าคุณทำบ่อยๆ หรือใช้สารที่ไม่ได้มาตรฐาน นั่นก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดการสะสมของสารเคมี ดังนั้นเมือ่ไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่า ผมเริ่มบางลง หรือมีอาการร่วงเป็นหย่อมๆ ให้ทำการหยุดใช้ไปปรึกษาแพทย์ในทันที นอกจากนี้ การ การทานยาบางชนิด หรือผู้ป่วยมะเร็งที่รักษาด้วยการให้คีโม ก็สามารถทำให้ผมร่วมด้วยเช่นกัน

2.ความไม่สมดุลของฮอร์โมน เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่เห็นที่เห็นได้บ่อย เช่นกลุ่มคนที่เป็นโรคบางชนิด เช่น ไทรอยด์ การผ่าตัดรังไข่ ที่อาจจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับฮอร์โมน นั่นจึงอาจเป้นตุที่ทำให้ผมร่วง รวมถึงระยะช่วงตั้งครรภ์ และหลังคลอด เพราะจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนสูง ก็อาจจะทำให้เกิดอาหารผมร่วง แต่ผมในกรณีนี้ ฮอร์โมนจะกลับสู่ภาวะปกติได้ ใน 3-6 เดือน หากฮอร์โมนเข้าสู่ภาวะสมดุลอีกครั้ง

3.พันธุกรรม เรามั่นใจว่าหลานคนคงทราบว่า พันธุกรรมก็เป็นส่วนสำคัญทีเดียว โดยเฉพาะในเพศชาย แต่ถึงอย่างนั้นผู้หญิงก็เป็นเช่นกัน โดยผมร่วงแบบแอนโดรจีนิค ( androgenic alopecia ) นั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน แต่สามารถพบทั้งในผู้ชายและผู้หญิง เปลี่ยนไปเป็นฮอร์โมน ดีเอชที ( DHT – dihydrotestosterone ) ทำให้กระเปราะของรากผมนั้นมีขนาดเล็กลง และจะทำให้ผมที่ขึ้นใหม่นั้นมีเส้นเล็กและบางลง ซึ่งก็จะทำให้ผมไม่แข็งแรง ไม่หนา และบางลงเรื่อยๆ ทั้งยังมีการขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย

นอกจากสาเหตุทั้ง 3 ที่ว่ามาแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นๆอีก ไม่ว่าจะเป็น ความเจ็บป่วยทางร่างกาย และจิตใจ การขาดสารอาหารหรือได้รับอาหารที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งวิธีที่พอจะช่วยลดอาการผมบาง และลดความเสี่ยงที่จะหัวล้านในอนาคตนั้น การพบแพทย์จึงเป็นหนทางที่ดีอีกหนึ่งทางที่จะช่วยไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆ

หากถามหาการแก้ไขปัญหาหัวล้านด้วย วิธีการปลูกผม นั้น เราคิดว่าในบางรายที่เกิดการผมบางเพราะเคมีบางชนิด หรืออาจจะเป็นความผิดปกติของฮอร์โมน ซึ่งเส้นผมที่ร่วงไปนั้นก็จะสามารถกลับขึ้นมาใหม่ได้ หลังจากหยุดการรับเคมี หรืออยู่ในสภาวะฮอร์โมนสมดุล แต่ในรายที่หัวล้านจากกรรมพันธุ์ การปลูกผมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

หากถามว่าปลูกผมที่ไหนดี สิ่งแรกที่ควรจะพิจารณาคือวิธีการปลูกผมของแต่ละที่และแต่ละชนิดกันก่อน เราไปดูดีกว่าว่า ปลูกแบบไหนดีกว่ากัน

วิธีการปลูกผม 

ซึ่งวิธีการต่างๆจะแบ่งออกเป็น 4 แบบได้แก่

แบบที่ 1 เรียกว่าการตัดหนังศีรษะ หรือ FUT ย่อจาก Follicular Unit Transplantation หรือ Strip Technique

เทคนิคนี้ถือเป็นเทคนิคปลูกผมในยุคแรกๆ ประมาณ 10 ปี ถือเป็นการผ่าตัดขนาดเล็กแพทย์จะทำการตัดหนังศีรษะที่อยู่บริเวณท้ายทอย จากนั้นจะเย็บแผลประกบกัน ในรายที่ปลูกจำนวนมาก จะใช้ลวดในการเย็บเพื่อช่วยประกบแผล จากนั้น ก็จะนำผมที่ได้มาทำการแบ่งเป็นกอ และก็จะนำกอผมนั้น ไปปลูกที่บริเวณที่ต้องการ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้มีแผลที่เห็นได้ชัด และเป็นแนวยาวตามรอยผ่าตัด ต้องใช้เวลาพักฟื้นที่ยาวสักหน่อย เพื่อต้องรอให้บาดแผลที่เย็บนั้นปิดสนิท และนอกจากนี้ยังถือว่าเป็นการเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ในปัจจุบันจึงไม่ค่อยนิยม

( จริงๆวิธีปลูกผม ทุกวิธี ก็ดีทั้งหมดแหละ ที่เหลือ ก็ต้องอยู่กับแพทย์ ว่ามีความเชี่ยวชาญพอหรือไม่ )

แบบที่ 2 การเจาะกอผม หรือเรียก FUE ย่อจาก Follicular Unit Extraction

ซึ่งถือว่าเป็นการการพัฒนาในรุ่นต่อมาในการปลูกผม โดยการใช้เครื่องมือที่มีปลายเหมือนหลอดขนาดเล็ก ทำการวางคร่อมกอผม และทำการเจาะกดทีละกอ จากนั้นก็ใช้คีมปลายแหลม คีบผมขึ้นมาพร้อมเซลล์รากผม แล้วก็นำไปปลูกในบริเวณที่ต้องการ ซึ่งจะบอกว่า ข้อดี คือ ไม่ต้องผ่าตัด ก็คงจะไม่ใช่ เพราะถ้าเป็น surgery ยังไงก็ถือว่าเป็นการผ่าตัดอยู่ดี  แต่การปลูกผมด้วยวิธีนี้ สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่างๆที่อาจจะเกิดจากการติดเชื้อ แต่เนื่องด้วยระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น

การปลูกผม จะค่อนข้างใช้เวลาที่นานมาก ขั้นตอนการดึงผมจากด้านหลังจะใช้เวลาประมาณ 2-3  ช.ม และใช้เวลาในการปลูกอีก ประมาณ 2 ช.ม

# ส่วนสีขาวๆ ที่เห็น มันอาจจะดูน่ากลัวไปหน่อย แต่ความจริงคือ มันเป็นอาหารของเส้นผม เดียวสักพักมันก็จะแห้งไปเอง

เนื่องจากต้องเจาะด้วยมือทีละกอ ซึ่งจะทำให้คุณภาพเซลล์รากผมลดลง นอกจากนี้ การกดเจาะที่อาจจะไม่เชี่ยวชาญนัก อาจทำให้กอผมช้ำ และไม่ได้คุณภาพ และเนื่องด้วยราคาของอุปกรณ์ที่ค่อนของสูง ทำให้โรงพยาบาลในหลายๆที่ ไม่นิยมที่จะใช้วิธีนี้ เพราะเป็นการลงทุนกับอุปกรณ์เพิ่ม

การปลูกผมแบบ FUE จะเห็นผลภายในกี่เดือน :  คำตอบคือ จะเห็นผลแบบชัดเจนประมาณ 8-10 เดือน

คำถามที่พบเจอบ่อยในการปลูกผมแบบ ( Follicular Unit Extraction ) FUE 

  1. สามารถย้อม สระ ไดร์ ตัดผม ได้หรือไม่ !

ตอบ : สามารถทำได้ตามปกติเลย เพราะผมที่ใช้ เป็นผมจริง ดังนั้นไม่ต้องห่วง

2. ผมที่ถูกดึงมาใส่ข้างหน้า ส่วนมากมาจากจุดไหน ?

ตอบ : บริเวณท้ายทอย จะใช้ประมาณ 2,000 – 5,000 เส้น

3. ตอนปลูกผมเจ็บไหม ?

ตอบ : เจ็บเฉพาะตอนที่ฉีดยาชาเพียงอย่างเดียว ที่เหลือ ฟิน ๆ สบายมาก

แบบที่ 3 แขนกลปลูกผม หรือเรียก Robot Hair Transplant

ซึ่งแบบนี้เป็นการพัฒนาล่าสุดของการปลูกผม ซึ่งจะสามารถช่วยแก้ปัญหาด้านระยะเวลา และลดขนาดของแผลที่เกิดจากการปลูกผมในรูปแบบดั่งเดิมได้ ซึ่งเทคนิคนี้จะมีเจ้าแขนกลที่จะมาช่วยในการเจาะกอผม ซึ่งจะทำหน้าที่ควบคู่กับทีมปลูกผม โดยแพทย์จะทำการประเมินความลาดเอียง ความลึก รวมถึงขนาดของกอผม และจากนั้นจะใช้แขนกลช่วยในการเจาะผม โดยแขนกลนี้จะสามารถทำการปรับความแรง ความลึก และยังช่วยดูดผมให้ออกมาได้เลยในทันทีที่เจาะ ถือเป็นการลดขั้นตอนในการเจาะผม

ด้วยวิธีนี้ จะทำให้รอยเจาะผมนั้น หายสนิทใน 1-2 วัน และเมื่อไม่มีแผลก็จะยิ่งลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยในการปลูกขนส่วนอื่นได้อีกด้วย เช่น การปลูกคิ้ว ปลูกหนวด ปลูกไรขน ปลูกขน หรือหน้าอก

แบบที่ 4 โดยใช้หุ่นยนต์เต็มรูปแบบ ( the ARTAS ® Robotic Procedure )

การพัฒนาล่าสุดของการ ปลูกผม คือ หุ่นยนต์ปลูกผมที่เรียก ARTAS เป็นหุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่เจาะผม โดยก่อนจะเริ่มปลูกผม คนไข้จะต้องถูกล็อคกับเครื่องมือ เพื่อไม่ให้มีการขยับศีรษะ จากนั้นเจ้าเครื่องนี้จะทำการประเมินและทำการเลือกกอผม แล้วเจาะออกมาทีละกอ

เนื่องจากเป็นเครื่องมือรุ่นแรก การเจาะด้วย ARTAS นั้น จึงยังมีความล่าช้ากว่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และยังต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมอีกมากเพื่อความแม่นยำ และความเร็วที่เพิ่มขึ้น การปลูกผมด้วย ARTAS ยังทำให้เกิดแผลเป็นที่กว้างกว่าแบบแขนกลที่ 1.0 มิลลิเมตร ทำให้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในการใช้งาน ทั้งเครื่องมือยังมีราคาสูงมาก ทำให้ราคาในการปลูกผมด้วยวิธีนี้สูงกว่าปกติ

เมื่อเรารู้แล้วว่า แต่ละที่มีบริการแบบไหน เมื่อเราทำการเทียบวิธีการทำและข้อดีข้อเสียแล้ว เราก็จะสามารถเลือกร้านที่ช่วยทำให้การปลูกผมของเราสมบูรณ์และไม่มีผลข้างเคียงได้แล้ว หวังว่าบทความ 3วิธีปลูกผม FUE ถาวร แบบธรรมชาติ คงถูกใจเพื่อนๆทุกคนนะครับ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง 

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

ฉีดโบท็อกซ์ อันตรายไหม ก่อนจะทำต้องรู้อะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ

0
ฉีดโบท็อกซ์ อันตรายไหม ก่อนจะทำต้องรู้อะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ !
โบท็อกซ์ เป็นชื่อทางการค้าของสารโบทูลินั่มท็อกซินเอเป็นโปรตีนที่สร้างมาจากคลอสตริเดียมโบโทลินั่ม
ฉีดโบท็อกซ์ อันตรายไหม ก่อนจะทำต้องรู้อะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ !
โบท็อกซ์ เป็นชื่อทางการค้าของสารโบทูลินั่มท็อกซินเอเป็นโปรตีนที่สร้างมาจากคลอสตริเดียมโบโทลินั่ม

ฉีดโบท็อกซ์

การ ฉีดโบท็อกซ์ ( Botox ) ช่วยยกกระชับปรับรูปหน้า และคนสมัยนี้ก่อนจะทำอะไรจะศึกษาข้อมูลอย่างดีก่อนที่จะตัดสินใจ จึงมีหลายคนตั้งคำถามว่า การฉีดโบท็อกนั้น มีอันตรายหรือไม่ ต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งวันนี้เราจะมาหาคำตอบกัน

โบท็อกซ์ เป็นชื่อทางการค้าของสารโบทูลินั่มท็อกซินเอเป็นโปรตีนที่สร้างมาจากคลอสตริเดียมโบโทลินั่มซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ การ ฉีดโบท็อก นั้น ถ้าฉีดในปริมาณที่พอดี ก็มีส่วนช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ในยุคแรกแพทย์จึงนำมาฉีดลดอาการตาเข แล้วแพทย์สังเกตว่าริ้วรอยรอบดวงตาลดลง จนเป็นที่มาของการฉีดโบท็อกซ์เพื่อปรับรูปหน้านั่นเอง ใครอยากจะทำโบท็อกซ์ต้องมาศึกษาข้อมูลกันก่อน

ฉีดโบท็อกซ์อันตรายไหม

นี่คงเป็นอีกคำถามที่หลายคนยังกังขาและพยายามที่จะค้นหาคำตอบว่า ฉีดโบท็อกซ์ นั้นปลอดภัยมากแค่ไหน ต้องบอกเลยว่า ยังไม่มีการรายงานถึงอันตรายเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์เลย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ถ้าจะให้ดี ต้องใช้ตัวยาที่มีคุณภาพ ฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะว่า ถ้าหากเลือกไม่ดี อาจมีผลข้างเคียงได้ นั่นคือ หลับตาไม่สนิท ตาผิดรูป ปากเบี้ยว เป็นต้น แต่ถ้าตัวยาที่ใช้มีคุณภาพ และดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็ไม่ต้องกังวลอะไรเลย

ทำใจยอมรับความเสี่ยง: แต่ส่วนตัวคิดว่า ทุกอย่างมันก็ความเสี่ยงอยู่ในตัวทั้งนั้นแหละ ถึงแม้ว่ามันจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตก็เถอะ โดยเฉพาะ การฉีด botox กับ หมอกระเป๋า หมอกระปี๋ กับ ธุรกิจความงาม ( ที่ไม่งาม ) เพราะตายกันมาเยอะแล้ว ก็อยากจะเตือนคนที่กำลังตัดสินใจไปทำด้วยนะ ถ้าไม่รู้ว่าจะไปฉีดโบท็อกซ์ ที่ไหนดี ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก pantip เอาก็แล้วกัน

ฉีดโบท็อกซ์ช่วยในเรื่องอะไรบ้าง

สำหรับใครที่อยาก ฉีดโบท็อกซ์ นั้น ก็ควรจะเรียนรู้ไว้บ้างว่า การฉีดสารนี้ช่วยในเรื่องของการทำให้ใบหน้าเรียว ลดริ้วรอย ทำให้ตีนกาลดลง หน้าดูเด็กขึ้นด้วย โดยโบท็อกนั้นจะสามารถฉีดเข้าเส้นที่หน้าผาก ตีนกา ร่องแก้ หรือตรงเส้นรอยยิ้ม คิ้ว หรืออาจจะฉีดร่วมกับคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูผิวก็ได้ ฉีดโบท๊อกดีไหม ก็ต้องแล้วแต่ความพึงพอใจของแต่ละท่าน

3 ตำแหน่งต้องห้าม! ที่ไม่ควรฉีดโบท็อกซ์”

จุดแรกที่เราไม่ควร ฉีดโบท็อกซ์

1.หางคิ้วด้านนอก : เพราะว่าในบริเวณนี้จะมีเส้นประสาทที่ทำหน้าที่ในการยักคิ้ว ในกรณีที่เราฉีดเข้าไป จะทำให้การส่วนนั้นถูกใช้งานได้น้อยลง ผลที่ตามมาก็คือ จะทำให้หางคิ้วหล่น ซึ่งจะทำให้เราดูหน้าเศร้าตลอดเวลา

2.บริเวณเปลือกตา : จะมีเส้นประสาทในส่วนของการกระพริบตา ซึ่ง บอกเลยว่าอันตรายมาก เพราะอาจจะทำให้ ตาตก งั้นจำเอาไว้เลยว่า จุดนี้ เป็นจุดที่ควรระวังมากที่สุด ฉีด botox ทั้งที จะฉีดทำไมให้ตาปิดละ จริงไหม ?

3.มุมปาก ร่องแก้ม : จุดๆนี้ จะมีกล้ามเนื้อที่ใช้ในการยิ้ม ยิ้มส่วนบนคือร่องแก้ม ยิ้มอีกส่วนนึงคือมุมปาก ในกรณีที่ฉีดไป จะมีโอกาสทำให้ปากตก ทำให้หน้าของเราบึ้ง ตลอดเวลา

การเตรียมตัวก่อนการฉีดโบท็อกซ์

ต้องตรวจเช็คร่างกายตนเองก่อนว่าคุณมีความพร้อมที่จะเข้ารับการ ฉีดโบท็อกซ์ แค่ไหน เช่น ตัวคุณนั้นต้องไม่มีโรคประจำตัว ถ้ามีต้องปรึกษาแพทย์ก่อนว่าเป็นโรคนี้จะฉีดได้ไหม และถ้าตั้งครรภ์อยู่ก็ไม่ควรฉีดเด็ดขาดเลย และที่สำคัญคุณควรจะหยุดทานอาหารเสริมประเภทวิตามินอี น้ำมันปลา โสม หรือสมุนไพรที่ทำให้ร่างกายร้อนประมาณ 2-3 วันก่อนฉีด และอย่าลืม และห้ามกินยาแก้อักเสบหรือแอสไพรินก่อนการฉีดยา 1 อาทิตย์

เลือกฉีดโบท็อกซ์ ฉีดได้บริเวณไหนบ้าง และจะดูแลรักษาได้อย่างไร

เราสามารถ ฉีดโบท็อกซ์ ได้ทั้งกล้ามเนื้อมัดใหญ่ และกล้ามเนื้อมัดเล็ก ซึ่งก็มีข้อปฏิบัติที่แตกต่างกัน กล้ามเนื้อมัดใหญ่นั้นได้แก่ กล้ามเนื้อกราม และน่อง โดยหลังการฉีด 2 วัน งดดื่มแอลกอฮอล์เลยเด็ดขาด จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้โบท็อกซ์ที่ฉีดไปย่อยสลาย หลังจากฉีดอาจเกิดรอยแดงหรือบวมในจุดที่ฉีดแต่จะหายไปเอง ภายใน 1 วัน และหากคุณนั้นทานวิตามินอีหรือแอสไพริน น้ำมันปลา ฯลฯ อาจทำให้เกิดรอยช้ำได้ แต่ว่าจะหายไปภายใน 1 สัปดาห์

กล้ามเนื้อมัดเล็ก คือ บริเวณหน้าผาก หางตา และระหว่างคิ้ว ตัวยาจะออกฤทธิ์ใน 1 อาทิตย์ หลังจากฉีดแล้ว 4 ชั่วโมง ยังไม่ควรนอนราบหรือนอนตะแคง เพราะว่า การกระจายตัวของยาอาจผิดตำแหน่งจากที่แพทย์คาดไว้ และต้องคอยบริหารกล้ามเนื้อที่ฉีดบ่อยๆด้วย เช่น ถ้าฉีดกรามก็ควรเคี้ยวหมากฝรั่งบ้าง ซึ่งก็แล้วแต่แพทย์ว่าจะให้เคี้ยวนานเท่าไร ในสองอาทิตย์ ไม่ควรอบไอน้ำ อบซาวน้ำ หรือทำไออนโต เพราะจะส่งผลต่อสารโบท็อกซ์ได้ แต่ว่ายังสามารถอาบน้ำอุ่น ไดร์ผม โดนแดดที่ไม่จัดได้ และหลังจากทำ 1 อาทิตย์ก็สามารถแต่งหน้า ทาแป้งได้ตามปกติ

ฉีดโบท็อกซ์ต้องฉีดซ้ำไหม อยู่ได้นานเท่าไร

สำหรับการ ฉีดโบท็อกซ์ นั้น จะอยู่ได้อีก 4-5 เดือน หลังจากนี้จะต้องฉีดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกเพื่อความสวยเราก็ยอมทุ่ม จริงไหม

ค่าใช้จ่ายในการฉีดโบท็อกซ์

ความจริงแล้วค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่หลักหมื่นขึ้นไปขึ้นอยู่กับตัวยาและผลลัพธ์ที่การฉีดโบท็อกซ์นั้น สามารถฉีดได้ตามสถาบันเสริมความงาม เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการดึงดูดลูกค้า จะมีการทำโปรโมชั่นลดราคา ซึ่งจะเหลืออยู่ที่หลักพันเท่านั้นเอง ก็แล้วแต่ว่า คุณนั้นจะเลือกทำกับสถาบันเสริมความงามที่ไหนก็ได้ แต่ว่าต้องเลือกที่มีคุณภาพมาตรฐาน ทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

โบท็อกซ์แท้ ดูยังไง

ใครที่คิดอยากจะ ฉีดโบท็อกซ์ ก็ขอให้ศึกษารายละเอียดให้ดี เพื่อประกอบการตัดสินใจให้ดี แต่รับรองว่าผลข้างเคียงมีน้อยมาก ๆ แถมฟื้นตัวได้เร็ว สวยเร็ว ราคาไม่แพงแบบนี้ ก็น่าทำนะ

ฉีดโบท็อกที่ไหนดี

การ ฉีดโบท็อกซ์, ยกกระชับหน้า, ร้อยไหม ไม่ว่าอะไรก็ตามที่นำสารเข้าร่างกาย ควรพิจารณาถึงผลกระทบทั้งผลดีและผลเสีย ที่สำคัญต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเป็นคนปฏิบัติการ ควรใช้บริการฉีดโบท็อกที่มีมาตรฐาน เช่น โรงพยาบาล และ สถานพยาบาลชั้นนำ https://www.vsquareclinic.com/tips/what-is-botox/

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Pacik PT (December 2009). “Botox treatment for vaginismus”. Plastic and Reconstructive Surgery. 124 (6): 455e–56e. doi:10.1097/PRS.0b013e3181bf7f11. PMID 19952618.

Long H, Liao Z, Wang Y, Liao L, Lai W (February 2012). “Efficacy of botulinum toxins on bruxism: an evidence-based review”. International Dental Journal. 62 (1): 1–5.
Felber ES (October 2006). “Botulinum toxin in primary care medicine”. The Journal of the American Osteopathic Association. 106 (10): 609–14. PMID 17122031.
Stavropoulos SN, Friedel D, Modayil R, Iqbal S, Grendell JH (March 2013). “Endoscopic approaches to treatment of achalasia”. Therapeutic Advances in Gastroenterology. 6 (2): 115–35. doi:10.1177/1756283X12468039. PMC 3589133 Freely accessible. PMID 23503707.

ดูดไขมัน Water Jet ด้วยพลังงานน้ำอ่อนโยน ไม่ต้องดมยา

0
ดูดไขมัน Water Jet ด้วยพลังงานน้ำอ่อนโยน ไม่ต้องดมยา
วอเตอร์ เจ็ท ไลโป (Water Jet Liposuction) เป็นวิธีการดูดไขมันที่ใช้พลังงานน้ำเพื่อทำการแยกเซลล์ไขมันให้ออกจากเนื้อเยื่อผิวหนัง เซลล์ไขมันมีสภาพสมบูรณ์ ไม่ตาย และสามารถนำไขมันไปใช้ประโยชน์ได้
ดูดไขมัน Water Jet ด้วยพลังงานน้ำอ่อนโยน ไม่ต้องดมยา
วอเตอร์ เจ็ท ไลโป (Water Jet Liposuction) เป็นวิธีการดูดไขมันที่ใช้พลังงานน้ำเพื่อทำการแยกเซลล์ไขมันให้ออกจากเนื้อเยื่อผิวหนัง

ดูดไขมัน พลังน้ำ ( Water Jet )

สาวๆ ในปัจจุบันนั้น มองหาวิธีการกำจัดไขมันที่ไม่จำเป็นให้ออกไปจากร่างกาย นั่นก็เพื่อที่คุณจะได้มีสัดส่วนที่สวยงาม และวิธีการ ดูดไขมันพลังน้ำ ( Water Jet ) นี้ยังได้รับความนิยมมากขึ้นอีกเรื่อยๆ เพราะเทคโนโลยีใหม่ๆ นั้น มีความก้าวหน้าไปมาก ทำให้มีอาการบาดเจ็บน้อย แผลก็เล็ก ทั้งยังไม่ต้องพักฟื้นนาน

ดูดไขมัน ในรูปแบบต่างๆ

ซึ่งแน่นอนว่า มีวิธีการดูดไขมัน ที่มีการออกแบบมาเพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาสัดส่วนมากมาย หลักการนั้นก็ใกล้เคียงกันคือทำลายไขมันหรือทำให้ไขมันแตกตัวให้เป็นของเหลว แล้วจึงทำการดูดไขมันออก ซึ่งอาจจะทำพลังงานต่างๆมาช่วย ไม่ว่าจะเป็น พลังงานอัลตร้าโซนิค เลเซอร์ พลังคลื่นวิทยุ หรือแม้แต่การฉีดสารละลายไขมันบางชนิด ก็มีส่วนช่วยให้ไขมันตายและแตกตัวเป็นของเหลว นั่นก็เพื่อให้ไขมันนั้น สามารถดูดออกได้

หากพูดถึงการ ดูดไขมัน ที่มีอยู่ทุกวันนี้ บอกเลยว่ามีด้วยกันกันมากมาย แต่แบบที่เราจะมาแนะนำในวันนี้ วิธีการดูดไขมัน แบบ วอเตอร์ เจ็ท ไลโป ( Water Jet Liposuction ) ซึ่งวิธีการนี้เป็นวิธีการดูดไขมันที่ใช้พลังงานน้ำเพื่อทำการแยกเซลล์ไขมันให้ออกจากเนื้อเยื่อผิวหนัง เพื่อทำให้เซลล์ไขมันนั้นมีสภาพสมบูรณ์ ไม่ตาย และไขมันก็ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ นั่นก็เพื่อฟื้นฟูและซ่อมแซมร่างกายในจุดต่างๆ อาทิเช่น เติมหน้าอก

หลักการทำงานของ Water Jet Lipo นั้นถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการดูดไขมันที่บอกเลยว่าอ่อนโยนและมีการบาดเจ็บน้อยมาก ที่สำคัญไม่ต้องนอนโรงพยาบาลและไม่ต้องดมยาด้วย แต่อาจจะมีการให้ยาชาเฉพาะจุดเท่านั้น ทำให้ความเสี่ยงรวมถึงค่าใช้จ่ายลดลงมาก การดูดไขมันแบบวอเตอร์ เจ็ท ก็ไม่ต้องใช้แรงมากเหมือนวิธีเดิมๆ ที่จะส่งผลให้เซลล์บอบช้ำ ระหว่างที่ทำการดูดก็ไม่มีอาการบวม ทำให้แพทย์เห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน และจะทำให้สร้างสัดส่วนได้อย่างที่ต้องการ  ซึ่งการใช้พลังงานจากน้ำ จะมีความอ่อนโยนนุ่มนวล ไม่ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อข้างเคียงเสียหาย แผลจึงหายในเวลาที่รวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้นนาน หลังการทำนั้นมีเพียงรอยช้ำและบวมเล็กน้อย นี่จึงทำให้กลายเป็นวิธี ดูดไขมัน ยอดนิยมในปัจจุบัน

การดูดไขมันนั้น ไม่ใช่การลดน้ำหนัก แต่การดูดไขมันจะดูดไขมันเฉพาะที่ เพื่อทำการลดสัดส่วนของร่างกายให้ สวยงาม และการดูดไขมัน จะต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน

Water Jet ในเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ ถือเป็นนวัตกรรมสำหรับการดูดไขมันที่ก้าวล้ำด้านเทคโนโลยีรวมทั้งประสิทธิภาพ จึงทำให้การดูดไขมันนั้น กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ความสามารถในการสร้างสรรค์ความสวยงามอย่างไม่มีข้อจำกัด ทั้งยังไม่ต้องวางยาสลบ และยังใช้เพียงการให้ยาชาเฉพาะจุด ทำให้แผลเล็ก และการดูดนั้นมีความนุ่มนวล เพราะใช้พลังน้ำที่มีความอ่อนโยนแต่มีประสิทธิภาพการทำงานสูง ช่วยในการแยกไขมันให้ออกจากเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ไม่ทำให้เนื้อเยื่อผิวหนังได้รับความบอบช้ำ ทั้งยังสามารถเอาไขมันออกได้มาก   

มีความเจ็บน้อย สามารถฟื้นตัวเร็ว และที่สำคัญนั้นไม่ทำให้เกิดพังผืด มีผิวเรียบเนียนหลังจากการ ดูดไขมัน  ทั้งนี้ไขมันที่ถูกแยกออกจากเนื้อเยื่อที่เราบอกว่ายังเป็นแหล่งสำคัญของสเต็มเซลล์คุณภาพสูง พลังน้ำที่อ่อนโยนนั้นทำให้เซลล์ไขมันยังคงมีชีวิต และยังคงเต็มไปด้วยสเต็มเซลล์ที่มีคุณค่าอย่างมหาศาลจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการที่เราจะนำไปเติมเต็มส่วนต่างๆของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเสริมหน้าอก สะโพก ฉีดปรับแต่งรูปหน้า ปรับแต่งรูปหน้าที่ไม่สมดุล ทดแทนฟิลเลอร์ หรือ ช่วยฟื้นฟูสุขภาพจากภายใน ให้เกิดการซ่อมสร้างเซลล์ที่เสื่อมสภาพ ช่วยฟื้นฟูร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่น ยืดเวลาการเสื่อมสภาพของอวัยวะต่างๆ ก็สามารถทำได้

หากถามว่า ทำไมจะต้องเป็นการ ดูดไขมันพลังน้ำ ( Water Jet ) บอกเลยว่า ศัลยแพทย์นั้นจะสามารถควบคุมการเลาะไขมันได้อย่างแม่นยำ ราวงานประติมากรรม ทั้งนี้ยังสามารถสร้างสรรค์สัดส่วนให้เป็นไปตามที่ต้องการ โดยไม่ทิ้งปัญหาผิวคลื่นการแก้ไขพลังน้ำมีความอ่อนโยน ไม่ทำให้เกิดพังผืด การอักเสบ ทำให้ผิวของสาวๆที่มาดูดไขมันมีความเรียบเนียน และ หมดกังวลในเรื่องของร่องรอยตกค้าง มีความเจ็บน้อยและฟื้นตัวได้เร็ว ส่วนคนไข้ก็สามารถกลับไปทำงานและใช้ชีวิตตามปกติได้

ประสิทธิภาพของเครื่อง Water Jet รุ่นใหม่นั้น มีพลังน้ำที่นุ่มนวลซึ่งได้รับการออกแบบอย่างมีประสิทธิภาพในการจัดการไขมันอย่างอ่อนโยน มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งไม่เพียงแต่สามารถคัดแยกไขมันออกจากเนื้อเยื่อโดยเท่านั้น แต่ยังไม่ทำให้เซลล์เส้นประสาท หรือเส้นเลือดบอบช้ำอีกด้วย แม้แต่เซลล์ไขมันเองก็ไม่บอบช้ำ จึงถือว่าเป็นความสำเร็จและความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการย้ายเซลล์ไขมัน

การ ดูดไขมัน แบบ Water Jet นี้ ถือเป็นครั้งแรกของเทคโนโลยีการดูดไขมันที่สามารถสกัดเอาสเต็มเซลล์ได้ไปพร้อมๆกับการดูด ซึ่งทำให้ได้สเต็มเซลล์ภายในระบบปิด และไม่มีการเคลื่อนย้าย  สเต็มเซลล์ที่ได้ก้จะมีคุณภาพมากขึ้น และมีความสะดวก ปลอดภัย ทั้งยังใช้เวลาไม่มาก ทั้งยังใช้เวลาที่รวดเร็วไม่เกิน 2 ชั่วโมง

จึงบอกเลยว่า การดูไขมัน แบบ Water Jet นั้น จึงเป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะทำให้คุณสามารถได้รู้ร่างที่ดี แต่อย่างลืมว่า หลังจากการที่ทำการดูดไขมันแล้วนั้น คุณจะยังต้องทำการดูแลสุขภาพ ทั้งการออกกำลังกายและเรื่องอาหารการกิน และ อย่าลืมว่า หลังจากดูดไขมันแล้วต้องมีการใส่เสื้อผ้าที่กระชับตลอดเวลาหลังจากดูดไขมันหนึ่งเดือน เพื่อให้เนื้อบริเวณที่ถูกดูดไขมันกระชับมากขึ้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Stegmann TJ (December 1998). “FGF-1: a human growth factor in the induction of neoangiogenesis”. Expert Opin Investig Drugs. 7 (12)

Jitnarin, N.et al. (2009). Risk factors for overweight and obesity among Thai adults:

results of the National Thai Food Consumption Survey. Nutrients. 2, 60-74.

ดัชนีมวลกาย http://th.wikipedia.org/wiki/ดัชนีมวลกาย

ดูดไขมัน Power Assisted Liposuction

0
ดูดไขมัน Power Assisted Liposuction
Power Assisted Liposuction เป็นเครื่องมือที่ใช้ทุ่นแรง ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้ช่วยในการ ดูดไขมันที่บริเวณต้นแขน หรือต้นขา โดยเครื่องมือจะมีการเพิ่มความถี่ของเข็มที่ใช้ดูดไขมัน เหมือนกับการสั่นของแปรงสีฟันไฟฟ้า
ดูดไขมัน Power Assisted Liposuction
Power Assisted Liposuction เป็นเครื่องมือที่ใช้ทุ่นแรง โดยเครื่องมือจะมีการเพิ่มความถี่ของเข็มที่ใช้ดูดไขมัน เหมือนกับการสั่นของแปรงสีฟันไฟฟ้า

ดูดไขมัน Power Assisted Liposuction

บทความนี้เราจะมาเริ่มต้นกับคำถามที่ว่า การผ่าตัด ดูดไขมัน นั้นคืออะไร เราจะมาอธิบายกันง่ายๆว่า การ ดูดไขมันนั้น คือการกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วก็จะมีการรักษาหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เลเซอร์ การอัลตร้าซาวด์ หรือวิธีการดูดไขมันแบบดั้งเดิม ซึ่งแน่นอนว่าการ ดูดไขมัน นั้นจะต้องกระทำคู่ไปกับกับการ

ผ่าตัดศัลยกรรมหน้าท้อง ซึ่งรับประกันได้เลยว่าจะเป็นผลกาารผ่าตัดที่สมบูรณ์สุดๆ การดูดไขมันนั้นสามารถทำให้คุณได้รับร่างกายที่คุณต้องการได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งการดูดไขมันคุณจะได้รับการกระทำโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีวิธีการที่ก้าวหน้าพร้อมทั้งอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัย นั่นก็เพื่อที่คุณจะได้รับผลในระดับที่พอใจสูงสุดของคุณ

ดูดไขมัน ในรูปแบบต่างๆ

ซึ่งหลักการในอดีตของการ ดูดไขมัน นั้น ทางศัลยแพทย์จะทำการสร้างท่อขึ้นที่บริเวณพื้นผิวของชั้นไขมันเพื่อทำการดูดเซลล์ไขมันให้ออกโดยผ่านหลอดเลือดดำ ทั้งนี้หลังจากการผ่าตัดแล้วเสร็จ บริเวณที่มีการดูดไขมันออก ก็จะยากที่จะกลับมาเป็นสภาพเดิม

ซึ่งแน่นอนวันนี้ เราจะมาแนะนำให้ได้รู้จักกับ วิธีที่เป็นวิทยาการล่าสุด โดยมีการใช้หลักการพื้นฐานแบบ SAL แต่ตัวท่อของการดูดแบบนี้ จะมีความพิเศษนั่นก็คือ ที่ปลายท่อนั้นจะมีการสั่นเข้าออกด้วยมอเตอร์ซึ่งจะช่วยในการดูดไขมัน และวิธีการดุดไขมันแบบนี้ เราเรียกกันว่า Pal หรือ Power Assisted Liposuction เป็นเครื่องมือที่ใช้ทุ่นแรง ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้ช่วยในการ  “ ดูดไขมัน ” ที่บริเวณต้นแขน หรือต้นขา โดยเครื่องมือนี้จะมีการเพิ่มความถี่ของเข็มที่ใช้ดูดไขมัน ซึ่งคล้าย ๆ กับการสั่นของแปรงสีฟันไฟฟ้า จึงจะทำให้การดูดไขมันในส่วนที่ยากที่สุดของร่างกายให้ออกมาอย่างง่ายขึ้น ซึ่งการดูดไขมันปีนี้ จะสามารถใช้ร่วมกับ วิธีดูดไขมันแบบ Bodytite ได้

คำอธิบาย ของการ ดูดไขมัน แบบ PAL ( Power-assisted liposuction ) เป็นการดูดไขมันแบบใช้การสั่นสะเทือน ซึ่งใช้หลักการเหมือนกับการดูดไขมันด้วยท่อ เป็นการนำไขมันที่ออกมาด้วยท่อดูดอัตโนมัติเรียกได้ว่าง่ายดายที่เดียว แม้เซลล์ที่อยู่ลึกก็สามารถนำออกมาได้ในปริมาณที่ค่อนข้างมาก ซึ่งการดูดแบบ Pal นั้นจะสามารถทำงานได้ผลดีกับบริเวณหน้าท้องและไขมันบริเวณรอบเอว

การดูดไขมันแบบพาวเวอร์  ( Power – assisted liposuction ) นี้ คือการทำงานแบบแทนที่จะใช้แรงมือ แต่เราจะมาใช้แรงจากเครื่องแทน เพื่อช่วยให้ทำให้แพทย์ทำงานและเหนื่อยน้อยลง โดยเฉพาะที่รอบสะดือ ทั้งยังช่วยให้ประหยัดเวลาในการดูดไขมันอีกด้วย

การดูดไขมันแบบ PAL, Power-assisted liposuction นั้น ด้วยหลักการเดียวกับ SAL ที่จะทำการ ดูดไขมัน ออกด้วยมอเตอร์ ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการแยกชั้นของไขมัน ทำให้การแก้ปัญหาไขมันที่สร้างตัวอยู่ในเวลาอันสั้น สามารถใช้ได้กับบริเวณหน้าท้อง หรือไขมันรอบเอว

สำหรับข้อมูลในการผ่าตัดนั้น การผ่าตัดจะใช้เวลา ประมาณ 3-4 ชั่วโมง ต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับบริเวรของผิวหน้าและไขมัน แน่นอนว่า อาจจะต้องมีการใช้ยาสลบบ้าง ซึ่งก่อนการผ่าตัด คุณลูกค้าจำเป็นต้องมีการอดอาหารประมาณ 8 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด ใช้ระยะเวลาในการตัดไหมประมาณ 14 วัน หลังจากการผาตัด ซึ่งแน่นอนว่าไม่จำเป็นที่คุณจะต้องนอนโรงพยาบาล ส่วนหลังการผ่าตัดนั้น คุณจะต้องระวังเรื่องการอาน้ำ ซึ่งให้เว้น บริเวณที่เพิ่งมีการผ่าตัดมา และที่สำคัญที่สุดหลังจากการผ่าตัดดูดไขมันคือ การใส่ชุดกระชับสัดสวน ซึ่งคุณควรใส่ตลอดเวลาเป็นเวลาหนึ่งเดือน และใส่เฉพาะเวลาอยู่ที่บ้านหรือนอนหลับในเดือนถัดไป แต่ไม่ควรหลงลืมที่จะใส่มัน

หากมีคำถามว่าการดูดไขมันเหมาะสำหรับคนกลุ่มใด คำตอบคือ กลุ่มคนที่มีไขมันส่วนเกินบริเวณ แขน หน้าท้อง ขา หรือคนที่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะส่วน นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มคนที่มีไขมันเฉพาะส่วนซึ่งไม่สามารถเผาผลาญได้ด้วยการออกกำลังกาย และยังเป็นคนที่ต้องการให้มีร่างกายที่กระชับและได้ส่วน

แน่นอนว่าการ ดูดไข มันทุกวิธีนั้น มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งวิธีการดูดไขมันด้วยวิธี Pal ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียเช่นกัน เราไปดูกันว่าข้อดี และข้อเสียของการดูดไขมันด้วยวิธี Palมีอะไรกันบ้าง

เริ่มต้นกันที่ข้อดี อย่างที่เราได้บอกไป ว่าเครื่อง Pal หรือ Power Assisted Liposuction นั้น สามารถดูดไขมันในส่วนที่ยากให้ออกมาได้ง่าย ทั้งยังช่วยให้แพทย์ประหยัดเวลาอีกด้วย นอกจากนี้การดูดด้วยเครื่อง Pal ยังไม่ทำให้ผิวหนังมีการบอบช้ำมาก

ส่วนข้อเสียนั้นก็คือ เครื่อง Pal นั้น จะมีเสียงดังรบกวนมาก เพราะการทำงานของมอเตอร์ แม้ว่าขณะนี้หลายบริษัทได้ผลิตเครื่องที่มีเสียงเบาลงกว่าเดิมมาก อีกทั้งเจ้าเครื่อง Pal นี้ยังมีราคาค่อนข้างสูง เพราะ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งทำให้ต้นทุนการดูดไขมัน ต้นแขน ต้นขา สูงขึ้นตามไป

ไม่ว่าจะใช้วิธีการ ดูดไขมัน แบบใด ผลที่ได้รับจะดีก็ต่อเมื่อผิวหนังบริเวณนั้นยังมีคุณภาพดีและพอที่จะหดรัดตัวเองให้รับกับชั้นไขมันที่หายไปได้ ความหนาของผิวหนังที่เล็กลง ก็ต้องมีความราบเรียบเป็นธรรมชาติด้วย ซึ่งศัลยแพทย์จะอาศัยผ้าหรือยางยืดลักษณะต่างๆ ที่จะช่วยพันรัดอวัยวะส่วนที่ดูดตั้งแต่ดูดไขมันเสร็จใหม่ๆไปจนถึงหลังทำเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน เพื่อให้ผิวหนังเหนือชั้นที่ถูก ดูดไขมัน ไปได้ยึดติดกับชั้นใต้ผิวหนังอย่างดี และหลังจากหนึ่งเดือนก็ยังต้องใช้ต่อ อย่างที่บอกไว้ ยิ่งถ้าเพิ่มการดูแลตัวเองและออกกำลังไปด้วย ก็จะยิ่งทำให้มีความกระชับสวยงามเพิ่มไปอีก และการดูดไขมันก็จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Stegmann TJ (December 1998). “FGF-1: a human growth factor in the induction of neoangiogenesis”. Expert Opin Investig Drugs. 7 (12)

Jitnarin, N.et al. (2009). Risk factors for overweight and obesity among Thai adults: