ดูดไขมัน Smart Lipo มี ข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร

0
ดูดไขมัน Smart Lipo มี ข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร
Smart Lipo เป็นวิธีการดูดไขมัน โดยใช้พลังงานเลเซอร์เพื่อเป็นตัวช่วยในการสลายไขมันก่อนทำการดูดออก แผลที่เปิดมีขนาดเล็กเท่าปลายปากกา
ดูดไขมัน Smart Lipo มี ข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร
Smart Lipo เป็นวิธีการดูดไขมัน โดยใช้พลังงานเลเซอร์เพื่อเป็นตัวช่วยในการสลายไขมันก่อนทำการดูดออก แผลที่เปิดมีขนาดเล็กเท่าปลายปากกา

ดูดไขมัน ( Smart Lipo )

ไขมันส่วนเกิน ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับสาวๆ คงไม่ใช่เรื่องของภายนอก เช่น เสื้อผ้าหน้าผม หรือเป็นเครื่องแต่งตัวอื่นๆ แต่เป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่ภายในร่างกายก็คือไขมันส่วนต่างๆ ซึ่งหลายคนเลือกที่จะอยู่กับมันโดยไม่สรรหาวิธีจัดการไขมัน เพราะคิดว่ามันไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่ใช่เลย เพราะวิวัฒนาการ ดูดไขมัน ( Smart Lipo ) สมัยนี้นั้น มีความสิ่งที่จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านั้นได้

การ ดูดไขมัน ( Smart Lipo ) ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลไว ซึ่งหลายๆคนอาจจะยังไม่ทราบว่าปัญหานั้นคืออะไร แต่ก็มีอีกหลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็พอจะทราบแล้วว่า ปัญหาที่เราว่านั้นเป็นปัญหาใหญ่จริง ซึ่งปัญหานั้นก็คือ การดูดไขมัน นั่นเอง

ดูดไขมัน ในรูปแบบต่างๆ

ปัญหาใหญ่ในเรื่องของไขมันส่วนเกินที่อยู่ในส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งเรามั่นใจว่าคุณสาวๆยากที่จะสามารถลดไขมันนั้นได้ด้วยวิธีการทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น การอดอาหาร การออกกำลังกาย ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องเป็นปัญหาใหญ่ของคนจำนวนมาก ซึ่งในปัจจุบันมีวิธีที่ทำให้การลดไขมันได้ผลดีที่สุดและแน่นอนที่สุด นั่นก็คือการ ดูดไขมัน  เนื่องจากเป็นวิธีการนำไขมันที่เราไม่ต้องการออกไปจากร่างกายได้อย่างแท้จริง แต่ถึงอย่างนั้นก็เพิ่งจะมีวิธีการที่ก้าวหน้า ที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางเมื่อไม่นานมานี้เอง

โดยสำหรับวิธีการดูดไขมันแบบต่างๆ นั้น ได้มีความพยายามในการคิดค้นกันมาตลอดตั้งแต่ในทศวรรษปี 1970 โดยมีการใช้ท่อเล็กๆ (cannula) มาใช้ในการดูด แต่การ ดูดไขมัน ในช่วยนั้นๆ ก็ถือว่ายังมีผลข้างเคียงอยู่ค่อนข้างมาก ซึ่งยังมีแผลใหญ่ และยังต้องพักฟื้นนาน และหลังทำแล้ว อาจจะทำให้ผิวไม่อาจเรียบ และผิวเป็นคลื่น ทำให้คนส่วนใหญ่ที่อยากจะเอาไขมันออกจากตัวนั้นถึงกับต้องคิดหนัก

แหล่งที่มา Smart Lipo

จนกระทั่งช่วงหลังปี 1994 ได้มีการค้นพบวิธีใช้พลังงานเลเซอร์ ซึ่งมีส่วนช่วยในการสลายไขมันก่อนทำการดูดออก หรือที่เรียกดันว่า Laser-assisted liposuction (LAL) จึงทำให้เกิด ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการดูดไขมัน เพราะทำให้เกิดการบาดเจ็บน้อยมาก ทั้งแผลก็เล็กไม่ต้องพักฟื้นนาน โดยมีการใช้ท่อขนาดเล็กเท่าหัวปากกา และใช้ยาชาเฉพาะจุด ทำให้เจ็บน้อย ที่สำคัญคือหลังการดูดไขมันแล้วยังได้ผิวที่เรียบเนียน นั่นจึงทำให้การดูดไขมันนั้น เป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างมากมาจนถึงปัจจุบัน บอกเลยว่าสิ่งกล่าวมานั้นจึงเป็นสิ่งที่จะสามารถแก้ไขปัญหาไขมันสะสมได้ ไม่ว่าพื้นที่เล็กขนาดใด อย่างเช่นคาง คอ ต้นแขน ซึ่งก็ไม่ทำให้เกิดแผลเป็น แถมยังได้สัดส่วนและผิวที่สวยงามไปพร้อมๆกันอีกด้วย

เช่นเดียวกับ ดูดไขมัน ( Smart Lipo ) ซึ่งเป็นวิธีดูดไขมัน โดยใช้พลังงานเลเซอร์เพื่อเป็นการช่วยในการสลายไขมันก่อนทำการดูดออก หรือ Laser-assisted liposuction (LAL) ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุด เพราะเป็นวิธีที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย มาตั้งแต่มีวิธีการดูดไขมันโดยใช้พลังงานเลเซอร์ที่ช่วยสลายไขมันเกิดขึ้น ถือเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูง และยังได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา

Smart Lipo มีการทำงานอย่างไร

ดูดไขมัน ( Smart Lipo ) เป็นการดูดไขมันที่ต้องใช้พลังงานเลเซอร์เพื่อเป็นตัวช่วยในการทำการสลายไขมัน ก่อนที่จะดูดออก ซึ่งแผลที่เปิดก็มีขนาดเล็กมาก โดยมีขนาดเท่าปลายปากกา โดยแผลจึงเรียบเนียนเสมอกัน แม้ทำการลูบสัมผัสก็ไม่ให้ความรู้สึก จึงเหมาะกับพื้นที่เล็กๆ ที่ต้องการงานที่มีความประณีตมาก เพื่อทำให้ผิวเรียบเนียน เช่นบริเวณคาง คอ ใบหน้า และต้นแขน ซึ่งในบางกรณีทีไขมันไม่มาก แพทย์ก็อาจจะทำการพิจารณาไม่ดูดไขมันออกแต่ให้ร่างกายดูดซึมและขับถ่ายออกตามช่องทางขับของเสียปกติ

หากพูดถึงผลกระทบของ ดูดไขมัน ( Smart Lipo ) เราต้องอธิบายอีกครั้งว่า Smartlipo  นั้น เป็นวิธีการดูดไขมันกึ่งการผ่าตัด ที่มีแผลขนาดเล็ก จึงมีการใช้ยาชาเฉพาะพื้นที่เท่านั้น ไม่มีความรู้สึกเจ็บมาก ไม่ต้องมีการดมยา และยังไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ซึ่งใช้เวลาในการดูดไขมันประมาณ 1-2 ช.ม.เท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและจำนวนของพื้นที่ที่ทำการดูดไขมัน

ซึ่งเนื่องจากการบาดเจ็บน้อย และแผลขนาดเล็ก จึงทำให้การฟื้นตัวของคุณนั้นใช้เวลาที่น้องลง ซึ่งหลังทำอาจจะมีมีรอยช้ำ หรืออาการบวมเล็กน้อย ซึ่งคุณก็ควรใช้ผ้าพันหรือรัดไว้ ในบริเวณที่ทำการดูดไขมันออกเอาไป นั่นก็เพื่อให้ผิวเรียบเนียนให้ได้อยู่ในระนาบเดียวกันได้เร็วขึ้น ซึ่งคุณจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตหรือทำกิจกรรมได้ตามปกติ ก็จะช่วงภายใน1-2 วันหลังทำ

การดูดไขมันชนิดนี้ สามารถเห็นผลการรักษาได้ตั้งแต่หลังทำ 1สัปดาห์  และคุณก็จะค่อยๆเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้นใน 3-6 เดือน เนื่องจากการดูดไขมันเป็นการนำไขมันออกจากร่างกาย ซึ่งคือการกำจัดไขมันได้อย่างถาวร ซึ่งผลจากการ ดูดไขมัน จึงคงอยู่ได้อย่างยาวนาน ตราบเท่าที่คุณมีการดูแลสุขภาพอยู่สม่ำเสมอ และจะต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จ่อร่างกาย ขยันออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการดูแลสุขภาพของตัวท่านเองนั้น จะส่งผลช่วยให้ไขมันที่มีนั้น ไม่สามารถกลับมาอีกนั่นก็เพื่อความสวยงามของรูปร่างคุณ บอกเลยว่า การดุดไขมันนี้ ถึงเป็นเรื่องที่น่าทำอย่างมาก เพราะใช้เวลาไม่มาก ไม่เจ็บตัวที่สำคัญทำให้สวยและดูดี โดยไม่เสียเวลามาก รับรองว่าสวยเช้งอย่างที่ต้องการแน่ๆ

ผมหวังว่าบทความนี้คงจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่กำลังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ การ ดูดไขมัน ( Smart Lipo ) กันนะครับ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Stegmann TJ (December 1998). “FGF-1: a human growth factor in the induction of neoangiogenesis”. Expert Opin Investig Drugs. 7 (12)

Jitnarin, N.et al. (2009). Risk factors for overweight and obesity among Thai adults:

ดูดไขมันแบบ Body Tite แผลเล็กพร้อมกระชับผิวได้ภายในตัว

0
ดูดไขมันแบบ Body Tite แผลเล็กพร้อมกระชับผิวได้ภายในตัว
Body Tite เป็นการใช้พลังงาน RF (Radio Frequency) ดูดไขมัน โดยการส่งผ่านท่อขนาดเล็ก Cannula ขนาด 1-3 mm
ดูดไขมันแบบ Body Tite แผลเล็กพร้อมกระชับผิวได้ภายในตัว
การดูดไขมัน เป็นการจัดการกับไขมันส่วนเกิน เพื่อให้มีหุ่นและร่างกายที่กระชับสวยงาม

ดูดไขมันแบบ Body Tite

สำหรับสาว ๆ ที่ต้องการจัดการกับไขมันส่วนเกิน เพื่อให้มีหุ่นและร่างกายที่กระชับสวยงาม แต่ไม่รู้ว่าจะสรรหาวิธีไหนมาจัดการกับมัน เพราะไม่ว่าจะเลือกออกกำลังหรือลดอาหารก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล ซ้ำร้ายยังทำให้รู้สึกว่าที่ทำลงไปไมได้มีผลอะไรเลย จนบางทีอาจจะทำให้ไขมันเพิ่มมากขึ้นไปอีก จนสาว ๆ เริ่มเครียดแล้วว่า จะทำอย่างไรกับไขมันส่วนเกินนั้นดี บทความนี้ เราจึงอยากจะแนะนำวิธีใหม่ ๆ ที่บางทีเหล่าสาว ๆ ก็ไม่ได้นึกถึง นั่นก็คือ การ ดูดไขมัน ซึ่งการดูดไขมันนั้น เป็นการที่เราจะทำการดูดไขมันส่วนเกินในบริเวณนั้น ๆ ที่คุณสาวๆต้องการซึ่งก็จะมีหลากหลายวิธี และหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นกับการ ดูดไขมัน body tite 

สำหรับการ ดูดไขมันแบบ Body Tite นี้ ถือเป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่ใช้ในการดูดไขมัน ซึ่งมีการได้รับการพัฒนาโดยทีมแพทย์ที่ร่วมมือกับทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์ ซึ่งบอกเลยว่าเป็นกลุ่มคนที่มีความเป็นมืออาชีพจากสถาบันวิจัยเกี่ยวกับการแพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งในปัจจุบันนั้น ถือเป็นที่ได้ยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ว่า Body Tite นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ใช้ในด้านการดูดไขมัน เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้สลายไขมันเพื่อเตรียมให้พร้อมต่อการดูดแล้ว ยังเป็นการทำให้เนื้อผิวที่มีการหย่อนยานกลับมากระชับ

ซึ่งหลักการการทำงานนั้น จะเป็นการใช้พลังงาน RF ( Radio Frequency ) โดยการส่งผ่านท่อขนาดเล็ก Cannula ขนาด 1-3 mm  ซึ่งเป็นท่อที่มีขนาดเล็กมากๆ ทั้งยังไม่ทำให้เกิดแผลใหญ่ โดยเมื่อนำ Body Tite นั้น เข้าไปสู่ชั้นไขมัน ก็จะทำให้ไขมันละลายเป็นน้ำ จากนั้นก็จะทำการดูดไขมันส่วนนั้นทิ้งไป จึงทำให้การดูดไขมันแบบ Body Tite นี้ เห็นผลได้จริงจังชัดเจน และยังให้ผลการรักษาที่ดีที่สุด โดยทำให้สามารถดูดไขมันออกได้ในปริมาณมาก แถมหลังการ ดูดไขมันแบบ Body Tite นั้น ยังไม่ก่อให้เกิดพังผืดรัดตัว ยิ่งผิวที่อยู่ตรงบริเวณดูดไขมันนั้น จะมีความเรียบเนียนกระชับ เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นวิธีที่อ่อนโยนแล้ว หัวของคลื่นที่ทำความร้อนนั้นจะยังสามารถช่วยให้ผิวหนังส่วนบนกระชับไปในตัวอีกด้วยระหว่างการทำ

ซึ่งหากจะถามว่า การดูดไขมันด้วยวิธีอย่าง body tite นี้ เหมาะสมกับใคร โดยก่อนหน้านี้ เราอธิบายไปแล้วว่าการ ดูดไขมันแบบ Body Tite นั้น สามารถสลายไขมันส่วนเกินไปพร้อมๆกับการดูดออกได้ การดูดไขมันนี้จึงเหมาะกับ คนมีปัญหาไขมันส่วนเกินซึ่งมีการสะสมไว้เป็นปริมาณมาก คนที่ปัญหาด้านสรีระไม่สมส่วน ซึ่งคุณจะสามารถเลือกทำได้ ในจุดที่คุณรู้สึกกังวล เช่น ต้นแขน หน้าท้อง สะโพก ต้นขา น่อง ซึ่งการดูดไขมันแบบ Body Tite จะสามารถเห็นผลชัดเจน และไม่จำเป็นต้องทำซ้ำ ซึ่งการ ดูดไขมันแบบ Body Tite จะทำให้คุณสามารถเห็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนที่ลดลงภายหลังจากการรักษาไปแล้วประมาณ 1-2 เดือน ซึ่งหลังจากที่ทำการดูดไขมันส่วนเกินนั้น จะมีอาการบวมช้ำและ ระบมที่น้อยกว่าการดูดไขมันแบบอื่น

สำหรับการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการดูไขมันนั้น ก็ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่เข้าใจเพราะสามารถทำได้ดังต่อไปนี้

  1. เข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะสามารถอธิบายให้คุณฟังได้ว่า การดูดไขมันเป็นอย่างไร
  2. แพทย์จะทำการประเมิน ว่ามีบริเวณไหนบ้างที่จะต้องจัดการ พร้อมให้คำแนะนำ รวมถึงอธิบายขั้นตอนต่างๆ นา ๆ เพื่อให้ได้รับความเข้าใจการรักษา รวมถึงวิธีการดูแลตัวเองในช่วงหลังทำการดูดไขมัน
  3. ผู้ที่ต้องการดูดไขมันจะต้องทำการนัดหมาย วัน เวลา ที่จะสะดวกในการเข้ารับการรักษา
  4. ซึ่งแพทย์ก็จะทำการรักษาด้วยเครื่อง ดูดไขมันแบบ body tite ซึ่งจะทำในส่วนที่ได้ตกลงกันไว้แล้วกับคนไข้ และจะต้องเป็นการรักษาในวันที่คนไขพร้อมที่สุด
  5. แพทย์จะทำการนัดเพื่อเป็นการติดตามผลการรักษาหลังทำไปแล้วประมาณ 1-2 สัปดาห์

ซึ่งหลังจากที่มีการทำการดูดไขมันเรียบร้อยแล้ว คุณยังต้องมีการดูแลตัวเองและควรปฎิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด ซึ่งสิ่งที่ควรทำก็จะมีดังต่อไปนี้

  1. คุณไม่ควรทำให้แผลที่ไปดูดไขมันนั้น โดนน้ำหรือเปียกชื้นจนกว่าแผลจะปิดสนิท
  2. คุณจะต้องใส่ชุดที่มีความกระชับต่อเนื่อง ตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วง 1 เดือนแรกหลังทำการดูดไขมัน
  3. คุณจำเป็นจะต้องรับประทานยาที่แพทย์สั่งให้จนครบเพราะประโยชน์ของคุณเอง
  4. สุดท้ายคุณจำเป็นจะต้องเข้าพบแพทย์หลังทำการรักษา ตามกำหนดที่ได้รับ ดังนั้น คุณควรจะปฎิบัติตามที่คุณหมอแนะนำทุกประการ

หากถามว่า ทำไมจึงต้องเลือกการ ดูดไขมมันแบบ body tite หากที่อธิบายไป เราก็จะมาย้ำกันอีกที ตรง นี้ สำหรับการดูดไขมันแบบ Body Tite นั้น นอกจากจะเป็นอย่างที่กล่าวมาแล้ว ยังสามารถ Coagulation ห้ามเลือดไปได้ด้วย ในขณะที่ทำการดูดไขมัน และเพื่อลดการสูญเสียเลือดในระหว่างการรักษา ไขมันยังสามารถสลายพร้อมดูดออกมาได้โดยมีเลือดเจือปนมาในปริมาณน้อย เมื่อเทียบกับเทคโนโลยี การ “ดูดไขมัน” แบบอื่นๆ ซึ่ง การดูดไขมัน body tite จะทำให้แผลมีขนาดเล็ก รอยช้ำน้อย พักฟื้นไม่นาน เหมือนการดูดไขมันแบบเดิมๆ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ดัชนีมวลกาย http://th.wikipedia.org/wiki/ดัชนีมวลกาย

Stegmann TJ (December 1998). “FGF-1: a human growth factor in the induction of neoangiogenesis”. Expert Opin Investig Drugs. 7 (12)

Jitnarin, N.et al. (2009). Risk factors for overweight and obesity among Thai adults:

ดูดไขมัน Vaser Liposelection ( VASER )

0
ดูดไขมัน Vaser Liposelection
เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ในการจัดการกับไขมันซึ่งมีความปลอดภัยสูง ด้วยการปล่อยพลังงานคลื่นเสียง (Ultrasound) ซึ่งอยู่ในระดับความถี่ ซึ่งจะไปทำลายเฉพาะเจาะจงกับเซลล์ไขมันในชั้นไขมัน
ดูดไขมัน Vaser Liposelection
VASERเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีการปล่อยพลังงานคลื่นเสียง (Ultrasound) ซึ่งอยู่ในระดับความถี่ ซึ่งจะไปทำลายเฉพาะเจาะจงกับเซลล์ไขมันในชั้นไขมัน

ดูดไขมัน Vaser Liposelection ( VASER )

ไขมัน เป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไขมันนี้ เรียกว่าเป็นศัตรูตัวร้ายที่ทำให้หุ่นของสาวๆ จากที่สวยดูดีนั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นความย้วย อ้วน บอกเลยว่าทำให้ความสวยที่มีนั้นหมดลงไปทันที แต่ทั้งนี้ ด้วยนวัตกรรมที่ทัน สมัยในปัจจุบัน ทำให้คุณสาวๆที่มีไขมันสะสมในตัวนั้นหมดกังวลไป  เพราะเรามีนวัตกรรมการดูดไขมันมาคอยรองรับบริการ เพื่อไม่ให้คุณต้องกังวล นั่นก็คือ การ ดูดไขมัน แบบ Vaser หรือ การสลายไขมันด้วยอัลตราซาวด์

ดูดไขมัน ในรูปแบบต่างๆ

ดูดไขมัน แบบ Vaser คืออะไร

การดูดไขมันแบบเวเซอร์  Vaser Liposelection ( VASER )

นั้น ถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ในการจัดการกับไขมันซึ่งบอกเลยว่ามีความปลอดภัยสูง เพราะเป็นการดูดไขมันบางส่วนเพื่อทำให้ร่างกายกระชับได้รูป ซึ่งหลักการของเจ้า Vaser คือการปล่อยพลังงานคลื่นเสียง (Ultrasound) ซึ่งอยู่ในระดับความถี่ ซึ่งจะไปทำลายเฉพาะเจาะจงกับเซลล์ไขมันในชั้นไขมันเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ก้อนไขมันกลายเป็นของเหลวแล้วดูดไขมันออก

จากนั้นก็ดูดไขมันที่เหลวแล้วออกมาจากร่างกาย แต่จะไม่ได้ทำให้เนื้อเยื่อข้างเคียงอย่างเส้นเลือดและเซลล์ประสาทบริเวณรอบๆ ได้รับความเสียหายหรือถูกกระทบกระเทือนไปด้วย ซึ่งเป็นการช่วยลดการเกิดรอยฟกช้ำและบวมหลังการรักษา จะทำให้แผลหายเร็ว ทั้งยังช่วยให้คนไข้ฟื้นตัวได้เร็ว เนื่องจากเราทำการดูดเฉพาะเพียงเซลล์ไขมันเท่านั้น แน่นอนว่าเนื้อเยื่อคอลลาเจนที่ทำหน้าที่พยุงผิวเอาไว้จะไม่ได้ถูกทำลายไปด้วย ทำให้เกิดความเสี่ยงการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนน้อยลงด้วย ซึ่งถือว่าให้ผลการรักษาที่รวดเร็วและชัดเจน ซึ่งบางคนสังเกตได้ในระยะ 1-2 วันหลังทำ ว่าสัดส่วนมีการลดลงมาก

ดูดไขมัน Vaser Liposelection ( VASER ) เหมาะกับใคร

VASER เป็นการดูดไขมันที่เหมาะกับคนที่มีไขมันส่วนเกิน ที่กำจัดยากมาก เพราะไม่ว่าจะออกกำลังกายเท่าไหร่ก็ไม่มีทางลดลงซักที โดยเฉพาะส่วนหน้าท้อง สะโพก ต้นขา ซึ่ง Vaser สามารถใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกาย เช่น บริเวณใต้คาง โหนกบริเวณหลังต้นคอ ท้องแขน หลัง เอว ซึ่งบางคนก็จะมีปัญหาที่บริเวณเข่าที่จะมีก้อนไขมันปูดออกมา ก็สามารถกำจัดได้ด้วย VASER  ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการกำจัดไขมันที่ปลอดภัย รวดเร็ว และยังเจ็บปวดน้อย ทั้งยังเห็นผลจากการรักษาในครั้งเดียว บอกเลยว่า Vaser Liposelection ( VASER ) นั้น ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) และประเทศไทย (อย.) ว่ามีประสิทธิภาพที่ดีและความปลอดภัย

ซึ่ง VASER นั้นได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยในการแก้ปัญหาเรื่องความร้อนที่อาจจะเผาไหม้ ซึ่งสามารถช่วยโดยการลดพลังงานความร้อนที่เกิดจากการปล่อยคลื่นเสียง (Ulttrasound) ลงประมาณถึง 50 % ซึ่งขั้นตอนการ ดูดไขมันด้วย VASER ก็มีด้วยกันมากมาย โดยเริ่มที่

ในการวินิจฉัยครั้งแรก แพทย์จะสอบถามถึงสิ่งที่คนไข้ต้องการว่าอยากให้รูปร่างออกมาแบบไหน อาจขอดูรูปของคนที่เคยทำมาแล้วเพื่อช่วยในการประกอบการตัดสินใจ จากนั้นแพทย์จะอธิบายถึงวิธีการรวมไปถึงขั้นตอนในการดูดไขมัน รวมไปถึงระบุถึงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น รวมไปถึงผลลัพธ์หลังการรักษา ข้อจำกัดของการดูดไขมัน รวมไปถึงค่าใช้จ่าย และการเตรียมตัวทั้งก่อนและหลังจากการรักษา จนเมื่อถึงวันนัด ทางทีมแพทย์จะทำการตรวจร่างกายเพื่อตรวจดูสภาพความยืดหยุ่นของผิวหนัง ซึ่งความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ รวมไปถึงตำแหน่งที่ไขมันสะสม คนไข้ควรแจ้งประวัติการเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเป็น โรคประจำตัว ประวัติการใช้ยา ฯลฯ ให้แพทย์ทราบ

ซึ่งสำหรับขั้นตอนในการ ดูดไขมันด้วย VASER นั้น โดยบริเวณที่จะทำการสลายไขมันจะถูกเติมด้วยน้ำเกลือชนิดพิเศษและยาชาเข้าไป เพื่อช่วยให้ไม่เจ็บ ทั้งยังลดการช้ำ และการเสียเลือด โดยหลังจากนั้นแพทย์ก็จะใช้เครื่อง VASER ซึ่งจะมีหัวขนาดเล็กประมาณ 2-3 มิลลิเมตรใส่เข้าไปผ่านทางผิวหนัง เพื่อให้หัว VASER นั้นสัมผัสกับก้อนไขมันที่จะสลายโดยตรง จากนั้นปล่อยคลื่นเสียง (Ultrasound) เพื่อทำลายเฉพาะเจาะจงที่เซลล์ไขมัน ซึ่งทำให้ไขมันที่เป็นก้อนนั้นสลายตัวแล้วกลายเป็นของเหลว และเพื่อให้ถูกดูดออกมากอย่างง่ายดาย ซึ่งการดูดไขมันนั้นจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ต่อ 1 จุด เมื่อทำการดูดออกตามที่ต้องการแล้ว ผิวหนังจะถูกเย็บปิด 1 เข็ม ซึ่งแทบมองไม่เห็นเลย โดยหลังการรักษานั้นจะมีรอยช้ำและบวมเพียงเล็กน้อย ซึ่งคนไข้สามารถกลับบ้านได้ทันที หรือสามารถกลับไปทำงานได้ภายใน 3 – 7 วัน

โดยปกติแล้วนั้น หลังจากดูดไขมันเสร็จ อาจจะมีรอยช้ำบ้าง ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะทำการแนะนำให้ใช้ผ้ายืดพันบริเวณที่ได้ทำการดูดไขมันแล้ว นั่นก็เพื่อช่วยลดอาการบวมและกระชับกล้ามเนื้อ ซึ่งการดูดไขมันด้วย Vaser Liposelection ( VASER ) นั้น จะใช้ระยะเวลาพักฟื้นน้อยกว่าการดูดไขมันแบบเดิม ซึ่งหลังจากดูดไขมันด้วย VASER และประมาณ 3 สัปดาห์คนไข้จะเริ่มก็จะเริ่มเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของรูปร่าง และจะทำให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนหลังทำประมาณ 3 – 6 เดือน หลังการดูดไขมันแล้วควรงดออกกำลังกายประมาณ 1 เดือน และให้กลับมาออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้ผิวหนังและกล้ามเนื้อในบริเวณที่ดูดไขมันออกไปนั้น มีความแข็งแรงขึ้น เท่านี้ก็จะทำให้รูปร่างกระชับเพรียวสมส่วน แต่สำหรับผิวหนังของคนที่มีอายุมากจะมีความหย่อนยาน ดังนั้น การดูดไขมันในกลุ่มของคนที่อายุยังน้อยจะให้ผลการรักษาที่ดีกว่า

ดูดไขมัน Vaser Liposelection ( VASER ) ต้องใช้ยาสลบไหม ?

แล้วแต่ลูกค้าเลย ว่าจะสะดวกแบบไหน จะใช้ยา หรือ จะเป็นยาชาก็ได้ แต่สมัยนี้คนส่วนใหญ่จะเลือกวิธี ฉีดยาชาแทน เพราะว่ามันปลอดภัยมากกว่า แถมไม่เจ็บอีกด้วย

ซึ่งนอกจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เข้ามาจะช่วยทำให้การดูดไขมันนั้น มีประสิทธิภาพดีขึ้น และสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณมีรูปร่างที่สัดส่วนตามที่ต้องการ คือเทคนิคการดูดไขมันซึ่งทำโดยแพทย์ที่มีฝีมือและความชำนาญ ดังนั้น การเลือกศัลยแพทย์จึงทำให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมกันนี้สถานพยาบาลที่มีความพร้อมของเครื่องมือทางการแพทย์ ก็จะทำให้ผลลัพธ์ที่เราได้หลังการรักษาออกมาเป็นที่พึงพอใจ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Stegmann TJ (December 1998). “FGF-1: a human growth factor in the induction of neoangiogenesis”. Expert Opin Investig Drugs. 7 (12 Jitnarin, N.et al. (2009). Risk factors for overweight and obesity among Thai adults.

5 วิธีการดูดไขมัน ต้นแขน+ต้นขา สลายไขมันให้หายได้ภายในพริบตา

0
5 วิธีการดูดไขมัน ต้นแขน+ต้นขา สลายไขมันให้หายได้ภายในพริบตา
การดูดไขมันด้วยวิธี Bodytite การใช้พลังงาน RF (Radio Frequency) ยิงใส่ชั้นลึกของผิวหนังไขมัน ทำให้ไขมันสลายเป็นของเหลวก่อนจะดูดไขมันออกมา
5 วิธีการดูดไขมัน ต้นแขน+ต้นขา สลายไขมันให้หายได้ภายในพริบตา
การดูดไขมันด้วยวิธี Water Jet เป็นการใช้พลังงานน้ำเข้าไปแยกเซลล์ไขมันออกจากเนื้อเยื่อผิวหนัง และไขมันมีสภาพสมบูรณ์ นำมาใช้ประโยชน์ต่อได้

ดูดไขมัน

รวมข้อมูลการ ดูดไขมัน ต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Vaser, Bodytite, Water Jet ฯลฯ

สำหรับคนที่ศึกษาเรื่องการดูดไขมันต้นแขน ต้นขามาในระดับหนึ่งคงรู้แล้วว่าการ ดูดไขมัน จะมีวิธีหลัก ๆ ด้วยกันอยู่ 5 วิธี ได้แก่ Vaser, Bodytite, Water Jet, Smart Lipo และ Pal ซึ่งแน่นอนค่ะว่าแต่ละวิธีนั้นจะมีรายละเอียดที่ต่างกันออกไป วันนี้ทางเราจึงขออาสามาเจาะลึกวิธีการดูดไขมันทั้ง 5 วิธีนี้มาให้เพื่อน ๆ ประกอบการ พิจารณากันนะคะ

1. การดูดไขมันด้วยวิธี Vaser

การ ดูดไขมัน ต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Vaser นั้นจะเป็นการ ดูดไขมัน ด้วยการใช้เครื่องมือในการช่วยค่ะ โดยจะปล่อยพลังงานคลื่นเสียงหรือที่เรียกกันแบบเท่ ๆ ว่า Ultrasound ในระดับความถี่ที่เหมาะสมเพื่อเข้าไปทำปฏิกิริยากับไขมัน ทำให้ไขมันกลายเป็นของเหลว จากนั้นจึงใช้เครื่องมือดูดไขมันที่เป็นของเหลวออกมา

วิธีดูดไขมันด้วยต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Vaser นี้จะทำให้เซลล์ผิวหนังได้รับการกระทบกระเทือนน้อยมากค่ะ ลดการเกิดรอยฟกช้ำได้อย่างดี แถมยังทำให้แผลหลังจากดูดไขมันต้นแขน ต้นขา หายเร็วอีกด้วย

ข้อดี ข้อเสีย ของการดูดไขมันด้วยวิธี Vaser

นอกจากวิธีการ Vaser จะสามารถ ดูดไขมัน ต้นแขน ต้นขาได้แล้ว วิธีนี้ยังสามารถใช้ได้แทบทุกส่วนของร่างกายเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็น หน้าท้อง สะโพก ใต้คาง หรือแม้กระทั่งโหนกบริเวณหลังต้นคอ ซึ่งระหว่าง ดูดไขมันด้วย Vaser นั้นจะมีอาการเจ็บเพียงนิดเดียวค่ะ และหลังจากดูดเสร็จก็จะไม่มีแผลหรือบวมอะไรมาก นอกจากนี้ยังใช้เวลาพักฟื้นไม่นานอีกด้วยนะคะ ส่วนข้อเสียของการดูดไขมันต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Vaser คือ อาจมีน้ำคั่งหลังดูดไขมันได้ค่ะ แต่ไม่ต้องกังวลอะไรมากเพราะแพทย์สามารถรักษาได้ด้วยการเจาะออก

การดูดไขมันต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Vaser เหมาะกับใคร

อย่างที่ได้บอกไปข้างบนค่ะ ว่าการ ดูดไขมันด้วยวิธี Vaser จะสามารถดูดไขมันได้เฉพาะส่วน เช่น ต้นแขน ต้นขา เป็นต้น ซึ่งการดูดไขมันต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Vaser นี้จะเหมาะกับคนที่สลายไขมันยากค่ะ เช่น คนที่ออกกำลังกายเท่าไหร่ไขมันก็ไม่ยุบ เป็นต้น

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม: ดูดไขมัน Vaser ดียังไงพร้อมข้อดีและข้อเสีย

2. การดูดไขมันด้วยวิธี Body tite

การดูดไขมัน ด้วยวิธี Body tite คือ การใช้พลังงาน RF (Radio Frequency) ยิงใส่ชั้นลึกของผิวหนังไขมัน ทำให้ไขมันสลายเป็นของเหลวก่อนจะถูกดูดออกมาค่ะ พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือเป็นการปล่อยคลื่นไฟฟ้าในระดับความถี่ที่เหมาะสมและคลื่นความร้อนเพื่อไปสลายไขมันนั่นเองค่ะ

2.1 ข้อดี ข้อเสีย ของการดูดไขมันด้วยวิธี Body tite

นอกจากความร้อนจากการ ดูดไขมัน ต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Body tite จะช่วยสลายไขมันได้แล้ว ยังทำให้ผิวหนังกระชับ ลดการเสียเลือดได้อีกด้วยนะคะ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่ดูดไขมันด้วยวิธี Body tite นั้นจะใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 2 สัปดาห์ และมีรอยช้ำเล็กน้อยเพียงแค่ 1 – 2 มิลลิเมตร ส่วนข้อเสียของการดูดไขมันต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Bodytite นั้นคือเรื่องของราคาค่ะที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับวิธีการอื่น ๆ แถมยังสลายไขมันตรงบริเวณที่เป็นพังผืดแน่น ๆ ได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

2.2 การดูดไขมันด้วยวิธี Body tite เหมาะกับใคร

แน่นอนค่ะว่าการดูดไขมันต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Body tite นั้นจะเหมาะกับคนที่มีไขมันส่วนเกินในปริมาณมาก นอกจากนี้ยังเหมาะกับคนที่มีไขมันสะสมเฉพาะส่วนอีกด้วยค่ะ ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ แล้วคนที่เหมาะสมกับวิธี Body tite นั้นจะไม่ค่อยต่างกับวิธี Vaser ค่ะ แต่ที่ต่างกันจริง ๆ ก็คือการดูดไขมันด้วยวิธี Body tite นั้นจะเหมาะกับคนที่ต้องการกระชับผิวหนังเป็นพิเศษค่ะ

ถ้าหากใครอยากศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม อ่านนี่เลย ดูดไขมันแบบ Body Tite แผลเล็กพร้อมกระชับผิวได้ภายในตัว

3. การดูดไขมันด้วยวิธี Water Jet

การ ดูดไขมัน ต้นแขน ต้นขา ด้วยพลังงานความร้อนก็มีแล้ว คราวนี้มาถึงการดูดไขมันด้วยการใช้พลังงานน้ำกันบ้างค่ะ ใช่แล้ว! การดูดไขมันด้วยวิธี Water Jet นั้นจะเป็นการใช้พลังงานน้ำเข้าไปแยกเซลล์ไขมันออกจากเนื้อเยื่อผิวหนัง ส่งผลให้เซลล์ไขมันดังกล่าวมีสภาพที่สมบูรณ์ค่ะ ทำให้นำมาใช้ประโยชน์ต่อได้อีกทีหนึ่ง

3.1 ข้อดี ข้อเสีย ของการดูดไขมันด้วยวิธี Water Jet

อย่างที่บอกไปค่ะว่าการ ดูดไขมัน ต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Water Jet นี้ทำให้ไขมันมีสภาพที่สมบูรณ์นำไปใช้ต่อได้ เช่น การสกัดเป็นสเต็มเซลล์เพื่อซ่อมแซมร่างกาย หรือ การนำไขมันไปศัลยกรรมเสริมหน้าอกต่อ เป็นต้น ซึ่งการศัลยกรรมด้วยไขมันตัวเองนั้นถือเป็นวิธีที่ปลอดภัยมากวิธีหนึ่งค่ะ เพราะเนื้อเยื่อจะปรับตัวให้เข้ากันได้ง่าย ส่วนข้อเสียของการ ดูดไขมัน ต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Water Jet นั้นคืออาจมีน้ำหรือไขมันตกค้างได้ค่ะ แต่ยังไงก็ตามสามารถระบายออกได้หลังผ่าตัดเสร็จค่ะ

3.2 การดูดไขมันด้วยวิธี Water Jet เหมาะกับใคร

แน่นอนค่ะว่าการดูดไขมันต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Water Jet นั้นจะเหมาะกับคนที่ต้องการนำไขมันที่สมบูรณ์ไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ ต่อ แต่ยังไงก็ตามคนที่ไม่มีแผนจะนำไขมันไปใช้อีกรอบก็สามารถใช้วิธี Water Jet ได้นะคะ เพราะวิธีนี้ไม่ทำให้เนื้อเยื่อบอบช้ำ แผลหายเร็ว และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานค่ะ

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม : ดูดไขมัน Water Jet ด้วยพลังงานน้ำ

4. การดูดไขมันด้วยวิธี Smart Lipo

การ ดูดไขมัน ด้วยวิธี Smart Lipo นั้นจะใช้เลเซอร์ในการสลายเซลล์ไขมันค่ะ โดยจะยิงเลเซอร์เข้าไปก่อน หลังจากนั้นจึงนำไขมันออกมา ซึ่งวิธี Smart Lipo นี้จะเป็นการดูดไขมันกึ่งผ่าตัดค่ะ ใช้เวลาประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง แต่จะไม่เจ็บมาก และไม่ต้องนอนโรงพยาบาลด้วย

4.2 ข้อดี ข้อเสีย ของการดูดไขมันด้วยวิธี Smart Lipo

การดูดไขมันด้วยวิธี Smart Lipo นั้นจะใช้เวลาพักฟื้นไม่นานค่ะ ได้ผิวที่เรียบเนียน นอกจากนี้ยังเห็นผลได้เร็วหลังจากทำเพียงแค่ 1 สัปดาห์ และจะเห็นผลชัดขึ้นเรื่อย ๆ 3 – 6 เดือน หากควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ส่วนข้อเสียของการ ดูดไขมันด้วย Smart Lipo ก็คือวิธีนี้จะดูดไขมันได้น้อยค่ะ อยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม สามารถ อ่านต่อได้ที่นี่ : ดูดไขมัน Smart Lipo มี ข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร

ดูดไขมัน Smart Lipo

4.3 การดูดไขมันด้วยวิธี Smart Lipo เหมาะกับใคร

อย่างที่บอกไปการ ดูดไขมัน ด้วยวิธี Smart Lipo นั้นจะดูดไขมันได้น้อยค่ะ ดังนั้นจึงเหมาะกับคนที่ไขมันไม่มากนัก เช่น มีไขมันที่ต้นแขน บริเวณคาง คอ หรือ ใบหน้า

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลเพิ่มเติม : ดูดไขมัน Smart Lipo

5. การดูดไขมันด้วยวิธี Pal

ต้องขอเกริ่นอย่างงี้ก่อนนะคะว่า Pal หรือ Power Assisted Liposuction เป็นเครื่องมือทุนแรงที่แพทย์ใช้ช่วยในการ  “ดูดไขมัน” ต้นแขน ต้นขาค่ะ โดยเครื่องมือนี้จะเพิ่มความถี่ของเข็มดูดไขมัน คล้าย ๆ กับการสั่นของแปรงสีฟันไฟฟ้าค่ะ ซึ่งจะทำให้ดูดไขมันในส่วนที่ยากให้ออกมาง่ายขึ้นค่ะ สามารถใช้ร่วมกับวิธีดูดไขมันแบบ Bodytite ได้

 

5.1 ข้อดี ข้อเสีย การดูดไขมันต้นด้วยวิธี Pal

อย่างที่เราได้บอกไปข้างบนค่ะ ว่าเครื่อง Pal หรือ Power Assisted Liposuction นั้นสามารถดูดไขมันในส่วนที่ยากให้ออกมาได้ง่ายขึ้น แถมยังช่วยแพทย์ประหยัดเวลาอีกนะคะ นอกจากนี้การดูดด้วยเครื่อง Pal ยังทำให้ผิวหนังมีการบอบช้ำน้อยลงอีกด้วย ส่วนข้อเสียนั้นก็คือถ้าเป็นเครื่อง Pal แบบเก่าจะมีเสียงดังรบกวนมากค่ะ นอกจากนี้เครื่อง Pal ยังมีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งทำให้ต้นทุนการดูดไขมันต้นแขน ต้นขา สูงขึ้นตาม

5.2 การดูดไขมันด้วยวิธี Pal เหมาะกับใคร

แน่นอนค่ะว่าการดูดไขมันด้วยเครื่อง Pal นั้นเหมาะกับคนที่มีไขมันที่ดูดออกยาก ซึ่งถ้าไปหาแพทย์แล้วพบว่าไขมันที่ต้องการดูดนั้นไม่ยากมากก็ใช้เพียงแค่วิธี Bodytite ธรรมดา ๆ ก็ได้ค่ะ

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม : ดูดไขมัน ด้วยวิธี PAL

เป็นยังไงบ้างคะกับ 5 วิธีการดูดไขมัน ที่ทางเราหยิบมานำเสนอ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลของเรานั้นจะช่วยเพื่อน ๆ ในการตัดสินใจดูดไขมันต้นแขน ต้นขา ได้ในระดับหนึ่งนะคะ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Stegmann TJ (December 1998). “FGF-1: a human growth factor in the induction of neoangiogenesis”. Expert Opin Investig Drugs. 7 (12)

Jitnarin, N.et al. (2009). Risk factors for overweight and obesity among Thai adults:

results of the National Thai Food Consumption Survey. Nutrients. 2, 60-74.

ดัชนีมวลกาย http://th.wikipedia.org/wiki/ดัชนีมวลกาย

คำถามที่พบบ่อยเรื่องการเสริมหน้าอก

0
คำถามที่พบบ่อยเรื่องการเสริมหน้าอก
เสริมหน้าอก ควรเสริมขนาดไม่เกิน 300 CC หรือ ดูจากรูปร่างสรีระของผู้ที่ต้องการ
คำถามที่พบบ่อยเรื่องการเสริมหน้าอก
เสริมหน้าอก ควรเสริมขนาดไม่เกิน 300 CC หรือ พิจารณาจากรูปร่างสรีระของผู้ที่ต้องการเสริมหน้าอก

ความลับที่ไม่ลับ สำหรับ คำถามที่พบบ่อยมากที่สุดสำหรับการ ศัลยกรรม เสริมหน้าอก หากใครกำลังติดปัญหาหรือมีเรื่องกังวลใจ แนะนำให้เข้ามาอ่านเลย

ไปทำนมมา จะให้นมลูกได้ไหม ?

สามารถให้นมลูกได้ตามปกติ  ( สามารถบีบเก็บน้ำนมด้วยมือหรือปั้ม ได้ )

อายุที่เหมาะสมในการทำหน้าอก

จริงๆ การ เสริมหน้าอก สามารถทำได้ตั้งแต่ อายุ 18 ปี ขึ้นไปครับ แต่ถ้าจะให้ดีเลย อายุ 22 ปี กำลังดี เพราะถ้าหากว่าเราทำนมตอนที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต อาจจะทำให้ ร่างกายมีปัญหาได้

ทำนมพักฟื้นกี่วัน

อันนี้มันก็มีอยู่หลายปัจจัยนะ ขึ้นอยู่กับ อายุด้วย ยิ่งถ้าทำกับคนอายุน้อยๆ ก็มีโอกาสที่จะหายเร็วกว่า โดยส่วนมากที่ แผลจะหาย ก็ประมาณ 1 อาทิตย์ ก็ถือว่าเพียงพอ

แต่ก็ยังมีอีกหลายกรณี ที่ยังทำให้เจ็บอยู่ เพราะเนื่องจาก ถ้าคนไข้เป็นคนรูปร่างเล็ก ผอมบาง ผิวหนังบริเวณหน้าอกน้อย แผลก็จะตึงมาก ทำให้รู้สึกเจ็บปวด

ระยะเวลาการผ่าตัดเสริมหน้าอก

ใช้เวลาโดนประมาณ 2-3 ช.ม

เสริมหน้าอกต้องวางยาสลบไหม ?   

อันนี้ส่วนใหญ่จะเป็นความต้องการของลูกค้าที่เข้ามา ทำนม ว่าจะเลือกแบบไหน

แต่ส่วนใหญ่ที่นิยมกันก็คือ การวางยาสลบนั่นเอง แต่ถ้าใครกลัว ก็สามารถ ทำแบบยาชาได้นะ แต่อาจจะเจ็บนิดนึง

ต้องอดอาหารด้วยไหม

  • 8 ช.ม หลังจากทำการผ่าตัด

ต้องนอนโรงพยาบาลไหม

  • ไม่จำเป็น

ตัดไหมเมื่อไหร่

  • 7 วันหลังจากผ่าตัด

บริเวณที่จะผ่าใส่วัสดุเสริมหน้าอก

มีอยู่ ประมาณ 4 จุดใหญ่ ๆ ซึ่งการใส่แต่ละประเภท ก็จะมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป แต่ส่วนมากจะเอาไว้หลบพวกรอยแผลเป็น

  • สะดือ
  • แผลรอบปานนม
  • ใต้ราวนม
  • ใต้รักแร้

ขึ้นเครื่องบินแล้ว ทำให้ซิลิโคนเสริมอกแตก จริงหรือ ?

เสริมหน้าอกแล้ว ควรเสริมขนาดเท่าไรดี

อันนี้ ที่อยากแนะนำเลยก็คือ ขนาดไม่เกิน 300 CC แต่จะบอกแบบนั้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ต้องดูอีกหลายปัจจัย เช่น รูปร่างของผู้ที่ต้องการ เสริมหน้าอก ว่ามีขนาดเท่าไร ในกรณีที่ ใส่แบบไม่สมดุล มันก็จะขาดความเป็นธรรมชาติไปเลย ดูยังไงก็ดูไม่สวย

รูปทรงของวัสดุที่ต้องการเสริม

  • ทรงหยดน้ำ
  • ทรงกลม

ประเภทผิวซิลิโคนมีอะไรบ้าง ?

  • แบบหยาบ
  • แบบเรียบ

ถุงซิลิโคนมีอยู่กี่ชนิด 

ถุงน้ำเกลือ และ เจลลี่

ควรเสริมซิลิโคนแบบไหนระหว่างผิวเรียบ กับผิวขรุขระ?

ตอนนี้ที่กำลังนิยมเลยก็คือ ซิลิโคนแบบผิวทราย ไม่ต้องนวดมาก อันนี้ก็อยู่กับ หมอที่ศัลยกรรมด้วย

อายุซิลิโคนเสริมหน้าอก อยู่ได้กี่ปี ?

ประมาณ 10 – 15 ปีขึ้นไป อันนี้ก็แล้วแต่ละประเภท ซิลิโคน แต่ส่วนใหญ่ที่นิยมเสริมนมกัน จะอยู่ประมาณนี้

กรณีที่ไม่พอใจอยากแก้ไขรูปทรง

ต้องรอไปอีกประมาณ 6 เดือน – 1 ปี  ถึงจะทำการแก้ไขรูปทรงใหม่ได้

เสริมหน้าอกมีโอกาสทำให้เป็นมะเร็งเต้านม ได้มากขึ้น

  • ไม่มีผลกระทบต่อการเกิดมะเร็ง

เป็นยังไงกันบ้าง หวังว่าคงจะได้คำตอบในสิ่งที่อยากรู้เกี่ยวกับเรื่องการ เสริมหน้าอก นะครับ สำหรับวันนี้ขอตัวลาไปก่อน เดียวมีอะไรอัพเดทจะมาแจ้งให้ทราบกันนะครับ จมูกอะเรื่องเล็ก หน้าอกเล็กสิเรื่องใหญ่

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

แพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข. ต้านมะเร็งเต้านม : กรุงเทพฯ : อมรินทร์สุขภาพ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2554.

แพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข. 100 เรื่องน่ารู้ มะเร็งในผู้หญิง : กรุงเทพฯ : อมรินทร์สุขภาพ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2556.

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการเสริมหน้าอก พร้อม ผลข้างเคียง

0
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการเสริมหน้าอก พร้อม ผลข้างเคียง
การเสริมหน้าอก ควรเสริมหน้าอกโดยอิงจากสรีระของตัวผู้เสริมเป็นหลักหากใหญ่เกินตัวเพื่อความสวยงาม
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการเสริมหน้าอก พร้อม ผลข้างเคียง
การเสริมหน้าอก ควรเสริมหน้าอกโดยอิงจากสรีระของตัวผู้เสริมเป็นหลักหากใหญ่เกินตัวเพื่อความสวยงาม

เตรียมตัวก่อนเสริมหน้าอก

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการ เสริมหน้าอก แต่ไม่รู้ว่า จะต้อง เตรียมตัวก่อนเสริมหน้าอก อย่างไร บทความนี้ เรามี ข้อควรรู้ และ การเตรียมตัว หรือการดูแลตัวเอง ก่อนการเข้ารับการศัลยกรรมเสริมหน้าอก ซึ่งหลังจากที่คุณ

ตัดสินใจที่จะทำศัลยกรรมหน้าอกแล้วนั้น คุณหมอที่จะทำศัลยกรรมหน้าอกให้คุณจะแนะนำวิธีการเตรียมตัวและดูแลตัวเองก่อนและหลังการทำนมให้แก่คุณ ซึ่งเราอยากแนะนำให้คุณทำตามอย่างเคร่งครัด ซึ่งอย่างที่บอกว่าบทความนี้ เราจะมาบอกกันว่าการเตรียมตัวก่อน เสริมหน้าอก นั้นมีอะไรกันบ้าง

1. สิ่งแรกก่อนการเสริมหน้าอกที่คุณจะต้องทำนั่น คือ การทำใจโดยคุณจะต้องไม่วิตกกังวล ไม่ควรเครียด เพราะนั่นจะเป็นสิ่งที่ทำให้ความดันขึ้นสูง ส่งผลให้คุณไม่สามารถทำการศัลยกรรมหน้าอกได้

2. อีกสิ่งที่สำคัญก่อนการทำนมนั้นคือ การงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนผ่าตัด 1 เดือน งดทานอาหารที่ไม่สุกหรือสุกๆดิบๆ และงดบุหรี่ หรือยาที่มีส่งผลกระทบต่อโรคความดันโลหิต เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และอาการบวมที่ยาวนานกว่าปกติ

3. งด หรือ หยุด การทานวิตามิน e น้ำมันตับปลา สมุนไพร และอาหารเสริมทุกชนิด 1 สัปดาห์ เพราะวิตามินและอาหารเสริมบางตัวจะมีผลกับการผ่าตัด เสริมหน้าอก จะทำให้การปิดบาดแผลของระบบเลือดทำงานได้ช้าลง ส่งผลให้เลือดไม่ยอมแข็งตัว ซึ่งอาจเกิดอาการบวมช้ำนานกว่าคนอื่น ๆ รวมถึงอาหารที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดก่อนผ่าตัด 1 สัปดาห์ เช่น ผงชูรส กระเทียม หัวหอม ถั่วเหลือง อัลมอนด์ แอปเปิ้ล ผลไม้ตระกูลเบอรี่ แตงกวา ขิง มะเขือเทศ และ ยากลุ่มแอสไพริน ( Aspirin ) หรือไอบิวโพรเฟน ( Ibuprofen ) หรือยาอื่นที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยารักษาโรคไซนัส ยาแก้ไอที่มีส่วนผสมของยาดังกล่าว อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด หากจำเป็นให้ใช้ยาพาราเซตามอลในการแก้ปวดเท่านั้น

4. งดน้ำและอาหาร 6 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด ควรอาบน้ำ สระผมมาให้เรียบร้อยด้วย

5. ควรออกกำลังกายก่อนผ่าตัด 1 เดือน เพื่อเป็นการเตรียมกล้ามเนื้อให้แข็งแรง โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องเพราะจะช่วยให้การเปลี่ยนท่านั่งหรือนอนทำได้ง่ายขึ้น

6. ครอบครัวมีพันธุกรรม เกี่ยวกับการแตกลายของหน้าท้อง และนมลาย ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มลดน้ำหนัก หรือตั้งครรภ์ ซึ่งคุณควรทาครีม เพื่อบรรเทาในการลดอาการแตกลายของหน้าอก ก่อนที่คุณจะทำการเสริมหน้าอกอย่างน้อย 1 ถึง 3 เดือน ก่อนและหลังเสริมหน้าอก นั่นก็เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้หน้าอกของคุณลาย ซึ่งก็ช่วยได้ไม่มากก็น้อย

ผลข้างเคียงจากการเสริมหน้าอก

อาการท้องบวม ผลข้างเคียงจากยา 

อันตรายไหม ?

ไม่อันตราย

อาการจะดีขึ้นหรือหายไปเมื่อไหร่ ?

เมื่อยาหมด สัก 2-3 วันหลังทานยาครบแล้ว ทนเอาหน่อยนะคะ เพื่อน้องนม จะได้ไม่เน่า

อาการวิงเวียน อาเจียน นีเห็นน้อยคนมาก แต่ถ้าเกิด สาเหตุอาจเกิดจาก

  • ผลข้างเคียงของฤทธิ์ยาชา ยาสลบ
  • แพ้ยาแก้อักเสบ
  • แพ้ยาแก้ปวด
  • แพ้ยาลดบวม

สิ่งที่พบ และคิดว่าเป็นกันเยอะมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นของเรื่อง อาการปวดหลัง บางคนก็ติ๊งต่าง คิดไปเองว่า อาจจะเป็นผลข้างเคียงจากที่เราเสริม ซิลิโคนที่ใหญ่เกินไปหรือเปล่า อันนี้ขอตอบเลยว่า ไม่จริงอย่างแน่นอน !

เพราะส่วนที่รับน้ำหนักของนม คือผิวหนังด้านนอก ดังนั้น มันไม่เกี่ยวกับที่หลังเลย สาเหตุที่ทำให้ปวดหลังนั้นก็คือ ท่านอน ระหว่างพักฟื้น  และ  ผลข้างเคียงของฤทธิ์ยาชา ยาสลบ  นั่นเอง ดังนั้นไม่ต้องตกใจ

นอกจากคำแนะนำในการเตรียมตัวก่อนเข้าผ่าตัดแล้วนั้น เรายังอยากที่จะแนะนำถึงของใช้ที่จำเป็น ซึ่งคุณน่าจะต้องเตรียมก่อนการ เสริมหน้าอก 

ของใช้ที่จำเป็นที่ต้องเตรียมก่อนเข้าผ่าตัด

1. เสื้อแบบเป็นกระดุมหน้า ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากซึ่งจะต้องใช้ในวันออกจากรพ หลายคนคงสงสัยว่า เป็นเสื้อสวนหัวไมได้หรือ เราแนะนำว่าการใช้เสื้อแบบติดกระดุมหน้า จะช่วยให้คุณไม่ต้องยกแขนเพราะแผลที่บริเวณรักแร้จะเจ็บอย่างแน่นอนและยกไม่ขึ้นด้วย ดังนั้นเตรียมไว้ใส่ ตลอดช่วงพักฟื้น ซัก 3-4 ตัว ดูตัวที่ไม่รัดมาก เพื่อความสบายตัวของคุณเอง

2. ลูกอม ในการ เสริมหน้าอก บางทีอาจจะต้องยัดสายออกซิเจนลงคอด้วย ทำให้ตอนฟื้นอาจเจ็บคอ ซึ่งลูกอมจะช่วยให้ชุ่มคอ

3. มะม่วงกับมะขาม แนะนำให้เตรียมไว้เผื่อคุณมีอาการอยากอาเจียน สำหรับคนที่มีอาการแพ้ยาสลบ ผลไม้ 2 ชนิดนี้ จะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องการ เสริมหน้าอก สามารถ อ่านเพิ่มเติมได้จากลิ้งด้านบนได้เลยน้าา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

แพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข. ต้านมะเร็งเต้านม : กรุงเทพฯ : อมรินทร์สุขภาพ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2554.

พวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อน เข้าใจว่า การตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 240 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1647-7

เสริมหน้าอก ทรงไหนดี ทรงซิลิโคน มีข้อดีข้อเสีย อย่างไรบ้าง

0
เสริมหน้าอก ทรงไหนดี ทรงซิลิโคน มีข้อดีข้อเสีย อย่างไรบ้าง
ซิลิโคนศัลยกรรมเสริมหน้าอกทรงหยดน้ำ มีลักษณะป่องตรงส่วนล่าง และจะแบนตรงส่วนบน เหมาะกับสาวที่มีหน้าอกน้อย
เสริมหน้าอก ทรงไหนดี ทรงซิลิโคน มีข้อดีข้อเสีย อย่างไรบ้าง
ซิลิโคนศัลยกรรมเสริมหน้าอกทรงหยดน้ำ มีลักษณะป่องตรงส่วนล่าง และจะแบนตรงส่วนบน เหมาะกับสาวที่มีหน้าอกน้อย

เสริมหน้าอก

การตัดสินใจทำ เสริมหน้าอก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ เพราะเราต้องเลือกซิลิโคนในการเสริมหน้าอกที่มีหลายแบบหลายสไตล์จนตัดสินไม่ถูกเลยล่ะค่ะว่าจะใช้อันไหนกันดี วันนี้ทางเราจึงได้รวบรวมข้อมูลซิลิโคนในการศัลยกรรมเสริมหน้าอกประเภทต่าง ๆ ไว้ในบทความนี้เพื่อให้เพื่อน ๆ ใช้ประกอบการตัดสินใจ

ทรงซิลิโคนศัลยกรรมเสริมหน้าอก

เผยเคล็ดลับการเลือกซิลิโคนศัลยกรรมเสริมหน้าอก

ก่อนไปทำความรู้จักกับประเภทซิลิโคนต่าง ๆ เรามาดูทรงของซิลิโคนที่ใช้ในการทำศัลยกรรม เสริมหน้าอก กันก่อนดีกว่าค่ะ โดยทรงของซิลิโคนเสริมหน้าอกนั้นจะมีด้วยกัน 2 ทรง นั่นคือ ซิลิโคนทรงหยดน้ำ และ ซิลิโคนทรงกลม ซึ่งแน่นอนว่าซิลิโคนแต่ละทรงมีลักษณะและความเหมาะสมที่ต่างกันออกไป

1.1 ซิลิโคนศัลยกรรมเสริมหน้าอกทรงหยดน้ำ

ซิลิโคนศัลยกรรมเสริมหน้าอกทรงหยดน้ำนั้นจะมีลักษณะป่องตรงส่วนล่าง และจะแบนตรงส่วนบนค่ะ พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือจะมีลักษณะเหมือนหยดน้ำนั่นแหละค่ะ ซึ่งซิลิโคนเสริมหน้าอกทรงหยดน้ำนี้จะเหมาะกับสาว ๆ ที่มีหน้าอกน้อย เพราะซิลิโคนทรงหยดน้ำจะให้ความรู้ที่เป็นธรรมชาติมากกว่าและดูเนียนกว่าการเสริมด้วยซิลิโคนทรงกลมค่ะ

1.2 ซิลิโคนศัลยกรรมเสริมหน้าอกทรงกลม

ซิลิโคนศัลยกรรม เสริมหน้าอก ทรงกลมนั้นจะมีลักษณะกลมตามชื่อเลยค่ะ นอกจากนี้ขอบจะโค้งมนดูเข้ารูป ซึ่งซิลิโคนเจลภายในจะเหลวกว่าทรงหยดน้ำ ส่งผลให้เวลานั่งหรือยืนนั้นซิลิโคนเจลของทรงกลมนั้นจะไหลลงไปข้างล่างค่ะ แต่จะกลับคืนตัวในท่านอน ซิลิโคนเสริมหน้าอก ทรงกลมนั้นจะเหมาะกับสาว ๆ ที่มีนมอยู่บ้างแต่ต้องการเติมเต็มให้ได้รูปหรือแก้ไขข้อบกพร่อง เช่น หย่อนคล้อย เป็นต้น

ประเภทผิวของซิลิโคนเสริมหน้าอก

สำหรับคนที่ทำนมจะต้องเลือกซิลิโคนเสริมหน้าอกทรงกลมนั้นจะต้องเลือกพื้นผิวของซิลิโคนด้วยค่ะ โดยจะแบ่งออกเป็น ซิลิโคนผิวเรียบ และ ซิลิโคนผิวทราย ซึ่งความต่างกันที่เห็นได้ชัดของซิลิโคนเสริมหน้าอกผิวเรียบและผิวทรายนี้จะเป็นเรื่องของความนิ่มและความหนืดของซิลิโคนค่ะ

ซิลิโคนเสริมนมที่ใช้โดยทั่วไป ด้านล่างมีลักษณะกลม รูปทรงดูเป็นธรรมชาติไม่ว่าจะยืนหรือนอน และใช้เพื่อเพิ่มขนาดของทรวงอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีอายุเป็นการเพิ่มเนื้อเต้านมบริเวณส่วนบน 

สำหรับผู้ที่มีโครงสร้างหน้าอกแคบ เมื่อทำศัลยกรรมหน้าอก ทำนม ด้วยวัสดุเสริมรูปหยดน้ำไปแล้ว จะได้หน้าอกทรงหยดน้ำตามที่ต้องการ แต่เมื่อเวลาผ่านไปโครงสร้างของหน้าอกก็อาจจะเกิดการหย่อนคล้อยลงไปด้านล่าง ด้วยเหตุนี้ สำหรับผู้ที่มีหน้าอกส่วนบนแคบจึงควรใช้ วัสดุเสริมทรงกลม เพื่อที่เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว หน้าอกจะกลายเป็นทรงหยดน้ำอย่างเป็นธรรมชาติ

2.1 ซิลิโคนเสริมหน้าอกผิวเรียบ

ซิลิโคนแบบผิวเรียบนี้จะนิ่มกว่าซิลิโคนผิวทรายค่ะ ใส่แล้วจะดูเป็นธรรมชาติ แถมยังดูแลง่าย และราคาถูกกว่าอีกด้วยค่ะ แต่จะมีโอกาสที่เต้านมไหลหลุดจากทรงได้ง่ายกว่าซิลิโคนผิวทรายค่ะถึงแม้จะเกิดไม่บ่อยก็ตาม

2.2 ซิลิโคนเสริมหน้าอกผิวทราย

มากันที่ซิลิโคน เสริมหน้าอก ผิวทรายกันบ้างค่ะ โดยซิลิโคนผิวทรายนี้เวลาใช้ เสริมหน้าอก จะมีความหนืดมากกว่าซิลิโคนผิวเรียบทำให้ตัวซิลิโคนหลุดออกจากทรงได้ยากกว่า แถมรูปทรงยังเปลี่ยนแปลงได้น้อยอีกด้วยค่ะ

ยังไงก็ตามยังมีความเชื่อที่เล่าต่อกันมาว่าซิลิโคนเสริมหน้าอกผิวทรายนั้นจะลดอาการพังผืดได้มากกว่า ความจริงก็คือขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ใช้เสริมหน้าอกค่ะ หากใส่ซิลิโคนเข้าไปใต้กล้ามเนื้อโอกาสการเกิดพังผืดจะไม่ต่างกัน แต่ถ้าเสริมหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อซิลิโคนผิวทรายจะช่วยลดการเกิดพังผืดได้มากกว่า ทั้งนี้การเกิดพังผืดหลังศัลยกรรมหน้าอกนั้นการเสริมซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อจะมีโอกาสน้อยกว่าการเสริมซิลิโคนเหนือกล้ามเนื้อค่ะ

ตำแหน่งการผ่าตัดทำนม

เสริมหน้าอก แผลผ่าตัดมี 4 ตำแหน่ง รักแร้ ใต้ราวนม รอบปานนม และ สะดือ

เสริมหน้าอกทางสะดือ 

เรื่องนี้ผมขอเริ่มจาก สะดือก่อนเลยแล้วกันนะครับ หลายคนยังคงสงสัยว่า เฮ่ย มันจะไปใส่ตรงนั้นได้ยังไง บ้าไปแล้ว .. แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแหละครับ เพราะว่าสามารถทำได้จริง ๆ

แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมสักเท่าไร เนื่องจาก จะต้องส่องกล้องและใช้ได้กับเฉพาะถุงซิลิโคนน้ำเกลือ เท่านั้น

แผลรอบปานนม ( Periareolar incision )

แผลรอบปานนม จะมีข้อเสียอีกอย่างนึงก็คือ จะทำให้ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดทำนม อาจจะมีโอกาสชาที่หัวนมจะสูงหน่อย และมีโอกาสที่จะต้องผ่าตัดเนื้อเต้านม  ซึ่งในเนื้อเต้านมมักมีแบคทีเรียอาศัยอยู่ทำให้โอกาสเกิดติดเชื้อ และพังพืดรัดถุงซิลิโคนสูงขึ้นมานิดนึง แต่ข้อดีคือปกปิดแผลได้ดีครับ พวกนางแบบที่ต้องโชว์หน้าอก โชว์รักแร้มักจะชอบแผลนี้

แผลใต้ราวนม 

กำลังเป็นที่นิยมสุด ๆ สำหรับฝรั่ง ฟื้นตัวเร็ว บวมน้อย สามารถหยุดเลือดได้ง่าย จะมีข้อเสียอยู่นิดหน่อยก็คือ แผลเป็นที่ใต้ราวนม แผลเป็นนูน แผลเป็นคีลอยด์ ( Keloid ) แต่โอกาสที่จะเป็นแผลนูนนั้นน้อยมากครับ อันนี้ก็แล้วแต่  เทคนิคของแต่ละคลินิกแล้วกัน ต้องศึกษาเพิ่มเติมกันดี ๆ เสริมหน้าอก ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เพราะจะอยู่กับตัวเราไปอีกนาน

แผลใต้รักแร้  ( Transaxillary incision )

การผ่าตัดใต้รักแร้ ก็ถือว่า กำลังเป็นที่นิยมเอามาก ๆ โดยในหมู่คนไทย เพราะสามารถซ่อนแผลไว้ใต้รักแร้ซึงเป็นจุดซ่อนเร้นได้ การผ่าตัดผ่านแผลรักแร้มีสองแบบ แบบดั้งเดิมใช้การกระทุ้ง กับ การส่องกล้อง

ข้อเสียของการเสริมนมใต้รักแร้

ข้อเสียชัดเจนของการกระทุ้งคือหลังผ่าเจ็บมาก บวมมาก และช้ำกว่า และ ราคาแพงกว่าครับ เพราะว่าต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ และที่สำคัญ ค่าหมอแพงด้วย

ประเภทของของถุงซิลิโคน

อย่างที่เราได้บอกไปตอนเกริ่นบทความค่ะว่าการศัลยกรรมหน้าอกมีซิลิโคนให้เลือกหลายแบบหลายสไตล์ และนอกจากทรงซิลิโคน และ ผิวของซิลิโคนแล้ว เรายังต้องเลือกประเภทของถุงซิลิโคนด้วยค่ะ ซึ่งถุงซิลิโคนที่ใช้ในการเสริมหน้าอกจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ถุงน้ำเกลือ ถุงซิลิโคนเจล และ ถุงซิลิโคนเบคเกอร์ค่ะ

3.1 ถุงซิลิโคนน้ำเกลือ

ถุงซิลิโคนน้ำเกลือจะแบ่งย่อยออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

3.1.1 ถุงน้ำเกลือแบบสเปคตัม ที่สามารถขยายตัวได้ ซึ่งวิธีการใช้ถุงน้ำเกลือแบบสเปคตัมนี้ก็คือแพทย์จะใส่ถุงเปล่าเข้าไปก่อน และหลังจากนั้นจึงเติมน้ำเกลือไปเพื่อให้ได้ขนาดตามที่ต้องการ ส่วนถุงน้ำเกลืออีกแบบ คือ

3.1.2 ถุงน้ำเกลือที่มีการเติมน้ำเกลืออยู่แล้วก่อนใส่ เสริมหน้าอก ค่ะ แต่ถุงน้ำเกลือประเภทนี้อาจพบปัญหาเรื่องถุงแฟบหรือเกิดการรั่วซึมได้ จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้ในการเสริมหน้าอกเท่าไหร่นัก

ทั้งนี้ข้อดีของการเสริมหน้าอกด้วยถุงน้ำเกลือก็คือสามารถปรับขนาดตามที่ต้องการได้ระหว่างศัลยกรรมด้วยการเติมน้ำเกลือเพิ่มเข้าไปค่ะ และยังเกิดรอยแผลเป็นน้อยกว่า นอกจากนี้หากเกิดการรั่ว ร่างกายก็สามารถดูดซึมได้โดยไม่เป็นอันตราย

3.2 ถุงซิลิโคนเจล

ถุงซิลิโคนเจลจะมีลักษณะภายนอกแข็งเช่นเดียวกับถุงน้ำเกลือค่ะ แต่ต่างกันตรงที่ภายในจะบรรจุซิลิโคนเหลวเพื่อไว้ใช้ในการเสริมหน้าอก ซึ่งให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติมากกว่าการเสริมหน้าอกด้วยถุงน้ำเกลือ นอกจากนี้ถุงซิลิโคนเจลยังแบ่งออกเป็น ผิวเรียบ และ ผิวทราย แบบที่เราได้พูดไปแล้วที่ข้างบน

ถุงเบคเกอร์มีการผลิตเป็น 2 แบบคือ
1. แบบคลาสสิค ประกอบด้วยเจล 25 เปอร์เซนต์ น้ำเกลือ 75 เปอร์เซนต์
2. แบบเบคเกอร์50 ประกอบด้วยเจลและน้ำเกลืออย่างละ 50 เปอร์เซนต์

3.3 ถุงเบคเกอร์ 

ถุงเบคเกอร์จะเป็นการผสมกันระหว่างถุงน้ำเกลือและถุงซิลิโคนเจลค่ะ โดยภายนอกจะเป็นเจล และภายในจะเป็นน้ำเกลือ พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือถุงเบคเกอร์นี้จะเป็นถุงเจลที่สามารถขยายให้ใหญ่ขึ้นได้โดยการใส่น้ำเกลือเข้าไปข้างในค่ะ ซึ่งถุงเบคเกอร์ที่นิยมในการ เสริมหน้าอก จะมีด้วยกัน 2 ประเภท ได้แก่ ถุงเบคเกอร์ที่ประกอบไปด้วยเจล 25% น้ำเกลือ 75% และอีกประเภทก็คือ ถุงเบคเกอร์ที่ประกอบด้วยเจล 50% และน้ำเกลือ 50% 

แบรนด์ซิลิโคนต่าง ๆ ที่ใช้ในการเสริมหน้าอก

หลังจากเลือกประเภทและลักษณะซิลิโคนไปแล้ว ครั้งนี้ก็ถึงเวลาในการเลือกแบรนด์ถุงซิลิโคนที่ใช้ในการ เสริมหน้าอก แล้วค่ะ ซึ่งแบรนด์ดัง ๆ ที่คนไทยนิยมใช้กันจะมี 3 แบรนด์ ได้แก่ Slimed, Mentor และ Allergan

4.1 ซิลิโคนเสริมหน้าอกแบรนด์ Slimed 

แบรนด์ Slimed ถือเป็นแบรนด์ถุงนมทรงหยดน้ำแบรนด์แรกที่ได้การรับรองจาก FDA หรือ อย. ของประเทศสหรัฐอเมริกาค่ะ ซึ่งการผลิตซิลิโคนของ Slimed นั้นจะเป็นแบบ Two Texture ค่ะ พูดให้เข้าใจง่าย ๆ

ก็คือเป็นซิลิโคนเสริมหน้าอกที่มีความหนาแน่น และมีความคงทนสูง เวลาเสริมหน้าอกแล้วสามารถอยู่กับตัวเราได้นาน นอกจากนี้จุดเด่นอีกอย่างของซิลิโคนแบรนด์ Slimed ก็คือจะเป็นซิลิโคนเสริมหน้าอกที่มีฐานกว้างค่ะ

4.2 ซิลิโคนเสริมหน้าอกแบรนด์ Mentor 

แบรนด์ Mentor นั้นจะมีการผลิตซิลิโคนที่มีความหนาแน่น 3 ระดับด้วยกันค่ะ คือ ความหนาแน่นสูงระดับ 1 ความหนาแน่นสูงระดับ 2 และ ความหนาแน่นสูงระดับ 3 โดยถุงซิลิโคนความแน่นสูงระดับที่ 1 และระดับที่ 2 นั้นจะใช้กับถุง เสริมหน้าอก ทรงกลมค่ะ ส่วนถุงซิลิโคนความหนาแน่นสูงระดับ 3 จะใช้กับทรงหยดน้ำ

ซึ่งในกรณีที่เกิดการรั่วซึม เนื้อเจลที่อยู่ในถุงซิลิโคนที่มีความหนาแน่นพวกนี้จะไม่ไหลออกมานอกถุงค่ะ แต่จะเกาะเป็นเนื้อเดียวกัน นอกจากนี้ยังคงรูป ไม่เปลี่ยนรูปร่างอีกด้วย

ซิลิโคน Mentor ดีไหม

ส่วนตัวก็คิดว่าดีนะ นุ่มดี Mentor ผ่าน อ.ย. ไทย ได้รับการรับรองจาก FDA อเมริกาด้วย รับลองปลอดภัยอย่างแน่นอน

4.3 ซิลิโคนเสริมหน้าอกแบรนด์ Allergan

ซิลิโคนเสริมหน้าอกแบรนด์ Allergan นั้นจะมีทั้งทรงกลม และทรงหยดน้ำค่ะ นอกจากนี้ยังมีทั้งผิวเรียบและผิวทรายอีกด้วย ซึ่งความพิเศษของซิลิโคนเสริมหน้าอกแบรนด์นี้ก็คือไม่จำเป็นต้องนวดหน้าอกบ่อย ๆ และช่วยลดการเกิดพังผืดค่ะ

เสริมหน้าอกกี่ cc ดี

คนส่วนมากมักจะมีความเชื่อว่า เสริมหน้าอก ทั้งทีควรทำให้ใหญ่เข้าไว้ แต่ตามหลักความเป็นจริงแล้วเราควรเสริมหน้าอกโดยอิงจากสรีระเราเป็นหลักค่ะ หากหน้าอกใหญ่เกินตัวไปก็อาจทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ นอกจากนี้ผลสำรวจที่ลงไปสอบถามข้อมูลผู้ชายยังพบอีกว่าขนาดหน้าอกที่พวกเขาชอบมากที่สุดจะอยู่ประมาณคัพ B+ ถึงคัพ C ค่ะ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสริมให้ได้ขนาดใหญ่โตมหึมาอะไรมากมาย

ซิลิโคนเสริมอก อยู่ได้กี่ปี

เฉลี่ยอายุ ประมาณ 15 ปี ซึ่งจะบอกให้แน่ชัดก็คงจะไม่ได้เพราะต้องขึ้นอยู่กับ ขนาด และ รูปทรงของซิลิโคนเสริมอก ที่เข้าเสริมเข้าไปด้วย แต่ถ้าเป็น ซิลิโคนทรงหยดน้ำ  ซึ่งจะมีคุณภาพของเจลจะดี สามารถอยู่ได้เกิน 15 ปีขึ้นไป นั่นเอง

เป็นยังไงกันบ้างกับเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับซิลิโคนเสริมหน้าอกที่ทางเราได้นำเสนอ ซึ่งเพื่อน ๆ อย่าลืมนะคะว่าการทำ ศัลยกรรมเสริมหน้าอก นั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เพราะเราจะต้องอยู่กับมันไปตลอด ดังนั้นเราควรพิถีพิถันกับมันมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการเลือกรูปแบบทรงซิลิโคน ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่ากรณีของเรานั้นควรใช้ซิลิโคนเสริมหน้าอกแบบใด และควรเสริมได้มากสุดกี่ cc เพราะแต่ละคนล้วนมีลักษณะความเหมาะสมที่ต่างกันออกไปค่ะ ก่อนตัดสินใจทำหน้าอก คงต้องหาข้อมูลและรีวิว เสริมหน้าอก ให้มั่นใจก่อนทำนะคะ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

แพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข. ต้านมะเร็งเต้านม : กรุงเทพฯ : อมรินทร์สุขภาพ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2554.

แพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข. 100 เรื่องน่ารู้ มะเร็งในผู้หญิง : กรุงเทพฯ : อมรินทร์สุขภาพ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2556.

พวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อน เข้าใจว่า การตรวจรักษามะเร็ง. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 240 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1647-7.

วิธีลดต้นขา มีต้นขาใหญ่ อย่าไปกลัว เพราะมีวิธีแก้

0
วิธีลดต้นขา มีต้นขาใหญ่ อย่าไปกลัว เพราะมีวิธีแก้
ต้นขา เป็นส่วนที่สะสมไขมันได้ง่ายและมากที่สุด ซึ่งเป็นเหตุทำให้ขาใหญ่
วิธีลดต้นขา มีต้นขาใหญ่ อย่าไปกลัว เพราะมีวิธีแก้
ต้นขา เป็นส่วนที่สะสมไขมันได้ง่ายและมากที่สุด ซึ่งเป็นเหตุทำให้ขาใหญ่

ลดต้นขา

สำหรับสาวๆ แล้ว การมีร่างกายที่สมส่วนไม่ว่าจะเป็นส่วนแขน ขา หรือหน้าท้อง ถือเป็นเรื่องที่มีความสุขและน่าภูมิใจเป็นอย่างมาก ซึ่งหนึ่งส่วนที่มีปัญหาซึ่งไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ก็ไม่สามารถจัดการกับมันได้ นั่นก็เพราะเป็นส่วนที่มีไขมันสะสมได้ง่ายและมากที่สุดนั่นก็คือต้นขา ซึ่งการ ลดต้นขา นั้น ก็ดูเหมือนจะไม่ง่าย แต่เราก็มีด้วยกัน

หลายวิธี ที่จะมาช่วยให้คุณนั้นสามารถจัดการไขมันส่วนเกินที่อยู่บริเวณต้นขาของคุณ

สำหรับวิธีลดต้นขาที่มีในตอนนี้นั้น มีด้วยกันทั้งหมด 13 ทาง ได้แก่

  1. เลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสม หากคุณเลืกรับประทานผักและผลไม้ทุกวันให้ครบ 3 มื้อ โดยหลีกเลี่ยงการรับประทานข้าวขัดสี ขนมปังขาว เค้ก น้ำหวาน น้ำอัดลม ของทอด อาหารที่มีไขมัน ดื่มน้ำให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย หรือวันละประมาณ 8 แก้ว
  2. การออกกำลังกาย เป็นสิ่งสำคัญมากพอกับการรับประทานอาหารสุขภาพ ส่วนท่าบริหาร ลดต้นขา โดยเฉพาะก็มีหลากหลายท่ามาก ขอให้ทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอทุก ๆ วัน ต้นขาของคุณจะลดลงอย่างแน่นอน แม้อาจจะลงไม่ทันใจ แต่มันจะทำให้คุณมีความสุขกับร่างกายที่แข็งแรงขึ้น
  3. เครื่องออกกําลังกายลดต้นขา มีหลายชนิดให้เลือก แต่ที่แนะนำคือจักรยานไฟฟ้าครับ เพราะฟิตเนสไหนก็มี ส่วนอีกแบบก็เป็นเครื่องบริหารช่วงขาของทีวีไดเร็ค ( Leg Magic )
  4. นวดลดต้นขาสลายเซลลูไลท์ ด้วยการนวดด้วยน้ำมัน เจลลดต้นขา ครีมลดต้นขา หรือครีมกระชับต้นขาอะไรก็แล้วแต่ โดยนำมาใช้นวดคลึงต้นขาไปเรื่อย ๆ ประมาณ 20-30 นาทีต่อวัน
  5. สายรัดต้นขา เป็นสายรัดที่ช่วยกระชับสัดส่วน โดยนำมารัดบริเวณต้นขาก่อนเข้านอน ราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน
  6. กางเกง ลดต้นขา  เป็นกางเกงที่ผลิตมาจากผ้าไนลอนที่ไม่หนา มีลักษณะเป็นถุงน่องผสมกับเลกกิ้ง เมื่อใส่แล้วจะช่วยเก็บต้นขาที่หย่อนคล้อยให้ดูกระชับได้
  7. เครื่องลดต้นขา Cavitations เป็นเครื่อง Superficial Ultrasound ที่เราใช้นวดละลายไขมันบริเวณพื้นผิว โดยจะช่วยละลายไขมันได้สำหรับคนที่ขาใหญ่
  8. เครื่อง RF หรือ คลื่นวิทยุ (RF – Radio Frequency) ทำงานโดยการนวดพร้อมปล่อยพลังงานคลื่นความถี่วิทยุในรูปของกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ที่สามารถผ่านทะลุผิวชั้นบนเพื่อไปเพิ่มอุณหภูมิของผิวหนังในชั้นที่ลึกลงไป ซึ่งจะสามารถช่วยกระชับสัดส่วน สลายไขมันและเซลลูไลท์บริเวณต่าง ๆ ที่ทำการนวดยกกระชับได้
  9. คาร์บ็อกซี่ลดต้นขา (Carboxy Therapy) อีกหนึ่งวิธีกําจัดเซลลูไลท์ต้นขา เป็นเทคนิคการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง โดยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะไปกระตุ้นให้หลอดเลือดขยาย นำออกซิเจนเข้าสู่ชั้นไขมันและเกิดปฏิกิริยาเร่งสลายไขมันให้กลายเป็นอุณหภูมิความร้อน พยาบาลจะใช้สายรัดโกยไขมันให้มากองเป็นกลุ่มก้อน โดยรัดบริเวณขาหนีบและเหนือข้อเข่า

เพื่อป้องกันไม่ให้ก๊าซวิ่งเข้าขาหนีบและเหนือหัวเข่า หลังจากนั้นหมอจะใช้เข็มขนาดเล็กต่อกับเครื่องคาร์บอกซี่และถังก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แล้วจิ้มเข็มผ่านผิวหนังเข้าสู่ชั้นไขมันด้านล่าง แล้วจึงเริ่มปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตอนเดินก๊าซจะรู้สึกเจ็บแสบยุบยิบ โดยสามารถเดินก๊าซเข้าไปจนขาบวมเต่งเต็มที่ ทำให้เห็นเซลลูไลท์ขึ้นเป็นลอน ๆ ชัดเจนมาก หลังฉีดเสร็จก็นอนพักสักครู่ ขาที่ป่องบวมก็ค่อย ๆ กลับสู่สภาวะปกติใน 10 นาที ส่วนจะเห็นผลมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับคนไข้ด้วย และอาจต้องมีการทำซ้ำอีก 3-4 ครั้ง แฟนเคยทำแล้วบอกว่าเจ็บมากตอนเดินก๊าซ วิธีนี้แม้มันจะช่วยสลายเซลลูไลท์ได้ก็จริง ถ้าทำแล้วไม่ควบคุมอาหาร ขากลับมาใหญ่เหมือนเดิมแน่ครับ

วิธีลดต้นขา มีต้นขาใหญ่ อย่าไปกลัว เพราะมีวิธีแก้
ท่านอนหงายยกขางอเข่าชิด ราบกับพื้น ประสานมือไว้ใต้ศีรษะ

ส่วนท่าออกกําลังกายลดต้นขานั้น ก็มีมากมาย เรานำมาแนะนำดังนี้

  1. ท่านอนหงายและยกขา ท่าบริหาร ลดต้นขา ท่าแรกให้นอนหงายราบกับพื้น เหยียดขาตรง แล้วค่อย ๆ ยกขาขึ้นทั้งสองข้างค้างไว้ประมาณ 20 วินาที แล้วทำซ้ำติดกัน 20 ครั้ง
  2. ท่านอนหงายไขว้ขางอเข่าชิดลำตัว ให้นอนหงายราบกับพื้น ขาเหยียดตรงไขว้ข้อเท้าทั้งสองข้าง แล้วงอเข่าเข้ามาชิดลำตัวให้มากที่สุด ค้างไว้สักพัก โดยข้อเท้ายังไขว้กันอยู่ แล้วค่อย ๆ ยืดขาออก จากนั้นคลายข้อเท้าทั้งสองข้างออกจากกัน โดยให้ทำติดต่อกัน 20 ครั้ง
  3. ท่านอนหงายยกขางอเข่าชิดหน้าอก ให้นอนหงายราบกับพื้น ประสานมือไว้ใต้ศีรษะ แล้วค่อย ๆ ยกขาซ้ายขึ้น งอเข่าเข้ามาให้ชิดหน้าอก แล้วค่อย ๆ เหยียดขาขวาขึ้นไปด้านบนจนสุด ค้างไว้สักพัก ทำสลับอีกข้าง ซ้ำไปมา 20 ครั้ง   
  4. ท่าสะพานโค้งขาเดียว ให้นอนหงายทำท่าสะพานโค้งโดยใช้ขาข้างเดียว โดยให้ทำข้างละ 15 ครั้ง สลับกันไปมา
  5. ท่าปั่นจักรยานอากาศ โดยให้ปั่นอย่างน้อยวันละ 100-200 ครั้ง เวลาปั่นจะต้องออกแรงขาและทำอย่างรวดเร็วห้ามหยุดจนกว่าจะครบ สำหรับคนที่ขาใหญ่เพราะไขมัน ท่านี้มันช่วยได้เยอะจริง ๆ เพราะการปั่นจะช่วยเผาผลาญไขมันแล้วเปลี่ยนไปเป็นกล้ามเนื้อแทน แต่ก็ลดได้ไม่เทียบเท่ากับการปั่นจักรยานปกติ
  6. ท่านอนตะแคงยกขา ให้นอนราบในท่าตะแคงข้าง เหยียดขาให้สุด จากนั้นยกขาขึ้นลง ผลัดกันทำข้างละ 20 ครั้ง
  7. ท่านั่งตีขาไปมา ให้นั่งลงกับพื้นแล้วเหยียดขาให้ตรง จากนั้นค่อย ๆ ยกขาทั้งสองข้างขึ้นมาตีไปมาสลับกันประมาณ 50-100 ครั้ง
  8. ท่านั่งตบใต้ขา ให้นั่งในท่าที่ขาตั้งขึ้น จากนั้นใช้มือตบบริเวณต้นขาเพื่อเป็นการสลายไขมัน โดยให้ทำข้างละประมาณ 5 นาที
  9. ท่านั่งเก้าอี้ยกขาเหยียดตรง ให้นั่งตัวตรงบนเก้าอี้หลังชิดกับผนัง แล้วยกขาทั้งสองข้างเหยียดตรงขึ้นมาให้อยู่ในแนวเดียวกับเก้าอี้ หายใจเข้า แล้วค่อย ๆ วางเท้าลงกับพื้น หายใจออกเบา ๆ ทำซ้ำไปมา 20 ครั้ง
  10. ท่านั่งเก้าอี้หนีบหนังสือ ให้นั่งหลังตรง หลังพิงพนักเก้าอี้ แล้วให้นำหนังสือเล่มหนา ๆ มาหนีบไว้ระหว่างขา จากนั้นยกต้นขาขึ้นเล็กน้อยค้างเอาไว้ 10-15 วินาที แล้วทำซ้ำ 2-3 รอบ
  11. ท่าก้าวขึ้นเก้าอี้แล้วเตะอากาศ ก้าวขาซ้ายขึ้นเก้าอี้แล้วใช้เท้าขวาเตะอากาศ โดยให้ทำข้างละ 12 ครั้ง สลับข้างกันไปมา
  12. ท่านั่งแตะบนเก้าอี้ เป็นท่ากระชับบั้นท้าย ลดต้นขา และน่อง ให้เริ่มจากยืนหันหลังให้เก้าอี้ ความห่างประมาณสะโพก สามารถนั่งได้บริเวณกึ่งกลางของเก้าอี้ แล้วกางขาออกให้อยู่ห่างประมาณสะโพก จากนั้นให้เกร็งหน้าท้อง แล้วค่อย ๆ หย่อนสะโพกลงช้า ๆ โดยที่หลังต้องตรง ไม่งอ เมื่อรู้สึกว่าสะโพกเริ่มแตะเก้าอี้ ก็ให้กลับเข้ามาสู่ท่าเดิม โดยให้ทำทั้งหมด 3 เซต เซตละ 15 ครั้ง
  13. ท่ายกขาแตะบนเก้าอี้ ให้เริ่มจากยืนหน้าเก้าอี้ แล้วค่อย ๆ ยกขาขวาขึ้น โดยที่เข่าไม่งอ ส่วนปลายเท้าตั้งฉาก จากนั้นผ่อนลงจนส้นเท้าแตะกับพื้นเก้าอี้ แล้วให้เกร็งยกขึ้นมา โดยให้ทำซ้ำไปเรื่อย ๆ ก่อนจะสลับมาทำอีกข้าง โดยให้ทำทั้งหมด 3 เซต เซตละ 15 ครั้ง
  14. ท่ายืนย่อเข่า ออกกำลังกายด้วยการย่อเข่า ท่านี้นอกจากจะช่วยกำจัดไขมันและช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขาได้แล้วยังช่วย ลดต้นขา ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย คล้าย ๆ กับการออกกำลังกายลุกนั่ง โดยให้เริ่มจากการยืนพร้อมกับใช้แขนทั้งสองประสานกันแล้วเหยียดตรงไปด้านหน้า กางขาออกให้กว้างประมาณไหล่ จากนั้นค่อย ๆ ย่อเข่าลงประมาณ 90 องศาฯ และยืดตัวขึ้นยืน โดยให้ลุกย่อไปเรื่อย ๆ อย่างน้อย 30 ครั้ง
  15. ท่ายืนขาชิด ให้ยืนตัวตรงขาชิด ก้าวเท้าข้างหนึ่งไปข้างหน้าแล้วค่อย ๆ ย่อตัวลง ทำสลับกันข้างละ 20 ครั้ง โดยให้ทำซ้ำกันประมาณ 3 รอบ
  16. ท่ายืนแยกขาย่อเข่าทรงตัว ให้ยืนแยกขาเล็กน้อย จากนั้นให้ยกเข่าซ้ายพับขึ้นมาชิดเข่าขวา ย่อเข่าลง โดยพยายามทรงตัวด้วยขาข้างเดียว ทำสลับกันข้างละ 15 ครั้ง และให้ทำซ้ำกันประมาณ 3 รอบ

ท่ายืนแยกขาและเขย่งเท้า ให้ยืนตรงแล้วกางขาออกพอประมาณ จากนั้นให้เขย่งเท้าขึ้นให้สุดจนรู้สึกตึงที่น่อง ค้างไว้แล้วนับ 1-20 โดยให้ทำประมาณ 20 ครั้ง

  1. ท่ายืนยกขาไปด้านหลัง โดยให้ยืนแล้วยกขาซ้ายไปด้านหลัง ส่วนขาด้านขวาย่อลงเล็กน้อย โดยให้ทำข้างละ 10 ครั้ง สลับกันไปมา
  2. ท่ามือแตะขอบสระและเหวี่ยงขาทีละข้าง เมื่ออยู่ในน้ำให้ใช้แขนทั้งสองข้างจับขอบสระในท่าคว่ำหน้า แล้วยืดขาขึ้นมาเหยียดตรงให้ตัวลอยพร้อมกับตีขาเหวี่ยงไปมาทีละข้างจนเมื่อย โดยให้ทำสลับกันประมาณ 30 ครั้ง แล้วพักสักครู่ก่อนจะเริ่มทำใหม่

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

วิธีป้องกันสิวและรักษาสิวอักเสบเบื้องต้น

0
วิธีป้องกันสิวและรักษาสิวอักเสบเบื้องต้น
สิวก็เป็นโรคผิวหนังอีกชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ เป็นหนอง พบมากที่บริเวณใบหน้า เกิดกับคนทุกเพศทุกวัย
วิธีป้องกันสิวและรักษาสิวอักเสบเบื้องต้น
สิวก็เป็นโรคผิวหนังอีกชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ เป็นหนอง พบมากที่บริเวณใบหน้า เกิดกับคนทุกเพศทุกวัย

รักษาสิวอักเสบเบื้องต้น

1. เลิกสัมผัสใบหน้าด้วยมือ เราต้องเลิกแคะ แกะห

รือเกาบนใบหน้าอย่างเด็ดขาด เนื่องจากมือของเราที่สัมผัสผิวหน้านั้นมักจะมีสิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรียที่มองไม่เห็นอยู่เสมอ ซึ่งถ้าหากมีสิวอยู่แล้วก็อาจจะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่หัวสิวแล้วพัฒนาเป็นสิวอักเสบได้

2. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมบางชนิด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Olive Oil และ Lanolin หรือมีส่วนประกอบของน้ำมัน เพราะจะทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนได้

3. ล้างหน้าให้สะอาด เป็นการทำความสะอาดผิวหน้าเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่คั่งค้างหรืออุดตันในรูขุมขนออกให้มากที่สุด ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงการล้างหน้าบ่อย ๆ เท่านั้น แต่ต้องล้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ จึงจะช่วยขับของเสียและน้ำมันที่ตกค้างบนผิวหน้าไม่ให้อุดตันจนกลายเป็นสิวได้

4. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักที่ไม่ก่อให้เกิดสิว ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้าประเภท Water – Based หรือ Oil – Free จะเหมาะกับผิวที่เป็นสิว เพราะผิวหน้าของเราต้องการความชุ่มชื้นมากกว่า เพื่อเป็นการสร้างความยืดหยุ่นเต่งตึงให้กับผิวพรรณและไม่ก่อให้เกิดสิวเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ( Non – Comedogence )

5. การมาส์กหน้าด้วยสมุนไพร เป็นการ รักษาสิว อักเสบด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติ โดยให้ประสิทธิภาพในการรักษาที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน ดังนั้น เราจึงควรเลือกสูตรมาส์กหน้าสมุนไพรรักษาสิวให้เหมาะกับสภาพผิวของตนเอง

การดูแลตัวเองเพื่อรักษาสิว

1. ดูแลระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ การขับถ่ายเป็นประจำทุกวันจะช่วยขับของเสียในร่างกาย ซึ่งช่วยทำให้สิวลดลงได้ เนื่องจากปริมาณสารพิษที่สะสมในร่างกายลดน้อยลงนั่นเอง

2. ผ่อนคลายความตึงเครียด ความเครียดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ฮอร์โมนแปรปรวน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวเพิ่มขึ้น และยังส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำให้ร่างกายติดเชื้อได้ง่ายมากขึ้น รวมถึงเชื้อแบคทีเรีย Acnes ที่ก่อให้เกิดสิวด้วยเช่นกัน

3. พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ฮอร์โมนในร่างกายทำงานเป็นปกติ เนื่องจากฮอร์โมนเป็นต้นเหตุของการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมัน หากฮอร์โมนทำงานแปรปรวนจะไปกระตุ้นต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป และก่อให้เกิดการอุดตันในรูขุมขนที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้

4. ใช้ครีมแต้มสิว ครีมแต้มสิวจัดว่าเป็นผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่ควรซื้อจากร้านขายยาที่มีเภสัชกรควบคุม เนื่องจากผลิตภัณฑ์บางชนิดเป็นยาที่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงและควรอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเราสามารถแบ่งครีมแต้มสิวอักเสบออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

  • กลุ่มสารสกัดจากธรรมชาติ ปัจจุบันมีการวิจัยเกี่ยวกับสารสกัดจากธรรมชาติมากขึ้น อย่างเช่นครีมที่สกัดมาจากเปลือกมังคุด ซึ่งมีสรรพคุณในด้านการลดอักเสบ และไม่ก่อให้เกิดการดื้อยา รวมถึงความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ก็น้อยอีกด้วย
  • กลุ่มที่มีส่วนประกอบของยาปฏิชีวนะ ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เหมาะสำหรับคนที่เป็นสิวหัวหนองที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย ทั้ง P.acnes, Staphylococci หรือ Streptococci โดยควรต้องอยู่ภายใต้การดูแลของเภสัชกรหรือแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันการดื้อยาหรืออาการแพ้ยาที่ก่อให้เกิดการอักเสบและบวมแดงได้
  • กลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ หรือที่เรียกกันว่า “ เรตินอยด์ ” ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จะช่วยลดการอักเสบและลดการขับน้ำมันส่วนเกิน จึงสามารถช่วยลดความมันบนใบหน้าที่เป็นสาเหตุของการอุดตันจากสิวได้เป็นอย่างดี แต่มีข้อเสียตรงที่ว่าจะทำให้ผิวหนังแห้งระคายเคืองหรือลอกเป็นขุยได้

5. ใช้ยาชนิดรับประทาน ยาที่ใช้รับประทานเพื่อ รักษาสิว อักเสบสามารถช่วยลดการอักเสบได้ แต่จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น

  • กลุ่มยาปฏิชีวนะ ยาในกลุ่มนี้จะช่วยลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes รวมถึงเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่น ๆ ซึ่งจะต้องให้แพทย์เป็นผู้คำนวณขนาดและชนิดของยาที่ใช้ เนื่องจากเมื่อรับประทานไปแล้วอาจจะก่อให้เกิดอาการตับอักเสบได้ ในบางรายอาจจะส่งผลถึงระบบภูมิคุ้มกันหรือทำลายไขกระดูก ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ Amoxicillin, Clindamycin, Tetracycline หรือ Doxycycline
  • กลุ่มยาอนุพันธ์วิตามินเอ เรียกกันว่า Lsotretinoin ซึ่งออกฤทธิ์เช่นเดียวกับยาทากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ โดยจะออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างน้ำมันจากต่อมไขมันและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย P.acnes กลุ่มยาชนิดนี้จะขับออกทางตับ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากยากลุ่มนี้ส่งเสริมให้เกิดภาวะไขมันในเลือดสูงและทำให้เลือดออกง่าย จึงไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์

นอกจากนี้ยังมีอาการข้างเคียงอื่น ๆ ระหว่างทานยากลุ่มนี้ อาทิ ภาวะซึมเศร้า ตาแห้ง ปากแห้ง นอกจากนี้ยังทำให้เกิดภาวะตับอักเสบได้

6. ใช้ยาชนิดฉีดเพื่อรักษาสิวอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้สิวอักเสบยุบตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อเตรียมสภาพผิวให้พร้อมรับวันสำคัญที่ใกล้จะมาถึง ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงาน งานรับปริญญา หรือแม้แต่การไปสมัครงาน โดยวิธีการรักษานั้นจะใช้ยาสเตียรอยด์ (Steroid) ฉีดเข้าไปในบริเวณสิวอักเสบ ซึ่งจะช่วยให้สิวยุบลงอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งวัน

ข้อดีของยาฉีดสิวอักเสบ ทำให้สิวยุบตัวลงอย่างรวดเร็วและป้องกันการเกิดหลุมสิว โดยที่ไม่ต้องรอให้สิวสุกแล้วเอาหนองออก

ข้อเสียของยาฉีดสิวอักเสบ การฉีดยาสเตียรอยด์ไม่สามารถทำให้สิวหายขาดได้ เนื่องจากไม่ใช่วิธีการรักษาที่ต้นเหตุ เพียงแต่ช่วยลดการอักเสบเท่านั้น โดยที่ไม่ได้ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว ดังนั้น จึงมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำบริเวณเดิมอีกได้เรื่อย ๆ เพราะหัวสิวนั้นยังฝังตัวอยู่ลึกและกลายเป็นไตแข็ง ๆ นอกจากนี้ยังสามารถลุกลามหรืออักเสบมากขึ้น หากเครื่องมือที่ใช้มีความสะอาดไม่เพียงพอ

นอกจากนี้จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากถ้าใช้ยาในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดยุบตัวลงไปด้วย กลายเป็นหลุมบนใบหน้าแทน แต่ถ้าฉีดน้อยเกินไปก็ไม่สามารถทำให้สิวยุบได้ทันใจด้วยเช่นกัน

7. การใช้เลเซอร์ มีผลการวิจัยพบว่าเชื้อแบคทีเรีย Acnes จะมีการสังเคราะห์เม็ดสีที่เรียกว่า “ พอร์ไฟลิน ” ( Porphyrins ) เมื่อใช้แสงเลเซอร์ยิงเข้าไปที่พอร์ไฟลิน จะทำให้เชื้อแบคทีเรียนั้นตาย และพอแบคทีเรียมีปริมาณลดน้อยลง การอักเสบของสิวก็จะลดลงตามไปด้วย แต่การ รักษาสิว ด้วยวิธีนี้ยังมีราคาที่ค่อนข้างสูงพอสมควร

ปัจจุบันนี้ยังไม่มีวิธีใดที่สามารถรักษาสิวอักเสบให้หายขาดได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับการดูแลผิวพรรณขั้นพื้นฐานอย่างเช่นการรักษาความสะอาด การรับประทานอาหารและยังมีปัจจัยอื่น ๆ 

อย่างเช่นลักษณะผิวพรรณ ฮอร์โมนและกรรมพันธุ์ เป็นต้น ดังนั้น เมื่อมีปัญหาสิวเกิดขึ้นกับตัวเรา ก็ไม่ควรไปซื้อยาทาหรือรับประทานเอง แต่ควรไปพบแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญหรือเภสัชกร เพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง จะช่วยลดจำนวนสิวที่มีอยู่ให้น้อยลงได้

วิธีการกำจัดสิวแบบเร่งด่วน

ถ้าหากคุณมีความจำเป็นที่ต้องกำจัดสิวให้หายไปเพียงชั่วข้ามคืน ลองใช้วิธีการต่อไปนี้เพื่อการกำจัดสิวอย่างเร่งด่วน

1. ครีมแต้มสิว

หากคุณเป็นสิวอักเสบ สิวบวมแดง สิวหัวหนอง ให้ใช้ ” ครีมแต้มสิว ” ซึ่งมีตัวยาช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่หัวสิว ทำให้สิวแห้งและยุบเร็ว โดยครีมแต้มสิวมีหลายยี่ห้อให้เลือก แถมราคาก็ไม่แพง เช่น ครีม TOMEI, ครีม Smooth E Acne Hydro Gel, Clindalin Gel, ครีมภูมิพฤกษา 15, Benzac ac, ผงวิเศษ เป็นต้น

2. ยาสีฟัน

ในตัวยาสีฟันจะมีสารไทรโคลซาน ( Triclosan ) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว โดยเริ่มจากล้างหน้าก่อนนอนและเช็ดให้แห้ง ( เบาๆ ) จากนั้นใช้ยาสีฟันแต้มที่สิว ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด

ข้อแนะนำคือ ใช้เป็นแบบครีมตัวยาสีฟัน ไม่ควรใช้เป็นแบบเจลยาสีฟัน เพราะมักจะมีส่วนผสมอื่น ๆ ที่จะทำให้ผิวของคุณเกิดการระคายเคืองได้

3. น้ำมะนาว

ใช้น้ำมะนาวแต้มที่สิวก่อนเข้านอนจะช่วยได้มาก ในน้ำมะนาวประกอบด้วยวิตามินซี ซึ่งทำหน้าที่เป็นยาสมานแผล มีประสิทธิภาพในการทำให้สิวของคุณแห้ง นอกจากนี้ การดื่มน้ำมะนาวยังเป็นการทำดีท็อกซ์จะช่วยขจัดสารพิษที่สะสมในร่างกายอีกด้วย

4. เบคกิ้งโซดา

เบคกิ้งโซดา ก็คือ ผงฟูหรือโซเดียมไบคาร์บอเนตนั่นเอง ซึ่งจะช่วยควบคุมระดับ PH ของผิว คุณสามารถใช้ผงฟูเพื่อผลัดผิวหน้าของคุณ โดยการนำผงฟูผสมกับน้ำ จากนั้นนำไปแต้มสิวบริเวณที่ติดเชื้อเท่านั้น ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้ทิ้งไว้นานจนเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีผิวที่บอบบาง โดยผงฟูมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบและยังช่วยกำจัดรอยแผลเป็นจากสิวได้เป็นอย่างดี

5. ใช้อบเชยผสมน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งเป็นยาประจำบ้านที่ดีในการ รักษาสิว ที่ช่วยให้ผิวของคุณสามารถเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ น้ำผึ้งยังมีสารอาหารที่จำเป็นและช่วยในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิวอีกด้วย โดยเรานำน้ำผึ้งแต้มที่สิวที่มีการติดเชื้อและทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือ นำน้ำผึ้งมาผสมกับอบเชย จากนั้นพอกให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้สัก 1 ชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น หากกลัวเปื้อนที่นอนสามารถใช้ผ้าบางรองไว้บนหมอนได้

6. มากส์หน้าด้วยไข่ขาว

ล้างหน้าและเช็ดหน้าของคุณให้สะอาด จากนั้นตอกไข่และแยกไข่แดงออก เพื่อแยกเอาเฉพาะไข่ขาว แล้วทาไข่ขาวบาง ๆ บนใบหน้าที่สะอาดและปล่อยให้แห้งประมาณ 10 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำเช่นนี้สัปดาห์ละครั้ง แล้วคุณจะเห็นถึงความแตกต่างของผิวที่กระชับขึ้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศ.ดร.น.พ. สมศักดิ์ วรคามิน. ผิวสวย (BEAUTY SECRET THE UNTOLD STORY) กรุงเทพ: 2539 – 2560 โดยบริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) © Copy Right 1996, 2017.

ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.

วิธีสังเกตผิวหน้าของตัวเองทำอย่างไร?

0
วิธีสังเกตผิวหน้าของตัวเองและการดูแลผิว
ผิวสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตามสภาวะแวดล้อม อายุ สภาพอากาศ ความเครียด ฮอร์โมน ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
วิธีสังเกตผิวหน้าของตัวเองและการดูแลผิว
ผิวสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตามสภาวะแวดล้อม อายุ สภาพอากาศ ความเครียด ฮอร์โมน ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้เกิดสิวต่างๆขึ้น

ผิวหน้า

คนส่วนใหญ่มักจะสงสัยเกี่ยวกับ ผิวหน้า ของตนเองว่าเป็นผิวหน้าชนิดไหนกันแน่และต้องดูแลอย่างไร เพราะถ้าหากดูแลผิวผิดวิธี สุขภาพผิวก็จะยิ่งแย่ไปกว่าเดิม ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าผิวของคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตามสภาวะแวดล้อม อายุ สภาพอากาศ ความเครียด ฮอร์โมน ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ฯลฯ
หากมองด้วยสายตาแล้ว เราสามารถแบ่งสภาพผิวด้วยการสังเกตความสมบูรณ์ของน้ำหล่อเลี้ยงผิว หากมีการผลิตน้ำหล่อเลี้ยงผิวอย่างเหมาะสม ไม่มากหรือไม่น้อยจนเกินไปผิวก็จะแข็งแรง ยืดหยุ่น สุขภาพดี เปล่งปลั่งและแทบจะไม่มีริ้วรอยเลย

ผิวแบ่งออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง?

ผิวธรรมดา (Normal Skin)

ลักษณะ ผิวมีความอวบอิ่มเรียบเนียนละเอียดดูไม่แห้ง ไม่มัน นุ่มนวลชุ่มชื้น เนื่องจากผิวสามารถผลิตน้ำมันได้อย่างสมดุล
ข้อดี คนที่มีผิวธรรมดาเวลามองแทบจะไม่เห็นรูขุมขน ไม่มีปัญหากระ ฝ้า หรือปราศจากสิว มีการไหลเวียนโลหิตที่ดี ผิวนุ่มและเรียบเนียน ผิวมีความสดชื่น สีอมชมพู ไม่หมองคล้ำ
ข้อแนะนำ สำหรับคนที่มีผิวธรรมดาควรดูแลผิวไม่ให้ขาดความชุ่มชื้นด้วยผลิตภัณฑ์ที่ช่วยรักษาน้ำหล่อเลี้ยงผิว
การดูแลผิวธรรมดา

  • ใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมที่ไม่เข้มข้นหรือบางเบาเกินไป และต้องช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นของผิวระหว่างวันได้
  • ควรทาครีมกันแดดทุกวัน
  • สครับผิวอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง หรือเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อคงความอ่อนเยาว์และช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป

หัวใจสำคัญของการบำรุงผิวที่แท้จริงคือ การทำให้ผิวอยู่ในสภาวะชุ่มชื้นหรือมี “น้ำหล่อเลี้ยงผิว” ( น้ำมันเคลือบผิว ) อย่างเหมาะสมตลอดเวลา

ผิวแห้ง (Dry Skin)

ลักษณะ ผิวแห้งเป็นผลมาจากการขาดความมัน ขาดกรดไขมันที่จำเป็นในการรักษาความชุ่มชื้น ผิวจึงสร้างเกราะป้องกันจากสิ่งกระทบภายนอก ส่งผลให้เกิดความบกพร่องของเกราะคุ้มกันผิวตามธรรมชาติ
ผิวแห้งมีระดับความรุนแรงและอาจมีรูปแบบที่แตกต่างกัน ผิวแห้งผลิตน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวได้น้อยถึงน้อยมาก หลังล้างหน้าคุณจะรู้สึกหน้าแห้งตึงหรือเป็นขุย
ข้อดี ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้างเท่าไรนัก

ข้อด้อย

  • คนผิวแห้งริ้วรอยจะมาเร็ว เกิดริ้วรอยบาง ๆ ได้ง่าย
  • เวลาเป็นสิวจะรักษาได้ยากกว่าคนผิวมัน เพราะผิวจะไวต่อยาบางกลุ่มซึ่งทำให้ผิวยิ่งแห้งแดงและลอก
  • ในฤดูหนาว ผิวจะยิ่งแห้งมากขึ้นและเกิดการระคายเคืองได้ง่ายมาก

สาเหตุของผิวแห้ง

คุณรู้หรือไม่ว่าความชุ่มชื้นของผิวนั้น เป็นผลมาจากปริมาณน้ำในผิวชั้นลึกและการสูญเสียน้ำ ( เหงื่อ )

  • เหงื่อทำให้เกิดการสูญเสียน้ำจากต่อมเหงื่ออันเนื่องจาก ความร้อน ความเครียดและการทำกิจกรรมใด ๆ
  • การสูญเสียน้ำผ่านทางช่องว่างระหว่างเซลล์ผิวหนัง โดยตามธรรมชาตินั้น น้ำจากผิวชั้นลึกจะถูกแพร่กระจายสู่ผิวหนังชั้นบนประมาณวันละครึ่งลิตร

การดูแล

  • ควรใช้ครีมบำรุงสำหรับผิวแห้งโดยเฉพาะเนื้อครีมเข้มข้นที่ให้ความชุ่มชื้นสูง
  • ใช้สเปรย์น้ำแร่เพิ่มความชุ่มชื้นก่อนแต่งหน้าทุกครั้ง
  • ควรเลือกครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่มีฟอง
  • หลังล้างหน้าควรซับหน้าให้หมาด ๆ แล้วทาครีมบำรุงผิวทันที เพราะในช่วงนี้ผิวจะเก็บความชุ่มชื้นจากครีมและป้องกันการระเหยของครีมได้ดีกว่าผิวที่แห้งแล้ว
  • เลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนของ Sodium AHA BHA น้ำหอม แอลกอฮอล์ สีสังเคราะห์ ลาโนลิน สารกันเสีย และสาร PABA
  • ในหน้าหนาวต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ
  • ทานอาหารเสริมประเภทน้ำมันปลาจะช่วยทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น และโอเมก้าเพื่อช่วยลดการอักเสบหรือผื่นแพ้
  • ควรดื่มน้ำมาก ๆ

การจำแนกระดับความรุนแรงของผิวแห้ง

ผิวแห้งคือ ช่วงของผิวแห้งที่มีตั้งแต่ระดับการแห้งเล็กน้อยจนถึงผิวธรรมดาและระดับผิวที่แห้งมากจนลอกแตกเป็นขุยซึ่งความแตกต่างของระดับความรุนแรง สามารถจำแนกโดยทั่วไปได้ดังนี้
ผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น ผิวแห้งแตก ลอกเป็นขุยพบในบางส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณ มือ เท้า ข้อศอกและหัวเข่า

แนวโน้มการเกิดผิวแห้ง
ผิวที่แห้งมากมักจะพบในผู้สูงอายุมากที่สุด โดยเฉพาะบริเวณมือที่มีการขาดน้ำอย่างรุนแรง มีอาการดังนี้

  • เกิดความหยาบกร้าน
  • มีรอยแตกของผิวปรากฏชัดเจน
  • ผิวหนังด้าน
  • ผิวลอกเป็นขุย
  • มีอาการคันบ่อย ๆ

ผิวมัน (Oily Skin)

ลักษณะ เป็นผิวที่ผลิตน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวมากเกินไป โดยผิวจะเริ่มมันหลังล้างหน้าเพียง 2 ชั่วโมง เท่านั้น
ข้อดี จะเกิดริ้วรอยได้ยากกว่าคนผิวแห้ง ไม่ค่อยเกิดการแพ้หรือระคายเคือง

ข้อเสีย

  • มักเกิดสิวอุดตัน สิวเสี้ยน สิวอักเสบและสิวหัวดำง่าย โดยเฉพาะบริเวณจมูก
  • รูขุมขนกว้างจนมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ปัจจัยที่มีผลต่อการผลิตน้ำมันที่มากเกินไป

  • พันธุศาสตร์
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและความไม่สมดุลของฮอร์โมน
  • ยา
  • ความตึงเครียด
  • เครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการอุดตันและระคายเคือง 

วิธีการดูแล ผิวหน้า

  • หลังล้างหน้าควรเช็ดผิวด้วยโทนเนอร์เพื่อควบคุมความมัน
  • ทาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ BHA เพื่อผลัดเซลล์ผิว
  • ทาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ BHA เพื่อลดความมันและละลายไขมันอุดตันในรูขุมขน
  • ทายากลุ่มกรดวิตามินเอเพื่อลดสิวเสี้ยน สิวอุดตัน
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุคุณสมบัติเป็น Oil Control, Oil-free, Non-comedogenic
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Mineral Oil เพราะจะทำให้ผิวอุดตันมากขึ้น
  • เลือกครีมบำรุงผิวที่มีเนื้อบางเบา เช่น โลชั่น เซรั่ม เป็นต้น
  • ในช่วงหน้าร้อนควรให้การดูแลผิวมากขึ้น เพราะผิวจะผลิตน้ำมันออกมามากเป็นพิเศษ

ผิวผสม (Combination Skin)

ลักษณะ ผิวผสมหมายถึงผิวที่มีสภาพผิวแต่ละจุดบนใบหน้า 2 ประเภท หรือมากกว่านั้นผสมกัน ผิวของคุณอาจจะแห้งแตกแค่บริเวณส่วนของใบหน้าและอาจจะมีผิวมันตรงบริเวณทีโซน ( T-Zone ) ซึ่งก็คือบริเวณกึ่งกลางใบหน้า จมูก คาง และหน้าผาก
ผิวผสมอาจทำให้คุณมีปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมา เช่น ริ้วรอย สิวอักเสบ หรือเป็นโรคสิวหน้าแดง ( Rosacea ) อาจจะไม่ง่ายนักในการดูแลผิวผสมแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะยากจนเกินไป ในการดูแลผิวผสมอย่างเหมาะสมนั้น จำเป็นต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวที่แตกต่างกันบนใบหน้าของคุณ เพื่อที่จะไม่ทำให้ผิวของคุณเกิดความระคายเคือง
ในบริเวณที่เป็นผิวแห้งและผิวมัน ผิวตรงแก้มค่อนข้างจะแห้ง มีโอกาสลอกเป็นขุย ส่วนบริเวณจมูกและหน้าผากที่เป็นผิว มักเกิดสิวได้ง่าย
ข้อดี ไม่มีปัญหารูขุมขนกว้างในบริเวณที่แห้งและเกิดริ้วรอยยากบริเวณผิวมัน
ข้อเสีย จะดูแลยากกว่าทุกสภาพผิวเพราะต้องดูแลทั้งปัญหาผิวแห้งและผิวมัน การเลือกใช้ครีมหรือยาจะยากกว่าผิวแบบอื่น ๆ

สำรวจปัญหาผิวกันเถอะ

สภาพผิวของคนไข้ : มีผิวที่แห้งมาก โดยเฉพาะบริเวณ U- ZONE ผิวหน้าจึงระคายเคืองได้ง่าย ส่วนบริเวณ T- ZONE มีความมันมาก จึงเกิดปัญหาสิวเสี้ยน สิวอุดตันได้ง่าย
อาการที่เคยเกิด : สิวอักเสบ บริเวณหน้าผาก แก้ม คาง สิวอุดตัน 70% ของใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณ T-ZONE
อาการที่เป็นในขณะนี้ : สิวเสี้ยน บริเวณ T-ZONE
พฤติกรรมเสี่ยง : ชอบรับประทานอาหารสจัด หวาน ๆ มัน ๆ จะชอบเป็นพิเศษ ดื่มนมวัวทุกวัน ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าจะทำให้เกิดปัญหาสิวอุดตัน แต่ก็เลิกดื่มไม่ได้
สิ่งที่ทำเป็นประจำ : นอนดึก นอนเช้า
ล้างผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผมออกไม่หมดล้างเครื่องสำอางไม่สะอาดหมดจดทำความสะอาดผิวหน้าดีเกินไป จนทำให้น้ำมันเคลือบผิวและความชุ่มชื้นออกไปหมด
วิธีรักษาที่ได้ผลและปลอดภัย : รู้จักสภาพผิวของตัวเองในทุกฤดู รวมถึงวันนั้นของเดือนและช่วงที่มีความเครียด
อ่านฉลากการใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพ ผิวหน้า ล้างหน้าให้สะอาดและทาครีมบำรุงให้ชุ่มชื้นทุกวันทำเลเซอร์รักษารอยแดงจากสิว ทรีตเมนต์รักษารอยดำ กดและฉีดสิวรับยาทาฆ่าเชื้อสิวบางส่วน โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังที่ศูนย์เลเซอร์และศัลยกรรมผิวหนัง
จากการสังเกตหลาย ๆ คน ประสบปัญหาเป็น “สิวเรื้อรัง” บางคนคงกังวลใจไม่น้อยกับการเป็นสิวเรื้อรังที่เกิดขึ้นนี้ หลายคนจึงค้นหาข้อมูลที่จะช่วยรักษาสิวเรื้อรังให้หายไป
หากพูดถึงสิวเรื้อรังแล้วก็คงเป็นเรื่องที่กว้างเอาการ เพราะมันอาจจะเป็นสิวแบบไหนก็ได้ทั้ง สิวอักเสบ สิวผด สิวหนอง สิวหัวช้าง สิวอุดตัน สิวหัวดำ เรียกได้ว่าเป็นได้ทุกชนิดสิว แต่อาการนั้นก็จะเป็น ๆ หาย ๆ บางช่วงก็ดีขึ้น แล้วไม่นานก็เป็นขึ้นมาใหม่ บางคนสิวเม็ดนี้เพิ่งจะหายไปสิวเม็ดใหม่ก็ผุดขึ้นมาอีก บางทีสิวเม็ดใหม่ก็ขึ้นมาแทนสิวที่เพิ่งยุบไปนั่นเอง

การเป็นสิวต่อเนื่องยาวนานสิบกว่าปี ทำให้ดิฉันตั้งใจว่าจะเรียนรู้เรื่องผิวของตัวเองให้ดีที่สุด พยายามศึกษาข้อมูลต่างๆ สอบถามแพทย์ผิวหนังและนักศึกษาแพทย์เพิ่มเติม ตอนนี้ดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งยาหมอ ที่สำคัญแทบจะไม่มีร่องรอยของสิวเหลืออยู่เลย อีกทั้งยังสามารถให้คำแนะนำคนอื่นจนเขากลับมามีผิวสุขภาพดีได้อีกด้วย
คำถามที่ทุกคนอยากรู้ ทำไมสิวถึงชอบขึ้นที่เดิมซ้ำๆ ไม่หายสักที

ใครเคยเจอปัญหาแบบนี้บ้าง ที่ต้องเป็นสิวที่เดิมซ้ำ ๆ ไม่ยอมหายสักที ขึ้นแล้วยุบไป ไม่กี่วันก็เป็นขึ้นมาอีก และเป็นตรงที่เก่าเสียด้วย เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยประสบปัญหา “สิวซ้ำซาก” ที่ว่านี้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ประสบการณ์ที่ขำไม่ออกกับการเป็นสิวซ้ำซาก

สาเหตุของการเกิดสิวที่ผิวหน้าซ้ำซาก

  • บีบสิวหรือกดสิวแล้วสิวไม่ออก หรือออกไม่หมด
  • บีบสิวแรง ๆ หรือบีบสิวไม่ถูกวิธี
  • บีบสิวแล้วไม่ทำความสะอาดให้ดี
  • ไม่ทำความสะอาดอุปกรณ์หรือล้างมือก่อนการบีบสิว
  • ความมันที่มากเกินไปบริเวณ ผิวหน้า เช่น ที่หน้าผาก จมูก คาง หรือบริเวณ T-Zone หน้าที่มันทำให้เป็นสิวง่าย ช่วง T-Zone จึงเป็นตำแหน่งที่สิวนิยมขึ้นซ้ำซาก เครื่องสำอางที่ใช้อยู่ทำให้ผิวระคายเคืองและอุดตัน
  • การฉีดสิว
  • สิ่งเร้าจากภายนอก เช่น น้ำหอม น้ำยาปรับผ้านุ่ม ผงซักฟอก แชมพู ผ้าเช็ดหน้า ปลอกหมอนไม่สะอาด โทรศัพท์ที่ใช้สกปรก ชอบจับหน้า จับสิวบ่อย ๆ หรือผมยาวปิดหน้าปิดตา
    และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวซ้ำซาก โดยเป็นสาเหตุที่เกิดจากปัจจัยที่เราพอจะควบคุมได้ ไม่นับรวมปัจจัยที่ควบคุมยาก เช่น การเป็นสิวฮอร์โมน เป็นต้น

วิธีจัดการกับสิวที่ผิวหน้าอย่างถูกวิธี

สาเหตุจากการบีบสิวที่ไม่ถูกต้องนี้ เป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้เกิดสิวซ้ำซากก็ว่าได้ ส่วนใหญ่มักจะเกิดกับคนที่ชอบบีบสิวหรือกดสิว แล้วบีบมันออกไม่หมด หลายคนคิดว่าการที่สิวมันบวมขึ้นมาจนเริ่มอักเสบเป็นหนอง ก็ทำการบีบมันให้แตกคิดได้อย่างนั้นก็จัดการบีบสิวเต็มที่ หัวสิวที่ฝังอยู่ก็กระเด็นออกมาติดที่กระจกทันที บีบเสร็จก็เข้าใจว่าสามารถกำจัดสิวบนหน้าออกไปได้สักที แต่ดีใจได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง สิวเม็ดเดิมก็บวมแดงขึ้นมาและเป็นหนองอีก ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าเราเอาหัวสิวออกไม่หมดนั่นเอง ส่วนใหญ่ที่เราบีบสิวแล้วออกไม่หมดก็เพราะว่า ในสิว 1 เม็ดใหญ่ มันชอบมีสิวเม็ดเล็ก ๆหลายเม็ดรวมกันอยู่ในนั้น ซึ่งวิธีแก้ปัญหาสามารถทำได้ดังนี้

1. อย่าทำให้สิวอักเสบ

ถ้าอยากบีบสิวต้องพยายามอย่าทำให้สิวบนใบหน้าเกิดการอักเสบ เช่น หลังการบีบสิวเสร็จต้องทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดและหายาแต้มสิวแก้สิวอักเสบมาทาเพื่อลดอาการอักเสบลงได้

2. อย่าบีบสิวเองถ้าไม่มีความชำนาญ

สิวบางชนิดต้องใช้วิธีการกดออกและมีสิวบางชนิดที่ต้องใช้วิธีฉีด ดังนั้น ก่อนที่เราจะตัดสินใจบีบสิวหรือกดสิวเองเราต้องมั่นใจก่อนว่าสิวเม็ดนั้นสามารถบีบออกได้ในครั้งเดียว เพราะถ้าบีบสิวออกไม่หมดก็อาจจะเกิดการอักเสบได้ ดังนั้น ถ้าไม่มั่นใจอย่าบีบหรือกดสิวเอง ควรไปหาหมอกดออกหรือฉีดสิวให้จะดีกว่า

3. อย่าบีบหรือกดสิวแรง

การบีบหรือกดสิวแรงเกินไป จะทำให้ ผิวหน้า บริเวณที่กดและบริเวณใกล้เคียงช้ำได้ เส้นเลือดหรือรูขุมขนบริเวณนั้นอาจบิดเบี้ยวผิดรูปไปจากเดิม ทำให้รูขุมขนบริเวณนั้นเกิดการอุดตันและเป็นสิวได้ง่ายขึ้น วิธีแก้ก็คืออย่าบีบสิวแรงเกินไปให้บีบอย่างเบามือ และถ้ามันไม่ยอมออกก็ปล่อยไปก่อน รอให้สิวสุกจนสามารถบีบออกมาได้ การทำเช่นนี้นอกจากจะทำให้สิวขึ้นซ้ำซากที่เดิมแล้ว ยังอาจทำให้หน้าเป็นหลุมสิวได้ง่าย และลึกจนยากที่จะรักษาได้จึงต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมาก

4. เครื่องสำอางหรือครีมที่ใช้ เป็นต้นเหตุของการเกิดสิวซ้ำซาก

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวขึ้นที่ใบหน้าของเราซ้ำซากนั้น ก็คงหนีไม่พ้นเครื่องสำอางหรือครีมที่เราใช้อยู่เป็นประจำนั่นเอง เครื่องสำอางทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขนได้ง่าย ยิ่งถ้าเราล้างหน้าและทำความสะอาดไม่ดีพอ ผิวหน้า ก็จะมีโอกาสเป็นสิวอุดตันได้ การอุดตันนี่เองที่นำมาสู่การเป็นสิวอักเสบในอนาคต เมื่อรูขุมขนไม่สามารถขับน้ำมัน หรือของเสียที่อยู่ใต้ผิวหนังออกมาได้ก็เกิดการจับตัวเป็นก้อนไขมันแข็ง ๆ และนูนขึ้น เวลาเราบีบจะออกมาอย่างที่เราเห็น

5. แปรงแต่งหน้าหรือฟองน้ำแป้งพัฟเพิ่มสิว

ฟองน้ำเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวของสาว ๆ ที่ใช้แป้งพัฟหรือต้องแต่งหน้าเป็นประจำมาจาก “ฟองน้ำ” และ “แปรงแต่งหน้า” ที่ใช้ คือถ้าเราเอาฟองน้ำและแปรงแต่งหน้าไปส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็คตรอน เราจะพบว่ามีเชื้อ P.ACNE หรือเชื้อสิวอยู่เต็มไปหมด นั่นหมายความว่าถ้าเราไม่ยอมล้างฟองน้ำหรือแปรงแต่งหน้าเลยเท่ากับว่าเราได้เติมเชื้อสิวไว้บน ผิวหน้า ของเราแบบไม่รู้ตัว ดังนั้น จึงควรทำความสะอาดพัฟและแปรงแต่งหน้าอย่างน้อย 3 วันต่อครั้ง   

6. โทรศัพท์ 

โทรศัพท์เป็นตัวการสำคัญ เพราะทุกคนต้องใช้แทบจะตลอดเวลาก็ว่าได้ แต่ทุกครั้งที่หยิบมาพูดมาคุยด้วยการแนบกับหูโดยตรง มันเต็มไปด้วยคราบเหงื่อไคลจาก ผิวหน้า พอวางโทรศัพท์ไว้ก็เสี่ยงที่จะเกิดเชื้อโรคจากพื้นผิวที่วางอีก รวมทั้งยังเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคจากมือของเราอีกด้วย เวลามีใครโทรเข้ามาเราหยิบโทรศัพท์มาแนบหน้า มันจึงเป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ดังนั้น จึงควรหมั่นทำความสะอาดมือถือของคุณด้วยการใช้ทิชชูเปียกที่ผสมน้ำยาฆ่าเชื้อโรค อย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง

7. สิวไม่หายเพราะกินขนมหวานจุบจิบตลอดทั้งวัน

การกินส่งผลต่อการเกิดสิวได้ด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะปริมาณน้ำตาลที่ร่างกายรับเข้าไปเกินความต้องการ สิ่งที่ตามมาคือภาวะของไขมันส่วนเกินในชั้นผิวหนังถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมามากกว่าปกติ จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะอุดตันของรูขุมขนแบบไม่รู้ตัว อย่าคิดว่าการกินของหวานที่อุดมไปด้วยน้ำตาลจะทำให้อ้วนอย่างเดียว แต่มันยังส่งผลต่อสุขภาพและกระทบต่อสุขภาพ ผิวหน้า ให้เสียหายกลายเป็นสิวเห่อได้อีกด้วย

เชื่อว่าต้องมีบ้างที่สาวๆ เคยมีพฤติกรรมเหล่านี้ อย่ามัวโทษโชคชะตาที่เกิดมาเป็นสิวเลยดีกว่า เพราะการกระทำที่มาจากนิสัยอันไม่พึงประสงค์นี้ คือตัวการชั้นดีที่จะทำให้สิวไม่ยอมหายสักที

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศ.ดร.น.พ. สมศักดิ์ วรคามิน. ผิวสวย (BEAUTY SECRET THE UNTOLD STORY) กรุงเทพ: 2539 – 2560 โดยบริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) © Copy Right 1996, 2017.

ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.

https://faunglada.com/