[adinserter name=”มะเร็ง”]
ชนิดของมะเร็งในเด็ก
1. มะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemia )
พบว่าในผู้ป่วยเด็กประมาณ 30% จะป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน ซึ่ง 60-70 % ของผู้ป่วยสามารถรักษาให้หาย และจาการศึกษาผลกระทบระยะยาวที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่รักษาหายและรอดชีวิตจากโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวพบว่าผู้ป่วย 31 คนจากผู้ป่วยทั้งหมด 77 คนมีความผิดปกติเกิดขึ้นหลังจากที่ทำการรักษาไปนานแล้ว ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นในระยะยาวที่เกิดขึ้นนั้นจะเกิดขึ้นกับอวัยวะบางส่วนของร่างกายเท่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับอวัยวะทั้งหมดของร่างกาย จากการศึกษาดังกล่าวเป็นการศึกษาในผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบ Lymphoblastic ( Acute Lymphoblastic Leukemia ) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ALL แต่จากการผลการศึกษาที่ได้รับมาก็สามารถนำมาอธิบายหรือปรับใช้กับผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด Non- Lymphocytic หรือ ANLL ได้ด้วย ซึ่งความผิดปกติในระยะยาวที่เกิดขึ้น คือ
1.1 ความผิดปกติที่มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโต
จากการศึกษาและเฝ้าสังเกตการณ์พบว่ากลุ่มผู้ป่วยเด็กที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ALL ที่กการรักษาด้วยการให้เคมีบำบัดทั้งแบบที่ใช้ยาเคมีบำบัดเพียงชนิดเดียวหรือการใช้เคมีบำบัดหลายชนิดร่วมกัน ไม่ส่งผลกระทบที่มีต่อการเจริญเติบโตของร่างกายเด็ก ดังนั้นจึงสามารถสรุกได้ว่าความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยเด็กนั้นเกิดขึ้นจากการรักษา ด้วยการฉายรังสี และผลกระทบจะเกิดขึ้นกับบริเวณที่โดนรังสีโดยเฉพาะกระดูกที่อยู่ในช่วงที่กำลังเจริญเติบโตเท่านั้นไม่ใช่เกิดขึ้นกับอวัยวะทุกส่วน รวมถึงการฉายรังสีไปยังบริเวณศีรษะต่อ Hypothalamic Pituiary Axis ที่จะส่งผลให้ร่างกายของเด็กเกิดสภาวะขาดแคลนฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต หรือ Growth Hormone หรือไม่ก็ส่งผลต่อการทำงานของต่อมเพศและต่อมไทรอยด์ได้ แต่บางครั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นกับการทำงานของต่อมเพศและต่อมไทรอยด์อาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากการรักษาด้วยยาที่มี Steroid นานเกินไปหรือการเกิดอาการป่วยชนิดเรื้อรังบางชนิดที่ส่งผลต่อการทำงานของการทำงานของต่อมเพศและต่อมไทรอยด์อีกด้วยและพบว่าการฉายรังสีแบบ Craniospinal Irradition มีการรายงานผลกระทบว่าสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเด็กที่รอดชีวิตจากการรักษาได้ แต่ว่าความสูงโดยเฉลี่ยที่ลดลงนั้นมีความน้อยมาก และยังพบว่าโรคมะเร็งในเด็กที่มีอายุน้อย ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะมีความรุนแรงมากกว่าเด็กที่มีอายุมาก และผู้ป่วยเด็กเพศหญิงจะได้รับผลกระทบด้านการเจริญเติบโตมากกว่าผู้ป่วยเพศชายอีกด้วย
แพทย์และผู้เชี่ยวชาญหลายคณะ เช่น Kirk, Costin, Blatt, Moell พร้อมทั้งคณะของพวกเขา ได้ทำการศึกษาถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อทำการฉายรังสีไปยังบริเวณศีรษะ พบว่าผู้ป่วยเด็กที่เข้ารับการรักษาโรคมะเร็งชนิด ALL นั้นส่งผลให้ร่างกายเกิดความผิดปกติของ Growth Hormone เกิดขึ้น ทั้งด้านการสร้างฮอร์โมนที่มีปริมาณน้อย ส่งผลให้ร่างกายเกิดสภาวะขาดแคลนฮอร์โมนดังกล่าวขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อศีรษะได้รับรังสีประมาณ 18-24 Gy และผลกระทบที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นกับเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชายทำให้มีการเจริญเติบโตของร่างกายที่ช้ากว่าเด็กปกติ
การฉายรังสีแบบ Craniospinal ยังสามารถสร้างผลกระทบต่อความสูงของท่านั่งของผู้ป่วยที่เคยได้รับการรักษาอีกด้วย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าผลกระทบจากการฉายรังสีส่งผลต่อกระดูกสันหลัง แต่ว่าผลกระทบแบบนี้จะเกิดขึ้นน้อยมากเมื่อเทียบกับการเจริญเติบโตในส่วนที่มีการฉายรังสีโดยตรง
นอกจากผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ Growth Hormone แล้ว ผลกระทบที่ส่งผลให้เกิดภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำก็สามารถส่งผลกระทบต่อรูปร่างของเด็กที่เตี้ยลงของเด็กได้
โดย Robinson กับคณะพบว่าผู้ป่วยเด็กที่เข้ารับการด้วยการฉายรังสีและการให้เคมีบำบัดมีความผิดปกติของต่อมไทรอยด์เกิดขึ้นประมาณร้อยละ 10 ของผู้ป่วยทั้งหมด ซึ่งผู้ป่วยประมาณร้อยละ 7 จะเกิดภาวะไทรอยด์ต่ำแบบ Compensated ส่วนอีกร้อยละ3 จะเกิดภาวะไทรอยด์ต่ำแบบ Primary
ผลกระทบที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตที่ช้ากว่าปกติของผู้ป่วยเด็กจะพบได้ในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วย Corticosteriod ที่ต้องใช้ระยะเวลานาน หรือในการรักษาผู้ป่วยเด็กที่ป่วยเป็นโรคไตและโรคหอบหืดที่ทำการรักษาด้วย Prednisolone ในปริมาณที่น้อยกว่า 3 mg/m²ต่อวัน ถ้ามีการรักษาในระยะเวลาที่น้อยกว่า 6 เดือนผลกระทบด้านการเจริญเติบโตของผู้ป่วยนั้นมีค่าน้อยมาก แต่ถ้าทำการรักษาในระยะเวลาที่นานกว่า 6 เดือนจะพบว่าการเจริญเติบโตของผู้ป่วยมีค่าน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าปริมาณ Corticosteroid ที่นำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งเม็ด เลือดขาวชนิด ALL จะมีปริมาณมาก แต่การที่จะใช้ Steroid มารักษาผู้ป่วยติดต่อกันนานเกิน 6 อาทิตย์ก็เป็นไปได้ยาก จึงแสดงว่าผลกระทบด้านการเจริญเติบโตที่เกิดจากการใช้ Corticosteroid ที่นำมารักษานั้นควรจะมีค่าที่น้อยมาก
และผลกระทบอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ALL ที่มีการรักษาด้วยการฉายรังสีไปยังบริเวณศีรษะคือ โรคอ้วน แต่ว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอ้วนนั้นยังไม่มีข้อบ่งชี้ที่แน่ชัด แต่จากสถิติพบว่าผู้ป่วยเด็กจำนวน 21 คนจากทั้งหมด 77 คนที่ทำการศึกษานั้น เป็นโรคอ้วน จึงมีการสันนิฐานว่าการฉายรังสีไปยังศรีษะ รังสีอาจจะส่งผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลายภายในสมอง ในส่วนของ Hypothalamus ที่ส่งผลให้ร่างกายเป็นโรคอ้วนและมีการเรียนรู้ได้ช้า [adinserter name=”มะเร็ง”]
1.2 ความผิดปกติที่มีผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง
ผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลางที่เกิดจากการรักษาด้วยการให้เคมีบำบัดและการฉายรังสีที่บริเวณศีรษะนั้นมีความเสียหายเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโรคมะเร็งชนิด ALL พบว่าทำให้เกิด Necrotizing Leukoencephalopathy ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่ทำการรักษาประมาณ 4-12 เดือน อาการนี้จะก่อให้เกิดการถดถอยด้านพัฒนาการ ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง สติสัมปชัญญะเกิดการเปลี่ยนแปลง มีภาวะเดินเช ชัก หรือบางครั้งเกิดอาการอัมพาตของร่างกายบริเวณส่วนล่าง เกิดสภาวะ Pseudobulbar Paresis หรือการเกิดสภาวะข้างเคียงที่มีความรุนแรงอื่น ๆ ที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิต หรือบางครั้งก็อาจจะส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ โดยเด็กที่มีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นจะเป็นเด็กที่มีการรักษาด้วยการฉายรังสีที่บริเวณศีรษะมาก่อนทั้งสิ้น ซึ่งปริมาณที่ได้รับการฉายรังสีจะอยู่ที่มากกว่า 20 Gy และมีการใช้ยาเคมีบำบัดชนิด Metrothexate เข้าทางเส้นลือดดำและทางกระดูกไขสันหลัง ได้มีการทำการวิจัยแล้วพบว่าผู้ป่วย 55% ที่เคยได้รับการรักษาด้วยการใช้ยาเคมีบำบัดชนิด Metrothexate เข้าทางเส้นเลือดดำและไขสันหลังร่วมกับการฉายรังสีเข้าสู่บริเวณศีรษะด้วยรังสี 24 Gy และมีการให้ยาสัปดาห์ละ 40-80 mg/m² ที่จะทำให้เกิดสภาวะ Leukoencephalopathy ส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถเกิดโรค Leukoencephalopathy ภายหลังจากที่ได้รับการรักษา แต่ถ้ามีการรักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัดหรือการฉายรังสีเพียงอย่างเดียการเกิดโรค Leukoencephalopathy จะมีโอกาสน้อยแค่ 0.5-2.0 % เท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันนี้ทางการแพทย์ยังไม่พบวิธีการรักษาโรคนี้ที่สามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพนอกจากภาวะข้างต้นที่พบแล้วยังพบ สภาวะ Neuropsychological Sequelae ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ได้รับการฉายรังสีไปยังศีรษะเพื่อป้องกันการรุกลามและแพร่กระจายของมะเร็งเม็ดเลือดขาวเข้าสู่ระบประสาทส่วนกลาง สภาวะ Neuropsychological Sequelae ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยจะมีอาการค่อนข้างน้อยไม่รุนแรงเหมือนกับอาการที่กล่าวมาในตอนแรก
จากความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการฉายรังสีจะพบว่าปริมาณรังสีที่จะทำให้เกิดผลกระทบนั้นจะต้องมีปริมาณตั้งแต่ 24 Gyขึ้นไป ดังนั้นถ้าสามารถลดปริมาณรังสีให้น้อยกว่า 24 Gy ค่าความผิดปกติที่เกิดขึ้นอาจจะมีค่าลดลงตามไปด้วย ซึ่งค่าประมาณรังสีที่จะส่งผลให้เกิดความผิดปกติน้อยสุดและสามารถรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวให้หายได้จะอยู่ที่ประมาณ 18 Gy และเมื่อทำการศึกษาเปรียบเทียบผู้ป่วยที่ได้รับการฉายรังสีเพียงอย่างเดียวเทียบกับกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัดในการป้องกันไม่ให้มะเร็งเกิดการแพร่กระจาย พบว่าผู้ที่ได้รับการฉายรังสีจะมีคะแนนเกี่ยวกับความจำที่ไม่ดีเท่ากับกลุ่มที่ได้รับยาเคมีบำบัดด้วย
1.3 ผลกระทบต่อการทำงานของต่อมเพศ
ผู้ป่วยเด็กชายที่เข้ารับการรักษาโรคมะเร็งชนิด ALL จะมีการเจริญเติบโตอย่างปกติ และยังสามารถมีลูกได้อย่างปกติเหมือนกับคนทั่วไป จากผลการสังเกตดังกล่าวทำให้มีความเชื่อว่าการรักษาโรคมะเร็งด้วยการให้เคมีบำบัดในกลุ่ม Alkylating Agent นั้นไม่ก่อให้เกิดความผิดปกติกับอัณฑะ ต่อมา Blatt กับคณะได้ทำการศึกษาผู้ป่วยชายที่ทำการรักษาโรคมะเร็งชนิด ALL จำนวน 14 คนด้วยกัน โดยผู้ป่วย 9 คนเป็นเด็กชายที่ยังไม่เข้าสู่วัยหนุ่ม ผู้ป่วย 4 คนเป็นผู้ชายที่อยู่ในวัยหนุ่ม และผู้ป่วย 1 คนอยู่ในวัยที่มีการเจริญเติบโตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว ทำการรักษาผู้ป่วยด้วยให้เคมีบำบัดหลาชนิดเข้าด้วยกัน ( Prednisolone Vincristine Methotrexate กับ 6-Mercaptopurine ) ทำการรักษาและเฝ้าติดตามอยู่ประมาณ 5 ปีครึ่ง พบว่าผู้ป่วยทุกคนมีลูกอัณฑะที่สามารถทำงานได้อย่างปกติเหมือนกับคนทั่วไป ซึ่งพิจารณาจาก tanner staging ร่วมกับระดับของ Gonadotropin กับประมาณระดับของ Testosterone Range จึงสรุปได้ว่าการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในผู้ป่วยไม่ส่งผลต่อการทำงานและการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับต่อมเพศ
แต่ทว่าการฉายรังสีกลับให้ผลในทางตรงกันข้าม โดยพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการฉายรังสีที่ความเข้มข้น 18-24 Gy ที่บริเวณลูกอัณฑะในการรักษา Testticular Leukemia จากการรักษาจะส่งผลให้ผู้ป่วยเป็นหมันชนิดถาวร ทั้งที่ระดับ Testtosterone ยังอยู่ในระดับปกติ ซึ่งระดับของ Luteinizing Hormone ( LH ) กับ Follicle Stimulating Hormone ( FSH ) อาจจะมีค่าคงที่หรือสูงขึ้นได้ และจากการศึกษาของ Brauner, Shalet พร้อมทั้งคณะของพวกเขาพบว่า เมื่อทำการฉายรังสีที่มีความเข้มข้น 24 Gy เข้าสู่บริเวณลูกอัณฑะทั้งสองข้างของผู้ป่วยเด็กชาย 12 คน ผู้ป่วยเด็กชาย 10 คนจะส่งผลให้ Leyding Cell ทำงานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งดูได้จากอาการตอบสนองที่มีเต็มที่ของ Plasma testosterone ที่ส่งผลต่อ Human Chorionic Gonadotrophin หรือการที่ส่งผลต่อ Basal LH ที่มีค่าเพิ่มขึ้น และยังพบอีกว่าความผิดปกติที่เกิดขึ้นมีอยู่หลายอย่างมาก และการหลั่งของ Gonadotropin จะมีเกิด พร้อมกับความเสียหายของลูกอัณฑะของเด็กผู้ชายที่เข้ารับการรักษาถึง 9 คนจากผู้ป่วยทั้งหมด 11 คนที่เข้ารับการรักษาด้วยการฉายรังสีที่ส่วนของลูกอัณฑะ ซึ่งสามารถทำการรักษาได้ด้วยการให้ Androgen เข้าไปทดแทนส่วนที่ขาดหายไป [adinserter name=”มะเร็ง”]
สำหรับเด็กผู้หญิงที่เข้ารับการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ALL พบว่าไม่มีความผิดปกติต่อการเจริญทางเพศของเด็กพวกนั้นแม้แต่น้อย ผู้ป่วยทุกคนเมื่อโตสามารถมีบุตรที่มีลักษณะปกติดีทุกประการ ซึ่งจากการสังเกตยังบอกได้อีกว่าเด็กผู้หญิงที่ป่วยและทำการรักษาก่อนที่จะเข้าสู่วัยสาวเต็มตัวจะมีความเปลี่ยนแปลงด้านการเจริญเติบโตที่น้อยมากจนถึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติเกิดขึ้น แต่ว่าถ้าเด็กผู้หญิงทำการรักษาโรคมะเร็งเมื่อเข้าสู่วัยสามเต็มตัวหรือมีการรักษาหลังจากที่เริ่มมีประจำเดือนครั้งแรกไปแล้ว พบว่าเด็กผู้หญิงจะมีความผิดปกติของการทำงานใน Hypothalamus และยังสามารถพบการทำงานที่มีความผิดปกติแบบ Primary เกิดขึ้นที่รังไข่ได้อีกด้วย ซึ่งอาการเหล่านี้มีโอกาสที่จะรักษาให้หายได้ไม่ถึงครึ่งของผู้ป่วยที่ตรวจพบความผิดปกติ และยังพบว่าการรักษาด้วยเคมีบำบัดชนิด Cyclophosphamind ในการรักษาจะส่งผลให้การทำงานของรังไข่มีความผิดปกติเกิดขึ้นสูงมาก
นอกจากผลจากการรักษาด้วยการให้เคมีบำบัดและการฉายรังที่ในการรักษาโดนตรงแล้ว การฉายรังสีไปยังบริเวณศีรษะเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลางก็ส่งผลต่อการทำงานที่เกี่ยวข้องกับระบบเพศด้วยเช่นกัน โดยพบว่าเด็กผู้หญิงที่ได้รับการฉายรังสีเข้าสู่ศีรษะจะมีประจำเดือนช้ากว่าคนปกติและการงานของต่อมเพศของผู้หญิงก็อาจจะเกิดความล้มเหลวได้ด้วย หรือบางครั้งก็ส่งผลในทางตรงกันข้ามคือเข้าไปกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีการเข้าสู่วัยหนุ่มสาวเร็วกว่าปกติ ซึ่งสันนิฐานว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ารังสีเข้าไปกระตุ้นการทำงานของต่อม Hypothalamus ที่ผิดปกติจนส่งผลให้เกิดสภาวะ Hypothalamic Pituitary Gonadal Axis นั่นเอง
1.4 ความผิดปกติที่มีผลกระทบต่อระบบส่วนอื่น ๆ
ระบบส่วนอื่น ๆที่กล่าวถึงในที่นี้ คือ เลนส์ตา ฟัน กระดูกและตับ ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นมีดังนี้
1.4.1 ดวงตา
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับดวงตาที่พบได้บ่อย คือ การเกิดต้อกระจก ซึ่งสาเหตุมักเกิดจากการใช้ Steroid จะทำให้เกิดต้อกระจกแบบ Subcapsular อัตราการเกิดต้อกระจกแบบนี้จะขึ้นอยู่กับปริมาณ Steriod และระยะเวลาที่ได้รับด้วย หรือการเกิดต้อกระจกเนื่องจากการฉายรังสีเข้าไปกระทบเลนส์ที่ในดวงตาซึ่งจะเมื่อเลนส์ได้รับรังสี cranial Irradiation มีความเข้มข้นระหว่าง 4-20 Gy ดังนั้นผู้ป่วยที่ได้รับการฉายรังสีเพื่อการป้องกันการแพร่กระจายจึงไม่ค่อยมีผลข้างเคียงที่เกิดเป็นต้อกระจกเท่าใดนัก
1.4.2 ฟัน
ผู้ป่วยที่ทำการรักษาด้วยการฉายรังสีที่มีความเข้มข้น 18-24 Gy ในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ALL พบว่าผู้ป่วยประมาณ 40% และการรักษาด้วยการให้เคมีบำบัดไม่ว่าจะเป็นการรักษาทั้งสองวิธีพร้อมกันหรือรักษาด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ส่งผลให้รากฟันและครอบฟันกรามมีลักษณะที่สั้นลงและบางลง ซึ่งการที่รากฟันและครอบฟันสั้นลงจะทำให้ฟันมีอายุที่น้อยลงตามไปด้วย
1.4.3 กระดูก
ผู้ป่วยที่ทำการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ALL ที่ทำการรักษาด้วยการใช้ Corticosteroid หรือใช้ยา Methotrexate จะส่งผลให้เกิดสภาวะ Skeletal Undermineralization ที่ทำให้กระดูกมีความเปราะบางจึงแตกหักได้ง่ายกว่าปกติ
1.4.4 ตับ
ผลข้างเคียงต่อตับที่เกิดขึ้นจะเกิดจากการรักษาด้วยเคมีบำบัดเสียเป็นส่วนมาก โดยเฉพาะการรักษาด้วยยา Methotrexate หรือยา 6-Mercaptopurine ถึงแม้ว่าอาการที่แสดงในตอนแรกที่ทำการรักษาจะไม่เด่นชัดถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นแต่ทว่าหลังจากที่ทำการรักษาไปแล้ว ประมาณ 10-40% ของผู้ป่วย พบว่าฤทธิ์ของยาจะเข้าไปทำลายเซลล์ที่อยู่ภายในตับจนเกิดความเสียหายจนกลายเป็นพังผืดหรือโรคตับแข็ง และถ้ามีการให้ยาเคมีบำบัดเป็นระยะเวลานานก็จะส่งผลให้ท่อน้ำดีเกิดการอุดตันเป็นเหตุให้เซลล์ที่อยู่ภายในตับตายได้ ส่งผลให้ค่า Serum Bilirubin Transaminases มีค่าเพิ่มขึ้นด้วย ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตับไม่ใช่ผลกระทบชนิดเรื้อรังเพราะว่าอาการบางอย่างสามารถรักษาให้หายได้เป็นปกติหลังจากที่ทำการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดเสร็จแล้ว แต่ในผู้ป่วยบางรายก็พบว่ายังมีอาการโรคตับเรื้อรังเกิดขึ้นซึ่งมีค่าน้อยมากประมาณ 1% ของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาเท่านั้น
2. โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ Hodgkin’s Diseaseและ Non-Hodgkin’s Lymphoma ซึ่งเด็กที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งชนิดนี้พบได้เพียงแค่ 15% ของผู้ป่วยเด็กทั้งหมดที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ผลกระทบที่เกิดขึ้นแบบเรื้อรังที่มาจากการรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่พบได้มากและมีความสำคัญ คือ [adinserter name=”มะเร็ง”]
2.1 สภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียอย่างรุนแรง ( Overwhelming Bacterial Infection )
การรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะมีการตัดม้ามออก ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดสภาวะ Spontaneous Sepsis ซึ่งสภาวะเป็นภาวะเสี่ยงที่มีความรุนแรงสูงมากสำหรับตัวผุ้ป่วย จากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยร้อยละ 50 จะเสียชีวิตเนื่องจากมีการติดเชื้อที่รุนแรงจากการตัดม้าม ซึ่งการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่เกิดการติดเชื้อจะเกิดขึ้นมากในช่วง 1-2 ปีแรกหลังจากที่ทำการรักษาด้วยการตัดม้ามออก แต่ก็มีผู้ป่วยบางรายที่มีอายุยืนยาวกว่า 12 ปีจึงเกิดภาวะติดเชื้อและเสียชีวิตในที่สุด ส่วนการรักษาด้วยการฉายรังสีที่มีความเข้มข้น 40 Gy เข้าสู่พบว่าผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นเหมือนกับผลที่เกิดขึ้นเมื่อตัดม้ามออกคือมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อชนิดรุนแรงได้เช่นกัน ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นได้มีการแก้ไขด้วยการลดปริมาณรังสีที่ใช้ในการรักษาให้น้อยลงกว่า 20 Gy และมีการให้ยาก Penicilin เพื่อป้องกันการติดเชื้อในผู้ป่วยก็สามารถช่วยลดการติดเชื้อชนิดรุนแรงเนื่องจากการถูกตัดม้ามหรือม้ามสูญเสียการทำงานได้บางส่วน
2.2 ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับการทำงานของต่อมเพศ
จากการศึกษาเกี่ยวกับการทำงานของต่อมเพศในผู้ป่วยที่เข้ารับการโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง 2 กลุ่ม พบว่า ผู้ป่วยกลุ่มแรกที่เข้ารับการรักษาด้วยการฉายรังสีและให้ยาเคมีบำบัดในกลุ่ม MOPP (Mechlorethamine/Vincristine/Procabazine/Prednisine) พร้อมกับ MOPP Analoguse มีความผิดปกติของการทำงานของกลุ่มเพศเกิดขึ้น โดยในเด็กชายจะสามารถกลับมามีบุตรภายหลังที่ทำการรักษาไปแล้วอย่างน้อย 8 ปี ซึ่งต่างจากการรักษาด้วยการฉายรังสีและการให้ยาในกลุ่ม ABVD (Doxorubicin/Blemycin/Vinblastine/Dacarbazine) ที่ไม่สร้างผลกระทบต่อมการทำงานของต่อมเพศ
ในการฉายรังสีเข้าสู่ลูกอัณฑะพบว่าการฉายรังสีแบบ Inverted Y-field ส่งผลให้มีการเกิด Oligospermia หรือเกิด Azoospermia ซึ่งลักษณะที่เกิดขึ้นมีทั้งแบบที่เกิดขึ้นชั่วคราวหรือแบบถาวรก็ได้ แต่ว่าแบบถาวรนั้นมีโอกาสที่พบได้น้อยมาก ซึ่งจำนวนสเปิร์มที่ลดลงจะสามารถกลับเข้าสู่ปกติหลังจากที่ทำการรักษาเสร็จสิ้นแล้วประมาณ 26 เดือน ซึ่งประมาณ 40% จะมีปริมาณสเปิร์มน้อยต่อไปจนกระทั้งโตเป็นหนุ่ม
สำหรับในวัยรุ่นตอนปลายและผู้ใหญ่ที่มีการเจริญเติบโตทางเพศเต็มที่แล้ว พบว่าถ้ามีการรักษาด้วยการฉายรังสีเข้าสู่บริเวณอุ้มเชิงกรานแล้ว โอกาสที่ Spermatogenic และ Fertility ที่จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมจะมีโอกาสที่น้อยมากหรือบางในผู้ป่วยบางคนจะไม่กลับมาเป็นปกติเลย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าอัณฑะของเด็กผู้ชายที่ยังไม่เข้าสู่วัยเจริญพันธจะมีความว่องไวต่อ Cytotoxic Effects ของ Alkylating Agent น้อยกว่าในผู้ป่วยที่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์แล้วนั่นเอง และเมื่อทำการตรวจคุณภาพของน้ำอสุจิของผู้ป่วยที่เข้าสู่วัยหนุ่มหรือเลยวัยหนุ่มมาแล้วหลังจากที่ทำการรักษาด้วยการให้เคมีบำบัดเป็นเวลาตั้งแต่ 4 ปีจนถึง 11 ปี พบว่าน้ำอสุจิมีภาวะ Azoospermia อย่างสูงสุด
สำหรับผู้หญิงที่เข้ารับการรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองHodgkin’s Disease ด้วยการให้เคมบำบัดและการฉายรังสี พบว่ารังไข่ของเด็กผู้หญิงจะมีการทำงานที่ลดลง และผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปรังไข่จะมีความว่องไวต่อรังสีสูงกว่ารังไข่ของผู้หญิงที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี และผู้หญิงที่ทำการรักษาด้วยการฉายรังสีและให้เคมีบำบัดที่บริเวณอุ้มเชิงกรานจะส่งผลให้รังไขทำงานผิดปกติมากกว่าผู้หญิงที่รักษาด้วยการฉายรังสีหรือการให้เคมีบำบัดเพียงชนิดเดียว
ส่วนในเด็กผู้หญิงที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปีที่เข้ารับการรักษา Hodgkin’s Disease ที่ทำการรักษาด้วยการฉายรังสีไปยังบริเวณหน้าท้องส่วนล่างหรือบริเวณอุ้มเชิงกรานโดยมีการ Midline Overian Blacking กลับพบว่าความสามารถในการทำงานของรังไข่นั้นเป็นปกติเหมือนคนที่ไม่เคยผ่านการรักษามาก่อน และยังพบอีกว่าผู้ป่วยที่ทำการรักษาด้วยการให้เคมีบำบัดชนิด MOPP ส่งผลให้ผู้ป่วยประมาณ 25-65 %ไม่มีประจำเดือนติดต่อกันอย่างยาวนาน โดยผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 30 ปี จะมีโอกาสที่จะเกิดผลกระทบเช่นนี้มากกว่าผู้หญิงที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปี และเมื่อทำการศึกษาในผู้หญิงที่เข้ารับการรักษาด้วยการฉายรังสีร่วมกับการให้เคมีบำบัดก็ได้ผลเช่นเดียวกับการให้เคมีบำบัดหรือการฉายรังสีเพียงอย่างเดียว นั่นคือ ผู้หญิงที่มีอายุมากจะมีโอกาสที่จะไม่มีประจำเดือนมากกว่าผู้หญิงที่มีอายุน้อยที่เข้ารับการรักษาแบบเดียวกัน แสดงว่าอายุของผู้ที่เข้ายิ่งมีอายุน้อยผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการรักษาจะมีค่าน้อยกว่าผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่ยังไม่มีประจำเดือนผลกระทบที่เกิดขึ้นกับการทำงานของรังไข่ก็จะยิ่งน้อยลงหรือแทบจะไม่เกิดผลกระทบกับตัวผู้ป่วยเลยแม้แต่น้อย
2.3 ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับหัวใจ
การรักษา Hodgkin’s Disease ด้วยการฉายรังสีและการให้เคมีบำบัด พบว่าการฉายรังสีจะมีรังสีเข้าสู่หัวใจในบางส่วน และยาเคมีบำบัดที่ใช้จะมีส่วนผสมของยา Anthracycline ยาชนิดนี้เป็นยาที่มีความเป็นพิษต่อหัวใจเป็นอย่างมาก ซึ่งผลกระทบที่เกิดเป็นอาการแทรกซ้อนเมื่อทำการฉายรังสีทีเกิดขึ้นกับหัวใจ มีดังนี้
2.3.1 โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
โดยเฉพาะโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเป็นอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นบ่อย ซึ่งผู้ป่วยร้อยละ 30 ที่ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีที่มีปริมาณ 35 Gy เข้าสู่ส่วน Mediastinum พบว่าจะมีอาการเยื้อหุ้มหัวใจอักเสบ จากผลกระทบที่เกิดขึ้นได้มีการพยายามหาทางแก้ไขด้วยการลดปริมาณของรังสีที่ใช้ในการฉายเพื่อรักษาและทำการ Subcarinal Blocking แล้วพบว่า การเกิดอาการแทรกซ้อนมีค่าลดลงเพียงแค่ 2-3 % เท่านั้น
และอาการเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบจะเกิดขึ้นหลังจากที่ทำการรักษาเสร็จแล้วหลายปี ซึ่งบางครั้งอาการอาจจะไม่แสดงออกมาให้เห็นเด่นชัดนัก โดยอาการจะเริ่มตั้งแต่การมีน้ำในช่องเยื้อหุ้มหัวใจส่งผลให้กัวจเกิดการบีบตัวที่รุนแรง ซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามจนถึงชีวิตได้
2.3.2 หลอดเลือดแดงบาดเจ็บ
การที่หลอดเลือดแดงเกิดอาการบาดเจ็บหลังจากที่มีการรักษาด้วยการฉายรังสี สามารถพบได้แต่ก็ไม่บ่อยนัก ซึ่งเมื่อเกิดอการดังกล่าวแล้วอาจจะพัฒนาไปเป็นโรคหลอดเลือกหัวใจในอนาคตได้ อาการแทรกซ้อนที่ทำให้หลอดเลือกหัวใจบาดเจ็บจะส่งผลในระยะยาวกับผู้ป่วยทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดและโรคกล้ามเนื้อหัวใจที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ในผู้ป่วยเด็กที่ทำการรักษาจะพบว่าเมื่อทำการรักษาจนมีอายุ 18-25 ปีจะมีอัตราเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากสาเหตุนี้ จะเห็นว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นกับหัวใจมีความอันตรายค่อนข้างสูง จึงพยายามที่จะหาทางลดอาการแทรกซ้อนด้วยการฉายรังสีให้มีปริมาณต่ำประมาณ 20 Gy เข้าสู่บริเวณ Mediastium และทำการเปลี่ยนยาเคมีบำบัดมาเป็นแบบ MOPP / ABVD แทนยา Anthracycline ซึ่งค่า Median Cumulative Dose ของ Doxorubicin ควรอยู่ที่ 176 mg/m² ที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจได้ [adinserter name=”มะเร็ง”]
2.4 ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับการทำงานต่อมไทรอยด์
การรักษาด้วยการฉายรังสีไปที่ลำคอพบว่าสามารถส่งผลให้ต่อมไทรอยด์เกิดการทำงานที่ผิดปกติ โยมีต่อมไทรอยด์จะทำงานน้อยลงหลังจากที่ได้รับการฉายรังสีที่บริเวณลำคอแล้ว ปัจจัยที่ส่งผลให้ต่อไทรอยด์ทำงานน้อยลง คือ ปริมาณรังสีที่ได้รับมีค่าสูงนั่นเอง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอายุน้อยจะได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับต่อมไทรอยด์สูงกว่า ซึ่งถ้าได้รับปริมาณรังสีต่ำกว่า 26 Gy ผู้ป่วยเด็ก 17 % ต่อมไทรอยด์จะทำงานผิดปกติ แต่ถ้าผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีมากกว่า 26 GY จะมีโอกาสที่ต่อมไทรอยด์จะทำงานผิดปกติมากถึง 78 % เลยทีเดียว ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นหลังจากที่ทำการรักษาไปแล้วประมาณ 3 เดือน -6 ปี ซึ่งการรักษาสามารถทำได้ด้วยการให้ฮอร์โมนทดแทน
2.5 ผลกระทบที่เกิดต่อการทำงานของปอด
การรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง Hodgkin’s Disease ด้วยการฉายรังสีและการให้เคมีบำบัด จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของปอด ก็ต่อเมื่อมีการฉายรังสีไปยังบริเวณ Mediastinum หรือบริเวณเนื้อเยื่อปอดทุกส่วน ซึ่งการรักษาอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายแก้ปอดทำให้ปอดอักเสบ หายใจติดขัด มีอาการไอ หรือมีไข้ร่วมด้วย ซึ่งเมื่อทำการ เอกซเรย์ทรวงองจะแสดงให้เห็นว่า Mediastinum มีความกว้างมากขึ้นแบะยังแสดง Shaggy Border ในส่วนที่อยู่รอบ ๆ Mediastinum อีกด้วย โดยอาการปอดอักเสบจะมีเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยได้รับรังสีที่ปริมาณ 35-45 Gy ที่บริเวณต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ส่วนบนของร่างกาย นอกจากอาการปอดอักเสบอาการแทรกซ้อนที่พบได้ก็คือ ภาวะมีน้ำเกิดขึ้นในช่องปอดชนิดเรื้อรัง หรือการเกิดพังผืดที่ส่วนของ Aqical ชนิดที่ไม่มีอาการแสดงออกมาและเกิด พังผืดแบบ Paramediastinal ได้อีกด้วย ส่วนการให้เคมีบำบัดจะเกิดอาการแทรกซ้อนแบบนี้ก็ต่อเมื่อมีการให้ยาเคมีบำบัดหลายชนิดร่วมกัน โดยเฉพาะยา Bleomycin ที่จะส่งผลให้ปอดมีความยืดหยุ่นน้อยลง แต่ถ้าลดปริมาณยาให้เหลือน้อยกว่า 200 unit/m2 ก็จะสามารถลดอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้ และอาการแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายอย่างมากสำหรับการรักษาด้วยการฉายรังสีร่วมกับการให้เคมีบำบัดคือ การติดเชื้อชนิดรุนแรงที่ปอด ซึ่งถ้ามีอาการแทรกซ้อนดังกล่าวเกิดขึ้นผู้ป่วยจะมีโอกาสที่จะเสียชีวิตได้
3. โรคมะเร็งชนิดอื่น ( Other Solid Tumors )
Solid Tumors สามารถพบได้ในเด็กประมาณ 1 ใน 3 เท่านั้น ซึ่ง Solid Tumors ที่พบได้บ่อยที่สุดคือ Rhabomysarcoma Osteogenic Sarcoma Ewing’s Sarcoma Wilm’sTumors และ Neuroblastoma ซึ่ง Solid Tumors เป็นมะเร็งที่มีความรุนแรงสูง ต้องทำการรักษาด้วยการผ่าตัดร่วมกับการฉายรังสีและการให้ยาเคมีบำบัด ดังนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงไม่สามารถทำการสรุปได้ว่าเกิดขึ้นจากการผ่าตัด จากการฉายรงสีหรือการให้เคมีบำบัด และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการรักษา Solid Tumors มีดังนี้
3.1 ผลกระทบต่อการเกิดขึ้นกับปอด
การรักษา Wilms’tumors ด้วยการฉายรังสีและการให้เคมีบำบัดพบว่า ผู้ป่วยมีสภาวะล้มเหลวในการทำงานของกกระบวนการ Alveolar Multiplication ส่งผลให้ปอดมีปริมาตรลดลง ผนังทรวงอกมีการเจริญเติบโตไม่เต็มที่ส่งผลให้เกิดภาวะตีบตันของทางเดินหายใจได้ ซึ่งอาการดังกล่าวจะพบได้น้อยเพียง 2 จาก 15 คนของผู้ป่วยทั้งหมด
3.2 ผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ
การรักษา Solid Tumors จะมีอาการแทรกซ้อนเกี่ยวกับระบบหลอดเลือดและหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมชนิดเฉียบพลัน กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง หลอดเลือดหัวใจตีบตัน โดยพบว่าผู้ที่ได้รับยาที่มีปริมาณน้อยกว่า 550 mg/m2 จะมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นน้อยกว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาในปริมาณมากกว่า 600 mg/m2 และจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ใช้ยาในกลุ่ม Anthracyline ในการรักษาร่วมด้วย วิธีการให้ยาก็มีผลต่ออาการแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นด้วยพบว่าถ้าให้ยาในแบบ Continuous Infusion จะช่วยลดความรุนแรงของอาการแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นได้
การประเมินอาการแทรกซ้อนสามารถทำได้หลายวิธีเช่น Radionuclide Angiography การประเมินการบีบตัวของหัวใจ การตรวจคลื่นเสียงที่สะท้อนของหัวใจหรือการตัดชิ้นเนื้อเพื่อไปตรวจว่ามีอาการอักเสบเกิดขึ้นหรือไม่
และถ้าทำการตรวจว่าผู้ป่วยมีอัตราเสี่ยงที่จะเกิดภาวะโรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมเกิดขึ้นแล้ว ต้องรีบหยุดการให้ยาเคมีบำบัดกับผู้ป่วยในทันที
3.3 ผลกระทบต่อการทำงานของไต
การรักษา Solid Tumors ที่ไตมักจะทำการรักษาด้วยการตัดเอาไส้ที่ไตออกไป พบว่าหลังจากที่ทำการรักษาผ่านไป 3 ปี ตาส่วนที่เหลืออีกข้างจะมีขนาดใหญ่ขึ้น จากการศึกษาที่ดูจาก Serum Creatinine และ Creatinine Clearance ด้วยการติดตามผลถึง 23 ปี พบว่ามีการตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ และมีสภาวะความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยเพศชาย และการฉายรังสีปริมาณมากกว่า 23 Gy ไปยังบริเวณอุ้มเชิงกรานกับบริเวณท้องของผู้ป่วยจะเกิดอาการแทรกซ้อนส่งผลให้ไตอักเสบได้ และการใช้ยาเคมีบำบัดในการรักษาในผู้ป่วยเด็กจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนแบบเฉียบพลัน และจะมีอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นอาการแทรกซ้อนแบบเรื้อรัง ซึ่งอาการแทรกซ้อนดังกล่าวสามารถลดความรุนแรงด้วยการให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมาก ๆ ทั้งก่อน ในขณะที่ให้ยาเคมีบำบัดและหลังการให้ยาเคมีบำบัด
3.4 ผลกระทบต่อบริเวณศีรษะและคอ
ผู้ป่วยโรคมะเร็งในเด็กที่เข้ารับการรักษา sarcoma ของส่วนเนื้อเยื่ออ่อนของสมองและคอ ด้วยการให้เคมีบำบัดและการฉายรังสีจะสร้างผลกระทบต่อร่างกายดังนี้ [adinserter name=”มะเร็ง”]
3.4.1 ตา
เมื่อมีการฉายรังสีเข้าสู่บริเวณดวงตาและกระจกตาได้รับรังสีประมาณ 6-7.5 Gy จะเกิดต้อที่บริเวณกระจกตา ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 6 เดือนจนกระทั้งถึง 35 ปีหลับจากที่ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสี และถ้ามีการฉายรังสีเข้าสู่เบ้าตาในประมาณที่น้อยกว่า 40 Gy จะส่งผลให้เยื่อบุตาเกิดการอักเสบชนิดรุนแรงและถ้าได้รับรังสีมากกว่า 57 Gy จะส่งผลให้ตามองไม่เห็นภายใน 1 ปีหลังจากที่ได้รับการรักษา สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับรังสีที่มีปริมาณ 28 Gy จะทำให้เกิดสภาวะตาแห้ง
3.4.2 การได้ยิน
อาการแทรกซ้อนเกี่ยวกับการได้ยินเป็นปัญหาที่พบได้น้อยมากเมื่อเทียบกับอาการแทรกซ้อนชนิดอื่น ซึ่งอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นกับการได้ยิน จะเกิดจากการฉายรังสีปริมาณ 40-60 Gy เข้าสู่บริเวณหูชั้นกลางจะส่งผลให้เกิดน้ำในหูชั้นกลางชนิดเฉียบพลันขึ้น ซึ่งอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นนี้จะหายได้เองในภายหลังและจะไม่ส่งผลให้การได้ยินสูญเสียไป แต่ก็จะมีเพียงร้อยละ 1 เท่านั้นที่จะสูญเสียอาการได้ยินหลังจากที่ได้รับการฉายรังสี
แต่สำหรับการให้เคมีบำบัดพบวายา Cisplatin ที่จะมีความเป็นพิษต่อหูมากซึ่งการให้ยานี้ในปริมาณที่สูงกว่า600 mg/m2 พบว่าผู้ป่วยจะสูญเสียการได้ยินที่ความถี่สูงทุกคน
3.4.3 ความเสียหายต่อฟัน
เมื่อมีการฉายรังสีที่ปริมาณ 4 Gy เข้าสู่ฟันที่อยู่ในช่วงที่กำลังเจริญเติบโต ส่งผลให้ฟันมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ มีรากฟันที่สั้นลงและครอบฟันที่บางลง และอายุของฟันก็มีอายุสั้นลงด้วยทำให้ผู้ป่วยที่ทำการรักษาด้วยการฉายรังสีจะต้องทำการดูแลฟันเป็นอย่างดีเพื่อป้องกันการสูญเสียฟันก่อนเวลา นั่นแสดงว่าความเสียหายต่อฟันจะเกิดขึ้นเมื่อทำการรักษาผู้ป่วยที่มีอายุน้อยหรือผู้ป่วยที่ฟันมีการพัฒนายังไม่เต็มที่นั่นเอง
3.4.4 ความเสียหายต่อต่อมน้ำลาย
ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับต่อมน้ำลายหลังจากที่ได้รับการฉายรังสีปริมาณ 45 Gy จะพบว่าผู้ป่วยจะมีน้ำลายที่มีลักษณะเปลี่ยนไป เช่น น้ำลายเหนี่ยวขึ้น หรือน้ำลายมีลักษณะที่ใสขึ้น เป็นต้น
3.4.5 ความเสียหายต่อ Growth hormone
ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วยการฉายรังสีปริมาณ 44 Gy ด้วยการฉายรังสีแบบ Incidental เข้าสู่บริเวณ Hypothalamic Pituitary Gland พบว่าผู้ป่วยเด็กร้อยละ 61 มีความสูงลดลงเนื่องจากการทำงานของต่อมไทโอทาลามัสมีความผิดปกติ ส่งผลให้มีการสร้าง Growth Hormone ลดลงทำให้ร่างกายมีการเจริญเติบโตที่ลดลงตามไปด้วย ซึ่งอาการแทรกซ้อนนี้จะส่งผลให้กับผู้ป่วยหลังจากที่ได้รับการรักษาประมาณ 6 ปี
3.4.6 ความเสียหายต่อกระดูกใบหน้า
เมื่อมีการฉายรังสีปริมาณ 40 Gy เข้าสู่บริเวณเบ้าตาเพื่อรักษา Rhabdomyosarcoma พบว่าอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการรักษาส่งผลให้เนื้อเยื่ออ่อนบริเวณเบ้าตามีความพิการผิดรูปเกิดขึ้น ซึ่งอาการแทรกซ้อนนี้จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่มีอายุน้อยที่การเจริญเติบโตของกระดูกใบหน้ายังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ อาการแทรกซ้อนจะเกิดขึ้นหลังจากที่ทำการรักษาไปแล้วประมาณ 9 ปี และอาการแทรกซ้อนจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรงก็ต่อเมื่อได้รับปริมาณรังสีเกิน 50 Gy
ผู้ป่วยเด็กที่ได้รับการฉายรังสีควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดว่ามีผลข้างเคียงหรืออาการแทรกซ้อนใดที่จะมีโอกาสเกิดขึ้นบ้าง เพื่อลดความรุนแรงของอาการแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้
3.5 ผกระทบที่เกิดขึ้นกับระบบกระดูกและกล้ามเนื้อจากการรักษามะเร็งในเด็ก
ผู้ป่วยที่มีอายุน้อยหรือยังอยู่ในวัยที่กำลังเจริญเติบโต เมื่อได้รับการฉายรังสีเข้าสู่ช่องท้องเพื่อทำการรักษามะเร็ง พบว่าผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคกระดูกสันหลังคดงอหรือมีอาการหลังค่อมเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ได้รับรังสีปริมาณ 32 Gy และทำการฉายแสงด้วยเครื่อง Orthovoltage ซึ่งอาการแทรกซ้อนนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่ได้รับการรักษาแล้วประมาณ 12-13 ปี นอกจากนั้นความผิดปกติของกระดูกอาจจะเกิดขึ้นจากการฉายรังสีที่มีปริมาณ 30 Gy ด้วยการฉายรังสีแบบ Orthovoltage และการฉายรังสีแบบที่ไม่สมมาตรก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งด้วย
ความถี่ในการเกิดเลื่อนของ Epiphysis ของส่วน Femoral Head จะมีอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นเมื่อผู้ป่วยเด็กได้รับการฉายรังสีเจ้าสู่บริเวณอุ้มเชิงกรานพร้อมกับการให้เคมีบำบัด พบว่าเซลล์ที่มีความว่องไวต่อการรักษาจะหลัดจรการเลี้ยงเซลล์ ทำให้เซลล์ไม่มีความทนทานต่อความกดดันที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ดังนั้นในการรักษาต้องทำการตรวจอุ้มเชิงกรานก่อนที่จะทำการรักษาว่าสามารถทนต่อการรักษาได้หรือไม่เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น
4. มะเร็งในเด็กที่เกิดขึ้นในระบบประสาทส่วนกลาง
ผู้ป่วยเด็กที่ป่วยเป็นมะเร็งในสมองจะพบได้ประมาณร้อยละ 20 และครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยจะรอดชีวิต ซึ่งการรักษามะเร็งที่ส่วนของสมองจะรักษาด้วยการผ่าตัด การฉายรังสีและการให้เคมีบำบัดร่วมด้วย ซึ่งการรักษาย่อมมีผลกระทบต่อผู้ ป่วยเกิดขึ้นด้วย ซึ่งผลกระทบหรืออาการแทรกซ้อนระยะยาวที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยเด็กที่ทำการรักษามะเร็งสมอง คือ
4.1 ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับระบบต่อมไร้ท่อ
4.1.1 การทำงานต่อมไฮโปทาลามัส
การรักษามะเร็งที่สมองด้วยการฉายรังสีจะส่งผลต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อที่อยู่ในสมองส่งผลให้เกิดสภาวะขาดแคลน Growth Hormone ที่ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย ที่มีต้นเหตุมาจากาการทำงานที่ผิดปกติของต่อมไฮโปทาลามัสที่มีหน้าที่ในการสร้าง Growth Hormone นั่นเอง ซึ่งถ้าร่างกายได้รับรังสีในปริมาณ 36-60 Gy สู่ส่วนขอสมองทั้งหมดหรือ 46-54 Gy ที่ส่วนของ Posterior Fossa จะส่งผลให้ร่างกายทำการผลิต Growth Hormone มีความผิดปกติ ซึ่งสภาวะการขาดแคลน Growth Hormone นี้จะเริ่มขึ้นหลังจากที่ผู้ป่วยทำการรักษาไปแล้วประมาณ 3 เดือน ซึ่งสภาวะการขาดแคลน Growth Hormone จะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยเด็กที่อยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโตมากกว่าผู้ใหญ่ที่มีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว [adinserter name=”มะเร็ง”]
4.1.2 การทำงานของต่อมเพศ
การทำงานของต่อมเพศพบว่าถ้ามีการฉายรังสีเข้าสู่บริเวณสมองจะส่งผลน้อยมากต่อการทำงานของต่อมเพศ ต่างจากผลจากการใช้เคมีบำบัดในการรักษามะเร็งที่สมอง เพราะว่าการใช้เคมีบำบัดส่งผลต่อการพัฒนาของต่อมเพศอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็กที่การพัฒนาของต่อมเพศยังไม่สมบูรณ์เต็มที่จะแสดงผลอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของลูกอัณฑะที่มีขนาดเล็กลง จำนวนอสุจิและคุณภาพของอสุจิก็ลดลงตามได้ด้วย ส่วนในผู้หญิงจะพบว่ารังไข่มีการทำงานที่ผิดปกติส่งผลต่อการมีประจำเดือนที่ขาดหายไม่สม่ำเสมอ
4.2 ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ Neurocognitive Function
ผู้ป่วยเด็กที่เข้ารับการรักษาด้วยการฉายรังสีเข้าสู่บริเวณสมอง พบว่าหลังจากที่ได้รับการรักษาจนหายแล้ว ผู้ป่วยจะมีปัญหาด้านการเรียนรู้ ความจำและการสั่งงานของสมองต่อการตอบสนองสิ่งเร้าที่อยู่รอบตัวเป็นอย่างมาก ทำให้มีปัญหาด้านการเรียนการศึกษา กระบวนการคิด การตัดสินใจ มีระดับ IQ ที่ลดลงกว่าเด็กปกติ นอกจากนี้ในผู้ป่วยเด็กบางคนก็มีอาการซึมเศร้าเกิดขึ้น มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม ก้าวร้าว หวาดระแหวง ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่าอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นนี้มีผลมาจากการฉายรังสีเข้าสู่บริเวณสมองมากกว่าการให้เคมีบำบัดในการรักษามะเร็ง
ในผู้ป่วยบางคนที่เข้ารับการรักษาเมื่ออายุแค่ 2-5 ปีมีอัตราเสี่ยงที่จะมีอาการแทรกซ้อนกลายเป็นโรคปัญญาอ่อน ผลกระทบที่เกิดขึ้นนี้เนื่องจากการที่มีน้ำคั่งอยู่ในสมองและมีแรงดันภายในกะโหลกศีรษะเพิ่มมากขึ้น
การแก้ไขผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนี้ ทำได้ด้วยการรักษาผู้ป่วยเมื่อมีอายุมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือให้พ้นจากช่วงที่อยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโตของสมอง เพื่อลดอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการฉายรังสีเข้าสู่สมอง
4.3 ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับปอด
การใช้ยาเคมีบำบัดชนิด Carmustine ( BCNU ) ในปริมาณ 1550 mg / m2 เพื่อทำการรักษาโรคมะเร็งที่สมอง พบว่าจะสร้างผลกระทบต่อปอดหลังจากที่ทำการรักษาเสร็จประมาณ 2-5 ปี โดยจะส่งผลให้เกิดอาการไอ หายใจหอบ เหนื่อยง่าย และกลายเป็นอาการปอดบวมในที่สุด ในผู้ป่วยบางหลายก็จะเกิดพังผืดที่ในปอดชนิดรุนแรง ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ในเวลาต่อมา ดังนั้นการลดอาการแทรกซ้อนที่มีต่อปอดคือการลดปริมาณยา Carmustine ( BCNU ) ที่ใช้ในการรักษาให้เหลือเพียง 1400 mg/m2 และในขณะที่ทำการรักษาต้องคอยสังเกตอาการของผู้ป่วยว่ามีอาการแทรกซ้อนอย่างอื่น เช่น อาการหอบหืด หายใจติดขัด เกิดขึ้นหรือไม่ ถ้ามีอาการเกิดขึ้นควรดูแลอย่างใกล้ชิดหรือหากจำเป็นให้หยุดการรักษาไว้ก่อน
การเกิดมะเร็ง ทุตติยภูมิ ( Second Malignancy Neoplasms : SMN )
1. ผลกระทบที่เกิดจากพันธุกรรม
ผู้ป่วยเด็กที่เคยได้รับการรักษามะเร็งจนหายไปแล้ว พบว่าสามารถกลับมาเป็นมะเร็งได้อีกครั้งหรือเรียกว่ามะเร็งทุตติยภูมิ ซึ่งลักษณะของมะเร็งทุตติยภูมิที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยแต่ละคนนั้นก็จะต่างกันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะตัวของผู้ป่วยเอง และวิธีการรักษามะเร็งที่เคยใช้ในการรักษาครั้งแรกอีกด้วย ซึ่งปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งทุตติยภูมิคือ
พันธุกรรม พบว่าเด็กที่มีการโครโมโซม 13q14 จะมีโอกาสเกิดโรคมะเร็ง Retinoblastoma ที่ตาทั้งสองข้าง ซึ่งมะเร็งชนิดนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่รักษามะเร็งหายแล้วประมาณ 20 ปี
กลุ่มโรคบางชนิดก็สามารถส่งผลให้เกิด SMN ได้เช่นกัน เช่น Neurofibromatosis หรือ Xeroderma เป็นต้น
2. ผลกระทบที่เกิดจากวิธีการรักษา
การฉายรังสีและการให้เคมีบำบัดในการรักษาผู้ป่วย พบว่าสามารถส่งผลกระทบให้เกิดมะเร็ง SMN ได้ เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวมักเกิดกับผู้ป่วยที่ได้รับการฉายรังสีในปริมาณต่ำ และSolid Tumors ที่จะเกิดกับผู้ป่วยที่ได้รับรังสีในปริมาณสูง ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากทำการรักษาประมาณ 10-15 ปี โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็กที่เข้ารับการรักษาจะได้รับผลกระทบที่ก่อให้เกิดมะเร็ง SMN สูงกว่าในผู้ใหญ่ สำหรับการให้เคมีบำบัดนั้นยังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ชัดเจนว่าสามารถส่งผลกระทบต่อการเกิดมะเร็ง SMN ว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร
การรักษาโรคมะเร็งด้วยการฉายรังสีและการให้เคมีบำบัดเป็นวิธีการรักษาที่ทรงประสิทธิภาพสูง สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ แต่ทว่าการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวก็มีผลข้างเคียงที่ไม่ต้องการเกิดขึ้น โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็กที่ร่างกายยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งร่างกายและสมอง ดังนั้นถ้าเป็นไปได้การรักษาควรรักษาเมื่อร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว เพื่อร่างกายจะได้รับผลกระทบทั้งชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรังน้อยที่สุด และร่างกายก็จะสามารถฟื้นฟูตัวเองได้อย่างรวดเร็ว อาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นในระยะยาวก็จะน้อยลงตามไปด้วย แต่ถึงอย่างไรทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ทำการรักษาเป็นหลักด้วย
ผลข้างเคียงแบบเฉียบพลันที่พบว่ามีผลจากการฉายรังสีในผู้ป่วยเด็ก
1.อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับระบบประสาท
อาการข้างเคียงจากภาวะแทรกซ้อนจากการ ฉายรังสีที่ศีรษะ หรือความเป็นพิษต่อระบบประสาทชนิดเฉียบพลันที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยเด็กจะพบได้ในผู้ป่วยเด็กที่มีการฉายรังสีหรือมีการให้เคมีบำบัดบริเวณศีรษะ ซึ่งอาการเฉียบพลันที่พบได้ คือ
1.1 อาการข้างเคียงจากการฉายรังสีที่ศีรษะสภาวะง่วงซึมในเด็ก ( Somnolence Syndrome )
ภาวะแทรกซ้อนจากการ ฉายรังสีที่ศีรษะ สภาวะง่วงซึมหรือที่เรียกว่า Post-Irradiation Syndrome Apathy Syndrome, Late Transient Encephalopathy Syndrome อาการที่เกิดขึ้นแบบเฉียบพลันในผู้ป่วยเด็กมีตั้งแต่ ง่วงนอน เซื่องซึม คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ขึ้น และอาจจะมีอาการท้องร่วงเกิดขึ้นด้วย ซึ่งอาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายใน 4-8 สัปดาห์หลังจากที่ได้รับการฉายรังสีที่บริเวณของศรีษะไปแล้ว และ Druckman ได้ทำการอธิบายอาการดังกล่าวไว้ว่า 3 % ของผู้ป่วยเด็กที่เข้ารับการรักษาด้วยการฉายรังสีที่บริเวณหนังศีรษะเพื่อรักษา Tinea Capitis จะมีอการเหล่านี้เกิดขึ้น ภาวะแทรกซ้อนจากการฉายรังสีที่ศีรษะและอาการง่วงซึมยังสามารถพบได้ในผู้ป่วยเด็กที่ป่วยเป็น Leukemia ที่ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีบริเวณศีรษะเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของมะเร็งไปสู่สมองอีกด้วย ( Prophylaxis Cranial Irradiation ) ซึ่งอาการนี้จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ทำการฉายรังสีเพื่อที่จะรักษาโรคมะเร็งที่อยู่ในสมองลำคอและศีรษะอีกด้วย [adinserter name=”มะเร็ง”]
ผลข้างเคียงจากการ ฉายรังสีที่ศีรษะ ที่เกิดขึ้นนี้จะไม่เกี่ยวกับข้องกับเพศ อายุ จำนวนเม็ดเลือดขาว เกร็ดเลือดหรือ Hepato Sple Nomegaly เลยแม้แต่น้อย นั่นคือผู้ป่วยที่ทำการรักษาด้วยการฉายรังสีแบบนี้ล้วนแต่จะมีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นเหมือนกันนั่นเอง
1.2 อาการข้างเคียงจากการฉายรังสีที่ศีรษะ
ภาวะแทรกซ้อนจากการ ฉายรังสีที่ศีรษะ จากสภาวะง่วงซึมที่พบได้จากผู้ป่วยที่ทำการรักษาด้วยการฉายรังสีที่บริเวณศีรษะและลำคอแล้ว ยังมี ผลกระทบ ข้างเคียงอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก เช่น Tumor Necrosis เป็นต้น ซึ่งอาการนี้ถึงแม้จะพบได้ไม่บ่อยเหมือนอาการง่วงซึมแต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน ความเป็นพิษที่เกิดขึ้นเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อฉายรังสีที่ความความเข้มข้นหรือปริมาณรังสีที่สูงกว่าปริมาณรังสีที่ฉายเพื่อเป็น Prophylaxsis Cranial Irradiation ตัวอย่างเช่น การฉายรังสีเพื่อรักษาโรคเนื้องอกในสมอง ซึ่งความเข้มข้นของรังสีที่ระดับนี้ สามารถนำมาใช้ในการทำลายเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นในสมองได้ แต่การความเป็นพาที่อาจจะเกิดขึ้นต่อระบบประสาทของผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นสิ่งที่คาดคะเนได้ยากมาก เพราะว่าผลกระทบที่มาจากการผ่าตัดก้อนมะเร็งและการที่มีก้อนมะเร็งอยู่ในสมอง ส่งผลให้การแปลผลเป็นสัญญาณและอาการของผลกระทบข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้เป็นการยากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากสาเหตุใดกันแน่ระหว่างการฉายรังสีหรือเพราะก้อนเนื้องอกที่อยู่ในสมอง
ผข้างเคียงจากการฉายรังสีที่ศีรษะ เมื่อฉายรังสีที่ความความเข้มข้นหรือปริมาณรังสีที่สูงกว่าปริมาณรังสีที่ฉายเพื่อรักษาโรคเนื้องอกในสมอง ความเข้มข้นของรังสีสามารถนำมาใช้ในการทำลายเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นในสมองได้
2. อาการข้างเคียงจากการฉายรังสีที่ศีรษะและปอด
การรักษาโรคด้วยการฉายรังสีที่บริเวณปอดมักจะมีอาการแทรกซ้อนที่เรียกว่า ปอดอักเสบ ( Pneumonitis ) ซึ่งอาการจะปรากฏให้เห็นหลังจากที่ทำการฉายรังสีไปแล้วประมาณ 2-3 เดือน แต่ถ้าผู้ป่วยเคยทำการรักษาด้วยการให้เคมีบำบัดหรือมีการรักษาด้วยเคมีบำบัดร่วมกับการฉายรังสีหรือมีการให้เคมีบำบัดหลังจากที่มีการฉายรังสีในการรักษาไปแล้ว
ผลข้างเคียง ที่เกิดขึ้นมานี้ควรที่จะได้รับการประเมินสภาพความน่าจะเป็นของผลที่จะเกิดขึ้นหลังจากได้รับการรักษาด้วยการประเมินการทำงานของปอดเป็นประจำ ซึ่งรวมถึงการ Carbon Monoxide Diffusion Studies ซึ่งการรักษาด้วย Prednisolone จะเป็นการรักษาที่ได้ผลดีกว่าและมีประโยชน์ที่สูงกว่าถ้ามีการ Interstital Pneumonitis เกิดขึ้นร่วมด้วยในขณะที่ทำการรักษาร่วม และการรักษาด้วย Prednisolone ควรที่จะเริ่มใช้ Prednisolone วันละประมาณ 40-60 mgต่อตารางเมตรของร่างกาย และทำการให้ยากับผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องจนกว่าผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น แล้วจึงทำการลดปริมาณยาที่ให้ลงทีละน้อย และการให้ออกซิเจนที่ความเข้มข้นสูงอาจจะส่งผลให้ปอดได้รับความเป็นพิษเกิดขึ้นอย่างรุนแรงหลังจากได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือการฉายรังสีโดยเฉพาะการรักษาที่ให้ยากลุ่ม Bleomycin จะทำให้ความเป็นพิษที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ดังนั้นถ้าต้องทำการรักษาด้วยการผ่าตัดร่วมด้วยแพทย์และทีมที่ทำการผ่าตัดต้องระวังเป็นอย่างมาก
2.1 อาการข้างเคียงจากการฉายรังสีที่ศีรษะและลำตัว
การรักษาที่บริเวณผิวหนังอาจจะเกิดอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น Erythema Multiforma, Steven Johnson Sydrome, Toxic Epidermal Necrolysis เป็นต้น ซึ่งอาการแทรกซ้อนเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับ ผู้ป่วยเด็ก ที่เข้ารับการรักษาด้วยเคมีบำบัดร่วมกับ การฉายรังสี หรือไม่ก็ตาม แต่อัตราการเกิดขึ้นของอาการแทรกซ้อนดังกล่าวพบได้น้อยมาก ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนังสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในขณะที่ได้รับยาเคมีบำบัดหรือก่อนที่จะได้รับรังสีหรือหลังจากที่ได้รับรังสีไปแล้ว ซึ่งในการเกิเดปฏิกิริยาที่ผิวหนังนั้นจะเกิดขึ้นหลังจากที่ให้เคมีบำบัดไปแล้วนานพอประมาณ
ยาเคมีบำบัด Doxorubicin หรือยา 5-fluorouracil และ Hydroxyurea เป็นยาที่ทำให้เกิดปฏิกิริยา Radiation Recall ในส่วนพื้นที่ที่เคยได้รับ การฉายรังสี มาแล้วก่อนที่จะได้รับเคมีบำบัด ซึ่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นนั้นจะเกิดขึ้นหลังจากที่ได้รับยาเคมีบำบัดไปแล้วประมาณ 7-8 วัน
ยาเคมีบำบัด Cytosine Arabinoside ยา Etoposide Melphalan และยา Thiotepa ยาเหล่านี้ไม่ว่าจะใช้เพียงชนิดเดียวหรือใช้ร่วมกันในการรักษาโดยเคมีบำบัดพบว่าสามารถสร้างปฏิกิริยาที่รุนแรงให้เกิดขึ้นบริเวณผิวหนังได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะยา Cytosine Arabinoside ที่มีการใช้ในปริมาณที่สูงหรือมีการให้ยาแบบ Methotre แบบ High Dose ซึ่งยาทุกตัวสามารถเกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงได้ทั้งส่วนที่เป็นผิวหนังและเนื้อเยื่อที่พบได้บ่อยครั้งผู้ป่วยที่ได้รับ Perparative Therapy ในการปลูกถ่ายไขกระดูกด้วย และในกลุ่มที่มีการรักษาด้วยเคมีบำบัดและการฉายรังสีร่วมกัน
ดังนั้นถ้าต้องทำการรักษาผู้ป่วยแล้วสามารถเกิดอาการแทรกซ้อนดังกล่าวเกิดขึ้นได้ แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญต้องทำการชี้แจงก่อนที่จะทำการรักษาด้วยว่าจะมีอาการผิวหนังไหม้อย่างรุนแรงเกิดขึ้นในส่วนของบริเวณที่ได้รับการฉายรังสี ดังนั้นถ้าผู้ป่วยจำเป็นต้องออกไปอยู่กลางแจ้งหรือต้องโดนแสงแดดโดยตรงควรทาครีมกันแดดหรือหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจะเป็นการดีที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผิวหนังไหม้ขึ้น เพื่อที่ผู้ป่วยจะได้รับ ผลกระทบ จากการรักษาน้อยที่สุด
การรักษาด้วยการให้เคมีบำบัดและ การฉายรังสี ในปัจจุบันนี้เป็นวิธีการรักษาโรคมะเร็งให้หายและป้องกันการแพร่กระจายได้ดีที่สุด แต่ทว่าในการรักษายังมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นกับตัวผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาเกิดขึ้นด้วย ซึ่งอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นมีทั้งชนิดที่รุนแรงและชนิดที่ไม่รุนแรง ดังนั้นแพทย์ผู้ทำการรักษาควรแจ้งให้ผู้ป่วยทราบก่อนที่จะทำการรักษาเพื่อที่ผู้ป่วยจะได้เตรียมตัวและปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องและเหมาะสม ทั้งก่อน ในขณะที่ทำการรักษาและหลังจากที่ได้รับการรักษาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ร่วมตอบคำถามกับเรา
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง