เตรียมพร้อมโภชนาการก่อนตั้งครรภ์ สำหรับหญิงที่ต้องการมีบุตร

0
โภชนาการสำหรับหญิงที่ต้องการมีบุตร
พฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ถูกต้องอาจส่งผลให้มีลูกยากรวมทั้งต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอด้วย
โภชนาการสำหรับหญิงที่ต้องการมีบุตร
พฤติกรรมการกินอาหารส่งผลต่อการตั้งครรภ์ รวมทั้งต้องออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อสร้างความแข็งแรง

โภชนาการก่อนตั้งครรภ์

โภชนาการสำหรับหญิงที่ต้องการมีบุตร คนเราเมื่ออายุเริ่มมากขึ้นจนถึงจุดหนึ่ง หลังจากแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ก็คงอยากจะมีลูกตัวน้อยๆ ไว้คอยสืบทายาทสกุลสักคน หรือไว้คอยเป็นผู้ดูแลเมื่อตัวเราแก่เถ้า หลายคู่ก็มีลูกได้สมใจหวัง แต่ขณะที่อีกหลายคู่จำนวนไม่น้อย ที่ต้องพบเจอปัญหาภาวะการมีบุตรยาก บางคู่อาจะต้องใช้ระยะเวลานานหลายปีถึงจะมีบุตรได้ โดยปัญหาภาวะการมีบุตรยากสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุมากมาย ซึ่งรวมถึงพฤติกรรมการกินอาหารและเลือกโภชนาการที่ไม่ถูกต้องของคุณแม่ด้วย หลายคนมักยังมีความเข้าใจที่ผิดๆว่า หากอยากมีลูก อยากท้อง ต้องกินอาหารเยอะๆเข้าไว้ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ความเชื่อนี้ผิดมหันต์เลย นอกจากจะไม่ได้ช่วยให้มีลูกง่ายแล้ว ยังส่งผลเสียต่อร่างกายและอาจส่งผลกระทบต่อการมีลูกยากขึ้นอีกด้วย

กินอาหารอย่างไร ช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้

ปัญหาหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้ไม่มีบุตร ก็คือ ภาวะการเป็นหมัน ซึ่งแน่นอนว่าหากเกิดขึ้นแล้วไม่ว่าจะเป็นฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชาย ก็ไม่มีทางได้เลยที่จะทำให้มีลูกเกิดขึ้นมาได้ แต่ทั้งนี้หลายคู่ที่ไม่มีลูกก็อาจจะไม่ได้เกิดจากภาวะการเป็นหมันของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสมอไป แต่อาจเกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่ถูกหลักโภชนาการโดยเฉพาะฝ่ายหญิงเอง

น้ำหนักตัวเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะการมีบุตรยากได้เช่นกัน สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวไม่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โดยอาจจะผอมไปหรืออ้วนเกินไป ก็ล้วนแต่ส่งผลให้มีลูกยากด้วยกันทั้งคู่ เนื่องจากจะส่งผลทำให้ภาวะการตกไข่ผิดปกติไปจากเดิม โดยฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัวและการตกไข่คือ เอสโทรเจน ซึ่งผลิตจากรังไข่และเซลล์ไขมัน

1. เป็นผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินค่ามาตรฐาน ( อ้วนเกินไป )

สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไป หรือ เป็นโรคอ้วน จะทำให้ระดับเอสโทรเจนในร่างกาย มีค่าสูงกว่าปกติ ซึ่งจะส่งผลกระทบทำให้ประจำเดือน และการตกไข่ ผิดปกติไปจากเดิม จึงเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะการมีบุตรได้ยากนั้นเอง วิธีการแนะนำในการแก้ปัญหามีลูกยากนี้จากผู้เชี่ยวชาญก็คือ ให้ทำการลดน้ำหนักตัวลง โดยการลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อย ก็สามารถช่วยแก้ปัญหาระบบการตกไข่ให้กลับมาสู่ภาวะปกติได้ ทำให้มีโอกาสในการตั้งครรภ์ได้มากขึ้น

2. เป็นผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่าค่ามาตรฐาน ( ผอมเกินไป )

ผู้ที่มีปัญหาน้ำหนักตัวน้อยเกินเกณฑ์ หรือผอมจนเกินไป ก็มักจะพบกับภาวะการมีบุตรยากได้เช่นเดียวกัน เนื่องจาก ผู้ที่ผอมมากเกินไป จะมีปริมาณเซลล์ไขมันในตัวต่ำ ทำให้มีระดับเอสโทรเจนในร่างกายลดต่ำลงไปด้วย ส่งผลทำให้ตกไข่ยากกว่าเดิม และรอบเดือนมักจะมาไม่เป็นปกติ ก็จะทำให้ระบบรอบเดือนแปรปรวน มีลูกได้ยากขึ้น หรือหากมีลูกได้ก็จะมีความเสี่ยงกับเด็กที่เกิดมาอาจจะไม่แข็งแรง มีการแท้ง หรือพิการได้เช่นกัน ทางที่ดี หากคิดจะมีลูก ควรทำการปรับน้ำหนักของตนเองให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเสียก่อน เพื่อความปลอดภัยของทั้งแม่และลูกที่จะเกิดมา 

วิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์

การมีสุขภาพที่ดีแข็งแรง จากการได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนสมบรูณ์ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ควรทำก่อนการตั้งครรภ์ ดังนั้นว่าที่คุณแม่จะต้องรู้จักดูแล ควบคุมอาหารการกินที่ดี มีสารอาหารที่ครบถ้วน และหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน ไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ โดยโภชนาการหรือสารอาหารที่ช่วยในการตั้งครรภ์ได้มีผลดียิ่งขึ้น มีดังต่อไปนี้

  • กรดไลโนเลอิก สามารถพบได้มากในผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำมัน เช่น น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น กรดชนิดนี้เป็นกรดไขมันจำเป็น ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หากได้รับกรดชนิดนี้ ในปริมาณไม่เพียงพอ จะส่งผลให้เกิดภาวะการมีบุตรยากได้เช่นกัน มีข้อแนะนำในการบริโภคกรดชนิดนี้ คือ ควรใช้น้ำมันประเภทต่างๆเหล่านี้ในการปรุงอาหาร ประมาณวันละ 2 ช้อนโต๊ะ ก็จะทำให้ร่างกายได้รับกรดไขมันที่เพียงพอแล้ว
  • วิตามินซี เป็นสารอาหารสำคัญชนิดหนึ่ง ที่ช่วยสงเสริมการตั้งครรภ์ ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งหากได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลให้การตั้งครรภ์เกิดได้ยากขึ้นเช่นกัน อาหารที่มากไปด้วยวิตามินซี ที่สามารถหาทานได้ง่าย ในปัจจุบัน เช่น ส้ม มะเขือเทศ สับปะรด มะละกอสุก เป็นต้น
  • วิตามินเอ มีสรรพคุณที่ช่วยให้ เซลล์เยื่อบุผิวชั้นในและผิวชั้นนอก รวมทั้งเยื่อบุผนังมดลูกและช่องคลอด มีความแข็งแรง ในทางกลับกัน หากขาดสารอาหารประเภทนี้อาจจะส่งผลทำให้ประจำเดือนผิดปกติไปจากเดิมได้ ซึ่งเราสามารถได้รับวิตามินเอ จากในอาหารหลากหลายอย่าง เช่น ไข่ ฟักทอง ตำลึง แครอท เป็นต้น
  • วิตามินดีและแคลเซียม แคลเซียมนั้นเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย ช่วยให้กระดูกในร่างกายแข็งแรง โดยมีวิตามินดี จะเป็นตัวช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งกระดูกที่มีส่วนในการตั้งครรภ์ คือ กระดูกเชิงกราน จะเป็นตัวคอยรับน้ำหนักของทารกที่จะกำลังจะเกิด ดังนั้นผู้ที่คิดจะมีลูกต้องให้ร่างกาย ได้รับปริมาณของวิตามินดีและแคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อให้กระดูกอุ้งเชิงกรานขยายตัวได้ดีและมีความแข็งแรง จะมีผลดีช่วยให้สามารถคลอดลูกได้ง่ายขึ้น และเพิ่มความปลอดภัยต่อเด็กและผู้เป็นแม่มากขึ้น อาหารที่มากไปด้วยวิตามินดีและแคลเซียมได้แก่ นมถั่วเหลือง เต้าหู้ น้ำส้ม เป็นต้น
  • แมกนีเซียม เป็นแร่ธาตุอีกชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญกับร่างกาย ผู้ที่อยู่ในช่วงการตั้งครรภ์จะต้องได้รับ แมกนีเซียมมากเป็นพิเศษ เนื่องจาก ร่างกายจะดึงแมกนีเซียมจากกระดูก ไปให้ทารกสร้างกระดูก ทำให้ปริมาณของแมกนีเซียมในร่างกายจะลดต่ำลง โดยอาหารที่มีแร่ธาตุแมกนีเซียมมาก ได้แก่ ข้าวกล้อง ถั่วเหลือง เมล็ดฟักทอง ปลาทู เป็นต้น 
  • วิตามินบี 6 และวิตามินอี มีสรรพคุณช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมน หากร่างกายขาดวิตามินบี 6 และ วิตามินอี แล้วจะส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ได้ และยังมีประโยชน์ช่วยลดความผิดปกติในระบบสืบพันธุ์อีกด้วย อาหารที่พบสารอาหารชนิดนี้มากได้แก่ รำข้าว จมูกข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต เป็นต้น
  • วิตามินบี ( โดยเฉพาะกรดโฟลิก ) มีความสำคัญกับการตั้งครรภ์คือ ช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันความพิการในทารกที่กำลังจะเกิดขึ้นมา ดังนั้น จึงมีการแนะนำให้ผู้ที่ตั้งครรภ์ ควรเสริมการทานวิตามินรวมที่มีกรดโฟลิก 400 ไมโครกรัม วันละเม็ดก่อนและระหว่างตั้งท้อง 3 เดือนแรก นอกจากนี้ยังพบว่าการขาดกรดโฟลิกอาจทำให้เป็นหมันได้ ซึ่งอาหารที่มากไปด้วยกรดโฟลิก เช่น ผักใบเขียวต่างๆ ตับ ถั่วต่างๆ ธัญพืชไม่ขัดสี ส้ม สตรอว์เบอรี่ เป็นต้น
  • เกลือแร่ชนิดต่างๆ เช่น แมงกานีส โพแทสเซียม สังกะสี  แมงกานีส โพแทสเซียม สังกะสี มีความสำคัญในการตั้งครรภ์ คือ หากได้รับในปริมาณที่เหมาะสมและเพียงพอ จะช่วยให้การตั้งครรภ์เป็นผลดียิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหามีบุตรยาก โดยอาหารประเภทเกลือแร่นี้ สามารถหาได้ง่ายจาก ผักโขม ขนมปังโฮลวีต ซีเรียล ถั่วต่างๆ ที่มีแมงกานีสสูง ส่วนอาหารที่มีสังกะสีสูง เช่น หอยนางรม อกไก่ จมูกข้าวสาลี มีประโยชน์ คือจะช่วยลดความเสี่ยงการเป็นหมัน ความผิดปกติ พิการแต่กำเนิดในเด็ก และช่วยป้องกันระบบสืบพันธุ์ทำงานผิดปกติได้ด้วย

ข้อควรระวังในการรับสารอาหาร

สำหรับผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์ และมีความตั้งใจว่าจะบริโภคอาหารและโภชนาการตามหลักประเภทต่างๆ ทั้งหมดที่กล่าวมาเพิ่มเข้าไป เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างครบถ้วนในปริมาณมากๆ นั้นเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังและไม่ควรทำ เพราะนอกจากจะไม่ได้ทำให้ตั้งครรภ์ง่ายแล้ว ยังอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้อีกด้วย

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโภชนาการได้ให้คำแนะนำในเรื่องนี้ว่า หากมีโครงการที่จะมีลูกจริงๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ เกี่ยวกับเรื่องปริมาณและสารอาหารที่จะทานเข้าไปก่อนจะดีที่สุด

เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนและมีความสมดุลกับร่างกาย นอกจากนี้สำหรับผู้ที่ทานอาหารประเภทมังสวิรัติ ควรวางแผนการบริโภคเพื่อให้ได้สารอาหารและพลังงานเพียงพอ โดยเฉพาะอาหารประเภทโปรตีน เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่อาจจะส่งผลให้การตกไข่เกิดความผิดปกติ

ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่วางแผนจะมีบุตร

สำหรับผู้ที่มีโครงการเตรียมตัวจะวางแผนในการมีบุตรแล้วละก็ คุณผู้หญิงที่เตรียมตัวเป็นว่าที่คุณแม่จะต้องมีการปฏิบัติตนเพิ่มจากการใช้ชีวิตปกติมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการทานอาหาร จะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ซึ่งมีข้อแนะนำที่คุณผู้หญิงต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ดังต่อไปนี้

1. เน้นทานผักและผลไม้ให้ได้วันละ 8 – 10 ส่วน ควรให้ผู้ที่กำลังเตรียมตัวจะตั้งครรภ์ เน้นทานอาหารประเภทผักและผลไม้ให้มากว่าเดิมปกติ โดยให้มีสัดส่วนคือ ทานผักสีเขียว ในปริมาณ 2 ส่วน และทานผักสีส้ม เช่น แครอท ในปริมาณ ส่วน 1 ส่วน นอกจากนี้ให้เลือกทานผลไม้ให้ครบตามสัดส่วนที่กำหนด โดยให้เลือกทานผลไม้หลายหลายชนิด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับร่างกาย

2. เลือกดื่มนมพร่องมันเลยหรือนมขาดมันเนย หากต้องการดื่มนมควรเลือกประเภทและชนิดของนมเป็นแบบที่มีไขมันต่ำ ทดแทนการดื่มนมที่มีไขมันสูง เช่น นมถั่วเหลืองชนิดเสริมแคลเซียมและวิตามินดี โดยควรดื่มให้ได้ปริมาณวันละ 3 แก้ว (แก้วละ 240 ซีซี)

3. เลือกกินธัญพืชชนิดไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง โดยให้ทานให้ได้วันละประมาณ 600 ส่วน หรือประมาณ 6 ทัพพี ขึ้นไป

4. เลือกกินไข่และถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง หรือเต้าหู้ แทนการทานเนื้อสัตว์ในบางมื้อ

5. กินปลาให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง เนื่องจากเนื้อปลาอาหาร เป็นอาหารที่มีประโยชน์ ที่ให้เป็นโปรตีนสูง และมีไขมันที่ต่ำ มีกรดไขมันชนิดดีอย่างโอเมก้า 3 มาก โดยเฉพาะในปลาทะเล ซึ่งให้ประโยชน์ต่อการพัฒนาสมองและตาของทารก รวมทั้งอาจลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดได้ แต่ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงบริโภคปลาที่อาจมีสารปรอทปนเปื้อนสูงอย่างเช่น ปลาฉลาม ปลาดาบหรือปลาฉนาก เป็นต้น โดยปริมาณที่เหมาะที่ควรทานปลาหรืออาหารทะเล คือ สัปดาห์ละประมาณ 360 กรัม (หรือเท่ากับประมาณสองมื้ออาหาร หากทานอาหารมื้อละ 180 กรัม)

6. หลีกเลี่ยงการใช้ยาฆ่าแมลงหรือสารกำจัดศัตรูพืช เนื่องจากสารเคมีเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างมาก หากได้รับเข้าไปประจำติดต่อกัน โดยยังส่งผลกระทบทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากได้ดด้วย นอกจากนี้ผู้ที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์หากได้รับสารชนิดนี้ จะส่งผลอันตรายต่อเด็กในครรภ์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกๆของการตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ระบบประสาทของเด็กกำลังพัฒนา จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเหล่านี้อย่างเด็ดขาด

7. สารกำจัดศัตรูพืชในอาหาร ผักหรือผลไม้ที่ซื้อมาจากสถานที่ต่างๆ ก่อนทานควรทำการล้างให้สะอาดเสียก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้มีสารเคมีตกค้าง หากทานผักและผลไม้ชิ้นนั้นๆเข้าไป

8. ลดหรือเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาแฟอีน เช่น กาแฟ โกโก้ ชา และน้ำอัดลม ควรทานในปริมาณที่น้อย หรือหากเลี่ยงได้ก็จะดีที่สุด

9. ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ ในแต่ละวันควรดื่มน้ำเปล่าที่สะอาดให้ได้อย่างน้อย 6 – 8 แก้ว เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบย่อยและระบบขับถ่ายทำงานได้ดียิ่งขึ้น แต่ต้องระวังเรื่องสารปนเปื้อนที่อาจมากับน้ำได้ เช่น สารตะกั่วจากรอยรั่วของท่อน้ำที่เก่าหรือชำรุด เพราะหากดื่มระหว่างตั้งท้องแล้ว อาจทำให้แท้งหรือคลอดก่อนกำหนดได้

10. เลี่ยงน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มที่เติมน้ำตาล เนื่องจากในกลุ่มเครื่องดื่มประเภทนี้จะมากไปด้วยน้ำตาล ในระดับที่ค่อนข้างสูง หากบริโภคเข้าไปบ่อยๆ อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานได้

11. เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ และยา เนื่องจากสิ่งต่างๆเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ มีแต่ให้โทษแก่ร่างกาย ผู้ที่จะเตรียมตัวมีลูก ควรงดให้เด็ดขาดไม่ใช่เพียงแค่การลดปริมาณลงเท่านั้น

12. ออกกำลังกายให้เหมาะสม นอกจากเรื่องการปรับพฤติกรรมการบริโภคแล้ว ควรหาเวลาว่างในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายมีความแข็งแรง โดยควรออกกำลังเป็นประจำ สัปดาห์ละ 3 -5 วัน ครั้งละ 30 นาทีขึ้น และในการออกกำลังกายต้องไม่ควรหักโหมเกินไป ทั้งนี้การออกกำลังกายควรทำทั้งฝ่ายหญิงและชาย เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีให้พร้อมในการมีลูก 

หากมีความตั้งใจอย่างเต็มที่แล้วว่า อยากจะมีลูกสักคน เราต้องพร้อมที่จะดูแลรับผิดชอบกับหนึ่งชีวิตที่กำลังจะเกิดมา ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้คือการเตรียมร่างกายของทั้งว่าที่คุณพ่อและว่าที่คุณแม่ให้มีความพร้อมและแข็งแรง และเมื่อตั้งครรภ์แล้วจะต้องคอยดูแลลูกในครรภ์ให้ดีเป็นพิเศษ เพื่อให้เด็กน้อยที่กำลังจะเกิดขึ้นมา มีสุขภาพที่ดีแข็งแรง ส่วนในผู้ที่มีปัญหามีบุตรยาก ให้ลองวิเคราะห์ถึงสาเหตุและปัญหาที่เกิดขึ้นก่อน ว่ามาจากการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้อง การทานอาหารที่ผิดหลักโภชนาการหรือไม่ หากใช่ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดี เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสในการมีลูกแล้ว ยังช่วยให้สุขภาพร่างกายมีความแข็งแรงมากขึ้นอีกด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

อาหารการกินช่วยถนอมเต้า

0
อาหารการกินช่วยถนอมเต้า
อาหารจำพวกผักและผลไม้ชนิดต่างๆ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิงได้เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระเช่นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ โยเกิร์ต
อาหารการกินช่วยถนอมเต้า
อาหารการกินสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิงได้เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระเช่นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ โยเกิร์ต

กินอาหารช่วยถนอมเต้านม

หากพูดถึงอวัยวะที่เป็นสิ่งสำคัญชนิดหนึ่งของเพศหญิงก็คือ เต้านม นอกจากจะเป็นอวัยวะที่ช่วยให้ผู้หญิงดูมีรูปร่างรูปทรงที่ดีแล้ว ยังเป็นสิ่งที่สุดสำคัญในผู้ที่เพิ่งเป็นแม่คน ที่จะใช้เป็นช่องทางในการให้นมกับลูกน้อยอาหารการกินช่วยถนอมเต้านมของตนเอง ที่เพิ่งเกิดลืมตาดูโลกขึ้นมาอีกด้วย แต่ทั้งนี้ สิ่งที่สร้างความหนักใจให้กับคุณผู้หญิงทั้งหลายเกี่ยวกับเต้านมก็คือ โรคอันตรายร้ายแรงอย่าง “ มะเร็งเต้านม ” นั้นเอง โรคมะเร็งเต้านม ถือว่าเป็นฝันร้ายของใครหลายๆคน ที่ต้องพบต้องเจอกับโรคชนิดนี้ เพราะนั่นหมายถึง เมื่อป่วยเป็นโรคชนิดนี้แล้ว ก็มีโอกาสที่จะต้องสูญเสียเต้านม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความเป็นหญิงไปเลยทีเดียว หากไม่ได้รับการรักษาที่ทันเวลาจากแพทย์

จากข้อมูลจะพบว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นชนิดของโรคมะเร็งที่ผู้หญิงป่วยเป็นอันดับต้นๆ โดยคิดเป็นสัดส่วนได้ว่า ในผู้หญิง 8 คนจะมี 1 คนที่ป่วยเป็นมะเร็งชนิดนี้

โดยปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งเต้านม ได้แก่ อายุ เชื้อชาติ ลักษณะทางพันธุกรรม หรือ การมีประวัติที่คนในครอบครัวเคยเป็นป่วยโรคมะเร็งมาก่อน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วจะพบว่า สิ่งที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิงก็คือ พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ผิดๆ เช่น การทานอาหารที่มีไขมันสูง ผิดหลักโภชนาการ รวมถึงการขาดการออกกำลังกาย สิ่งต่างๆเหล่านี้สามารถที่จะควบคุมได้เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น รวมทั้งอาหารการกินช่วยถนอมเต้านมของคุณผู้หญิง ดังวิธีการต่อไปนี้

1. ควบคุมน้ำหนักตนเองให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

ความอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งที่สามารถทำให้เกิดการกระตุ้นโรคมะเร็งเต้านมขึ้นได้ หลายคนมักทานอาหารที่ตามใจปาก ยึดถือความอร่อยของอาหารเป็นหลัก จนลืมคิดถึงการมีโภชนาการที่ดีไป รวมกับการที่ไม่มีการออกกำลังกายเลย เมื่อเกิดการสะสมนานเข้าก็จะกลายเป็นผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานจนกลายเป็นโรคอ้วนนั้นเอง เมื่อร่างกายอ้วนขึ้นมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในวัยหมด  ประจำเดือนแล้ว การวิจัยพบว่าน้ำหนักตัวทุก 5 กิโลกรัม ที่เพิ่มขึ้นในวัยผู้ใหญ่ สามารถเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมได้ถึง 5 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

โรคอ้วน หากเป็นแล้ว จะกลายเป็นตัวนำโรคชนิดอื่นเข้ามาสู่ร่างกายได้มากมายอีกหลายโรคเลยทีเดียว โดยมะเร็งเต้านมก็เป็นหนึ่งในนั้น เนื่องจากการคนที่อ้วนจะมีไขมันสะสมในร่างกายมากกว่าปกติ โดยไขมันเหล่านี้ จะไปกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง เนื่องจากปกติแล้วเซลล์ไขมันจะเป็นผู้ผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย เมื่อไขมันในร่างกายมากขึ้นก็จะทำให้มีการฮอร์โมนเอสโตรเจนมากขึ้นตามไปด้วย เปรียบเสมือนเป็นตัวเร่งให้เกิดมะเร็งนั่นเอง
ทั้งนี้บริเวณที่ไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ในร่างกาย ก็สามารที่จะเป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมได้เหมือนกัน เช่น หากเป็นผู้ที่อ้วนลงพุง มีปริมาณไขมันสะสมที่บริเวณหน้าท้องมาก จะมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม มากว่าผู้ที่มีไขมันไปสะสมในส่วนอื่นๆของร่างกาย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือนแล้ว และมีการสะสมของไขมันที่หน้าท้องมาก จะมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมสูงกว่าผู้ที่อ้วนแต่มีไขมันสะสมที่ส่วนอื่นของร่างกายแทน มากถึง 43 เปอร์เซ็นต์ และยังรวมถึงผู้ที่ขาดการออกกำลังกายด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า หากผู้ที่เคยอ้วน และป่วยเป็นมะเร็ง เมื่อมีการรักษาให้หายแล้ว ทำการลดหนักหนักลงให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งซ้ำไดถึง 30 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

2. เลือกบริโภคชนิดไขมันอย่างเหมาะสม

จากข้อมูลทางการวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่นิยมทานอาหารประเภทที่มีไขมันจากเนื้อสัตว์สูง เช่น เนื้อแดง และนม จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านม มากว่าผู้ที่ทานไขมันจากสัตว์น้อย คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 33 เปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังพบข้อมูลว่า อาหารที่ดูเหมือนเป็นอันตรายอย่าง น้ำมันพืช น้ำมันปลา หรือ อาหารที่มีส่วนประกอบอย่าง กรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง ไขมันทรานส์ และอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง ไม่ได้มีผลต่อการกระตุ้นให้เกิดมะเร็งเต้านมเลย

จึงมีการสรุปได้ว่า ชนิดของไขมันมีผลต่อการเกิดมะเร็งเต้านมมากว่าปริมาณไขมันที่ได้รับเข้าไป โดยไขมันที่เกิดขึ้นจะไปกระตุ้นให้เกิดการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากขึ้น ส่งผลให้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญบางรายยังได้ให้ข้อมูลไว้ว่า เนื้อแดงและผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันสูงโดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวมีองค์ประกอบอื่นที่เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านม เช่น อาหารประเภทเนื้อแดงที่ปรุงสุกโดยใช้ความร้อนสูงๆ โดยเฉพาะการปิ้งย่าง จะส่งผลให้มีสารก่อมะเร็งเกิดขึ้นได้ และผลิตภัณฑ์นมไขมันสูงที่มีฮอร์โมนที่ละลายในไขมัน หรือสารเร่งการเจริญเติบโตที่อาจก่อมะเร็งขึ้นได้ เช่นกัน
ทั้งนี้ได้มีข้อแนะนำในการบริโภคอาหารในกลุ่มของเนื้อแดงจากสัตว์ นมจากสัตว์ หรืออาหารที่มีไขมันจากสัตว์ในปริมาณที่เหมาะสมคือ ไม่ควรบริโภคเกิน ครึ่งกิโลกรัม ภายในหนึ่งสัปดาห์

3. เพิ่มการทานผักและผลไม้

ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญไว้ว่า อาหารจำพวกผักและผลไม้ชนิดต่างๆ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิงได้ เนื่องจาก ผักและ ผลไม้ จะประกอบไปด้วยพฤกษเคมี สารต้านอนุมูลอิสระ เบต้าแคโรทีน และมีวิตามินซีปริมาณที่สูง ทำให้ดีเอ็นเอไม่ถูกทำลาย นอกจากนี้ยังเป็นอาหารที่ไม่มีไขมันและให้พลังงานที่ต่ำ ดังนั้นผู้ที่ทานผักและผลไม้อย่างเป็นประจำ สม่ำเสมอ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมได้มากถึง 25 เปอร์เซ็นต์

โดยผักและผลไม้ที่นิยมให้ทาน เพื่อช่วยในการป้องกันโรคมะเร็งเต้านมได้แก่ ผักที่มีสีส้ม เช่น แครอท ที่มีสารเบต้าแคโรทีนสูง และผักที่มี สีเขียวจัด อย่าง ผักในตระกูลครูซิเฟอรัส เช่น กะหล่ำปลี บรอกโคลี ดอกกะหล่ำ คะน้า กวางตุ้ง เป็นต้น ผักในตระกูลครูซิเฟอรัส ยังมากไปด้วยสารที่ชื่อว่า “สารอินโดล” ซึ่งเป็นสารที่ช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งเต้านมได้เป็นอย่างดี   
ข้อแนะนำในการบริโภคผักและผลไม้อย่างเหมาะสมในการป้องกันมะเร็งเต้านม ที่สถาบันวิจัยโรคมะเร็ง ได้แนะนำไว้คือ ควรบริโภคผักและผลไม้รวมกันให้ได้ปริมาณวันละ 5 – 9 ส่วน ซึ่งให้ทานผักและผลไม้หลากหลายชนิดร่วมกัน ไม่ทานเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แบ่งออกเป็นสัดส่วนคือ ผลไม้ 2 -4 ส่วน และผัก 4-7 ส่วน โดยอัตรา 1 ส่วน มีปริมาณเท่ากับ ผักสุกประมาณครึ่งถ้วยตวง หรือผักสด 1 ถ้วยตวง

4. กินถั่วเหลืองช่วยลดความเสี่ยง

อาหารประเภทถั่วเหลือง นอกจากจะหาทานได้ง่ายและราคาถูกแล้ว ถั่วเหลืองยังมีประโยชน์ในการลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านมได้อีก โดยในถั่วเหลืองจะมีสารประกอบที่ชื่อว่า สารไอโซฟลาโวนหรือฮอร์โมนพืช ซึ่งเป็นสารที่มีความคล้ายกับสารต่อต้านอนุมูลอิสละ ที่เป็นตัวยับยั้งการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม
ข้อมูลจากการวิจัยพบว่า สารไอโซฟลาโวน จะเข้าไปช่วยยับยั้ง ฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่ให้เข้าไปในเซลล์เต้านม เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนนี้อาจจะไปกระตุ้นการเจริญของเซลล์มะเร็งได้ แม้ว่าข้อมูลบางวิจัยบางส่วนจะแย้งว่าการบริโภคถั่วเหลืองมากๆจะยิ่งทำให้เกิดการกระตุ้นเชื้อมะเร็ง แต่ก็เป็นข้อมูลในทางส่วนน้อยเท่านั้น โดยยังเชื่อว่าผู้หญิงที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นการทานถั่วเหลืองในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งเต้านมในอนาคตได้

สำหรับปริมาณการบริโภคถั่วเหลืองที่เหมาะสมนั้น ได้มีการแนะนำไว้ว่าควรทานถั่วเหลือง ไม่ให้เกินวันละ 2 ส่วน สำหรับผู้ที่ไม่มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม หรือเป็นผู้มีความเสี่ยงน้อย แต่ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงควรทานถั่วเหลืองไม่เกินสัปดาห์ละ 2-3 ส่วน และงดการเสริมสารไอโซฟลาโวนซึ่งมีปริมาณมากกว่าในถั่วเหลืองหลายเท่า จะดีและมีประโยชน์ต่อร่างกายห่างจากมะเร็งมากที่สุด ทั้งนี้ประมาณของถั่วเหลือง 1 ส่วนจะเท่ากับ

  • แป้งถั่วเหลือง ½ ถ้วยตวง
  • นมถั่วเหลือง 240 มิลลิลิตร
  • เต้าหู้ ½ ถ้วยตวง
  • โปรตีนเกษตรหรือถั่วเหลืองสุก ½ ถ้วยตวง

5. งดและหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากจะส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวแล้ว ผู้หญิงที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ จะทำให้เป็นการเพิ่มปัจจัยเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านมได้มากขึ้นด้วย มีข้อมูลทางการวิจัยพบว่า หากมีการดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้ ปริมาณ 1 ดริ๊ง ต่อ วันก็อาจจะทำให้เกิดปัจจัยในการเกิดโรคมะเร็งเต้านมได้ แต่อาจไม่มากนัก แต่ถ้าเมื่อไหร่มีการเพิ่มปริมาณของจำนวน ดริ๊ง ต่อวันมากขึ้น เช่น หากดื่มวัน  ละ 2 ดริ๊ง ก็สามารถช่วยเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านมได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อเพิ่มจำนวนเป็นดริ๊งที่ 3 เข้าไป ความเสี่ยงก็จะเพิ่มมากขึ้นไปถึง 70 เปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว ทั้งนี้ปริมาณของแอลกอฮอล์ 1 ดริ๊ง จะเท่ากับ

  • เบียร์ 1 กระป๋อง หรือ 1 แก้ว ขนาด 360 ซีซี
  • วิสกี้ 45 ซีซี
  • ไวน์ 1 แก้ว 150 ซีซี

นอกจากผลกระทบต่อโรคมะเร็งเต้านมแล้ว เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยังส่งผลทำให้เกิดภาวะกระดูกบาง ในผู้หญิงที่อยู่ในช่วงหมดประจำเดือนแล้ว อีกด้วย ดังนั้นควรเลือกดื่มในบางโอกาสที่จำเป็นเท่านั้น เช่น งานเลี้ยงสังสรรค์ หรือ หากเป็นไปได้ไม่ควรดื่มเลยจะมีผลดีต่อร่างกายมากที่สุด แต่ถ้าหากเลี่ยงไม่ได้ ผู้ที่ชอบดื่มควรจะกินอาหารที่มีโฟเลตสูงๆ เพื่อให้ไปช่วยลดความเสี่ยงจากผลของแอลกอฮอล์ได้ สำหรับอาหารที่มีโฟเลตสูงได้แก่ ถั่วต่างๆ ผักใบเขียว น้ำส้มคั้น เป็นต้น และควรทานให้ได้วันละ ปริมาณวันละ 600 ไมโครกรัม

6. ออกกำลังกายเป็นประจำและสม่ำเสมอ

การออกกำลังกาย นอกจากจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยป้องกันให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งเต้านมได้ด้วย โดยจากข้อมูลพบว่าผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประและสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็น มะเร็งเต้านมได้มากถึง 40 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ส่วนผู้หญิงวับหมดประจำเดือนแล้ว ควรออกกำลังกายเป็นประจำ ให้ในหนึ่งสัปดาห์คิดเวลารวมแล้วได้ประมาณ 4 ชั่วโมง จะช่วยให้สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมลงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ การออกกำลังกายที่ดี ควรทำอย่างเป็นประจำและมีความสม่ำเสมอ ควรทำให้ได้ 3 – 5 ครั้ง ต่อ หนึ่งสัปดาห์ และ ครั้งละประมาณ 30 – 45 นาที ตามความเหมาสมของร่างกาย และไม่หักโหมจนเกินไป

ตัวอย่างอาหารที่มีสารต้านมะเร็งที่ควรเลือกบริโภคเป็นประจำ

นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นไปในทางทีดี ทั้ง 6 ข้อด้านบนที่กล่าวมาแล้วนั้น ควรเลือกทานอาหารที่มีสารต่อต้านมะเร็งเป็นประจำ โดยอาหารที่ควรทานมีดังต่อไปนี้   

1. ผลไม้ตระกูลส้ม เช่น ส้มโอ ส้มเขียวหวาน เป็นต้น เนื่องจากผลไม้ตระกูลส้มจะ มีสารลิโมนอยด์ ที่มีฤทธิ์คอยช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง หากเป็นไปได้ควรทานผลไม้ชนิดนี้ให้เป็นประจำ

2. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เนื่องจากในผลไม้ประเภทนี้จะมีสารที่ชื่อว่า สารแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นพิกเมนต์สีน้ำเงิน มีใยอาหารสูงเกือบ 4 กรัมต่อ 1 ถ้วยตวง มีปริมาณของวิตามินซีสูง มีกรดเอลลาจิก ( Ellagic Acid ) และสารแทนนิน ซึ่งช่วยป้องกันมะเร็ง และการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

3. ผักตระกูลครูซิเฟอรัส เช่น ผักคะน้า กะหล่ำปลี บรอกโคลี ดอกกะหล่ำ เป็นต้น ผักในตระกูลนี้ จะมากไปด้วยสารที่ชื่อว่า สารอินโดล และ สารซัลโฟราเฟน ที่มีฤทธ์สูงช่วยในการยับยั้งการเกิดเชื้อมะเร็งในร่างกาย โดยการไปทำให้ เอสโตรเจนในร่างกายมีความอันตรายน้อยลง

4. ถั่วเหลือง เนื่องจากในถั่วเหลืองจะมีสารที่ชื่อว่า สารไอโซฟลาโวน จะเข้าไปช่วยยับยั้ง ฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่ให้เข้าไปในเซลล์เต้านม เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนนี้อาจจะไปกระตุ้นการเจริญของเซลล์มะเร็งได้

5. ถั่วบราซิล ถั่วบราซิลเป็นแหล่งของซิลีเนียมซึ่งเป็นแร่ธาตุต้านอนุมูลอิสระ เป็นสารแอนติออกซิแดนต์ ช่วยในการป้องกันและยับยั้งการเกิดเชื้อมะเร็ง และยังมีประโยชน์ในการช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายด้วย

6. มะเขือเทศ นอกจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่หากินได้ง่ายแล้ว ยังมากไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย ในมะเขือเทศจะมากไปด้วยสารที่ชื่อว่า ไลโคปีน ซึ่งเป็นสารแคโรทีนอยด์ที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ จะได้ผลเป็นอย่างยิ่งเมื่อนำมาปรุงทำให้เกิดความร้อน เพราะความร้อนจะช่วยให้สารไลโคปีนออกมามากการทานแบบผลสดๆ

7. ปลาทะเล ในปลาทะเล เช่น ปลาทูน่า ปลาซาดีน ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาซาบะ เป็นต้นจะมีสารที่ชื่อว่า กรดโอเมก้า-3 ในปริมาณสูง ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยชะลอการเจริญของเซลล์มะเร็ง

8. ชา สำหรับการดื่มชา จะมีสารที่ชื่อว่า สารฟลาโวนอยด์ ช่วยลดสารอนุมูลอิสระ เช่น ชาเขียว ชาจีน เป็นส่วน ส่วนชาในรูปแบบขวด ชาสำเร็จรูป จะมีปริมาณของสารฟลาโวนอยด์ ที่น้อยกว่าการดื่มชาชง

9. สมุนไพรเครื่องเทศต่างๆ เป็นสิ่งที่ทานหาได้ง่าย เช่น กระเทียม พริก ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด โดยสมุนไพรเหล่านี้ จะมีสารพฤกษเคมีที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งได้เป็นอย่างดี 

10. โยเกิร์ต เป็นอาหารที่มากไปด้วยโปรตีนละแคลเซียม นอกจากช่วยในเรื่องของการขับถ่ายแล้ว โยเกิร์ต ยังมีประโยชน์ในการป้องกันโรคมะเร็งคือ จะไปจับตัวกับน้ำดีเพื่อช่วยยับยั้งการเจริญของเซลล์ที่ผิดปกติ นอกจากนี้ยังมีแบคทีเรียชนิดดีต่อร่างกายอีกด้วย ที่จะช่วยในเรื่องการย่อยอาหารและช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคแก่ร่างกาย

แน่นอนว่าสำหรับโรคมะเร็งเต้านมแล้ว คงไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่เกรงกลัวโรคนี้ แต่หากเรามองให้ลึกลงไปให้ดีก็จะพบว่า สาเหตุหลักๆ ในการเกิดมะเร็งเต้านมนั้น ส่วนหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นส่วนมาก มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้องเอง หลายคนมักละเลยการทานอาหารการกินช่วยถนอมเต้านมนมที่ดี ผิดหลักโภชนาการ แต่กลับไปเลือกทานอาหารที่รสชาติอร่อยถูกปาก แต่มากไปด้วยไขมันและน้ำตาล รวมถึงยังขาดการออกกำลังกายด้วย ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยตัวเราเองให้ห่างไกลจากมะเร็งเต้านมได้มากที่สุดก็คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนั้นเอง แม้ว่าโรคชนิดนี้อาจจะไม่ได้อันตรายจนถึงชีวิต แต่ถ้าเลือกได้ก็คงไม่มีใครที่อยากต้องพบต้องเจอกับโรคร้ายชนิดนี้แน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

เป็นโรคเบาหวานต้องเลือกกินอาหารนอกบ้านอย่างไร

0
เมื่อคนเป็นเบาหวานต้องกินอาหารนอกบ้าน
ควรที่จะกินให้ได้อย่างหลากหลายในปริมาณที่พอเหมาะพอดี กินอาหารที่มีไขมันมาก ๆ และอาหารรสเค็มจัดให้น้อยลง
เมื่อคนเป็นเบาหวานต้องกินอาหารนอกบ้าน
คนเป็นโรคเบาหวาน ควรที่จะกินให้ได้อย่างหลากหลายในปริมาณที่พอเหมาะพอดี กินอาหารที่มีไขมันมาก ๆ และอาหารรสเค็มจัดให้น้อยลง

อาหารสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน

อาหารสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน อาจคิดว่าจะหากินได้ยากกว่าอาหารคนที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวานและเป็นเมนูซ้ำแบเดิมๆ แต่ในปัจจุบันการกินอาหารนอกบ้านไม่ใช่สิ่งต้องห้ามอีกแล้วสำหรับคนเป็นเบาหวาน ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงสังสรรค์กันในหมู่เพื่อนฝูง การไปหาร้านอาหารอร่อย ๆ กินร่วมกันกับครอบครัว หรือจะเลือกซื้ออาหารตามริมถนนกลับมากินที่บ้าน เข้าร้านฟาสต์ฟู้ด หรือจะเลือกใช้บริการสั่งอาหารแบบเดลิเวอรี่ส่งมาให้กินโดยไม่ต้องออกไปไหน เพียงแต่ต้องเลือกเมนู ที่เหมาะสมและไม่เป็นการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้นนั่นเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถกล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนยุคปัจจุบันไปแล้ว แม้ส่วนใหญ่ของผู้ที่ออกไปกินอาหารนอกบ้านนั้น มักจะคิดถึงเรื่องความสะดวก รวดเร็ว และรสชาติที่อร่อยถูกปากมากกว่าจะมาคิดว่าอาหารที่กินนั้นจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพหรือเปล่า? 

แต่การออกไปกินอาหารนอกบ้านอาจดีต่อสุขภาพได้เช่นกัน หากคุณมีการวางแผนในการเลือกบริโภคอาหารเช่นเดียวกับการวางแผนสำหรับเรื่องอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการทำงานหรือวางแผนการใช้ชีวิต โดยสามารถเริ่มต้นได้จากการรู้จักเลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ อีกทั้งในปัจจุบันร้านอาหารมากมายหลายร้านก็อยากที่จะเอาใจลูกค้า ด้วยการทำอาหารที่ครบทั้งรสชาติความอร่อยและประโยชน์ต่อสุขภาพ เพราะคนเป็นโรคเบาหวานไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่ต้องการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ไม่เพียงจะอยากกินอาหารรสชาติอร่อยเท่านั้น แต่ก็ยังต้องการอาหารที่ดีต่อสุขภาพด้วยเช่นกัน ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะกินเพื่อให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรค กินเพื่อดูแลตัวเองจากโรคที่เป็นอยู่ไม่ให้กลับมาแสดงอาการอีก หรือกินเพื่อลดน้ำหนักลดคอเลสเตอรอล

ไม่ว่าคุณจะมีอาการป่วยเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ก็จำเป็นที่จะต้องกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพนั่นเอง

เวลาที่คุณเข้าไปใช้บริการตามภัตตาคารหรือจะเป็นร้านอาหารประเภทตามสั่งก็ตาม คุณสามารถแจ้งให้ทางร้านทราบได้เลยว่าคุณต้องการอะไรไม่ว่าจะเป็น “ ไม่เอาเค็มนะ ” ใส่น้ำตาลนิดเดียวนะ ” “ ไม่ใส่ผงชูรส ” “ ใส่เส้นนิดเดียวเน้นผักเยอะ ๆ ” “ ขอเนื้อ ๆ ไม่เอามันนะ ” ฯลฯ ไม่ยากเลยที่คุณจะระบุหรือกำชับทางร้าน เพื่อที่จะได้อาหารที่มีคุณภาพตรงกับความต้องการและดีสำหรับสุขภาพของตัวคุณ หากคุณกินอาหารนอกบ้านอยู่เป็นประจำ จำเป็นที่คุณจะต้องควบคุมอาหารให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยคุณจะสามารถเลือกอาหารได้ง่ายขึ้น หากเป็นร้านที่มีเมนูให้เลือกเยอะ

หลังจากที่ได้อ่านเมนูแล้วควรจะสั่งอะไร

  • หากเป็นเมนูที่คุณไม่รู้จัก คุณอาจจะถามพนักงานเอาก็ได้ว่าเมนูนั้นมีส่วนผสมสำคัญอะไรบ้าง
  • ถามถึงภาชนะที่ใส่ว่ามีขนาดแค่ไหน สำหรับกี่คนกิน
  • เลือกเมนูที่ใส่น้ำมันน้อย เช่น อาหารประเภทอบ ต้ม ตุ๋น นึ่ง ย่าง หรือยำ แกงที่ไม่มีกะทิเป็นส่วนผสม หรือใส่จนข้นคลั่ก ส่วนเมนูผัด ก็ไม่ควรใส่น้ำมันมากไปจนเยิ้ม พยายามหลีกเลี่ยงการกินอาหารจำพวกของทอดหรือของชุบแป้งทอด ถ้าจะกินให้กินแต่น้อย
  • ถ้าเป็นสลัดควรแยกน้ำสลัด และถ้าน้ำสลัดเป็นแบบน้ำข้นหรือครีม ควรใช้ส้อมจิ้มผักหรือผลไม้จุ่มน้ำสลัดกินทีละชิ้น หากเป็นน้ำสลัดแบบน้ำใสเวลากินให้ใส่น้ำสลัดทีละช้อนชา 
  • เลือกเมนูที่มีความหลากหลาย ครบถ้วนทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และผัก
  • หากคุณคิดจะกินขนมหวานลองเปลี่ยนเป็นผลไม้แทน แต่ถ้าอยากกินจริง ๆ ก็ควรลดแป้งและน้ำตาลลง
  • เครื่องดื่มควรเป็นน้ำเปล่า หรือน้ำชา หรือเป็นเครื่องดื่มชนิดไม่ใส่น้ำตาล
  • แอลกอฮอล์เป็นอีกหนึ่งตัวการที่จะเพิ่มแคลอรี่ให้มากขึ้น และอาจมีผลให้การดูดซึมวิตามินและเกลือแร่ถูกยับยั้ง เพราะฉะนั้นคุณจึงควรจำกัดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • ควรพยายามจำกัดปริมาณการกินในแต่ละมื้อ หากอาหารที่คุณสั่งมีปริมาณเยอะเกินไป ควรหาคนช่วยกินหรือให้ห่อส่วนที่เหลือกลับไปกินในมื้ออื่นแทน
  • เคี้ยวช้าๆ ให้ละเอียด แต่ใช้เวลาใกล้เคียงกับการทานอาหารปกติ
  • จัดเวลากินตามช่วงเวลาการกินอาหารปกติ
  • หากคุณจำเป็นต้องกินยาเบาหวานหรือฉีดอินซูลิน ก็ต้องจัดตารางเวลาว่าเวลาไหนจะต้องเป็นเวลากิน
  • จัดเวลากินตามช่วงเวลาการกินอาหารปกติที่คุณกิน
  • ไม่ควรจัดเวลาให้ตรงกับช่วงที่ร้านอาหารมีลูกค้าเยอะ เพราะคุณอาจจะต้องรอนานจนเกินเวลา แต่สำหรับบางร้านคุณอาจจะโทรไปสั่งจองโต๊ะและสั่งอาหารรอไว้ล่วงหน้าได้
  • ถามถึงอาหารที่คุณสั่งด้วยว่าจะต้องใช้เวลารอนานแค่ไหน
  • หากคุณรอที่จะกินอาหารจนเลยเวลาที่จะต้องกินไป คุณก็ควรจะหาผลไม้กินรองท้องแทนไปก่อน

วิธีกินฟาสต์ฟู้ดให้ปลอดภัยสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบในรสชาติของฟาสต์ฟู้ด และต้องการกินอาหารแบบมีประโยชน์ต่อสุขภาพไปด้วยพร้อม ๆ กันละก็ สามารถทำได้ดังนี้

หลักสำคัญที่คุณควรจะจดจำให้ได้ก็คือ “ โภชนาการที่ดี ” คือคุณควรที่จะกินให้ได้อย่างหลากหลายในปริมาณที่พอเหมาะพอดี การกินอาหารที่มีไขมันมาก ๆ และอาหารรสเค็มจัดให้น้อยลง และสำหรับอาหารฟาสต์ฟู้ดแล้วจัดเป็นอาหารที่เรียกได้ว่าทั้งมันจัดและเค็มจัด ฟาสต์ฟู้ดเพียงหนึ่งมื้อก็พอ ๆ กับสิ่งที่คุณต้องจำกัดตลอดวันเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ดีเราก็ยังสามารถลดโทษภัยจากฟาสต์ฟู้ดให้น้อยลงได้ หากรู้จักฟาสต์ฟู้ดให้ดีขึ้น 

  • คุณอาจได้รับพลังงานจากฟาสต์ฟู้ด 1 มื้อสูงถึง 1,000 แคลอรี่เป็นอย่างน้อย และมีระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อคุณกินเข้าไปในสองชั่วโมงแรก ระดับน้ำตาลในเลือดอาจจะยังไม่พุ่งสูงขึ้นมากนัก เนื่องจากร่างกายจะย่อยอาหารที่มีไขมันสูงได้ค่อนข้างช้า
  • หากคุณคิดจะสั่งอาหารฟาสต์ฟู้ดมากิน สิ่งหนึ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้คือข้อมูลทางโภชนาการ โดยคุณสามารถที่จะดาวน์โหลดข้อมูลคุณค่าทางโภชนาการของร้านฟาสต์ฟู้ดต่าง ๆ มาอ่านได้ เช่น แมคโดนัลด์ เคเอฟซี หรือเบอร์เกอร์คิงส์ ซึ่งมันอาจจะทำให้คุณรู้สึกตกใจไม่น้อยกับตัวเลขที่แจ้งในข้อมูลโภชนาการ แต่เดี๋ยวนี้ลูกค้ามีทางเลือกเพิ่มขึ้น เพราะฟาสต์ฟู้ดบางร้านมีเมนูแคลอรี่ต่ำไว้คอยบริการ จึงทำให้คนเป็นโรคเบาหวานมีทางเลือกมากขึ้นไปด้วย
  • หากวันไหนที่คุณกินฟาสต์ฟู้ดเพียงมื้อเดียว คุณก็ควรที่จะกินผักผลไม้ให้มากขึ้นในมื้ออื่น ๆ กินแป้งและไขมันให้น้อยลง
  • ร้านฟาสต์ฟู้ดจะมีกลยุทธ์ในการดึงดูดใจลูกค้า เช่น ถ้าคุณเพิ่มเงินอีก 10 บาท คุณก็จะได้รับเฟรนช์ฟรายส์หรือน้ำอัดลมขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งคุณอาจจะรู้สึกยินดีที่ได้ซื้อของในราคาที่ถูกลงกว่าปกติ แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่คุณได้รับไม่เพียงแต่ปริมาณอาหารที่เพิ่มขึ้น แต่ แคลอรี เกลือ โซเดียม น้ำตาล ไขมัน และคอเลสเตอรอลก็จะเพิ่มขึ้นด้วย กลายเป็นว่าคุณต้องจ่ายเพิ่มเพื่อซื้อสุขภาพที่ย่ำแย่มากขึ้น
  • ควรหลีกเลี่ยงเบอร์เกอร์ชนิดที่มีขนมปังสามแผ่น ขอมายองเนสต่างหากและเพิ่มผักสลัด หรือหากคุณไม่ได้ขอมายองเนสแยกต่างหาก ก่อนที่คุณจะกินเบอร์เกอร์ควรปาดมายองเนสออกซักครึ่งหนึ่งก่อน แล้วเติมรสด้วยมัสตาร์ดแทน หรืออาจจะปรุงแต่งรสด้วยมะเขือเทศ 1 ซองก็ได้ เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้คุณลดแคลอรี่ได้แล้ว
  • หากคุณซื้อแซนด์วิช ขนมปังจำพวกครัวซองต์ถือเป็นอาหารที่พึงหลีกเลี่ยงหากอยากมีสุขภาพที่ดี
  • แค่คุณเลี่ยงการเติมชีสเพียง 1 แผ่น คุณก็ลดพลังงานได้แล้ว 100 แคลอรี่
  • หากเป็นพิซซ่า ควรเลือกแบบขอบบางและเพิ่มหน้าผัก ไม่ควรกินเกิน 1 – 2 ชิ้น (ถ้าเป็นหน้าไส้กรอก เปปเปอโรนี หรือเพิ่มชีส คุณก็จะได้รับแคลอรี ไขมัน และโซเดียมเพิ่มขึ้น นี่ยังไม่นับพิซซ่าขอบชีสขอบไส้กรอกอีกนะ ซึ่งหากคุณชอบกินก็ระวังโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดหลอดเลือดอุดตันให้ดีละกัน) จะให้ดีเมื่อคุณกินพิซซ่าก็ควรจะกินสลัดควบคู่ไปด้วยเพราะจะช่วยให้คุณอิ่ม มากขึ้น ส่วนเครื่องดื่มควรจะเป็นน้ำอัดลมชนิดไดเอตหรือจะให้ดีก็ควรเป็นน้ำเปล่า
  • แม้สลัดบาร์จะเป็นอาหารที่ดีต่อการบริโภค แต่ก็ควรระวังสลัดที่มีมายองเนสผสมให้มากไม่ว่าจะเป็นโคลสลอว์ สลัดมันฝรั่ง หรือสลัดมะกะโรนี ซึ่งถ้าเลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยง แต่ถ้าจะกินก็ควรจำกัดปริมาณในการกิน 
  • หากคุณจะตามหลังฟาสต์ฟู้ดด้วยไอศกรีม ควรเป็นไอศกรีมโยเกิร์ตไขมันต่ำ น้ำตาลน้อยหรือเลือกกินเซอร์เบ็ต และกินแค่โคนเล็ก ๆ โคนเดียวพอ
  • ขนมหรืออาหารที่ปราศจากไขมันไม่ได้แปลว่าจะไม่มีแคลอรี่ ซึ่งปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่สูงก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณเพิ่มสูงขึ้น แต่ถ้าคุณอดใจไม่ไหวก็เอาแต่พอหอมปากหอมคอ การปล่อยให้ตัวเองได้ตามใจปากบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายจนเกินไปนัก ตราบใดที่คุณยังควบคุมน้ำหนัก น้ำตาลในเลือด และไขมันในเลือดได้อยู่
  • มีผลการวิจัยพบว่าขนมจะทำให้คุณรู้สึกอร่อยได้แค่ 2 – 3 คำแรกเท่านั้น เพราะคำต่อ ๆ ไปความอร่อยจะเริ่มลดน้อยลง

คนเป็นโรคเบาหวานกับการกินอาหารจีน

แม้ว่าส่วนประกอบในอาหารจีนจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็อาจพ่วงมาด้วยไขมันรวม ไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล ผงชูรส และเกลือในปริมาณที่สูง โดยเฉพาะอาหารจีนซึ่งไม่มีการดัดแปลงในการประกอบอาหาร จะมีผลต่อผู้ที่มีปัญหาทางสุขภาพ ทำให้ควบคุมโรคได้ยากมากขึ้น การจัดเลี้ยงโต๊ะจีนเป็นที่นิยมในโอกาสต่าง ๆ กันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในโอกาสงานแต่งงาน ในโอกาสวันคล้ายวันเกิด หรืองานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ฯลฯ คนเป็นโรคเบาหวานที่กินโต๊ะจีนเป็นประจำ จึงต้องรู้ว่าจะเลือกกินโต๊ะจีนอย่างไรจึงจะสามารถควบคุมโรคของตนเองได้

1.โดยโต๊ะจีน 1 ชุดจะประกอบไปด้วยอาหารทั้งคาวทั้งหวานราว ๆ 8 – 12 อย่าง แล้วแต่ว่าจะเป็นชุดใหญ่หรือชุดเล็ก อาหารส่วนใหญ่มักจะเป็นอาหารจำพวกไขมันซึ่งถือว่าเป็นอาหารที่มีรสชาติอร่อยตามตามตำราจีน เนื่องจากไขมันจะช่วยขับเน้นรสชาติอาหารให้เด่นชัดขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากอาหารประเภท เช่น หมูหัน เป็ดย่าง ขาหมู ซึ่งเป็นเนื้อสัตว์ที่ติดมัน และถือเป็นอาหารประจำโต๊ะจีนที่ต้องมีเสมอเลยก็ว่าได้ แม้ว่าซุปของจีนมักจะมีเครื่องเทศสมุนไพรจีนซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาสมุนไพรเป็นส่วนประกอบ เช่น เก๋ากี้ ซึ่งอาจจะช่วยให้พิษภัยจากไขมันลดน้อยลง แต่ก็ไม่อาจจัดการกับไขมันและคอเลสเตอรอลทั้งหมดที่เข้ามาสู่ร่างกายได้

2.สำหรับการเลือกอาหารจีน หลัก ๆ เลยก็คือเมนูประเภทผัก ต้ม นึ่ง อบ และอาหารที่มีผักเป็นส่วนผสม เป็นเมนูที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งถ้าหากน้ำซุปและน้ำผัดมีความมันมาก ให้เลือกตักแต่ตรงส่วนที่กิน ส่วนของหวานก็กินพอเป็นพิธีหรือจะไม่กินก็ได้

3. ต้องเน้นปริมาณและสัดส่วนอาหารที่กินให้สมดุลกัน ในอาหารจีนชุดหนึ่ง หากคุณใช้ช้อนเสิร์ฟตักอาหารให้ครบทุกจานคุณก็จะได้อาหารจานใหญ่พอสำหรับหนึ่งมื้อ ควรระวังคาร์โบไฮเดรตไม่ให้เกินความต้องการ เนื่องจากคาร์โบไฮเดรตจะมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดที่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าโปรตีนและไขมัน โดยเฉพาะอาหารที่มากไปด้วยแป้งและน้ำตาลอย่างขนมหวาน ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องยกเลิกอาหารจีนมื้อนั้นไปเลย เพียงแต่ให้เพิ่มความระมัดระวังในปริมาณการกินให้มากขึ้น ส่วนเครื่องดื่มที่ดีที่สุดสำหรับอาหารจีนก็คือน้ำเปล่าและน้ำชาเพราะปราศจากแคลอรี่ จากสิ่งที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด จะช่วยให้คุณอร่อยกับโต๊ะจีนได้มากขึ้นโดยที่ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องระดับน้ำตาลในเลือด   

ข้อแนะนำสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน เมื่อต้องออกไปกินอาหารนอกบ้าน

1.ให้สั่งเมนูที่ไม่ต้องใช้เวลารอนาน

2.กินอาหารตามเวลาปกติ งดการสั่งเมนูที่ต้องใช้เวลารอนานซึ่งจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น

3.หลังจากผ่านมื้อเที่ยงไปแล้ว ให้กินผลไม้หรืออาหารจำพวกแป้งได้ 1 คาร์บ โดยยืมมาจากมื้ออาหารปกติ

4.ถ้าเลยเวลากินมื้อเย็นไปมาก ควรหาอาหารว่างกินรองท้องไปก่อน หรือไม่ก็อาจจะกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต 1 คาร์บรองท้องแทนก็ได้

5.สำหรับผู้ที่ต้องได้รับการฉีดอินซูลิน ควรพิจารณาปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่จะกินแล้วปรับปริมาณอินซูลินให้เหมาะสม แต่ควรปรึกษาแพทย์และนักกำหนดอาหารก่อนที่จะเปลี่ยนขนาดยาที่ฉีด

การกินอาหารบุฟเฟต์ของคนเป็นโรคเบาหวาน

สำหรับอาหารบุฟเฟต์แล้วถือได้ว่าเป็นอาหารที่พึงหลีกเลี่ยง เนื่องจากบุฟเฟต์เป็นอาหารที่มีสารพัดเมนูให้เลือก เรียกว่าหากคุณกินทุกอย่างเข้าไปเพียงมื้อเดียวเท่านั้น ก็มีแคลอรี่เพิ่มมากขึ้นหลายพันแคลอรี่เลยทีเดียว แถมส่วนใหญ่ที่กินมักถือคติกินอาหารบุฟเฟต์ทั้งทีต้องเอาให้คุ้ม เพราะเขาให้กินเท่าไหร่ก็ ได้ไม่อั้น ถึงคุณจะคิดว่าสามารถควบคุมตนเองได้ก็เถอะยังไงก็ต้องกินเข้าไปมากกว่ากินที่บ้านแน่นอน
แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของการกินบุฟเฟต์ก็คือการที่จะได้กินอาหารที่แปลกใหม่ไปจากที่กินในชีวิตประจำวัน และที่ไม่ควรลืมก็คือผักสลัดที่มีให้เลือกมากมายรวมทั้งน้ำสลัดที่ทำจากน้ำมันมะกอกซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพ สลัดผักจะช่วยให้คุณไม่ต้องกินมากจนเกินไป แต่อาหารที่คุณควรเลือกกินก็คืออาหารทะเลต่าง ๆ โดยเฉพาะเนื้อปลาอย่างปลาแซลมอน หรือหากอยากจะลิ้มรสไอศกรีมบ้างก็เอาแค่ 2 – 3 คำพอให้ลิ้นได้สัมผัสรส ซึ่งหลังจากบุฟเฟต์มื้อนั้นผ่านไป คุณก็จะได้แคลอรี่เพิ่มขึ้นอย่างคิดไม่ถึง และหากคุณไปเจาะเลือดตรวจน้ำตาลในเลือดดู ค่าที่ได้ก็จะเป็นตัวบ่งบอกว่าคุณได้กินเข้าไปมากน้อยแค่ไหน

คนเป็นโรคเบาหวานดื่มอะไรดี?

ถึงแม้ว่าเครื่องดื่มส่วนใหญ่จะมีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตที่จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นได้ แต่ก็มีเครื่องดื่มบางชนิดที่คนเป็นโรคเบาหวานสามารทานได้โดยไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอีกด้วย ซึ่งก็คือเครื่องดื่มที่ไม่มีพลังงานนั่นเอง ดังนั้นเมื่อต้องไปกินข้าวนอกบ้านหรือไปงานเลี้ยงต่างๆ ก็ควรเลือกดื่มเครื่องดื่มที่มีแคลอรี่น้อยหรือไม่มีแคลอรี่จะดีที่สุด

เครื่องดื่มที่ไม่

เพิ่มระดับน้ำตาล

เครื่องดื่มที่เพิ่ม

ระดับน้ำตาลเล็กน้อย

เครื่องดื่มที่เพิ่ม

ระดับน้ำตาลมาก 

น้ำเปล่า เครื่องดื่มสำหรับนักกีฬาชนิดน้ำตาลน้อย ชามะนาวเติมน้ำตาล
น้ำอัดลมไดเอต น้ำผัก เช่น น้ำมะเขือเทศ น้ำสมุนไพรเติมน้ำตาล
เครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล เครื่องดื่มน้ำผลไม้ชนิดไลท์ น้ำอัดลม
ในรูปใดๆ เป็นส่วนผสม
น้ำมะตูมธรรมชาติ นมสดรสจืด ชานมไข่มุก
น้ำกระเจี๊ยบธรรมชาติ กาแฟเติมน้ำตาล
ชาจีน ชาเขียว ชาสมุนไพร เครื่องดื่มสำหรับนักกีฬา
กาแฟดำ พั้นช์
โซดา น้ำผลไม้
นมสดรสหวาน
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น
เบียร์ ไวน์ วิสกี้
ผสมเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล

แคลอรีสูงๆ ที่ทำให้เครื่องดื่มแพงและสุขภาพแพง

ในปัจจุบันสิ่งที่เติมลงในเครื่องดื่มรสชาติอร่อยที่มีราคาแพง ล้วนเป็นสิ่งที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นไขมัน น้ำตาลหรือแคลอรี่ที่จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้อย่างไม่ทันตั้งตัวเลยทีเดียว ซึ่งเครื่องดื่มบางชนิดก็อาจให้พลังงานสูงถึงแก้วละ 570 แคลอรี่เลยทีเดียว ดังที่แสดงในตารางต่อไปนี้

ชนิดเครื่องปรุงรส ปริมาณ       ไขมัน / น้ำตาล         ( กรัม ) พลังงาน ( แคลอรี )
ครีมเทียมแต่งรสชนิดน้ำ 2 ช้อนโต๊ะ ไขมัน 4 กรัม 80
ครีมเทียมชนิดน้ำ 1 ช้อนโต๊ะ ไขมัน 2 กรัม 25
ครีม 50/50 1 ช้อนโต๊ะ ไขมัน 2 กรัม 20
ครีม 1 ช้อนโต๊ะ ไขมัน 6 กรัม 50
วิปครีม 1 ช้อนโต๊ะ ไขมัน 9 กรัม 90
น้ำเชื่อมคาราเมลสตาร์บัคส์ 1 เหยาะ น้ำตาล 6 กรัม 25
น้ำเชื่อมปรุงแต่งรส 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 20 กรัม 80
น้ำเชื่อมปรุงแต่งรสไม่เติมน้ำตาล 2 ปั๊ม ไม่มี 0
มอลต์ 2 ช้อนโต๊ะ ไขมัน 2 กรัม

น้ำตาล 18 กรัม

90
น้ำเชื่อมมอคค่า 1 ช้อนโต๊ะ ไขมัน 0.5 กรัม

น้ำตาล 5 กรัม

25
น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 4 กรัม 15

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

น้ำตาลแท้ น้ำตาลเทียมหวานเทียบกับเบาหวาน

0
น้ำตาลแท้ น้ำตาลเทียมหวานเทียบกับเบาหวาน
น้ำตาลมีรสหวาน นิยมใช้ประกอบอาหาร ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน
น้ำตาลแท้ น้ำตาลเทียมหวานเทียบกับเบาหวาน
น้ำตาลมีรสหวาน นิยมใช้ประกอบอาหาร ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน ผลิตมาจากอ้อย

น้ำตาล

เมี่อพูดถึงสารที่ให้ความหวาน หลายคนก็คงจะนึกถึง น้ำตาล เป็นอันดับแรก เพราะเป็นสิ่งที่ใช้กันอยู่ประจำจนเคยชิน แต่รู้ไหมว่าจริงๆ แล้ว สารที่ให้ความหวานได้มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดประมาณ 26 ชนิดด้วยกัน แต่บางชนิดยังอยู่ในขั้น ตอนการรออนุมัติจาก FDA อยู่ ทั้งนี้เมื่อสรุปโดยรวมแล้วก็สามารถแบ่งสารให้ความหวานออกได้เป็น 3 ชนิดคือ

1. สารให้ความหวานที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย

2. สารให้ความหวานที่ใช้ทดแทนความหวานได้ แต่ไม่ให้พลังงาน ส่วนใหญ่จะเรียกว่าน้ำตาลเทียม

3. สารให้ความหวานที่ให้พลังงานต่ำมาก เรียกว่าน้ำตาลแอลกอฮอล์

ตัวอย่างสารให้ความหวาน
สารให้ความหวานที่ให้พลังงาน  น้ำตาลเทียม  น้ำตาลแอลกอฮอล์
เดกซ์โทรส แซ็กคาริน ซอร์บิทอล
น้ำเชื่อมกลูโคส ซูคราโลส แมนนิทอล
ฟรักโทสชนิดเกล็ด แอสปาร์แทม ไซลิทอล
ไฮฟรักโทสคอร์นไซรัป (น้ำเชื่อมฟรักโทสเข้มข้น) นีโอแทม ไอโซมอลต์
น้ำผึ้ง มอลทิทอล
น้ำตาล กลีเซอรอล
มอลโทเดกซ์ทริน พอลิเดกซ์โทรส
ทรีฮาโลส
สตีเวีย
น้ำผลไม้เข้มข้น

[adinserter name=”เบาหวาน”]

น้ำตาลเทียม

เป็นน้ำตาลที่ไม่ให้พลังงานและไม่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด จึงสามารถใช้กับคนที่ป่วยด้วยโรคเบาหวานได้ อย่างเช่น ขนมหรือของหวานที่ผลิตจากต่างประเทศและส่งเข้ามาขายในไทย โดยจะมีข้อความระบุว่า Sugar Free ซึ่งหมายความว่าไม่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสม แต่ทั้งนี้ก็อาจจะมีการใช้สารให้ความหวานแทน อย่างไรก็ตามในขนมและของหวานเหล่านี้ แม้ว่าจะได้มีการใช้น้ำตาลเทียมหรือสารให้ความหวานแทน แต่ก็อาจมีส่วนผสมที่เต็มไปด้วยคาร์โบไฮเดรตและไขมันสูง ดังนั้นจึงอาจให้พลังงานสูงและเสี่ยงอ้วนได้ไม่แพ้ขนมที่ใช้น้ำตาลจริงเลยทีเดียว

คาร์โบไฮเดรตและสารให้ความหวาน

น้ำตาล เป็นสารให้ความหวานที่ให้พลังงานสูงและจัดเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มกลิ่นหอมให้กับอาหาร ทำให้ขนมอบกรอบหรือขนมเชื่อมมีสีสันที่สวยงามและน่าทานมากขึ้น รวมถึงช่วยเพิ่มรสชาติให้มีความอร่อยมากขึ้นด้วย โดยทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านเบาหวานนั้น ได้กล่าวว่าพลังงานคาร์โบไฮเดรตที่ควรได้รับในแต่ละคนนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับนิสัยการบริโภคเป็นหลัก ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานจึงควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลที่ให้พลังงานสูงเกินไป เพราะจะยิ่ง เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้น เช่น น้ำตาลกรวด น้ำผึ้ง น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บและน้ำตาลฟรักโทสสกัด เป็นต้น
โดยจากความเชื่อดังกล่าวนี้เกิดจากการที่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า น้ำตาลเป็นคาร์โบไฮเดรตที่เมื่อทานเข้าสู่ร่างกายแล้วจะสามารถย่อยและดูดซึมได้เร็วกว่าแป้ง เป็นผลให้มีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ยังไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้มากนัก นอกจากนี้จากการทำการวิจัยก็พบอีกว่า น้ำตาลที่ได้จากผลไม้และนมนั้นจะส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่าแป้งเป็นอย่างมาก จึงสามารถทานได้ตามปกติโดยไม่ต้องกังวลนั่นเอง

น้ำตาลและเบาหวาน

ความเชื่อที่ว่าน้ำตาลเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยเบาหวานและควรให้ผู้ป่วยงดการทานน้ำตาลอย่างเด็ดขาดนั้น มีรายงานไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1920 ซึ่งในยุคนั้นนายแพทย์เฟรเดอริก อัลเลน Frederick Allen ได้เป็นผู้กล่าวไว้ แต่เนื่องจากในยุคสมัยนั้นไม่มีเครื่องมือทันสมัยที่จะสามารถหาเหตุผลมาสรุปข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ เป็นผลให้ความคิดดังกล่าวไม่ได้รับการสนับสนุนและยังไม่มีผู้ทำตามมากนัก ซึ่งในเวลาต่อมา ยุคสมัยหลังจากนั้นก็มีนักวิจัยให้คำแนะนำเช่นเดียวกับนายแพทย์ เฟรเดอริก อัลเลน ว่าน้ำตาลเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยเบาหวานและไม่ควรทานเด็ดขาด ด้วยการยกเหตุผลขึ้นมาว่า น้ำตาลนั้นเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ซึ่งโดยปกติร่างกายของคนเราจะสามารถย่อยและดูดซึมสารอาหารในรูปของโมเลกุลเชิงเดี่ยวได้ง่ายและรวดเร็วมาก การทานน้ำตาลจึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนส่งผลกระทบหลายๆ อย่างนั่นเอง

และจากข้อสรุปดังกล่าวนี้ก็ได้เกิดการแนะนำให้ผู้ที่เป็นเบาหวานหลีกเลี่ยงการทานน้ำตาลอย่างเด็ดขาด แต่ในยุคสมัยนั้นก็ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับน้ำตาลมากนัก จนเมื่อปี ค.ศ.1970 นักวิจัยหลายๆ คนไม่มั่นใจกับข้อสรุปดังกล่าว จึงได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับน้ำตาลและผู้ป่วยเบาหวานอีกครั้ง จนได้ข้อสรุปที่มีความละเอียดมากขึ้นในปี ค.ศ. 1993 กล่าวว่า

การกินน้ำตาลโดยคิดเป็นส่วนหนึ่งของคาร์โบไฮเดรตที่ควรได้รับในแต่ละวัน โดยไม่ได้เพิ่มคาร์โบไฮเดรตเข้าไปในมื้ออาหารอีก จะไม่ส่งผลให้เกิดผลเสียต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 หรือชนิดที่ 2 แต่อย่างใด

ดังนั้นจึงสรุปว่าผู้ป่วยเบาหวานไม่จำเป็นต้องงดการทานน้ำตาล นั่นก็เพราะว่าน้ำตาลถือเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่ง ดังนั้นเมื่อทานน้ำตาลเข้าไป ร่างกายจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากอะไร แต่จะคิดรวมเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ได้รับในวันนั้นๆ เลยนั่นเอง รวมถึงคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากผลไม้ ข้าวและแป้งด้วย ดังนั้นน้ำตาลที่ทานเข้าไปจะมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดหรือไม่จึงขึ้นอยู่กับปริมาณของคาร์โบไฮเดรตทั้งหมดที่ทานในวันนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้นหากทานน้ำตาลและอาหารคาร์โบไฮเดรตอื่นๆ รวมกันไม่เกินจากค่าที่กำหนดในแต่ละวัน ก็จะไม่มีผลเสียต่อผู้ป่วยเบาหวานแน่นอน  [adinserter name=”เบาหวาน”]

แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากของหวานที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบนั้นมักจะมีไขมันอยู่ด้วย ซึ่งจะยิ่งเพิ่มพลังงานและแคลอรีในอาหารให้สูงขึ้นไปอีกและเนื่องจากน้ำตาลนั้นให้แต่พลังงาน แต่ไม่ได้ให้สารอาหารจำเป็นด้วย จึงไม่แนะนำให้กินน้ำตาลมากเกินไป โดยควรเน้นการกินคารโบไฮเดรตจากอาหารชนิดอื่นมากกว่าน้ำตาล ในปัจจุบันนี้จึงเห็นได้ว่ามีการแนะนำให้นับคาร์โบไฮเดรตจากอาหารที่ทานเข้าไปในแต่ละวันเสมอ

น้ำตาลถูกลืมว่าเป็นคาร์โบไฮเดรต

คาร์โบไฮเดรตเหมือนกัน ทำให้เผลอทานอาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตจนเพลิน เป็นผลให้ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นในที่สุด โดยน้ำตาลนั้นถูกจัดเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ไม่มีเส้นใยอาหารและประกอบไปด้วยกลูโคส 50% ฟรักโทส 50% ซึ่งการให้พลังงานของน้ำตาลนั้นก็จะเท่ากับการให้พลังงานของคาร์โบไฮเดรตในข้าวและแป้ง คือ 1 กรัม ต่อพลังงาน 4 แคลอรี เพียงแต่ว่าพลังงานที่ได้จากน้ำตาลจะถูกดูดซึมไปใช้งานได้อย่างรวดเร็วกว่านั่นเอง ดังนั้นจึงได้มีการจำกัดปริมาณของน้ำตาลที่ควรทานในแต่ละวันไว้ที่ 5-10 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานทั้งหมดที่ควรได้รับในแต่ละวัน และต้องคิดรวมเป็นส่วนหนึ่งของคาร์โบไฮเดรตที่ควรได้รับในแต่ละวันด้วย ซึ่งกองโภชนาการก็ได้แนะนำว่าไม่ควรกินน้ำตาลเกินวันละ 6 ช้อนชานั่นเอง

และจากรายงานการสำรวจการบริโภคน้ำตาลของคนไทยในปี พ.ศ. 2558 ก็พบว่าคนไทยมีพฤติกรรมการบริโภคน้ำตาลสูงขึ้นมากโดยเฉลี่ยมากถึงวันละ 16.7 ช้อนชาเลยทีเดียว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คนไทยมีปัญหาอ้วนเยอะ และมีภาวการณ์ดื้ออินซูลินจนทำให้เป็นเบาหวานอีกด้วย ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะคนไทยได้ลืมไปแล้วว่าน้ำตาลก็เป็นส่วนหนึ่งของคาร์โบเดรต และไม่ได้ใส่ใจโภชนาการที่ดีต่อสุขภาพมากนัก โดยหากเทียบระหว่างน้ำตาลกับข้าวแล้ว จะพบว่าน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะให้พลังงานมากเท่ากับข้าวครึ่งทัพพีเลยทีเดียว หรือให้พลังงานประมาณ 48 แคลอรีนั่นเอง ดังนั้นหากปล่อยให้ตัวเองเพลิดเพลินกับการทานน้ำตาลมากเกินไปก็จะส่งผลให้มีปัญหาสุขภาพตามมาแน่นอน โดยเฉพาะในผู้ที่ป่วยด้วยโรคเบาหวานอยู่แล้ว

นอกจากนี้สารให้ความหวานที่ให้พลังงานสูงพอๆ กับน้ำตาลก็มีหลายชนิดเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น น้ำเชื่อมฟรักโทส น้ำผึ้ง น้ำตาลโตนด มอลโส กากน้ำตาลและเดกซ์โทส เป็นต้น ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการทานน้ำตาลเหล่านี้มากที่สุด เพราะหากทานมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดผลเสียได้ นอกจากนี้ก็ยังมีน้ำตาลแอลกอฮอล์ที่ต้องระวังเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าน้ำตาลชนิดนี้จะมีผลต่อระดับน้ำตาลน้ำกว่าน้ำตาลทรายแต่ก็ยังถือเป็นส่วนหนึ่งของคาร์โบไฮเดรตเช่นกัน ดังนั้นหากเมื่อรวมๆ แล้วในวันหนึ่งได้รับน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตอื่นๆ เกินค่าที่กำหนด ก็จะส่งผลให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงได้ และที่สำคัญเมื่อทานมากเกินไปก็จะทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายท้องและอาจท้องเสียได้อีกด้วย

ฟรักโทสและเบาหวาน

ฟรักโทสเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่งที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งส่วนใหญ่จะได้จากผักผลไม้ น้ำผึ้งและกากน้ำตาล รวมถึงน้ำตาลที่อยู่ในรูปของน้ำตาลปี๊บและน้ำตาลปาล์มด้วย ส่วนในทางการค้านั้น ส่วนใหญ่จะผลิตน้ำตาลจากข้าวโพดมากที่สุด ซึ่งก็จะใช้เป็นสารให้ความหวานในเครื่องดื่มต่างๆแทนน้ำตาลทราย นั่นก็เพราะว่าน้ำตาลชนิดนี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายถึง 1.2 เท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามน้ำตาลชนิดนี้ก็อาจเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้เหมือนกัน เพียงแต่จะน้อยกว่าน้ำตาลซูโครส ทั้งยังมีดัชนีน้ำตาลที่ต่ำแค่ประมาณ 20 จึงนิยมนำมาใช้เป็นสารเพิ่มความหวานในอาหารของผู้ที่ป่วยเบาหวานนั่นเอง

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ว่าฟรักโทสจะสามารถใช้ในผู้ป่วยเบาหวานได้ ก็ต้องระมัดระวังในปริมาณที่ทานด้วย เพราะหากได้รับมากเกินไปก็จะส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลรวม ไตรกลีเซอไรด์และแอลดีแอลคอเลสเตอรอลเพิ่มสูงขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลต่อการเพิ่มระดับน้ำตาลแต่ก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจได้เช่นกัน ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าผู้ที่เป็นเบาหวานสามารถทานน้ำตาลฟรักโทสได้แต่ต้องทานในปริมาณที่พอเหมาะ ส่วนผู้ที่มีค่าไขมันผิดปกติก็ควรหลีกเลี่ยงการทานฟรักโทสในปริมาณมากอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้ผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องการทานน้ำตาลฟรักโทส ก็แนะนำให้ทานจากที่มีอยู่ในธรรมชาติ คือในผักและผลไม้จะดีที่สุด

และอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามก็คือข้อเสียของฟรักโทสนั่นเอง โดยน้ำตาลฟรักโทส หากทานในปริมาณมากอาจก่อให้เกิดแก๊สในกระเพาะ จนทำให้รู้สึกแน่นท้อง ปวดท้องได้ ดังนั้นจึงต้องจำกัดอาหารที่มีฟรักโทสในปริมาณที่พอเหมาะเช่นกัน หรือควรเลือกทานอาหารที่มีฟรักโทสน้อยๆ เช่น บลูเบอร์รี่ ถั่วแขก แครอท กล้วยและอะโวคาโด เป็นต้น

ปริมาณฟรักโทสในอาหารทั่วไป
ชนิดอาหาร ปริมาณ ฟรักโทส (กรัม) คาร์โบไฮเดรต (กรัม)
น้ำอัดลม (ไฮฟรักโทสคอร์นไซรัป) 325 มล. 22 40.0*
ผลไม้
แอปเปิ้ล (ทั้งเปลือก) 1 ผลกลาง 8.1 19.1
กล้วยหอม 1 ผลกลาง 5.7 27.0
สตรอว์เบอร์รี่ (หั่นสไลซ์) ½ ถ้วยตวง 4.2 12.7
แคนตาลูป (หั่น) 1 ถ้วยตวง 3.0 13.1
พีช (สด) 1 ผลกลาง 1.5 9.3
สับปะรด (ชนิดบรรจุกระป๋องในน้ำเชื่อม) 1 ผลกลาง 8.1 19.5
องุ่น (แดง/เขียว) ½ ถ้วยตวง 6.3 13.9
น้ำส้มคั้น (เข้มข้น) 120 มล. 3.2 13.4
ผัก
มะเขือเทศสด 1 ผลกลาง 1.7 4.8
หน่อไม้ฝรั่ง (สุก) ½ ถ้วยตวง 0.7 3.7
มันฝรั่งอบบด ½ ถ้วยตวง 0.7 29.1
มันฝรั่งอบ 1 ผลกลาง 0.6 36.6
บรอกโคลี (สุก) ½ ถ้วยตวง 0.6 5.6
พริกหวานสีเขียว (สุก) ½ ถ้วยตวง 0.5 2.3
ข้าวโพดสีเหลือง (สุก) ½ ถ้วยตวง 0.4 20.6

[adinserter name=”เบาหวาน”]

ไฮฟรักโทสคอร์นไซรัป ( High Fructose Corn Syrup )

เป็นสารให้ความหวานชนิดที่นิยมใช้กับเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่สุด โดยสารให้ความหวานชนิดนี้จะประกอบไปด้วยฟรักโทส 50% และกลูโคส 45% ซึ่งสารเพิ่มความหวานชนิดนี้ก็ทำมาจากข้าวโพดนั่นเอง แต่ได้มีการเติมเอนไซม์ลงไปในขั้นตอนที่เป็นน้ำเชื่อมด้วย นั่นก็เพื่อเปลี่ยนกลูโคสครึ่งหนึ่งให้กลายเป็นฟรักโทสที่มีความหวานมากกว่าน้ำตาล แล้วจึงนำมาใช้ใส่ในน้ำอัดลมเพื่อเพิ่มความหวานลงไป นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล HFCS หรือน้ำตาลซูโครส และน้ำผึ้งก็ล้วนมีส่วนผสมของน้ำตาลฟรักโทสและกลูโคสใกล้เคียงกันทั้งสิ้น เพียงแต่การดูดซึมของน้ำตาลแต่ละชนิดจะแตกต่างกัน และที่สำคัญเมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและกระบวนการเผาผลาญแล้ว ร่างกายของคนเราจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นน้ำตาลชนิดไหนนั่นเอง

และเนื่องจากน้ำตาลทั้ง 3 ชนิดนี้เมื่อทานเข้าไปจะได้น้ำตาลที่เป็นชนิดเดียวกันเข้าสู่กระบวนการเผาผลาญ ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกกินน้ำตาลชนิดไหนก็ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก เพราะฮอร์โมนควบคุมความอิ่มจะทำงานเหมือนกัน แต่น้ำตาล HFCS ก็มีข้อดีอยู่บ้างคือสามารถเก็บรักษาไว้ได้นานกว่าน้ำตาลชนิดอื่น โดยสามารถคงความชื้นได้ดีและไม่ทำให้อาหารแห้งอีกด้วย จึงนิยมนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารมากที่สุด
ทั้งนี้ก็สรุปได้ว่าน้ำตาล HFCS ก็เหมือนกับน้ำตาลทั่วไปที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ดังนั้นหากทานในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป ก็ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้นและไม่ทำให้อ้วนแน่นอน

น้ำผึ้ง

แม้ว่าน้ำผึ้งจะเป็นสารให้ความหวานที่ได้จากธรรมชาติ แต่ก็มีส่วนผสมของน้ำตาลฟรักโทสและกลูโคสอยูในส่วนประกอบมากถึง 70% รวมถึงมีซูโครสอยู่ 10% ด้วย และแม้ว่าน้ำผึ้งจะมีแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน หรือหากต้องการให้ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอก็จะต้องทานน้ำผึ้งในปริมาณมากนั่นเอง เช่น ต้องการธาตุเหล็กอย่างเพียงพอจะต้องทานน้ำผึ้ง 11 ถ้วยตวงหรือต้องการแคลเซียมเท่ากับนมขาดไขมัน 1 ถ้วยตวง จะต้องทานน้ำผึ้งทั้งหมด 19 ถ้วยตวง และด้วยปริมาณดังกล่าวนั้นก็อาจทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไปจนเป็นผลเสียได้
อย่างไรก็ตาม ฟรักโทสเป็นน้ำตาลที่ไม่มีผลต่อการกระตุ้นการหลั่งอินซูนลิน จึงไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงเหมือนกับกลูโคสและไม่ทำให้รู้สึกอยากอาหารมากขึ้นแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีดัชนีน้ำตาลต่ำแค่ 20 เท่านั้น ซึ่งต่างจากกลูโคสที่มีดัชนีน้ำตาลสูงถึง 100 แต่เนื่องจากในน้ำผึ้งนั้นมีน้ำตาลทั้งสองชนิดรวมกัน จึงพบว่าน้ำผึ้งมีดัชนีน้ำตาลสูงถึง 87 เลยทีเดียว ซึ่งก็เป็นระดับที่สูงกว่าธัญพืชและผักผลไม้หลายชนิด ดังนั้นการทานน้ำผึ้งจึงต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษเช่นกัน

ส่วนการดูดซึมของน้ำตาลฟรักโทสจะสามารถดูดซึมได้ช้ากว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ และต้องผ่านเข้าสู่ตับ ซึ่งก็จะทำให้เกิดการหลั่งอินซูลินออกมาอย่างช้าๆ จึงทำให้รู้สึกอิ่มนานและทานอาหารในมื้อต่อไปได้น้อยลง อีกทั้งเมื่อทานฟรักโทสอย่างเดียวหรือทานร่วมกับอาหารก็จะกระตุ้นการหลั่งอินซูนลินช้ากว่าน้ำตาลอีกด้วย
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการทานฟรักโทสในรูปของน้ำผึ้งนั้นไม่สามารถแทนการทานฟรักโทสรูปของผักผลไม้ได้ เพราะฟรักโทสในน้ำผึ้งรวมอยู่กับกลูโคสครึ่งต่อครึ่ง จึงทำให้น้ำตาลถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งยังไม่มีใยอาหารที่จะช่วยชะลอการดูดซึมได้ ในขณะที่ผักผลไม้นั้น อุดมไปด้วยแร่ธาตุ เส้นใยอาหารและสาระสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย จึงทำให้น้ำตาลถูกดูดซึมช้าลงและยังมีประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากนี้น้ำผึ้งก็มีข้อเสียอีกด้วย คือจะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะและมีอาการปวดท้องได้ ทั้งยังให้พลังงานสูง โดยน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะจะให้พลังงานมากถึง 64 แคลอรี จึงมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดและโรคเบาหวานได้

10 วิธีลดน้ำตามและความหวาน

และเพื่อสุขภาพที่ดีห่างไกลเบาหวาน ควรลดปริมาณน้ำตาลและความหวานลงบ้าง โดยมี 10 วิธีในการลดน้ำตาลและความหวานให้ได้ผลดังนี้

1.หยุดเติมน้ำตาล เพราะคนส่วนใหญ่มักจะเติมน้ำตาลลงในเครื่องดื่มหรืออาหารต่างๆ อยู่เสมอ ทำให้ในแต่ละวันได้รับน้ำตาลในปริมาณที่สูงเกินไปจึงเป็นผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้ ดังนั้นการลดปริมาณน้ำตาลลง ด้วยการหยุดเติมน้ำตาลลงในเครื่องดื่มหรืออาหารต่างๆ ก็จะช่วยลดปริมาณน้ำตาลที่ได้รับในแต่ละวันได้ดี หรือหากสามารถลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีความหวานลงได้ก็จะดีมาก อย่างไรก็ตามสำหรับใครที่ชอบรสชาติหวานก็อาจใช้น้ำตาลเทียมหรือสารให้ความหวานที่มีแคลอรีต่ำใส่ลงไปแทนด็ได้เหมือนกัน

2.หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง โดยเฉพาะลูกอม ขนมหวาน ช็อกโกแลตหรือขนมจุบจิบต่างๆ แม้ว่าจะมีคำโฆษณาว่าใส่น้ำตาลเพื่อสุขภาพก็ตาม เพราะไม่ว่าน้ำตาลชนิดใดก็ล้วนให้พลังงานด้วยกันทั้งสิ้น

3.เลือกทานผลไม้เป็นหลักแทนการทานขนมหวาน เพราะในผลไม้นั้นนอกจากจะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นแล้ว ยังมีเส้นใยอาหารและวิตามิน แร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายอีกมากมายหลายชนิดอีกด้วย ซึ่งก็จะช่วยต้านทานโรคต่างๆ ได้ดี พร้อมกับชะลอการดูดซึมน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตได้อย่างดีเยี่ยมเช่นกัน แต่ทั้งนี้การทานผลไม้ก็ควรจำกัดปริมาณให้มีความเหมาะสมที่สุด เพราะในผลไม้มีฟรักโทสที่หากได้รับมากเกินก็ส่งผลเสียเช่นกัน

4.พยายามอย่าดื่มน้ำผลไม้มากเกินไป เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความต้องการ และเนื่องจากในน้ำผลไม้ไม่มีใยอาหารเช่นเดียวกันในผลไม้สด จึงไม่มีตัวช่วยในการชะลอการดูดซึมนั่นเอง  [adinserter name=”เบาหวาน”]

5.ลดปริมาณอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตแปรรูปให้น้อยที่สุด เพราะอาหารเหล่านี้ทำมาจากแป้งที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลและเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็วพอๆ กับการทานกลูโคสเลยทีเดียว แถมคาร์โบไฮเดรตที่เหลือเป็นส่วนเกินก็จะถูกเก็บไว้เป็นไขมันในร่างกาย ทำให้มีปัญหาโรคอ้วนและไขมันในเลือดสูงตามมาอีกด้วย ดังนั้นควรทานในปริมาณที่น้อยลงหน่อยจะดีกว่า

6.ระมัดระวังในการเลือกของว่าง โดยเฉพาะของว่างไร้ไขมัน เพราะถึงแม้ว่าจะปราศจากไขมันแต่ในของว่างเหล่านั้นก็อาจมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ ซึ่งเป็นตัวการหนึ่งในการทำร้ายสุขภาพอยู่ดี เพราะฉะนั้นก่อนทานก็ควรดูให้ดีก่อนเสมอฃ

7.อ่านฉลากโภชนาการก่อนทานทุกครั้ง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องควบคุมการทานน้ำตาลและพลังงานในแต่ละวันมากเป็นพิเศษ แต่หากแพทย์ห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้ผู้ป่วยทานน้ำตาลก็อาจใช้สารเพิ่มความหวานที่มีพลังงานต่ำมากใส่ลงไปแทนก็ได้ ซึ่งสารเพิ่มความหวานบางชนิดก็อาจมีความหวานมากกว่าน้ำตาลหลายเท่าเลยทีเดียว หรือในกรณีที่ซื้ออาหารสำเร็จรูปและเครื่องดื่ม ก็ควรเลือกที่ระบุไว้ว่าปราศจากน้ำตาลนั่นเอง

8.ถึงแม้ว่าจะสามารถใช้สารให้ความหวานอื่นๆ แทนน้ำตาลได้ แต่ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ใช้มากเกินไปเช่นกัน เพราะสารเหล่านี้จะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความอยากของหวานและคาร์โบไฮเดรตมากขึ้น ทำให้อดใจไม่ไหวจนเผลอทานอาหารอื่นๆที่มีน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตสูงในที่สุด นอกจากนี้การใช้สารให้ความหวานในปริมาณมาก ก็อาจส่งผลต่อการลดระดับโครเมียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ทำหน้าที่ในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย

9.คำนวณปริมาณน้ำตาลที่ทานอยู่เสมอ เพื่อระมัดระวังไม่ให้ได้รับน้ำตาลมากเกินไปจนเป็นผลเสียได้นั่นเอง และควรคำควณรวมกับปริมาณของคาร์โบไฮเดรตที่ได้รับในแต่ละวันด้วย

การใช้น้ำตาลเทียมอาจช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการชดเชยความหวานที่ขาดไปได้และมีความสุขกับการทานอาหารที่มีพลังงานต่ำกว่ามากขึ้น แต่ก็ไม่ควรใช้น้ำตาลเทียมบ่อยเกินไป และอย่าเพิ่มปริมาณอาหารชนิดนั้นเพราะรู้ว่าอาหารอาจไม่มีพลังงานจากน้ำตาลแล้ว เพราะจริงๆ แล้วในอาหารแต่ละชนิดยังจะมีพลังงานที่ได้จากสารอาหารชนิดอื่นๆ อยู่ด้วยนั่นเอง

น้ำตาลเทียมและเบาหวาน

น้ำตาลเทียมทุกวันนี้มีมากมายหลายชนิดหลายยี่ห้อ ซึ่งก็มีทั้งที่ผ่านการอนุมัติแล้วและยังไม่ได้รับการอนุมัติ ยกตัวอย่างเช่น แซ็กคาริน แอสปาร์แทม แอดวานแทม สตีวีออลไกลโคไซด์ อะเซซัลเฟมโพแทสเซียม ซูคราโลส  นีโอแทม และสารสกัดจากหญ้าหวาน เป็นต้น ซึ่งคำแนะนำที่ให้ผู้ป่วยเบาหวานใช้น้ำตาลเทียมแทนน้ำตาลทั่วไปนั้นก็มีมาตั้งแต่สมัยอดีต ด้วยความคิดที่ว่าผู้ป่วยเบาหวานไม่ควรทานน้ำตาลอย่างเด็ดขาดนนั่นเอง ส่วนสารให้ความหวานหรือน้ำตาลเทียมที่ได้รับการอนุมัตินั้น ก็ได้รับการรับรองแล้วว่าสามารถทานในผู้ป่วยเบาหวานและหญิงตั้งครรภ์ได้ เพียงทานในปริมาณที่กำหนด ก็ไม่เป็นอันตรายแน่นอน

ระดับความปลอดภัย Acceptable Daily Intake หรือ ADI คือ ปริมาณสูงสุดที่จะบริโภคได้ในชีวิตประจำวันโดยไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย หรือไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายตลอดชีวิต

ตารางเปรียบเทียบระดับความปลอดภัย (ADI) 
ของสารให้ความหวานชนิดที่ไม่ให้พลังงานงาน
ผลิตภัณฑ์ ระดับ ADI  มก./น้ำหนักตัว 1 กก./วัน ปริมาณเฉลี่ย (มก.)
น้ำอัดลม 1 กระป๋อง ชนิดผง 1 ซอง
แอสปาร์แทม 50 200 35
อะเซซัลเฟมโพแทสเซียม 15 40 50
ซูคราโลส 5 70 5
แซ็กคาริน 5 14 40

[adinserter name=”เบาหวาน”]

ความปลอดภัยจากการใช้น้ำตาลเทียมในหญิงตั้งครรภ์

จากการวิจัยพบว่าสารให้ความหวานไม่มีผลเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์และหญิงตั้งครรภ์แต่อย่างใด เช่น สารแอสปาร์แทม สามารถทานได้ในระดับสามเท่าของระดับความปลอดภัยโดยไม่มีผลใดๆ และสารแซ็กคาริน พบว่าสามารถผ่านรกเข้าไปสู่ทารกในครรภ์ได้ แต่ก็ไม่เคยมีหลักฐานว่าก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์เช่นกัน แต่ทั้งนี้ในประเทศแคนาดา ประเทศในยุโรปและประเทศไทย ไม่อนุญาติให้ใช้แซ็กคารินในหญิงตั้งครรภ์อย่างเด็ดขาด

แอสปาร์แทม

แอสปาร์แทม มีชื่อทางการค้าแบบเต็ม ๆ ว่า “ NUTRASWEET / EQUAL / SUGAR TWIN ” โดยสารนี้สำหรับคนไทยเรานั้นก็ค่อนข้างเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องดื่มหรือขนมหวานหลายประเภท สารนี้เป็นโปรตีนที่สามารถเกิดได้เองที่บริเวณของระบบทางเดินอาหารคนเรา เป็นสิ่งที่มีรสชาติหวานมากกว่าน้ำตาลธรรมดาทั่วไปหลายเท่า (หวานมากกว่าถึง 200 เท่า) หากคิดเรื่องของแคลอรีสารตัวนี้หากทานเข้าไปหนึ่งกรัมคุณจะได้รับแคลอรีจำนวน 4 แคลอรีเท่านั้นซึ่งแน่นอนว่านั่นเป้นอะไรที่น้อยมากน้อยกว่าการทานน้ำตาลทั่วไปอยู่แล้ว (ปรียบเทียบโดยวัดจากปริมาณที่เท่ากันเท่านั้น)

ปริมาณเฉลี่ยของแอสปาร์แทมในอาหารทั่วไปมีดังนี้
ชนิดอาหาร ปริมาณ  แอสปาร์แทม (มิลลิกรัม)
น้ำอัดลม 1 กระป๋อง (325 มล.) 225
โยเกิร์ต 8 ออนซ์ (240 กรัม) 80
เจลาติน 4 ออนซ์ (120 กรัม) 80
ซีเรียล ½ ถ้วยตวง 32
ของหวานแช่แข็ง 1 หน่ายบริโภค 47
น้ำตาลเทียม 1 ซอง 37

แอสปาร์แทม เป็นสารที่ได้รับการยอมรับจากทางด้านองค์การอาหารและยาของประเทศอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าสามารถนำมาใช้ทดแทนการทานน้ำตาลได้ เนื่องจาก เป็นสิ่งที่สามารถให้รสหวานได้เช่นเดียวกัน สำหรับใครที่กำลังอยากที่จะนำเอาแอสปาร์แทมมาใช้อยู่ละก็เราอยากจะบอกว่าจรงนี้เลยว่าสิ่งนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างมีข้อจำกัดเล็กน้อย นั่นคือ

1.จะต้องไม่ใช้ในการประกอบอาหารที่ต้องตั้งบนกระทะหรือเตาไฟแบบร้อนๆ เป็นอันขาด เพราะ สารตัวนี้มีความสามารถอย่างหนึ่งที่อันตรายหากเจอความร้อน คือ กรดอะมิโนที่อยู่ภายในสามารถที่จะรวมตัวเข้าหากันได้ กรดตัวนี้คือหน่วยย่อยอย่างหนึ่งของโปรตีนสองประเภท ( กรดแอสปาร์ติกกับฟีนิลอะลานีน ) เมื่อใดก็ตามที่สารตัวนี้เกิดได้รับความร้อนที่มีลักษณะสูงมากและรับความร้อนเป็นเวลานานเมื่อนั้นก็จะทำให้เกิดการแตกตัวและเมื่อใดที่การแตกตัว เกิดเมื่อนั้นความหวานที่เคยมีก็จะค่อย ๆ ลดลงและกลายเป็นมีรสชาติแบบเฝื่อนแทน ดังนั้นหากคิดที่จะนำเอาสารนี้ไปใช้จริงๆ ควรใช้เมื่ออาหารได้ถูกปรุงเสร็จแล้วจะดีกว่าและควรปรุงเมื่อได้ทำการยกอาหารลงมาจากกระทะหรือเตาเป็นที่เรียบร้อยแล้วเท่านั้น เติมทีหลังไม่ได้เสียหายอะไร เติมทีหลังรสหวานนั่นจะยังคงอยู่ จริง ๆ แล้วสารตัวนี้สามารถที่จะถูกละลายได้เป็นอย่างดีหากอยู่ในน้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ( โดยประมาณ ) สามารถละลายในกรดหรือสิ่งที่รสชาติเปรี้ยวได้ดีมากที่สุด

2.โรคหนึ่งที่หากใครป่วยอยู่ต้องห้ามทานสารตัวนี้เป็นอันขาด คือ โรคฟีนิคคีโทนยูเรีย ( PKU ) เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากเรื่องของพันธุกรรม ใครที่ป่วยเป็นโรคนี้สาเหตุเกิดจากการขาดตัวเอนไซม์ที่มีความสามารถในการเข้าไปสลายกรดแอมิโนที่จำเป็นอย่างฟีนิลอะลานีนโดยกรดตัวนี้เป็นกรดที่มีอยู่ในแอสปาร์แทมอยู่แล้ว สำหรับเป็นโรคนี้ค่อนข้างพบได้น้อยมากในโลก ( พบได้ประมาณหนึ่งใน 15,000 จนถึง 1,000,000 คน ) และยังขึ้นอยู่กับเรื่องของเชื้อชาติร่วมด้วย ส่วนใหญ่ในเด็กแรกเกิดจึงมักที่จะได้รับการตรวจหาโรคนี้แล้ว

สารอะเซซัลเฟมโพแทสเซียม ( Ace-K )

สารตัวนี้เป็นสารที่มีความหวานสูงมาก หวานมากกว่าน้ำตาลถึงสองร้อยเท่า มีระดับของ ADI อยู่ที่ 15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักร่างกาย 1 กิโลกรัม ( ต่อหนึ่งวัน ) หากใครที่มีน้ำหนักตัวมากถึง 60 กิโลกรัมสามารถทานสารตัวนี้ได้เพียงแค่ 900 กรัมเท่านั้นซึ่ง 900 กรัมนี้หากจะเทียบกับน้ำตาลก็เท่ากับทานน้ำตาลไปแล้ว 150 กรัม ( ประมาณ 36 ช้อนชาหรือดื่มน้ำอัดลม 4 กระป๋อง ) ตามปกติคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานก็มักจะทานน้ำตาลเทียมน้อยมาก เฉลี่ยจะอยู่ที่ 40 มิลลิกรัมต่อการดื่มน้ำอัดลม 1 กระป๋อง ( แบบขนาด 325 ซีซี ) และประเภทเติมเพื่อใช้แทนน้ำตาลจะอยู่ที่ 50 มิลลิกรัมต่อซอง สารตัวนี้จะค่อนข้างทนความร้อนได้ดีมากกว่าแอสปาร์แทมมาก เมื่อทนได้ดีจึงไม่เกิดการสูญเสียรสชาติความหวานแต่อย่างใดทำให้ในภาคของอุตสาหกรรมนิยมใช้สารตัวนี้มากกว่าสารแอสปาร์แทมไปโดยปริยาย    [adinserter name=”เบาหวาน”]

แซ็กคาริน

สารหนึ่งที่ค่อนข้างมีความน่าสนใจมากและเป็นหนึ่งในประเภทของน้ำตาลเทียม นั่นคือ สารแซ็กคาริน เป็นน้ำตาลเทียมตัวแรกที่ได้เป็นที่ยอมรับค่อนข้างมากในอดีตและยังได้รับอนุญาตให้ออกมาวางขายตามท้องตลาดทั่วไปได้อีกด้วยแต่ในช่วงเวลาต่อมาก็ต้องถูกระงับการขายไป เนื่องจาก มีงานวิจัยพบว่าสารตัวนี้หากทานไปแล้วสามารถที่จะก่อให้เกิดมะเร็งที่บริเวณของกระเพาะอาหารได้ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่อันตรายมากจึงทำให้ต้องยุติการขายลง แต่เมื่อไม่นาน มานี้กลับมีงานวิจัยชิ้นใหม่ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริง ๆ แล้วสารตัวนี้ไม่ได้เป็นสารที่ไม่สามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้แต่อย่างใดทำให้สารตัวนี้กลับมาได้รับอนุญาตให้วางขายได้ใหม่อีกรอบที่สหรัฐอเมริกา สารตัวนี้เป็นสารที่ให้ความหวานสูงเรียกว่า สูงกว่าน้ำตาลทั่วไปถึง 200-700 เท่าเลยก็ว่าได้และที่สำคัญไม่ได้เป็นตัวที่ให้พลังงาน สามารถนำไปใช้ในน้ำดื่มหรือน้ำผลไม้ได้สบาย ๆ สำหรับในสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีการกำหนดไว้แต่อย่างใดว่าจะต้องมีระดับความปลอดภัยเท่าไรของสารนี้ เนื่องจากสารแซ็กคารินไม่ได้ถูกจัดให้เป็นสารเจือปนที่อยู่ภายในอาหารแบบ Food Additive แต่ทางองค์การอนามัยโลกก็ได้ออกมาให้คำแนะนำไว้ว่าระดับความปลอดภัยที่ควรมีอยู่ที่ 5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักร่างกายหนึ่งกิโลกรัม

ส่วนในประเทศไทยของเรานั้นทางด้านกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมากำหนดไว้ว่าสารตัวนี้เป็นวัตถุที่สามารถให้ความหวานแทนการใช้น้ำตาล ( อยู่ภายในเครื่องดื่มประเภทเครื่องดื่มไดเอต ) ดังนั้นสำหรับบุคคลที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคเบาหวาน โรคอ้วนควรต้องมีการกำหนดปริมาณของสารตัวนี้และไม่แนะนำให้นำสารนี้ไปใช้ในอาหารทั่วไป นอกจากนี้ยังไม่แนะนำให้เด็กหรือหญิงตั้งครรภ์ทานสารตัวนี้

สารซูคราโลส

สารนี้จริง ๆ แล้วชื่อทางการค้าก็คือ สเปลนดา ( D-et ) เป็นน้ำตาลเทียมประเภทหนึ่งที่เพิ่งถูกนำมาจำหน่ายเมื่อไม่นานมานี้ เป็นสารที่เกิดการจากผลิตน้ำตาลโดยการอาศัยวิธีเปลี่ยนโครงสร้างของน้ำตาลแทน คือ เลือกนำเอาคลอรีนจำนวน 3 โมเลกุลมาใช้ทดแทนส่วนของไฮดอกซิลที่เดิมอยู่ในโครงสร้างของน้ำตาล นั่นจึงทำให้หลายคนเกิดคำถามขึ้นมาว่าแล้วคอลรีนนั้นสามารถส่งผลเป็นอันตรายต่อร่างกายของคนเราหรือไม่? ทางด้านของนักวิจัยเองก็ได้ออกมาให้เหตุผลในส่วนนี้ว่า คลอรีนมีแบบที่สามารถพบในธรรมชาติได้โดยส่วนใหญ่คลอรีนประเภทนี้จะอยู่ในพวกผัก ผลไม้ ถั่ว เกลือ ฯลฯ หากมีการเติมน้ำประปาในปริมาณที่เหมาะสมต่อการบริโภคก็เชื่อว่าจะยังคงมีความปลอดภัยอยู่

ส่วนของสเปนดาเป็นส่วนที่เกิดจากการผสมระหว่างมอสโตเดกซ์จรินรวมกับซูคราโลส สามารถให้พลังงาน 12 แคลอรีต่อ 1 ช้อนโต้ะ ซูคราโลสเป็นสิ่งที่สามารถให้รสชาติหวานได้สูงมากกว่าน้ำตาลถึง 600 เท่า สามารถที่จะทนต่อความร้อนได้เป็นอย่างดีจึงทำให้มักได้รับความนิยมในการนำไปใช้ในการทำเบเกอรี่ เป็นสารที่บอกเลยว่าไม่มีพลังงานแถมยังไม่มีผลต่อระดับของอินซูลินอีกด้วย ในปัจจุบันสารซูคราโลสได้รับอนุญาตให้สามารถนำไปใช้ในอาหารได้เพียง 15 ประเภทเท่านั้น

คำถามยอดฮิตในใจของหลายๆ คน คือ ทานซูคราโลสแล้วปลอดภัยแน่หรือ? ถึงแม้ว่าจะมีงานวิจัยหลายชิ้นได้ออกมาแสดงให้เห็นว่าสารสเปนดานั้นส่งผลอันตรายต่ออวัยวะของสัตว์บางส่วนแต่ในปัจจุบันนี้ก็มีข้อมูลทางด้านวิชาการมากมายนับกว่าร้อยชิ้นที่ออกมาแสดงให้เห็นว่าสารสเปนดาไม่ได้ทำให้เกิดพิษสะสมภายในร่างกาย ไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง ไม่สามารถส่งผลต่อส่วนของระบบประสาทและระบบการสืบพันธุ์ของคนเราได้ (บวกกับทางองค์การอาหารและยาของทางสหรัฐอเมริกาก็ได้สรุปออกมาในลักษณะเชิงเดียวกัน) ทำให้เราจึงสามารถพบเห็นได้ว่าซูคราโลสมีขายและนำมาใช้มากมายในหลายประเทศ (อนุมัติและใช้มากกว่า 80 ประเทศด้วยซ้ำไป) แถมยังนำมาใช้ในพวกอาหารต่าง ๆมากกว่า 400 ชนิดอีกด้วย

สรุปคือทานแล้วไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ไม่ก่อให้เกิดพิษแบบสะสม ไม่ทำให้เกิดปลกระทบต่อส่วนของยีน ไม่ได้เป็นสารที่สามารถก่อมะเร็ง ไม่มีผลต่อระดับของอินซูลินในร่างกายและที่สำคัญยังไม่มีผลต่อตัวทารกหากคุณแม่จะทานเข้าไป เพราะ สารนี้ไม่สามารถผ่านเข้าไปในบริเวณน้ำนม

นีโอแทมและสารแอดวานแทม

สองสารนี้เป็นสารให้ความหวานที่สามารถใช้แทนน้ำตาลได้เช่นกัน ได้รับการอนุญาตจากทางองค์การอาหารและยาของทางประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสารนีโอแทมจะเป็นสารที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกันกับสารแอสปาร์แทมมาก มีความหวานอยู่ที่ประมาณ 7,000 – 13,000 เท่าเมื่อเทียบกับน้ำตาล ไม่นิยมใช้ในพวกผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อสัตว์ สามารถที่จะทนความร้อนได้ค่อนข้างมาก นิยมนำมาใช้ในขนมเบเกอรี่เป็นหลัก ส่วนสารแอดวานแทมเกิดจากสารสองสารคือสารแอสปาร์แทมกับสารแวนิลลินซึ่งเป็นสารที่ให้ความหวานสูงเช่นกัน ( อยู่ที่ 20,000 เท่าของน้ำตาล ) มีโครงสร้างที่คล้ายกันกับสารแอสปาร์แทม หากจะนำไปใช้ควรใช้ในปริมาณที่น้อย ๆ เข้าไว้จะดีกว่า  [adinserter name=”เบาหวาน”]

สติวิออลไกลโคไซด์

สาร “ สติวิออลไกลโคไซด์ ” เป็นสารตามธรรมชาติประเภทหนึ่งที่สามารถพบได้ตามสตีเวียหรือที่รู้จักกันดีในชื่อของหญ้าหวาน หญ้าหวานนั้นเป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรที่เรียกว่าอยู่ในตระกูลเดียวกับกับพวกทานตะวัน มีชื่อแบบเต็มว่า “ STEVIA REBAUDIANNABERTONI ” เป็นพืชที่สามารถพบได้มากในโซนอเมริกากลางและใต้ ในอดีตชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ในประเทศปาราวัยและประเทศบราซิลมักจะเลือกใช้หญ้าหวานในการนำมาใช้เป็นสารให้ความหวานนานกว่าหลายร้อยปีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในช่วงปี 1931 ได้มีนักเคมีสัญญาติฝรั่งเศสได้ทดลองทำการสกัดเอาสารที่มีชื่อว่า “ สารสตีวีโอไซด์ ” ออกมาจากส่วนของใบหญ้าหวานเป็นครั้งแรกและพวกเขาก็สามารถทำได้สำเร็จซึ่งตอนนั้นเมื่อทำสำเร็จกลับพบว่าสารตัวนี้เป็นสารที่ให้ความหวานได้สูงกว่าน้ำตาลถึง 200 เท่าเลยทีเดียว นอกจากจะได้สารตัวนี้แล้วยังโชคดีพบสารให้วามหวานแบบอื่นอีกถึง 8 ประเภทด้วยกัน แต่ที่พบในปริมาณที่มากที่สุด นั่นคือ REBAUDIOSIDE A ( REB A ) ตัวนี้สามารถให้ความหวานได้มากกว่าน้ำตาลถึง 300 เท่าแถมยังไม่เป็นตัวที่เข้าไปเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย เมื่อปี 1980 มีการวิจัยพบว่าหญ้าหวานสามารถก่อให้เกิดภาวะการเป็นหมันและอาจทำให้เกิดการกลายพันธุ์เกิดขึ้นได้ แต่ต่อมาในปี 2008 ทางบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง TRUVIA และ PEREVIA ได้ทำการยื่นผลการวิจัยให้กับทางด้านองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกาและหน่วยงาน  JOINT FAO/JECFA เกี่ยวกับประเด็นนี้เพื่อที่จะทำการพิสูจน์ว่า REB A นั้นสามารถที่จะทานได้ ปลอดภัยจริง ไม่ได้อันตรายอย่างที่ก่อนหน้านี้ค้นพบ ต่อมาในปี 2009 ก็ได้มีงานวิจัยเพิ่มเติมว่าสารสกัดที่ได้จากหญ้าหวานไม่ได้มีพิษ ไม่ให้พลังงานและไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด สามารถช่วยยับยั้งไม่ให้พลัคที่อยู่ในส่วนของปากเกิดการเจริญเติบโตมากขึ้นและที่สำคัญทานแล้วสามารถต้านสารก่อมะเร็ง ควบคุมน้ำหนัก ลดระดับความดันเลือดได้ดีเยี่ยมอีกด้วย

น้ำตาลแอลกอฮอล์

ตัวนี้เป็นอีกหนึ่งตัวที่สามารถพบได้ตามธรรมชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลไม้ตระกูลพวกเบอร์รี่ยิ่งพบได้มาก น้ำตาลตัวนี้ชื่อที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในชื่อ “ ซอร์บิทอล / แมนนิทอล / ไซลิทอล ” เป็นน้ำตาลที่มีผลต่อตัวระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่าน้ำตาลกลูโคสและน้ำตาลซูโครสพอสมควร มีพลังงานที่ค่อนข้างต่ำโดยเฉลี่ยก็จะอยู่ที่ 2 แคลอรีต่อกรัม หากทานมากถึง 50 กรัมอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียตามมาได้ ( แต่สำหรับบางคนอาจท้องเสียได้ตั้งแต่ทานเข้าไป 20 กรัมก็ได้เช่นกันแล้วแต่สุขภาพของแต่ละบุคคล ) หากใครที่เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการทานหมากฝรั่งเป็นชีวิตจิตใจโดยเฉพาะหมากฝรั่งประเภทซูการ์ฟรี ( มีน้ำตาลประเภทนี้อยู่แทน ) หากทานมากไปท้องเสียได้เช่นกัน บางคนอาจน้ำหนักตัวลดลง เนื่องจากเป็นผลจากการถ่ายมากเกินไป สำหรับหมากฝรั่งแบบนี้หากทานเข้าไป 1 ชิ้นจะให้พลังงานอยู่ที่ 5 แคลอรี ภายในมีปริมาณของซอร์บิทอลประมาณ 1.25 กรัม หากทานปริมาณ 5 ถึง 20 กรัมอาจส่งผลทำให้ท้องอืดเหมือนกัน ดังนั้นหากคิดจะเคี้ยวหมากฝรั่งอย่าทานเกินที่ฉลากกำหนดไว้จะดีที่สุด

สารให้ความหวานที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้ใช้ในอาหาร
ชนิด ความหวาน X เท่าของน้ำตาล ระดับ ADI (มก./กก./วัน)
Acesulfame K
อะเซซัลเฟมโพแทสเซียม
200 15
Advantame
แอดวานแทม
20, 000 32.8
Aspartame
แอสปาร์แทม
200 50
Monk Fruit
หล่อฮังก้วย
100-250 ปลอดภัยทุกปริมาณ
Neotame
นีโอแทม
7,000-13,000 0.3
Saccharin
แซ็กคาริน
200-700 15
Stevia Reb
สตีเวีย
 200-400 4
Sucralose
ซูคราโลส
600  5

ดังนั้นเราขอสรุปว่า น้ำตาลเทียมนั้นยังไม่ใช่สิ่งที่เราจะไฟเขียวให้คุณทานเพื่อช่วยทำให้คุณทานอาหารอะไรตามใจปากได้มากยิ่งขึ้น เพียงเพราะคุณคิดว่าทานแล้วจะไม่ได้ส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่ม ไม่ได้ทำให้น้ำหนักของร่างกายเพิ่ม คุณควรทานแค่พอดีควรปรับเรื่องของการทานหวานควบคู่ไปด้วยจะดีกว่า

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

เป็นเบาหวาน จะกินอย่างไรในเดือนเราะมะฎอน หรือรอมฎอน

0
เป็นเบาหวาน จะกินอย่างไรในเดือนเราะมะฎอน
เดือนเราะมะฏอน คือทุกคนจะต้องทำการงดสิ่งที่เป็นข้อห้าม เช่น การงดรับประทานอาหารและการไม่ดื่มสิ่งใดในช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้นเหนือขอบฟ้า
เป็นเบาหวาน จะกินอย่างไรในเดือนเราะมะฎอน
ผลไม้อบแห้ง มีปริมาณน้ำตาลสูง แคลอรีสูงอุดมไปด้วยใยอาหารหรือไฟเบอร์ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีและไม่มีไขมันสะสม

เดือนเราะมะฎอน ( รอมฎอน )

สำหรับในช่วง เดือนเราะมะฏอน นั้นเรียกว่าเป็นอีกหนึ่งว่าเดือนรอมฎอน ที่มีความสำคัญมากต่อชาวมุสลิมทั่วโลก เป็นเดือนที่นับว่าเป็นช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นช่วงที่ตรงกับเดือนเก้าตามจันทรคติ (ในรูปแบบของปฏิทินอิสลาม) ในส่วนนี้เป็นสิ่งที่กินระยะเวลายาวนานเกือบถึงหนึ่งเดือนเต็ม ช่วงนี้ชาวมุสลิมจะมีการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ในทิศทางเดียวกันนั่นคือทุกคนจะต้องทำการงดสิ่งที่เป็นข้อห้ามตามที่ทางศาสนาอิสลามได้บัญญัติเอาไว้  อาทิเช่น การงดรับประทานอาหารและการไม่ดื่มสิ่งใดในช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้นเหนือขอบฟ้า เป็นต้น นั่นจึงยิ่งทำให้ในช่วงเดือนนี้กลายเป็นช่วงเวลาที่อาหารเช้ากลับต้องถูกปรับตัวให้เร็วมากขึ้นพอสมควร เพราะ อาหารเช้าถูกจำกัดให้ต้องทานในช่วงก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นเหนือขอบฟ้าเท่านั้นและจะสามารถทานอีกครั้งได้ก็ต่อเมื่อพระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว สำหรับผู้ป่วยเบาหวานก็ควรมีการเตรียมตัวเช่นกันก่อนการถือศีลอด หรือเราะมะฎอนที่เรารู้จักกันนั่นเอง

การถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน ( รอมฎอน ) มีผลต่อผู้เป็นเบาหวานอย่างไร?

เราะมะฎอนจริง ๆ แล้วการถือศีลอดไม่ได้เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อตัวของสุขภาพคนเราแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามการถือศีลอดในช่วงเดือนเราะมะฎอนกลับกลายเป็นสิ่งที่ส่งผลดีทั้งต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจด้วยซ้ำไปแต่สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคเบาหวานแล้วละก็อาจต้องอาศัยความระมัดระวังมากกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย ในช่วงของการถือศีลอดนั้นสามารถเกิดภาวะสำคัญ ๆ ได้หลายอย่าง เช่น

ภาวะน้ำตาลสูง เป็นภาวะที่อาจเกิดจากการที่ตัวบุคคลที่เป็นโรคเบาหวานซึ่งต้องผ่านการฉีดอินซูลินคิดที่จะหยุดการฉีดอินซูลินแบบทันทีทันใดแต่ในความเป็นจริงควรที่จะต้องทำการฉีดอินซูลินต่อไปเรื่อย ๆ ดังเดิมจะดีกว่า และยิ่งหากใครที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 1 แล้วละก็ยิ่งควรต้องฉีดอยู่ที่สุด เนื่องจาก กลุ่มนี้ส่วนของตับจะค่อย ๆ มีการปล่อยกลูโคสออกมาในระหว่างที่กำลังอดอาหารและที่สำคัญอินซูลินได้กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของตอนหลังพระอาทิตย์ตกดิน (ช่วงที่สามารถทานอาหารได้แล้ว)
ภาวะขาดน้ำ เมื่อมีการถือศีลอดในช่วงเดือนเราะมะฎอนเกิดขึ้นเมื่อนั้นก็ย่อมต้องมีการละเว้นเรื่องของการดื่มน้ำตามมาด้วยอยู่แล้ว เป็นของควบคู่กัน ยิ่งหากวันใดที่มีสภาพอากาศที่ร้อนจัดนั่นย่อมเป็นการกระตุ้นให้เกิดภาวะนี้ได้ง่ายมากยิ่งขึ้นไปอีกและหากใครที่ต้องออกแรงมาก ๆ ในช่วงระหว่างวันจะยิ่งทำให้เกิดการเสียเหงื่อได้ง่าย เมื่อเกิดการเสียเหงื่อระดับน้ำตาลที่อยู่ในเลือดก็จะค่อย ๆ สูงตาม เมื่อเกิดการขาดน้ำทีนี้สิ่งที่จะตามมาก็คือระดับความดันจะค่อย ๆ ลดต่ำลง เมื่อลดมากเข้านั่นย่อมทำให้มีโอกาสที่จะเกิดอันตรายต่อร่างกายได้มากนั่นเอง เช่น การเกิดภาวะหมดสติ อาจเกิดการหมดเรี่ยงแรง อาจเกิดการบาดเจ็บหรือเกิดการกระดูกหัก ฯลฯ
การเกิดลิ่มเลือด ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานนั้นจะค่อนข้างมีความเสี่ยงมากต่อการเกิดการแข็งตัวของเลือดกว่าคนปกติ ยิ่งหากเกิดลิ่มเลือดพร้อมกับเกิดภาวะขาดน้ำแล้วละก็นั่นจะยิ่งกลายเป็นอะไรที่เลวร้ายแบบสองเท่าไปเลย หากรุนแรงมากกว่านี้อาจนำไปสู่อันตรายร้ายแรงอย่างเช่นการเกิดภาวะหัวใจวายหรือเส้นเลือดในสมองเกิดการตีบตันได้
ทั้งหมดที่เรากล่าวมาข้างต้นนี้เป็นเพียงรายละเอียดบางส่วนที่เราได้ทำการคัดเลือกมาเสนอให้กับคุณเพราะเราคิดว่าน่าจะพอเป็นประโยชน์ให้กับคุณไม่มากก็น้อย อาจพอทำให้คุณเกิดความเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะได้รับความรู้และเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นนี้อย่างถูกต้อง
“จงระลึกไว้เสมอว่า…เรื่องของโรคเบาหวานอย่ามองข้ามหากคิดจะถือศีลอดแบบจริงจัง…อันตรายอยู่ใกล้ตัวทุกเมื่อ”

ประโยชน์ดี ๆ ที่คุณจะได้รับหากคุณทำการถือศีลอดในช่วงเดือนเราะมะฎอน

สำหรับเรื่องของการอดอาหารเป็นสิ่งที่ค่อนข้างที่จะส่งผลกระทบต่อร่างกายได้มากพอสมควร กล่าวคือ เป็นสิ่งที่สามารถทำให้ระดับน้ำตาล ระดับคอเลสเตอรอลและระดับของความดันเลือดค่อย ๆ ลดลงได้ ทางแพทย์ซึ่งเป็นชาวมุสลิมหลายท่านได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่าการที่ชาวมุสลิมทำการถือศีลอดช่วงเดือนเราะมะฎอนเป็นสิ่งที่ดีและเหมาะกับบุคคลที่กำลังรักษาตัวจากโรคเบาหวานประเภทที่ 2 เป็นอย่างยิ่ง เพราะกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งสารอินซูลิน มีระดับความรุนแรงของตัวโรคไม่สูงมากและยังเป็นกลุ่มที่สามารถควบคุมได้ในระดับหนึ่งอีกทั้งยังเหมาะกับบุคคลที่มีลักษณะน้ำตัวมาก เป็นโรคอ้วน มีความดันโลหิตที่ค่อนข้างสูงได้อีกด้วย

ในปัจจุบันมีงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่าการอดอาหารจริง ๆ แล้วก็สามารถช่วยส่งเสริมให้ร่างกายยังคงมีสุขภาพที่ดีได้ ไม่ได้เป็นการทำร้ายหรือส่งผลในเชิงลบต่อร่างกายแต่อย่างใด แต่สำหรับบุคคลใดที่อยู่ในภาวะของการป่วยด้วยโรคที่เป็นในระดับรุนแรงมาก อาทิเช่น โรคเบาหวานขั้นสุดท้าย โรคหัวใจ โรคนิ่วภายในใต ฯลฯ แบบนี้ควรละเว้นการถือศีลอดจะดีกว่า ไม่ควรดื้อฝืนทำต่อไป เพราะหากทำลงไปแล้วนั่นอาจนำพาคุณไปสู่การพบเจอกับอันตรายที่คุณอาจคาดไม่ถึงก็ได้ นอกจากนี้บุคคลที่ป่วยในระดับรุนแรงจะค่อนข้างมีสภาวะทางด้านจิตใจที่ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก เนื่องจาก เมื่อร่างกายเกิดการเจ็บป่วยเกิดขึ้นเมื่อนั้นตัวผู้ป่วยเองก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของญาติและทีมแพทย์ตลอดเวลา จำเป็นต้องปฏิบัติตนตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดและอาจทำให้เกิดความเครียดตามมาได้ เมื่อใดที่เกิดความเครียดเข้าครอบงำภายในจิตใจหากยิ่งเครียดมากก็จะยิ่งทำให้ระดับน้ำตาลสูงมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการอดอาหารที่ดีคือการอดแบบไม่เครียด นอกจากนี้การถือศีลอดยังสามารถช่วยทำให้ตัวบุคคลที่เจ็บป่วยเกิดภาวะทางด้านจิตใจสงบลง มีสมาธิมากขึ้น ทำให้ได้พบเจอกับความสุขสงบอย่างแท้จริงภายในจิตใจ เป็นการช่วยขจัดพฤติกรรมหรือนิสัยไม่ดีของตนเองได้อย่างชัดเจน ดังนั้นทั้งหมดนี้จึงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าชาวมุสลิมส่วนใหญ่เลือกที่จะให้ความสำคัญกับการถือศีลอดมากเป็นพิเศษและเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่าหากทำแล้วย่อมต้องดีต่อตนเองอย่างแน่นอน

อยากถือศีลอดในช่วงเดือนเราะมะฎอน แต่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจะทำอย่างไรดี?

สำหรับชาวมุสลิมท่านใดที่กำลังป่วยเป็นโรคเบาหวานและมีความต้องการเป็นอย่างยิ่งที่จะถือศีลอดให้ได้ เราอยากจะแนะนำคุณว่าหากคุณมีความแน่วแน่ที่จะทำจริงคุณควรต้องมีการเตรียมตัวก่อนอย่างน้อยเป็นระยะเวลาประมาณหนึ่งหรือสองเดือนก่อนถึงวันจริง ต้องปรับเรื่องของยาประจำตัวและการออกกำลังกายให้เป็นไปในเชิงที่ปลอดภัยมากที่สุด ส่วนเรื่องของอาหารสำหรับคนที่อยู่ในช่วงระหว่างการถือศีลอดหรือเราเรียกว่า “เราะมะฎอน” ควรต้องเป็นอาหารที่ดูแล้วไม่ได้จะมีความแตกต่างจากอาหารเพื่อสุขภาพแต่อย่างใด ดูแล้วน่าทาน ต้องเป็นอาหารที่เน้นเรื่องของความสมดุลของสารอาหารเป็นหลัก และด้วยระยะเวลาของช่วงอดอาหารนั้นค่อนข้างที่จะยาวนานมากกว่า 10 ชั่วโมงการทานอาหารจึงควรเป็นการเลือกทานอาหารที่จะค่อย ๆ ปล่อยสิ่งสำคัญอย่าง “พลังงาน” ออกมาแบบทีละน้อยบวกกับต้องเป็นอาหารที่มีปริมาณเส้นใยสูงมากอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ควรเลือกทานอาหารที่ภายในมีระดับระดับไกลซีมิกและระดับน้ำตาลที่ค่อนข้างต่ำ (แบบนี้ให้เลือกมาเป็นอาหารเช้าแทน) อาหารแบบนี้ ได้แก่ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ผลไม้ โยเกิร์ต ถั่ว ฯลฯ และที่สำคัญในช่วงนี้ควรยิ่งต้องดื่มน้ำให้มากเข้าไว้ พยายามทานอาหารประเภทที่เป็นของมันของทอดให้น้อย ๆ ในช่วงอาหารรอบดึก 

ในเรื่องของปริมาณอาหารสำหรับคนที่ถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอนจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องทานอะไรมากมายจนเกินเหตุไม่ใช่เห็นว่าตนเองอดอาหารมาทั้งวันแล้วพอถึงช่วงเวลาของการทานอาหารก็ทานเข้าไปเยอะ ๆ ตุนอาหารไว้ในกระเพาะมาก ๆ เข้าไว้ก่อน คุณควรทานแค่พออิ่มพอดี ยิ่งหากเป็นคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานอาจเลือกทานแบบสามมื้อก็ได้ การทำในลักษณะนี้ก็เพื่อเป็นการช่วยกระจายปริมาณของคาร์โบไฮเดรต ช่วงที่ร่างกายคนเรามีการอดอาหารร่างกายก็จะเริ่มเรียนรู้ที่จะกระตุ้นให้เกิดการดึงเอาไขมันออกมาใช้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และต่อให้ร่างกายจะทานอาหารเข้าไปในปริมาณที่ไม่มากมายอะไรแต่หากปริมาณนั้นเป็นปริมาณที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้วนั่นย่อมไม่ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียเกิดขึ้น ทำให้ยังคงมีสุขภาพแข็งแรงได้เหมือนคนที่ทานอาหารตามปกติทั่วไปได้

เดือนเราะมะฎอนคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานหากกำลังถือศีลอดอยู่แล้วพบว่าตัวเองนั้นเกิดพบว่ามีระดับน้ำตาลที่ลดต่ำลงมาก ( น้อยกว่า 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ) ควรรีบหยุดการถือศีลอดทันที ต้องรู้จักที่จะสังเกตอาการของตนเองดูบ้างดูว่าตนเองนั้นเริ่มมีการอ่อนเพลียเกิดขึ้นหรือไม่ มีอาการเหงื่อแตกใจเต้นแบบเร็วมากผิดปกติหรือตามัวบ้างหรือไม่ หากมีคุณควรหยุดถือศีลอดแล้วรีบไปพบแพทย์ประจำตัวของคุณหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านให้เร็วที่สุด นอกจากนี้เรายังมีข้อแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับคนที่อยากจะถือศีลอดเพิ่มเติมด้วย ได้แก่ พยายามนอนหลับให้ได้ชั่วโมงที่เพียงพอ เลือกทานผลไม้และผักให้มากในแต่ละมื้อ ควรพยายามงดการทานอาหารรสจัด

ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้เราจะขอสรุปว่า สำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานนั้นจริง ๆ แล้วสามารถถือศีลอดแบบปลอดภัยได้แต่นั่นจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อยู่ตลอดเวลาแต่หากใครที่กำลังเป็นเบาหวานประเภท 2 แบบนี้ควรที่จะต้องหมั่นตรวจน้ำตาลในช่วงของแต่ละวันให้ถี่มากยิ่งขึ้นการทำเช่นนี้เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโอกาสมีภาวะน้ำตาลลดต่ำลง (มักเกิดในช่วงกลางวัน) และการเกิดน้ำตาลสูง (ในช่วงของกลางคืน) และที่สำคัญจะต้องควบคุมคาร์โบไฮเดรตที่ทานเข้าไปให้อยู่ในปริมาณที่เพียงพอ การทำให้ได้ตามนี้จะสามารถช่วยทำให้ระดับน้ำตาลไม่เกิดความแปรปรวนนั่นเอง

อาหารที่รับประทานในช่วงเดือนเราะมะฎอน

รายการอาหารแลกเปลี่ยน – ตัวอย่างเมนูในเดือนเราะมะฎอน ( 1,000 แคลอรี/วัน )
ปริมาณหมวดอาหารแลกเปลี่ยน อาหารอเมริกัน อาหารไทย อาหารปากีสถาน อาหารตะวันออกกลาง
อาหารเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
ผลไม้ 1 ผล น้ำส้มคั้น ½ ถ้วยตวง แก้วมังกร ½ ผล ส้ม 1 ผลกลาง ส้ม 1 ผลกลาง
ข้าว/แป้ง/ธัญพืช 3 ถ้วยตวง ขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น ข้าวโอ๊ต ½ ถ้วยตวง ข้าว 1 ถ้วยตวง ขนมปังพิต้า 1 แผ่น มันฝรั่งอบ ½ หัว ขนมปังพิต้า 1 แผ่น สลัดถั่ว 1/3 ถ้วยตวง
ผัก 1-2 ถ้วยตวง ซุปผัก ½ ถ้วยตวง หรือผักสลัด แกงจืดผักรวม เต้าหู้ 1 ถ้วยตวง ผักสลัด 1 ถ้วยตวง ผักสลัด 1 ถ้วยตวง
เนื้อสัตว์ 2 ถ้วยตวง คอตเทจชีส ¼ ถ้วยตวง สะโพกไก่ 1 ชิ้น ออมเล็ตชีส (ไข่ขาว
2 ฟอง ไข่แดง 1 ฟอง) เฟต้าชีส 30 กรัม
เนื้อไก่ 1 น่อง
ไขมัน 1 ช้อนชา เนย 1 ช้อนชา หอมเจียว 1 ช้อนชา น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา มะกอกดำ 2 ลูก
นมไขมัน 0%1 มล. นมขาดไขมัน 240 มล. นมถั่วเหลือง (จืด)1 กล่อง (240 มล.) นมขาดไขมัน 240 มล. โยเกิร์ต 1 ถ้วยตวง
อาหารไม่เข้มงวด ชา/กาแฟ/แยมเบาหวาน 2 ช้อนชา ชา/กาแฟ ชา ชา
อาหารว่างหลังพระอาทิตย์ตกทันที
ผลไม้ 1 ผล อินทผลัม 2 ผลใหญ่ อินทผลัม 2 ผลใหญ่ อินทผลัม 2 ผลใหญ่ อินทผลัม 2 ผลใหญ่
ข้าว/แป้ง/ธัญพืช 1 ถ้วยตวง แครกเกอร์ 6 แผ่นเล็ก ข้าวโพดต้ม ½ ฝักใหญ่ สลัดใส่ถั่ว 1/3 ถ้วยตวง สลัดใส่ถั่ว 1/3 ถ้วยตวง
นมไขมัน 0% 1 มล. นมขาดไขมัน 240 มล. นมขาดไขมัน 240 มล. โยเกิร์ต 1 ถ้วยตวง โยเกิร์ต 1 ถ้วยตวง
อาหารเย็น
ข้าว/แป้ง/ธัญพืช 2 ถ้วยตวง เนื้อย่าง 90 กรัม ปลาทูต้มยำ 1 ตัวใหญ่ เนื้อแกะย่าง 90 กรัม เนื้อย่าง 90 กรัม
ข้าว/แป้ง/ธัญพืช 2 ถ้วยตวง มันฝรั่งอบ 1 หัวเล็ก ข้าว 2/3 ถ้วยตวง ถั่วดัล (Daal) 1/3 ถ้วยตวง ซุปถั่วเลนทิล 1/3 ถ้วยตวง
ข้าว/แป้ง/ธัญพืช 2 ถ้วยตวง ขนมปังดินเนอร์โรล 1 ก้อน โรตีย่าง 1 แผ่นเล็ก ขนมปังพิต้า 1 แผ่นเล็ก
ผัก 2 ถ้วยตวง  สลัด 1 ถ้วยตวง (แครอต แตงกวา มะเขือเทศ แรดิช) ผัดผักรวม 1 ถ้วยตวง ใส่กุ้ง 30 กรัม สลัด 1 ถ้วยตวง (แตงกวา มะเขือเทศ  ราดซอสมะเขือเทศ บรอกโคลี 18/2 ถ้วยตวง ดอกกะหล่ำ หอมหัวใหญ่ 1/2
หอมหัวใหญ่ ถ้วยตวง รับประทาน
ผักลวก ½ ถ้วยตวง กับเนื้อย่าง)
ไขมัน 1 ช้อนโต๊ะ ครีมเปรี้ยว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมัน 2 ช้อนชา น้ำมัน 1 ช้อนชา น้ำมัน 1 ช้อนชา
ผลไม้ 1 ผล แอปเปิล 1 ผล สาลี่หอม 1 ผล องุ่น 15 ผลเล็ก แอปเปิล 1 ผล
อาหารไม่เข้มงวด
ผักกาดแก้ว เท่าที่ต้องการ น้ำสลัดลดแคลอรี 2  ช้อนโต๊ะ กาแฟ/ชา กาแฟ/ชา ชาหรือน้ำเปล่า น้ำสมุนไพร

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

เบาหวาน [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. มหาวิทยาลัยมหิดล; (ม.ป.ท.) 

อาหารเพิ่มสมรรถภาพทางเพศมีจริงหรือ ?

0
อาหารเพิ่มสมรรถภาพทางเพศมีจริงหรือ?
อะโวคาโดเพื่อบำรุงหัวใจให้แข็งแรง ช่วยลดปัญหาสมรรถภาพทางเพศ
ช็อกโกแลต มีสารฟีนิลเอทิลลามีนช่วยในการกระตุ้นให้อีพีเนฟรินทำให้เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

อาหารเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

อาหารเสริมสมรรถภาพทางเพศเป็นสิ่งที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะผู้ชายส่วนใหญ่ก็ล้วนอยากมีสมรรถภาพทางเพศที่ดีทั้งสิ้น ซึ่งหากพูดถึงอาหารเสริมสมรรถภาพทางเพศแล้ว คนส่วนใหญ่ก็จะนึกไปถึงอาหารเสริม 2 แบบด้วยกัน นั่นคือในรูปของยา เช่น ยาโด๊ป ไวอากร้าและอาหารเสริมในรูปของธรรมชาติ ซึ่งก็คือหอย  นางรมนั่นเอง แต่ความจริงแล้ว อาหารเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ มีจริงหรือ สามารถทำความเข้าใจได้ดังนี้

อาหารเพิ่มสมรรถภาพทางเพศไม่ใช่แค่เพิ่งได้รับการพูดถึง แต่เป็นที่กล่าวขานกันมาอย่างยาวนานถึงอาหารที่จะช่วยเพิ่มพลังทางเพศและแก้ปัญหาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้อย่างง่ายดาย โดยเมื่อประมาณ 160 ปีก่อนคริสตศักราช ชาวกรีกได้กล่าวถ้อยคำไว้ 1 ประโยคว่า “ Without good eating and drink, love grows cold. ” แปลได้ว่า “ เมื่อไร้อาหารและเครื่องดื่มที่ดี ความรักก็เย็นชาไม่ดื่มด่ำ ” ซึ่งก็แสดงให้เห็นได้ว่าคนเราเริ่มมีความคิดเกี่ยวกับอาหารว่ามีผลต่อความรู้สึกทางเพศตั้งแต่สมัยอดีตกาลเลยทีเดียว

โดยในสมัยของจักรพรรดิมอกเอซซูมาที่ 2 ( Montezuma ll ) พระองค์ได้ทานช็อกโกแลตเป็นหลักเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายและสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งก็ให้ผลดีไม่น้อยเลยทีเดียว โดยพระองค์จะดื่มช็อกโกแลตผสมกับน้ำผึ้งวันละ 50 แก้วเป็นประจำทุกวันจนกลายเป็นเมนูโปรดของพระองค์ในที่สุด นอกจากนี้ในยุคสมัยที่ชาวอเมริกันได้ตั้งถิ่นฐานในประเทศสหรัฐอเมริกาก็มีความเชื่อว่า เมล็ดแดนดิไลออนสามารถช่วยรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศและฟื้นฟูสมรรถภาพได้ดีเช่นกัน

ดังนี้จะเห็นได้ว่าอาหารและเครื่องดื่มต่าง ๆ ล้วนเกี่ยวข้องกับการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศมาตั้งแต่สมัยอดีตกาล ซึ่งคนในยุคนั้นมีความเชื่อว่าอาหารเหล่านี้จะสามารถเพิ่มพลังทางเพศได้และสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายได้ดีที่สุด และจากการที่อาหารสามารถเพิ่มพลังทางเพศได้ดีก็สามารถอธิบายตามหลักเคมีชีวะทางเซ็กส์ได้ว่า

ระบบประสาทอัตโนมัติที่เรียกว่าซิพาเทติก ทำหน้าที่ให้เกิดความรู้สึกตื่นตัวทางเพศ ผ่อนคลายความเครียด หายใจแรง เหงื่อออก ทำให้ม่านตาขยายกว้างและเกิดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ

ส่วนอีกระบบหนึ่งคือระบบพาราซิมพาเทติก ซึ่งจะทำหน้าที่ตรงข้ามกับระบบซิมพาเทติกทั้งสิ้น และเมื่อระบบการทำงานทั้งสองนี้เกิดการทำงานที่สมดุลกันก็จะทำให้เกิดการสื่อสารกับสมองผ่านทางฮอร์โมนต่างๆ ที่จะควบคุมความต้องการทางเพศของชายหญิงได้นั่นเอง
ทั้งนี้สารสื่อประสาทที่สำคัญมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ สารอีพิเนฟรินและสารนอร์อีพิเนฟริน ที่จะทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมและทำงานเกี่ยวกับการตื่นตัวทางอารมณ์โดยเฉพาะ

อาหารกับการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

โดยปกติแล้วการควบคุมความรู้สึกและอารมณ์ทางเพศนั้นจะต้องมีการทำงานของอีพิเนฟริน นอร์อีพิเนฟรินและโดพามีนอย่างสัมพันธ์กัน แต่การที่สารเหล่านี้จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะต้องได้รับวิตามินอี วิตามินบี 6 และกรดแอมิโนไทโรซีน รวมถึงสารอาหารชนิดอื่นๆ อย่างเพียงพอด้วย ซึ่งวิตามินและสารอาหารเหล่านี้ก็จะต้องได้รับจากอาหารโดยตรง จึงเรียกได้ว่าอาหารเป็นตัวเพิ่มสมรรถภาพทางเพศนั่นเอง
และสำหรับอาหารที่สามารถนำมาทานเพื่อเพิ่มสมรรถภาพทางเพศให้ดีขึ้นได้ ก็มีที่ได้รับการยอมรับและได้รับความนิยมหลายชนิดดังนี้

1. อะโวคาโด

อะโวคาโดมีต้นกำเนิดมาจากอเมริกาใต้ โดยผลของมันจะมีลักษณะคล้ายกับอัณฑะที่สุด แถมยังมากไปด้วยประโยชน์ เช่น บำรุงสุขภาพหัวใจให้แข็งแรงและช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น เป็นต้น ทั้งนี้จากการสำรวจก็พบว่าผู้ชายที่มีปัญหาโรคหัวใจก็มักจะหย่อนสมรรถภาพทางเพศด้วยเช่นกัน ดังนั้นการกินอะโวคาโดเพื่อบำรุงหัวใจให้แข็งแรง จึงสามารถลดปัญหาสมรรถภาพทางเพศให้เบาบางลงได้นั่นเอง

2. ช็อกโกแลต

เป็นอาหารที่นิยมนำมากินเพื่อเสริมสมรรถภาพทางเพศตั้งแต่อดีตกาล และได้รับฉายาว่าอาหารแห่งความรัก ซึ่งนิยมมอบให้แก่กันในวันวาเลนไทน์เสมอ โดยเหตุผลที่ช็อคโกแลตขึ้นชื่อว่าสามารถนำมาทานเพื่อเสริมสมรรถภาพทางเพศได้ดี นั่นก็เพราะว่ามีสารฟีนิลเอทิลลามีน ( Phenylethylamine ) สูงมาก และมีคาเฟอีนเล็กน้อย ซึ่งจะช่วยในการกระตุ้นให้อีพีเนฟรินออกฤทธิ์ เป็นผลให้เกิดความรู้สึกทางเพศที่สูงขึ้นไปด้วย ดังนั้นช็อคโกแลตจึงได้รับการยอมรับว่าเป็นอาหารที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศและได้รับความนิยมมาเท่าทุกวันนี้

และจากการวิจัยก็ยังพบอีกว่าในช็อกโกแลตมีสาวฟีนอลชนิดเดียวกับในไวน์แดง ซึ่งจะช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดี ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการกินช็อกโกแลตเป็นประจำก็จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้เหมือนกัน แถมยังทำให้สุขภาพหัวใจมีความแข็งแรงมากขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตามแม้ว่าช็อกโกแลตจะมีประโยชน์และสามารถต้านออกซิเดชั่นได้ดีไม่แพ้ไวน์แดง แต่ก็ไม่มีการสนับสนุนให้กินช็อกโกแลตได้อย่างอิสระหรือกินในปริมาณมาก เพราะให้พลังงานสูง จึงอาจทำให้อ้วนได้นั่นเอง โดยจะแนะนำให้เลือกทานผักผลไม้ที่มีสารแอนติออกซิแดนท์เป็นหลักมากกว่า นั่นก็เพราะมีประโยชน์ ปราศจากไขมันและอุดมไปด้วยสารอาหารมากมายหลายชนิด ที่จะทำให้คุณได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนที่สุด 

สำหรับการเลือกกินช็อคโกแลตเพื่อเสริมสมรรถภาพทางเพศนั้น ทางผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่าควรเลือกกินช็อคโกแลตที่มีประโยชน์และดีจริงๆ นั่นก็คือดาร์กช็อกโกแลตนั่นเอง ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้มีรสชาติหวานมันเหมือนกับช็อคโกแลตที่ใส่น้ำตาลเป็นส่วนประกอบ แต่ก็ให้ประโยชน์สูงมาก รวมถึงโกโก้ก็จะช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศได้ดีเช่นกัน โดยจะทำให้หลอดเลือดขยายตัวและเลือดไหลเวียนดีขึ้น ส่งผลให้อวัยวะเพศได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ และกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ทางเพศสูงขึ้นนั่นเอง

และนอกจากประโยชน์ข้างต้นแล้ว รู้หรือไม่ว่าช็อกโกแลตก็เป็นแหล่งของทองแดงอีกด้วย ซึ่งแร่ธาตุทองแดงนั้นมีความสำคัญต่อการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายและช่วยเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดแดงให้เหมาะสม ผู้ที่ขาดทองแดงจึงสามารถทานช็อกโกแลตเพื่อเสริมทองแดงให้สูงขึ้นได้นั่นเอง แต่ทั้งนี้ช็อกโกแลตที่มีขายตามท้องตลอดส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยเวิร์คมากนัก เพราะเป็นช็อกโกแลตที่ประกอบไปด้วยไขมันและน้ำตาลในปริมาณสูงมาก รวมถึงมีพลังงานและแคลอรี่สูงจึงอาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นหากไม่สามารถหาช็อกโกแลตที่เป็นดาร์คช็อกโกแลตได้จริงๆ ก็อาจทานอาหารอื่นๆ ที่มาแร่ธาตุทองแดงสูงแทนก็ได้ เช่น เมล็ดพืชชนิดต่างๆ อาหารทะเลและถั่วต่างๆ เป็นต้น

3. ถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืชที่มีไขมันชนิดดี

ถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืชส่วนใหญ่จะมีธาตุสังกะสีและโอเมก้า 3 สูง ซึ่งสารอาหารเหล่านี้มีส่วนช่วยในการกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการตื่นตัว ให้พลังงานและช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งก็จะส่งผลดีต่อการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศเช่นกัน แถมยังมีประโยชน์อีกมากมายอีกด้วย

4. แครอท และ แอปริคอต

แครอทและแอปริคอตได้รับความนิยมในการนำมาใช้เสริมเพิ่มสมรรถภาพทางเพศมาอย่างยาวนาน โดยชาวตะวันตกเชื่อว่าแครอทจะช่วยเพิ่มปริมาณของสเปิร์ม และระดับฮอร์โมนเพศให้สูงขึ้นได้ และในประเทศจีนก็มีความเชื่อว่าการให้เจ้าสาวกินผลแอปริคอตก็จะช่วยให้ตั้งครรภ์เร็วขึ้นอีกด้วย นั่นก็เพราะว่าผักทั้งสองชนิดนี้ล้วนมีเบต้าแคโรทีนและแมงกานีสสูงทั้งสิ้น ซึ่งก็เป็นสารที่มีส่วนช่วยในการเสริมสมรรถภาพทางเพศโดยตรง ทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสการมีบุตรได้ดีทีเดียว

5. แตงโม

ผลไม้ที่ขึ้นชื่อว่าให้ผลลัพธ์เหมือนกับเป็นยาไวอากร้าชั้นดีเลยทีเดียว เพราะในแตงโมมีสารซิทรูลีนที่จะทำหน้าที่เพิ่มระดับของกรดไนตริกและทำให้หลอดเลือดผ่อนคลายออก ส่งผลให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ทำให้อวัยวะเพศได้รับเลือดและสารอาหารไปเลี้ยงอย่างเพียงพอ จึงไม่หย่อนสมรรถภาพทางเพศได้ง่าย แถมยังมีความตื่นตัว ทนนานและมีขนาดใหญ่ขึ้น เรียกได้ว่าให้ผลลัพธ์แบบครบวงจรเลยทีเดียว 

6. กล้วยหอม

กล้วยหอมมีโพแทสเซียมสูงซึ่งจะทำหน้าที่ในการกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีวิตามินบี 6 ที่จะช่วยเร่งการสร้างสารสื่อประสาทในสมองได้เป็นอย่างดี ดังนั้นกล้วยจึงเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสุดยอดของการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศเลยทีเดียว

7. แบล็กราสป์เบอร์รี่

ผลไม้ชนิดนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของการกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ ทำให้ผู้ที่ความรู้สึกทางเพศต่ำมีความไวต่อเรื่องเพศมากขึ้น และมีความอึด ทน นาน สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างยาวนานมากกว่าเดิม เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหลั่งเร็วเป็นที่สุด

8. มะเดื่อ

ผลไม้เพิ่มสมรรถภาพทางเพศที่ชาวกรีกโบราณให้ความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะมีความเชื่อว่าจะสามารถเพิ่มสมรรถภาพทางเพศและชะลอการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ ซึ่งจากทางการแพทย์ในปัจจุบันก็ได้เผยว่ามะเดื่อสามารถแก้ปัญหาเรื่องเพศได้จริง นั่นก็เพราะในมะเดื่อมีวิตามินบีสูง โดยจะทำหน้าที่ในการเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และยัง อุดมไปด้วยแร่ธาตุอีกหลายชนิด เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม สังกะสี ใยอาหารและโพแทสเซียม เป็นต้น โดยสารอาหารเหล่านี้ก็ล้วนส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจและจำเป็นต่อการสร้างฮอร์โมนเพศไม่น้อยเลยทีเดียว

9. สตรอว์เบอร์รี่

สตรอว์เบอร์รี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินบี โดยจะทำหน้าที่ในการเพิ่มจำนวนสเปิร์ม จึงเพิ่มโอกาสในการมีบุตรให้กับฝ่ายชายได้อย่างดีเยี่ยมและลดความเสี่ยงการเป็นหมันของผู้ชายอีกด้วย

10. น้ำทับทิม

น้ำทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นและช่วยให้นกเขาชูคอได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็แก้ปัญหาสมรรถภาพทางเพศสำหรับคนที่มีความต้องการทางเพศต่ำหรือนกเขาไม่ขันได้อย่างดีเยี่ยม เพียงแค่ดื่มน้ำทับทิมบ่อยๆ เป็นประจำเท่านั้น  

11. หน่อไม้ฝรั่ง

จากความเชื่อของชาวอังกฤษตั้งแต่สมัยโบราณ มีความเชื่อว่าการกินหน่อไม้ต้มจะทำให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้นและกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้ดี ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าหน่อไม้ฝรั่งนั้นอุดมไปด้วยไนอะซินจึงมีคุณสมบัติดังกล่าวนั่นเอง

12. ชาโสม

ชาโสมมีสาระสำคัญที่จะทำหน้าที่ในการเพิ่มอารมณ์ทางเพศโดยเฉพาะ พร้อมทั้งสามารถป้องกันปัญหาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายได้ดีอีกด้วย โดยสารดังกล่าวนั้นเรียกว่า สารจินเซนโนไซด์นั่นเอง ดังนั้นจึงควรดื่มชาโสมเป็นประจำทุกเช้า หรือดื่มแทนกาแฟไปเลย

13. อาหารทะเล

อาหารทะเลเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญมากมายและสามารถเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ โดยมีฤทธิ์ดั่งยาโด๊ปเลยทีเดียว โดยเฉพาะหอยนางรม ซึ่งก็ได้รับการยอมรับจากหลายประเทศว่าดีจริง ดังสโลแกนของสถาบันหอยนางรมของทวีปอเมริกาที่ว่า “ กินหอยนางรมสร้างชีวิตรักให้ยืนยาว ” และเหตุผลที่ทำให้หอยนางรมขึ้นชื่อในเรื่องการเสริมสมรรถภาพทางเพศนั้นก็เพราะว่าหอยนางรมมีสังกะสีสูง โดยเป็นแร่ธาตุที่จะทำให้สเปิร์มสามารถเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นนั่นเอง ทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ในอาหารทะเลส่วนใหญ่ก็ยังอุดมไปด้วยกรดโอเมก้า-3 อีกด้วย ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จะกระตุ้นการตอบสนองทางเพศ ทำให้ผนังเส้นเลือดคลายตัวเพื่อให้เลือดไหลไปเลี้ยงอวัยวะเพศได้ดียิ่งขึ้น พร้อมแก้ปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับเพศได้ดี ดังนั้นจึงควรกินอาหารทะเลเพื่อสุขภาพทางเพศที่ดีอยู่เสมอ

สูตรการกินเพื่อเพิ่มความโรแมนติกและเพิ่มสมรรถภาพทางเพศที่ให้ผลดีที่สุด

  • กินอาหารที่มีส่วนช่วยในการดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดให้ดีอยู่เสมอ เพราะหากหัวใจมีความแข็งแรงก็จะลดโอกาสหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้ดีเหมือนกัน 
  • ควรเน้นการทานผักและผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีนสูง เพราะจะช่วยเพิ่มความตื่นตัวและเพิ่มความรู้สึกทางเพศได้ดี แถมยังมากไปด้วยประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย
  • กินปลาให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง รวมถึงอาหารทะเลต่างๆ ด้วย โดยเฉพาะหอยนางรมที่ขึ้นชื่อในเรื่องการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ
  • งดสูบบุหรี่และเลี่ยงการดื่มของมึนเมาในปริมาณมาก โดยควรดื่มแค่ไม่เกินวันละ 2 ดริ๊งค์เท่านั้น
  • เลือกทานอาหารที่มีสารอาหารที่สำคัญต่อการสร้างสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกทางเพศ ซึ่งได้แก่วิตามินบีและวิตามินซี
  • หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มความฟิตให้กับร่างกายและอวัยวะเพศ
  • ระมัดระวังการใช้ยาบางชนิด เพราะอาจส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศได้ ซึ่งถ้าให้ดีควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะใช้ยาอะไรทุกครั้ง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

เบาหวานกับเทศกาลปีใหม่กินอย่างไรไม่ทำลายสุขภาพ

0
เบาหวานกับเทศกาลปีใหญ่กินอย่างไรไม่ทำลายสุขภาพ
ผู้ป่วยโรคเบาหวาน สามารถปฏิบัติตนได้ตามหลักโภชนาการและสามารถใช้ชีวิตในช่วงเทศกาลปีใหม่ได้มีความสุขเหมือนกับคนปกติทั่วไป
เบาหวานกับเทศกาลปีใหญ่กินอย่างไรไม่ทำลายสุขภาพ
ผู้ป่วยโรคเบาหวาน สามารถปฏิบัติตนได้ตามหลักโภชนาการและสามารถใช้ชีวิตในช่วงเทศกาลปีใหม่ได้มีความสุขเหมือนกับคนปกติทั่วไป

คนเป็นเบาหวาน ควรกินอย่างไรไม่ทำให้เสียสุขภาพในเทศกาลปีใหม่

เทศกาลวันหยุดปีใหม่ ถือว่าเป็นช่วงวันเวลาที่ใครหลายๆคนคงอยากให้มาถึงเร็วๆ เนื่องจากเป็นเทศกาลวันหยุดยาวที่ติดต่อกันหลายวัน เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่จะได้กลับไปเจอญาติพี่น้อง ที่อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน หรือจะเป็นการได้ออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ กับครอบครัวหรือบรรดาเพื่อนฝูง คนเบาหวาน ควรกินอย่างไรในเทศกาลปีใหม่ ดังนั้นจึงมีหลักการง่ายๆ สำหรับการทานอาหารของคนเป็นเบาหวานและใช้ชีวิตให้มีความสุขในเทศกาลปีใหม่ ดังวิธีต่อไปนี้

เคล็ดลับก่อนไปฉลองปีใหม่ สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

1. ผู้ป่วยเบาหวาน ควรจำกัดชนิดและปริมาณอาหารให้เหมาะสม ควรเลือกประเภทของอาหารก่อนที่จะกินเข้าไป โดยต้องพิจารณาอาหารแต่ละชนิดว่าเหมาะสมกับร่างกายตนเองหรือไม่ ไม่ใช่ว่ามีอาหารอะไรก็ทานหมดทุกอย่าง ที่สำคัญต้องระมัดระวังอาหารที่มากไปด้วยคาร์โบไฮเดรต อาหารที่มีปริมาณน้ำตาลมาก นอกจากนี้ก็ควรทานอาหารแต่ละชนิดในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป

2. เลือกกินประเภทอาหารที่มีน้ำหนักมาก มีงานวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการทานอาหารของมนุษย์ออกมาว่า สมองของคนเรามักจะสั่งให้เรากินในปริมาณที่สอดคล้องกับน้ำหนักอาหาร เช่น การกิน มันฝรั่งทอด สาหร่ายทอกรอบ ที่มีรูปร่างเป็นชิ้นเล็กๆ มีน้ำหนักเบา แต่มีการให้พลังงานสูง เรามักจะยังไม่รู้สึกอิ่มกับการกิน แต่หากเราทานอาหารที่มีรูปร่างเป็นชิ้นใหญ่ๆ มีน้ำหนักมากขึ้นอย่างเช่น แอปเปิล ส้ม ซึ่งให้พลังงานเท่ากัน เรามักจะรู้สึกอิ่มกว่าการกินอาหารชิ้นเล็กๆ ดังนั้นหากเลือกได้ควรเลือกกินอาหารที่มีชิ้นใหญ่ และมีน้ำหนักมากอย่างเช่นอาหารในกลุ่มของผลไม้

3. ไม่ละเลยการออกกำลังกาย ในช่วงเวลาวันหยุดเทศกาลปีใหม่แบบนี้หลายคนมักฉลองกันอย่างสนุกสนาน จนลืมกิจวัติที่เคยทำอย่างออกกำลังกายไป ดังนั้นหากรู้ตัวว่าจะมีกิจกรรมงานสังสรรค์ให้จัดระเบียบเวลาการออกกำลังกายตนเองให้ดี โดยอาจจะเลื่อนหรือปรับเปลี่ยนเวลา แต่ไม่ควรข้ามวันหรืองดกิจกรรมออกกำลังกายไปเลย เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยป้องกันน้ำหนักเพิ่ม ลดความเครียดในร่างกาย และลดความอยากอาหารได้อีกด้วย

4. ผู้ป่วยเบาหวาน ควรออกกำลังกายก่อนกินมื้อใหญ่ ก่อนที่จะออกไปงานเลี้ยงสรรค์มื้อใหญ่ ควรปรับพฤติกรรมเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้เกิดการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้มากขึ้น ก่อนที่จะมีการกินอาหารเข้าไป โดย อาจใช้วิธีการเดินให้บ่อยขึ้น ไม่นั่งๆนอนๆทั้งวัน แต่ไม่ควรออกกำลังกายแบบหักโหมเพราะจะทำให้กินอาหารได้มากขึ้นกว่าเดิม

5. ดื่มน้ำก่อนกินอาหาร การดื่มน้ำเปล่าสะอาดก่อนการกินอาหารในประมาณ 1 – 2 แก้ว จะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มเร็วมากขึ้น ทำให้กินอาหารให้น้อยลง นอกจากนี้ วิธีการดื่มน้ำก่อนกินอาหาร ยังช่วยให้ระบบขับถ่ายและระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย

6. ผู้ป่วยเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ให้พลังงานสูง โดยปกติแล้วภายในงานเลี้ยงสังสรรค์จะมากไปด้วยเครื่องดื่มหลากหลายชนิด เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งหลายชนิดมักจะมากไปด้วยปริมาณของน้ำตาล และให้พลังงานที่สูง หลายคนคงคิดไม่ถึงว่า น้ำอัดลม 1 กระป๋องจะให้พลังงานที่สูงมากถึง 150 แคลอรี เลยทีเดียว รวมถึงการดื่มชา กาแฟ ก็ควรเติมน้ำตาลหรือครีมเทียมในปริมาณที่ต้องไม่มากจนเกินไป ดังนั้นจึงควรดื่มเครื่องดื่มต่างๆเหล่านี้ในปริมาณที่น้อย หรือ หากเลี่ยงได้จะดีที่สุด และควรดื่มน้ำเปล่าเป็นหลักจะดีกว่า

7. บริหารจัดการอาหารสำหรับคนเป็นเบาหวานในแต่ละวัน หากรู้ว่าในตอนเย็นจะต้องไปงานเลี้ยงสังสรรค์ ก็ควรปรับปริมาณลดอาหารของในมื้อเช้าและมื้อกลางวันลดลง เพื่อให้ปริมาณพลังงานที่ได้รับไม่มากเกินไปในแต่ละวัน หรือหากไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อน หากวันนี้ทานอาหารมากกว่าปกติ ในวันรุ่งขึ้นก็ควรทานให้น้อยลง แต่ไม่ควรอดอาหารโดยเด็ดขาด

หากผู้ป่วยโรคเบาหวาน สามารถปฏิบัติตนได้ตามทั้ง 7 ข้อที่กล่าวไปข้างต้นนี้แล้วละก็ จะสามารถใช้ชีวิตในช่วงเทศกาลปีใหม่ได้มีความสุขเหมือนกับคนปกติทั่วไป สามารถไปงานเลี้ยงสังสรรค์ได้อย่างไม่ต้องวิตกกังวลอีกต่อไปแล้ว แต่ทั้งนี้หากผู้ป่วยไม่มีวินัยมากพอ ไม่ยอมปฏิบัติตนตาม 7 ข้อที่กล่าวมา ผลเสียทั้งหมดก็จะตกอยู่ที่ผู้ป่วยเอง ทั้งสิ้น ทั้งระดับน้ำตาลหรือน้ำหนักตัวที่จะเพิ่มสูงขึ้น และยังอาจจะต้องเสียเวลาไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาด้วย ดังนั้นหากอยากมีความสุขในเทศกาลปีใหม่ที่มีแค่ปีละครั้งนี้ ก็ต้องรู้จักปฏิบัติตนเองอย่างเคร่งครัด

เตรียมตัวให้พร้อมก่อนไปฉลองปีใหม่สำหรับผู้เป็นเบาหวาน ดังนี้

  • อย่าปล่อยให้ตนเองหิวมาก ควรดื่มน้ำเปล่าก่อนไปสังสรรค์หรือจัดหนัก
  • จำกัดปริมาณอาหารขณะรับประทาน เช่น อาหารประเภทแป้ง น้ำตาลทุกชนิด ขนมหวานทุกชนิด ผลไม้กวน ผลไม้แช่อิ่ม ผลไม้เชื่อม เป็นต้น
  • ไม่ควรบริโภคของมึนเมา และสารเสพติด
  • อาหารที่สามารถทานได้ไม่จำกัดปริมาณ เช่น มะเขือ ฟัก แตงกวา น้ำเต้าผักกาด คะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้ง ตำลึง บวบ  ถั่วฝักยาว ถั่วงอก เป็นต้น

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). กินเท่าไหร่ กินแค่ไหน ไม่เสี่ยงอ้วน. ใน: ธิดารัตน์ มูลลา.ชีวิตใหม่ไร้พุง. กรุงเทพฯ : บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด, 2557.

อาหารช่วยลดอาการปวดท้องช่วงมีรอบเดือน

0
อาหารช่วยลดอาการปวดท้องช่วงมีรอบเดือน
อาการปวดท้องช่วงมีรอบเดือนเกิดจากการดตัวของกล้ามเนื้อและของหลอดเลือดที่อยู่ภายในผนังมดลูก
อาหารช่วยลดอาการปวดท้องช่วงมีรอบเดือน
อาการปวดท้องรอบเดือนเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อและหลอดเลือดภายในผนังมดลูก อาหารที่ลดอาการปวดเช่น กรดไขมันไลโนเลอิก จากนมถั่วเหลือง

อาหารช่วงมีรอบเดือน

การมี รอบเดือน จะมีอาการเจ็บป่วยอย่างหนึ่งที่จะเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ เป็นประจำทุกๆ เดือนก็คือ อาการปวดท้องประจำเดือน หรือ เรามักเรียกคำสั้นๆว่า ปวดท้องเมนส์ นั่นเอง อาการปวดทอ้งรอบเดือนนี้จะเกิดขึ้นกับผู้หญิงทุกๆเดือน โดย อาการปวดนั้น อาจมากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละคน นอกจากจะรู้สึกปวดท้องที่แล้ว อาการปวดประจำเดือนยังทำให้มีผลข้างเคียงเกิดขึ้นหลายๆอย่าง เช่น รู้สึกปวดหัว ปวดหลัง มีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่ายกว่าปกติ เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถที่จะป้องกันหรือ ลดระดับรุนแรงของอาการได้ หากรู้จักวิธีการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง

PMS คืออะไร?

PMS ย่อมาจาก Premenstrual Syndrome หมายถึง กลุ่มของอาการเจ็บป่วยรอบเดือนต่างๆ ที่มักจะมาก่อนช่วงเวลาที่ผู้หญิงจะมีประจำเดือน ซึ่งกลุ่มอาการเจ็บป่วยนี้มีมากมายกว่า 150 อาการ ที่เกิดขึ้นในทุกๆเดือน แต่อาการที่มักพบได้บ่อยๆ เช่น อาการปวดศีรษะ ภาวะอารมณ์ที่แปรปรวนง่าย เจ็บคัดเต้านม มีอาการบวมน้ำ มีพฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนไปจากปกติ เป็นต้น ส่วนสาเหตุในการเกิดอาการเจ็บป่วยก่อนการมีประจำเดือน หรือ PMS นี้ ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เชื่อว่ามาจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายของเพศหญิง โดยเฉพาะฮอร์โมนที่ชื่อว่า โปรเจสเตโรน ( Progesterone ) ที่เกิดขึ้นหลังมีการตกไข่

ทำไมถึงมีอาการปวดเวลามีรอบเดือน

อาการหลักทางกายอย่างหนึ่งของผู้หญิงในช่วงที่มีประจำเดือน หรือ ก่อนมีรอบเดือน ก็คือ อาการปวดตามส่วนต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณท้องน้อย ซึ่งอาการปวดมักจะแสดงออกมามากในช่วง 1-2 วันแรกของการมีประเดือน จากข้อมูลพบว่าผู้หญิงที่เป็นประจำเดือนมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์จะมีอาการปวดนี้ แต่ผู้หญิงที่มีบุตรแล้ว จะมีอาการปวดดังกล่าวลดลงเหลือเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น

สาเหตุที่เกิดอาการปวดท้องรอบเดือนนี้ มีเหตุจากการที่ สารพรอสตาแกลนดิน ( ชนิด PG2 ) ซึ่งเป็นสารคล้ายฮอร์โมน สร้างจากไขมันที่สะสมในเซลล์ผนังมดลูก ทำหน้าที่เกี่ยวกับการอักเสบหดตัวของกล้ามเนื้อและของหลอดเลือด การแข็งตัวของหลอดเลือดและอาการเจ็บปวด

ร่างกายของผู้หญิงจะสร้างสารพรอสตาแกลนดิน ( ชนิด PG2 ) เมื่อเนื้อเยื่อเหล่าต่างๆ เกิดบาดเจ็บหรือติดเชื้อ โดยเซลล์เนื้อเยื่อเหล่านั้นจะสร้างสารโพรสตาแกลนดินตอบสนองขึ้นมา โดยก่อนที่ประจำเดือนจะมา เซลล์เยื่อบุผนังมดลูกจะสร้างสารพรอสตาแกลนดินออกมา ทำให้หลอดเลือดในมดลูกหดตัว กล้ามเนื้อในมดลูกเกิดอาการบีบตัว ส่งผลให้เกิดอาการปวดขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้สารพรอสพรอสตาแกลนดินบางส่วนจะเข้าไปในกระแสเลือด จึงทำให้เกิดอาการปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเดินได้เช่นกัน

สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงมีรอบเดือนและมีอาการปวดมากจนทนไม่ไหว อาจจะใช้ยาแก้ปวด หรือกระเป๋าน้ำร้อนบรรเทาอาการปวด ซึ่งในทางการแพทย์จะมีการให้ยาแก้ปวดประเภทต้านการอักเสบที่ไม่มีสเตียรอยด์ ( Nonsteroidal Anti-inflammatory Drug ) ซึ่งสามารถช่วยลดระดับสารพรอสตาแกลนดิน ที่เป็นต้นเหตุของอาการปวดได้ ส่วน ผู้หญิงที่ใช้ยาคุมกำเนิดอยู่แล้ว อาจจะไม่ค่อยมีปัญหาปวดท้อง เพราะยาคุมกำเนิดจะลดการเจริญของเซลล์ผนังมดลูก ทำให้ผลิตสารพรอสตาแกลนดินลดลง

การใช้โภชนาการบำบัดอาการ PMS

แม้ว่าอาการเจ็บป่วยก่อนมีประจำเดือนของผู้หญิง จะมาทุกๆเดือนเป็นประจำ และเป็นกลไกปกติของร่างกายมนุษย์ ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกๆคน แต่จากการศึกษาทางข้อมูลการแพทย์ก็พบว่า เราสามารถที่จะควบคุมหรือลดระดับอาการเจ็บป่วยของภาวะ PMS ได้ เช่นกัน โดยใช้หลักโภชนาการอาหารช่วงมีรอบเดือนที่ดีเข้ามาช่วย ซึ่งมีหลักการดังต่อไปนี้

1. กินอาหารช่วงมีรอบเดือนให้เป็นเวลา การทานอาหารให้ครบ 3 มื้อหลักและตรงเวลา ไม่งดหรืออดอาหารช่วงมีรอบเดือนมื้อใดมื้อหนึ่ง หรืออาจจะเสริมอาหารว่างเข้าไปในระหว่างมื้อก็ได้ โดยอาหารช่วงมีรอบเดือนในแต่ละมื้อหลักควรมีส่วนประกอบของโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบหลักด้วย การกระทำนี้ เป็นสิ่งที่ควรทำกับผู้หญิงในช่วงที่ประจำเดือนใกล้จะมา

2. เลี่ยงอาหารรสหวานและมากด้วยน้ำตาล โดยปกติแล้วในช่วงก่อนประจำเดือนจะมา ผู้หญิงบางคนจะมีอาการอยากกินอาหารที่มีรสหวานมากกว่าปกติ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการแกว่งของระดับน้ำตาลและฮอร์โมนอินซูลินในเลือดช่วงก่อนมีประจำเดือน และในช่วงเวลานี้ยังทำให้ ระดับสารเซโรโทนินซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในสมองลดระดับปริมาณลง ทำให้เกิดความรู้สึกอยากกินอาหารที่มีรสหวานบ่อยๆ เมื่อกินอาหารช่วงมีรอบเดือนประเภทคาร์โบไฮเดรต หรือของหวานเข้าไป จะทำให้ระดับเซโรโทนินเพิ่มขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่หลังจากนั้นไม่นานเมื่อระดับเซโรโทนินลดลง ก็จะกระตุ้นให้เกิดอาการพีเอ็มเอสขึ้นได้อีก ดังนั้นจึงแนะนำให้มีการเลี่ยงของหวานในช่วงเวลานี้ และให้ไปเน้นทานอาหารที่เป็นประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ย่อยช้ากว่า เช่น ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต เผือก มัน ฟักทอง ข้าวโพด ให้มากขึ้น จะช่วยลดอาการอยากของหวานและช่วยปรับสภาวะของอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ และอาหารประเภทนี้ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย 

3. เลี่ยงกรดไขมันอิ่มตัวสูง เนื่องจากกรดไขมันประเภทนี้จะไปกระตุ้นให้อาการ PMS กำเริบ โดยปกติเราจะพบกรดไขมันอิ่มตัวได้จากอาหารประเภท เนื้อสัตว์ เนย กะทิ ดังนั้นในช่วงก่อนหรือช่วงมีประจำเดือนควรจะงดทานอาหารช่วงมีรอบเดือนประเภทนี้ และไปเน้นทานอาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำแทน เช่น ปลา ถั่ว ธัญพืชไม่ขัดสี รวมทั้งอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ซึ่งอาหารเหล่านี้จะไปช่วยลดและบรรเทาอาการในกลุ่ม PMS ได้

4. เลือกอาหารที่มีกรดไขมันไลโนเลอิก เนื่องจากกรดไขมันไลโนเลอิก เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งจะไปช่วยปรับระดับสารคล้ายฮอร์โมนที่ชื่อว่า พรอสตาแกลนดิน ในร่างกาย โดยจะไปช่วยลดอาการบวมน้ำ เจ็บคัดเต้านมได้ อาหารที่สามารถพบกรดไขมันไลโนเลอิก ได้แก่ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย เป็นต้น

5. เลี่ยงเครื่องดื่มคาเฟอีน สารคาเฟอีนที่พบได้มากใน ชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม จะมีผลไปกระตุ้น อาการภาวะอารมณ์ให้เกิดความแปรปรวนมากขึ้น จะรู้สึกหงุดหงิด โมโหง่าย รู้สึกกระวนกระวายใจ ดังนั้นผู้ที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือนควรเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน โดยอาจจะไปดื่มชาสมุนไพรแทนเครื่องดื่มคาเฟอีน

6. เลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด อาหารที่มีปริมาณโซเดียมสูง รวมทั้งอาหารหมักดองด้วย เนื่องจากอาหารที่มีรสเค็มจัดนี้จะส่งผลให้ทำให้ร่างกายเก็บน้ำไว้มากขึ้นและทำให้บวมน้ำได้

7. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่และหลากหลาย แม้ว่าผู้หญิงในช่วงที่มีประจำเดือนจะทานอาหารมากกว่าปกติอยู่แล้ว แต่การทานอาหารที่มากขึ้นอาจจะได้รับสารอาหารที่ไม่ครบถ้วนเสมอไป ดังนั้นจึงควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเน้นทานอาหารให้หลากหลายไม่ทานอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำๆกัน โดยสารอาหารที่สำคัญและจำเป็นที่ควรทานในช่วงที่มีประจำเดือน มีดังต่อไปนี้

– วิตามินบี 6 เป็นวิตามินที่ช่วยในการสร้างสารเคมีในสมอง อย่าง สารเซโรโทนินและโดพามีน ซึ่งเป็นสารเคมีในสมองที่ควบคุมการทำงานของเส้นประสาท ช่วยในเรื่องของความจำ สภาวะทางอารมณ์ และยังช่วยควบคุมความสมดุลของระดับน้ำในร่างกาย การแปรปรวนของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน จะส่งผลให้ร่างกายขาดวิตามินบี 6 ชั่วคราว การผลิตและการทำงานของสารเคมีในสมองลดลงจึงทำให้เกิดอาการ PMS ได้ ดังนั้นจึงมีการแนะนำให้ผู้หญิงที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือน ทานอาหารที่มากไปด้วยวิตามินบี 6 เพิ่มเข้าไป เพราะวิตามินบี 6 นี้จะช่วยบรรเทาอาการต่างๆของ PMS ได้ แต่ทั้งนี้หากร่างกายได้รับปริมาณที่สูงจนเกินไป ก็อาจส่งผลกระทบทำให้เกิดอาการเหน็บชาตามมือตามเท้า อาการปวด กับร่างกายได้เช่นกัน 

  • วิตามินอี หากร่างกายขาดวิตามินอี จะส่งผลต่อการผลิตสารคล้ายฮอร์โมนที่ชื่อว่าพรอสตาแกลนดิน ซึ่งเป็นสารเกี่ยวกับอาการปวด ดังนั้นการให้ผู้ที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือน เสริมวิตามินอี เพิ่มเข้าไปจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ในระดับหนึ่ง
  • แมกนีเซียม ในช่วงที่ร่างกายเกิดอาการ PMS จะทำให้ปริมาณแมกนีเซียมในร่างกายลดลงไปด้วย ซึ่งอาการขาดสารแมกนีเซียมจะคล้ายกับอาการของ PMS เช่น ปวดกล้ามเนื้อ กินอาหารมากขึ้น อยากกินของหวานมากกว่าปกติ คลื่นไส้ อารมณ์แปรปรวน ปวดหัว เป็นต้น โดยการเสริมแมกนีเซียมให้กับร่างกายก็จะช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้
  • แคลเซียม การให้ผู้ที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือนและมีอาการของ PMS ได้ทานอาหารที่มากไปด้วยแคลเซียม ในปริมาณสูง ประมาณวันละ 1,500 มิลลิกรัม (เท่ากับนม 4-5 แก้ว แก้วละ 240 ซีซี) จะสามารถช่วยบรรเทาอาการ PMS ได้ ช่วยปรับสภาพอารมณ์ให้ดีขึ้น ลดอาการปวดและบวมน้ำได้
  • อื่นๆ ผู้ที่มีอาการ PMS ควรทานอาหารที่มีไขมันต่ำ โดยเน้น กินผักและผลไม้ให้มาก เลือกทานธัญพืชชนิดไม่ขัดสี ซึ่งเป็นสิ่งที่มีใยอาหารสูง ให้วิตามินและเกลือแร่ครบถ้วน และดื่มน้ำเปล่าสะอาดให้วันละ 8 แก้ว นอกจากนี้ยังควรเลี่ยงอาหารช่วงมีรอบเดือนที่มากไปด้วยน้ำตาล เกลือ ไขมัน และมีแป้งเป็นส่วนผสมอยู่มาก

อาหารมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน

ในช่วงที่มีประจำเดือนหรือก่อนมีประจำเดือน จะส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน ในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก จึงอาจเป็นสาเหตุชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการในกลุ่ม PMS ขึ้น โดยอาหารที่ได้กินเข้าไปในแต่ละวันจะมีผลต่อการเพิ่ม ลด ของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน ในร่างกาย จึงได้มีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญให้กับผู้หญิงที่มักพบปัญหากับอาการของ PMS บ่อยๆ คือ ให้ลดปริมาณอาหารอาหารที่มากไปด้วยไขมัน เนื่องจากอาหารที่มากไปด้วยไขมันนี้จะส่งผลทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโทรเจนสูงขึ้น หากมีการลดไขมันลงแล้วระดับฮอร์โมนเอสโทรเจนจะลดลงตามไปด้วย มีข้อมูลจากการวิจัยพบว่าผู้ที่ทานอาหารมังสวิรัติไขมันต่ำ จะสามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการปวดท้องประจำเดือนได้ และยังลดอาการอื่นๆในกลุ่ม PMS เช่น ปวดหัว ปวดหลัง บวมน้ำ ภาวะอารมณ์หงุดหงิด เป็นต้น นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการลดอาการต่างๆจาก PMS แล้ว ยังมีประโยชน์ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมได้อีกด้วย

การปฏิบัติตนก่อนประจำเดือนมา

โดยปกติแล้ว สำหรับผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงปกติ สุขภาพจิตดี ไม่มีความเครียดใดๆ จะมีรอบของประจำเดือนมาตรงกันหรือใกล้เคียงในทุกๆเดือน ทำให้สามารถที่จะคาดคะเนได้ว่า เดือนต่อๆไปประจำเดือนจะมาประมาณวันไหน ซึ่งวิธีในการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนประจำเดือนมา 14 วัน สามารถปฏิบัติได้ดังต่อไปนี้ 

1. ลดอาหารประเภทไขมันสูงและเนื้อสัตว์ให้น้อยลง เนื่องจากมีผลการวิจัยว่า การทานอาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น ผู้ที่ทานมังสะวิรัติ จะมีอาการปวดต่างๆและอาการบวมน้ำลดลงจากเดิม และหากลดระดับปริมาณของไขมันได้ครึ่งหนึ่งจากที่เคยบริโภค จะช่วยทำให้ระดับเอสโทรเจนลดลงได้ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้กลุ่มอาการ PMS ลดน้อยลงได้

2. เน้นทานโปรตีนจาก เนื้อปลา และไข่แทน ในช่วงเวลานี้ควรเลือกทานอาหารประเภทโปรตีนจาก ไข่และปลา แทนการทานเนื้อสัตว์อื่นๆ เนื่องจาก มีการวิจัยพบว่า กรดโอเมก้า-3 หรือน้ำมันปลาช่วยลดอาการปวดท้องได้ และยังช่วยลดปริมาณประจำเดือนลงสำหรับผู้ที่มีปริมาณมาก

3. เพิ่มอาหารที่มีกากใยสูง โดยให้เลือกทานอาหารในกลุ่มของ ผัก ผลไม้ และธัญพืชชนิดไม่ขัดสี ที่มีปริมาณกากใยอาหารที่สูง เนื่องจากสารอาหารประเภทนี้จะช่วยให้ลดระดับของเอสโทรเจนส่วนเกินในร่างกายลงได้ โดยใยอาหารทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำคอยดูดซับส่วนเกินนี้ และนำไปขจัดออกพร้อมของเสียในร่างกาย

4. เลี่ยงอาหารรสเค็ม ควรลดหรือเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็ม เนื่องจากอาหารรสเค็มจะยิ่งทำให้ร่างกายมีอาการบวมน้ำเกิดขึ้นได้

5. เน้นอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมสูง ในอาหารที่มีปริมาณของแคลเซียมสูง เช่น ผักใบเขียว เต้าหู้ โยเกริต์ หากได้รับในปริมาณเพียงพอต่อวัน ( ประมาณ 1,200 มิลลิกรัม ) จะช่วยลดอาการปวดประจำเดือดลงได้

6. ลดคาเฟอีน น้ำตาล แอลกอฮอล์ เนื่องจากอาหารในกลุ่มนี้จะมีผลไปทำให้ มีอาการปวดประจำเดือนมากขึ้นกว่าเดิม สำหรับผู้ที่ติดกาแฟ ควรเปลี่ยนมาดื่มชาที่ทำมาจากสมุนไพรทดแทนในช่วงเวลาดังกล่าว

การใช้สมุนไพรเพื่อบรรเทาอาการ PMS

แม้ว่าในทางการแพทย์จะยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันได้ชัดเจนว่า สมุนไพรชนิดใดที่สามรถช่วยบรรเทาและรักษาอาการในกลุ่มของ PMS ได้ แต่ก็มีความเชื่อว่า สมุนไพรบางชนิด สามารถเบาเทาอาการปวดประจำเดือน และอาการในกลุ่ม PMS ได้ เนื่องจากมีการใช้มากันอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เปรียบเสมือนเป็นยาแผนโบราณ เช่น

1. อีพีโอหรือกรดแกมมาลิโนเลนิก คือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งชนิดหนึ่ง ซึ่งมีสรรพคุณในการยับยั้งการหลั่งสารไซโตไคน์  ( cytokine ) และสารพรอสตาแกลนดินในร่างกาย จึงทำให้ช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนลดได้

2. น้ำสมุนไพรบางชนิด เช่น น้ำขิง เป็นเครื่องดื่มที่ปลอดภัย สามารถช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการประจำของ PMS ได้

3. ตังกุยสมุนไพรจีน มีสารที่ช่วยการขยายหลอดเลือดป้องกันการบีบเกร็งของหลอดเลือด ทำให้ช่วยลดอาการปวดลงได้ แต่ต้องบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น เพราะหากได้รับเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปจะส่งผลให้ ผิวหนังมีความไวต่อแสงแดดได้มากขึ้น

แม้ว่าประจำเดือน จะเป็นสิ่งที่ต้องมาทุกเดือนในผู้หญิงที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ไม่ใช่เรื่องความผิดปกติหรืออันตรายใดๆ แต่ในช่วงที่มีประจำเดือน คงเป็นช่วงเวลาที่มีความอึดอัด และทรมานทั้งร่างกายและจิตใจไม่น้อยเลยสำหรับคุณผู้หญิง นอกจากการใช้ตัวช่วยเพื่อระงับอาการปวดทางกายอย่างการใช้ยาแก้ปวดแล้ว ปัจจัยทางด้านการกินอาหาร ก็มีผลต่อการเกิดอาการทางกายต่างๆ ของการมีประจำเดือนด้วย ดังนั้นหากเราทำการเตรียมตัวให้ดีให้พร้อม และรู้จักการทานอาหารที่ถูกวิธีในช่วงเวลาที่มีหรือใกล้มีประจำเดือน ก็จะสามารถช่วยบรรเทาอาการทรมานเหล่านี้ได้ไม่มากก็น้อย ขอแค่ตัวเรามีวินัยและปฏิบัติตนตาม อาการในกลุ่มของ PMS นี้ก็จะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

อาหารเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายแข็งแรง

0
อาหารเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายแข็งแรง
น้ำมันดอกคาโนลามีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำที่สุด และมีโอเมก้า3 ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์และโรคมะเร็ง
อาหารเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายแข็งแรง
กีวีเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันหวัด และสามารถกินต้านมะเร็งได้

ภูมิต้านทาน

ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนเราต่างได้รับเชื้อโรคและแบคทีเรียต่างๆ เข้าสู่ร่างกายผ่านการกินอาหารและการดื่มน้ำเสมอ แต่จะส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพบ้างนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าร่างกายมีภูมิต้านทานมากน้อยแค่ไหนนั่นเอง โดย ภูมิต้านทาน ของคนเราก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น อายุ กรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อม รวมถึงสารอาหารที่กินเข้าไป   เพราะสารอาหารบางชนิดมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงขึ้นได้ เช่น วิตามินซี ที่จะช่วยเสริมภูมิต้านทานและทำให้ไม่เจ็บป่วยได้ง่ายนั่นเอง

ร่างกายต้องการสารอาหารหลากชนิดเพื่อเสริมภูมิต้านทาน

จริงๆ แล้วการเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกายไม่จำเป็นต้องเสริมด้วยวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณมาก แต่ต้องเสริมในปริมาณที่พอเหมาะและได้สัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้ร่างกายมีการนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด และที่สำคัญควรได้รับสารอาหารที่หลากหลายด้วย ไม่ใช่แค่สารอาหารเพียงชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น

ดังจะเห็นได้ว่าสารอาหารบางชนิดหากได้รับมากเกินไปก็จะเป็นอันตรายหรือก่อให้เกิดผลเสียแทน เช่น ธาตุเหล็กหากได้รับมากไปจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ ธาตุสังกะสีจะไปลดการดูดซึมของแร่ธาตุทองแดง และการได้รับทองแดงมากไป ก็จะก่อให้เกิดอนุมูลอิสระและทำลายดีเอ็นเอได้เช่นกัน จึงสรุปได้ว่าการกินอาหารเพื่อเสริมภูมิต้านทานนั้น ควรกินในปริมาณที่พอเหมาะและกินอย่างหลากหลายจะให้ผลดีที่สุด โดยเฉพาะในวัยสูงอายุไม่ควรละเลยการกินอาหารเพื่อเสริมภูมิต้านทานเด็ดขาด

วิตามินอีเพิ่มภูมิต้านทาน

จากการวิจัยพบว่า วิตามินอีมีความสำคัญต่อการเพิ่มภูมิต้านทานที่สุด โดยจะช่วยเสริมภูมิต้านทานให้แข็งแรงและลดความเสี่ยงการป่วยด้วยโรคร้ายต่างๆ ได้ดี ซึ่งจากข้อมูลการวิจัยก็ได้มีการสนับสนุนให้ผู้สูงอายุกินวิตามินอีเสริมให้ได้วันละ 200 ไอยู โดยอาจกินจากอาหารโดยตรงหรือกินจากอาหารเสริมก็ได้ แต่ต้องระมัดระวังอย่าให้ได้รับในปริมาณที่มากเกินไป เพราะจะก่อให้เกิดผลเสียแทนนั่นเอง   

ไขมันกับระบบภูมิต้านทาน

ไขมันที่มองว่าควรเลี่ยงก็มีบทบาทที่สำคัญต่อระบบภูมิต้านทานเช่นกัน โดยพบว่าหากกินไขมันที่ต่ำเกินไปก็จะลดภูมิต้านทานลงได้ และหากกินไขมันที่สูงเกินไปก็จะทำให้อ้วนและมีปัญหาต่างๆ ตามมาเช่นกัน ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าไม่ควรงดกินไขมันในทีเดียว แต่ให้กินในปริมาณที่เหมาะสมแทนนั่นเอง โดยไขมันที่จำเป็นต่อภูมิต้านทานก็คือ กรดไขมันจำเป็นไลโนเลอิกและกรดไขมันจำเป็นแอลฟาไลโนเลอิก ซึ่งสามารถพบได้มากในปลาทะเล น้ำมันคาโนลาและวอลนัท เป็นต้น โดยทั้งนี้หากได้รับไขมันเหล่านี้ไม่เพียงพอก็จะสังเกตได้จากการที่แผลหายช้า โดยเป็นตัวบอกได้ว่าภูมิต้านทานได้ทำงานลดลงไปนั่นเอง

โรคหวัดกับภูมิต้านทาน

เมื่อภูมิต้านทานต่ำก็มักจะส่งผลให้ป่วยด้วยโรคหวัดที่เกิดจากเชื้อไวรัสได้ง่าย ซึ่งโรคนี้ยังไม่มียาที่จะใช้รักษาได้โดยตรง จึงต้องรักษาตามอาหารแทน รวมถึงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กน้อย คือดื่มน้ำต่อวันให้มากๆ และพักผ่อนอย่างเพียงพอนั่นเอง ทั้งนี้หลายคนมีความเข้าใจว่าการกินวิตามินซีสูงจะช่วยป้องกันและรักษาอาการหวัดได้ แต่ความจริงแล้วการกินวิตามินซีที่ 2,000 มิลลิกรัมจะช่วยลดความรุนแรงของโรคได้เท่านั้น ไม่สามารถรักษาให้หายได้อย่างที่หลายคนเข้าใจ และที่สำคัญในเด็ก หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร ไม่ควรกินวิตามินซีในปริมาณสูงเด็ดขาด เพราะจะทำให้เป็นนิ่วในไตและอาจมีอาการถ่ายท้องบ่อยได้นั่นเอง

อย่างไรก็ตามการกินวิตามินซีไม่ควรกินเกินวันละ 1,000 มิลลิกรัม และควรแบ่งกินเป็น 2 ครั้ง คือครั้งละไม่เกิน 500 มิลลิกรัม เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ในขณะที่การกินวิตามินซีวันละ 2,000 มิลลิกรัมขึ้นไปอาจทำลายแบคทีเรียชนิดดีและลดการทำงานของภูมิคุ้มกันได้เลยทีเดียว ส่วนผู้ที่เป็นหวัดแนะนำให้ดื่มน้ำส้มคั้นจะดีที่สุด เพราะจะได้ทั้งน้ำ และวิตามินซีที่มีความจำเป็นต่อการเสริมภูมิต้านทานและลดอาการหวัด และนอกจากนี้ก็ยังมีสมุนไพรบางชนิดที่สามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานได้อีกด้วย ซึ่งได้แก่ โสม กระเทียม ขมิ้น เห็ดชิตาเกะ เห็ดหลินจือและเอคินาเซีย เป็นต้น

อาหารและสมุนไพรเพิ่มภูมิต้านทาน

อยากมีสุขภาพแข็งแรงและภูมิต้านทานสูง ก็ต้องกินอาหารและสมุนไพรที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะ รวมถึงพยายามระมัดระวังการขาดสารอาหารบางชนิดด้วย เพราะจะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันลดต่ำลงได้นั่นเอง ซึ่งจากการวิจัยก็ได้มีการสนับสนุนให้คนเราบริโภคอาหารที่หลากหลายมากขึ้น และกินในปริมาณที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอและครบถ้วน รวมถึงได้รับสารพฤกษเคมีที่เป็นตัวช่วยสำคัญในการเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายเช่นกัน

และด้วยอายุที่มากขึ้นจะมีความสัมพันธ์กับระบบภูมิคุ้มกันที่ลดประสิทธิภาพลงไปเรื่อยๆ จึงควรแก้ไขด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ เพื่อชะลอการเสื่อมของระบบภูมิคุ้มกันและให้ร่างกายยังคงแข็งแรงอยู่เสมอ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ งดการสูบบุหรี่ ลดความเครียดและปรับโภชนาการอาหารให้เหมาะสมกับช่วงวัยที่สุด โดยสิ่งสำคัญก็คือการเน้นกินผักผลไม้ให้หลากหลาย และกินถั่วกับปลาทะเลให้ได้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งนั่นเอง นอกจากนี้ควรกินอาหารไขมันในปริมาณที่พอเหมาะไม่ต่ำและไม่สูงจนเกินไป โดยอาจจำกัดไขมันให้ต่ำกว่า 30% ของพลังงานนั่นเอง

ส่วนกรณีบางคนที่จำเป็นต้องกินวิตามินและแร่ธาตุเสริมควรกินแค่วันละ 1 เม็ดก็พอ และควรกินวิตามินอีเสริมจากอาหารธรรมชาติโดยตรงให้ได้วันละไม่เกิน 200 ไอยูด้วย

ตารางอาหารที่มีผลต่อภูมิต้านทาน

สารอาหาร ผลต่อภูมิต้านทาน แหล่งอาหารที่มีมาก
เบต้าแคโรทีน (วิตามินเอ) เพิ่มการทำงานของเซลล์ที่ดักจับเชื้อโรค (Killer Cell) แครอท ฟักทอง มันเทศ ผักใบเขียวจัด แคนตาลูป มะปรางสุกมะม่วงสุก มะละกอสุก
วิตามินบี 6 ช่วยเซลล์เม็ดเลือดขาวสร้างแอนติบอดี ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชไม่ขัดสี ไก่หมู กล้วย
วิตามินซี ป้องกันเซลล์เม็ดเลือดนิวโทรฟิล (Neutrophill) ซึ่งทำหน้าที่ดักจับเชื้อแบคทีเรีย ผลไม้ตระกูลส้ม ฝรั่ง มะขามป้อม สตรอว์เบอรี่ พริกหวาน บรอกโคลี มะเขือเทศ ดอกกะหล่ำ
วิตามินอี เพิ่มการสร้างแอนติบอดีช่วยสร้างเสริมการทำงานของทีเซลล์ (T cell) ซึ่งทำหน้าที่หลักในการป้องกันการติดเชื้อร่วมกับบีเซลล์ (B cell) ถั่วเปลือกแข็ง
วีตเจิร์ม (จมูกข้าวสาลี)
วิตามินอีเสริม
โปรตีน ผู้ผลิตและรักษาปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาว ผลิตภัณฑ์นมขาดไขมัน ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง ถั่วเปลือกแข็ง เนื้อสัตว์ทุกชนิด
ซีลีเนียม  เพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์ที่ทำหน้าที่คุ้มกัน (Immune Cell) เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารทะเล ถั่วบราซิล
สังกะสี ช่วยสร้างและเสริมการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดนิวโทรฟิลและคิลเลอร์เซลล์ ป้องกันเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน ถูกทำลายโดยการลดไซโตไคน์ (Cytokine) ซึ่งควบคุมการอักเสบเสริมบีเซลล์ วีตเจิร์ม (จมูกข้าวสาลี)
ถั่วดำ เนื้อวัวไม่ติดมัน อาหารทะเล (โดยเฉพาะปู)

 

ตารางสมุนไพรที่มีผลต่อภูมิต้านทาน

ประเภทสมุนไพร ผลต่อภูมิคุ้มกัน แหล่งอาหารที่มีมาก
โสม (Ginseng) เสริมสร้างเม็ดเลือดขาวและอินเตอร์เฟอรอน โสม Panax 100-200 มิลลิกรัม ที่มีจินเซโนไซด์ปริมาณ 8 เปอร์เซ็นต์
เอคินาเซีย (echinacea) เพิ่มเซลล์ระบบภูมิต้านทานคิลเลอร์เซลล์ กระตุ้นเซลล์ที่ดักจับเชื้อโรค (phagocyte) การวิจัยพบว่าช่วยทำให้หวัดหายเร็วขึ้น ถ้ากินเมื่อเริ่มมีอาการ เอคินาเซียที่มีเอคินาโคไซด์ เช่น อินเตอร์เฟอรอน อินเตอร์ลิวคิน 25 เปอร์เซ็นต์ และพอลิแซ็กคาไรด์ 15 เปอร์เซ็นต์ 15-30 หยด วันละ 3 ครั้ง ไม่เกิน 8 สัปดาห์
ปักคี้ อึ้งคี้ (Milk Vetch Root) สร้างภูมิต้านทานโรค รากปักคี้ 4 กรัมตุ๋น
กระเทียม สารอัลลิซินช่วยทำลายหรือยับยั้ง เชื้อแบคทีเรีย เชื้อราและยีสต์ กระเทียมสกัด
เห็ดทางการแพทย์ สร้างเสริมภูมิคุ้มกัน  เห็ดชิตาเกะ เห็ดไมตาเกะ เห็ดหลินจือ เห็ดยามาบูชิตาเกะ ถังเช่า (คอร์ดิเซปส์)

 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

อาหารช่วยปรับเปลี่ยนอารมณ์ ปรับสมดุลสมอง

0
อาหารช่วยปรับเปลี่ยนอารมณ์
น้ำนมถั่วเหลืองเป็นอาหารไขมันต่ำสามารถช่วยปรับอาราณ์ให้ดีขึ้น
อาหารช่วยปรับเปลี่ยนอารมณ์
เผือก มีโปรตีนช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนินซึ่งทำให้อารมณ์อยู่ในสภาวะปกติ

อาหารช่วยปรับปรับสมดุลสมอง เปลี่ยนอารมณ์

สารเคมีในสมองจะช่วยปรับสมดุลสมองจากอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละวัน นอกจากจะส่งผลต่อสุขภาพแล้วก็ยังส่งผลต่ออารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่แน่ไม่นอนและมีผลต่อความคิด ความจำ ความฉลาดในการเรียนรู้ของคนเราได้อีกด้วย นั่นก็เพราะอาหารจะเข้าไปเปลี่ยนระดับ องค์ประกอบของสารเคมีในสมองและทำให้เปลี่ยนอารมณ์ได้ในที่สุด ดังนั้นการกินอาหารจึงต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เปลี่ยนอารมณ์ไปในทางที่แย่ เช่น หงุดหงิดง่ายหรืออารมณ์เสียอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

การทำงานของอาหารในการเปลี่ยนแปลงสารสื่อประสาทในสมอง

สารสื่อประสาทในสมองของคนเรามีความต้องการสารอาหารบางชนิดเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสารอาหารที่จำเป็นก็ได้แก่กรดอะมิโนและโคลีนนั่นเอง ซึ่งสารเหล่านี้หากร่างกายได้รับน้อยเกินไปก็จะส่งผลให้มีการผลิตสารสื่อประสาทในสมองออกมาน้อยลงและทำให้อารมณ์แปรปรวนหรือเกิดความรู้สึกอยากอาหารมากกว่าปกติได้ ซึ่งในขณะเดียวกันหากได้รับสารอาหารเหล่านี้อย่างเพียงพอก็จะทำให้สารสื่อประสาทถูกผลิตออกมาอย่างเพียงพอมากขึ้น และทำให้เกิดความตื่นตัว อารมณ์ดี รู้สึกสงบผ่อนคลายพร้อมทั้งช่วยลดความอยากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตจึงไม่ทำให้อ้วนนั่นเองและนอกจากกรดอะมิโนและสารอาหารที่จำเป็นดังกล่าวแล้ว ในการผลิตสารสื่อประสาทในสมองก็มีความต้องการวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสมองและสารสื่อประสาท ซึ่งก็มีแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นดังนี้

1.วิตามินบีปรับสมดุลสมอง เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อการเร่งการส่งต่อข้อมูลของเซลล์สมอง และทำให้เยื่อหุ้มเซลล์สมองเปลี่ยนพลังงานให้อยู่ในรูปที่สามารถใช้ควบคุมการทำงานของสารสื่อประสาทได้อย่างง่ายดาย ซึ่งหากขาดวิตามินบีหรือได้รับน้อยเกินไปก็จะทำให้สมองขาดพลังงานที่เพียงพอต่อการทำงานดังกล่าวได้ โดยผลทางด้านอารมณ์ที่ตามมาอย่างเห็นได้ชัดก็คืออารมณ์ที่ฉุนเฉียวง่ายกว่าปกติ อาการสับสน มึนงง ขากสมาธิและความจำแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด

2.ธาตุเหล็กปรับสมดุลสมอง ธาตุเหล็กเป็นแร่ธาตุที่มีส่วนช่วยในการส่งเสริมการผลิตสารสื่อประสาทในสมอง ทำให้สารสื่อประสาทถูกผลิตออกมาอย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

3.วิตามินอีปรับสมดุลสมอง วิตามินอีจะทำหน้าที่ในการป้องกันไม่ให้สารสื่อประสาทในสมองถูกทำลาย และทำให้สารสื่อประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

ซึ่งจะเห็นได้ว่าสารอาหารเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว โดยหากได้รับวิตามินเหล่านี้ไม่เพียงพอก็จะทำให้ระดับสารสื่อประสาทในสมองลดน้อยลงได้ ซึ่งก็จะส่งผลต่ออารมณ์เป็นอย่างมาก กล่าวคือจะทำให้อารมณ์ไม่ดี หงุดหงิดบ่อย และรู้สึกเหมือนสมองตื้อตันคิดอะไรไม่ค่อยออก อย่างไรก็ตามเมื่อมีการเสริมสารอาหารเหล่านี้เข้าไป อย่างเพียงพอจนทำให้ระดับของสารสื่อประสาทกลับสู่ปกติ ก็จะทำให้อารมณ์กลับมาดีและคงที่เหมือนเดิมได้ในที่สุด

และถึงแม้ว่าการกินอาหารที่มีสารอาหารเหล่านี้อย่างเพียงพอจะทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้ แต่การกินอาหารอย่างอาหารบางอย่างมากหรือน้อยเกินไปก็จะทำให้สารสื่อประสาทในสมองลดความไวลงได้เหมือนกัน ปรับสมดุลสมองให้สารเคมีในสมองทำงานได้ดี เช่น การกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตมากเกินไปก็จะทำให้สารสื่อประสาทเกิดการเสียสมดุลและก่อให้เกิดอารมณ์ซึมเศร้า ฉุนเฉียว หงุดหงิดง่ายหรือเกิดความอยากอาหารมากกว่าปกติได้นั่นเอง

4.สารอาหารบางชนิด นอกจากวิตามินและแร่ธาตุที่กล่าวไปแล้ว สารอาหารบางชนิดก็มีความจำเป็นต่อการพัฒนาการของระบบประสาทได้ ซึ่งได้แก่ โปรตีน ไอโอดีน วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 กรดโฟลิกและสังกะสี เป็นต้น ซึ่งพบว่าหากขาดสารอาหารเหล่านี้ก็จะส่งผลไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะในผู้หญิงตั้งครรภ์ ซึ่งจะทำให้ลูกที่เกิดมามีความผิดปกติทางระบบประสาทและอาจมีบุคลิกภาพ การทำงานของสมองและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างถาวรได้ เพราะฉะนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรทานอาหารที่มีสารอาหารเหล่านี้ให้ครบถ้วนอยู่เสมอนั่นเอง

5.สารเจือปนอาหารบางชนิด สำหรับสารที่เจือปนมากับอาหารบางชนิดก็อาจส่งผลต่อสภาวะอารมณ์และความคิดได้ไม่น้อย ซึ่งจะส่งผลอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสารเจือปนที่ได้รับเข้าไปด้วยนั่นเอง โดยพบว่าสารเจือปนบางชนิดจะเข้าไปรบกสรการหลั่งของสารสื่อประสาท ทำการยับยั้งสารสื่อประสาทในสมอง และเปลี่ยนโครงสร้างของสารสื่อประสาททำให้ทำงานผิดไปจากเดิมได้ นอกจากนี้สารเจือปนบางอย่างก็อาจส่งผลให้สารสื่อประสาทถูกสร้างออกมามากเกินไป จนเป็นผลเสียได้เช่นกัน

ปรับอาหารเปลี่ยนอารมณ์

เมื่ออารมณ์ไม่คงที่ แปรปรวน หงุดหงิดบ่อย การปรับอาหารที่ทานตามสภาพอารมณ์ ณ เวลานั้นจะช่วยปรับเปลี่ยนอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ ซึ่งอาหารแต่ละชนิดก็สามารถปรับเปลี่ยนอารมณ์ได้ดังนี้    

โปรตีนช่วยเพิ่มความตื่นตัว

เพราะโปรตีนเมื่อถูกทานเข้าสู่ร่างกายและผ่านกระบวนการย่อยเรียบร้อยแล้วจะถูกเปลี่ยนไปเป็นกรดอะมิโนที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีกรดอะมิโนที่ชื่อว่าไทโรซีน โดยจะทำหน้าที่ในการเพิ่มสารโดพามีน สารอีพิเนฟรินและสารนอร์อีพิเนฟริน โดยสารเหล่านี้จะกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกตื่นตัวและทำให้ร่างกายมีเรี่ยงแรงมากขึ้น แถมยังทำให้เกิดความกระปรี้กระเปร่ามากกว่าเดิมอีกด้วย ดังนั้นในคนที่เกิดความรู้สึกเอื่อยเฉื่อยไม่ค่อยร่าเริงหรือกระปรี้กระเปร่ามากนัก ก็ควรเน้นการกินโปรตีนสูงเป็นหลัก ซึ่งสามารถหาได้จาก เนื้อไก่ เนื้อวัว ปลา สัตว์ปีก เนยแข็ง ไข่และเนื้อหมู เป็นต้น หรือสำหรับใครที่กินเจ กินมังสวิรัติ ก็สามารถกินโปรตีนได้จากนมถั่วเหลือง เต้าหู้และถั่วต่างๆ ได้เช่นกัน

อาหารไขมันต่ำมีโปรตีนเล็กน้อย เพิ่มความสดชื่นและกระตุ้นความคิดให้แล่นมากขึ้น

ส่วนใหญ่จะเน้นทานเป็นอาหารมื้อเช้า เพื่อเตรียมพร้อมร่างกายให้พร้อมรับกับการเริ่มต้นวันใหม่ที่สดใสและการทำงานตลอดวัน โดยการทานอาหารตามนี้ในมื้อเช้าก็จะทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าและลดความเฉื่อยชา อ่อนล้าได้เป็นอย่างดี แถมยังทำให้ร่างกายและความคิดมีความว่องไวกว่าเดิม โดยอาหารเช้าแนะนำที่จะปรับอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ก็ได้แก่ นมถั่วเหลือง 1 แก้ว ส้ม 1 ผล ข้าวต้มปลา หรือนมไขมันต่ำ เป็นต้น

คาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี ช่วยลดความเครียด สร้างความผ่อนคลาย

เพราะอาหารคาร์โบไฮเดรตแบบไม่ขัดสีนั้น จะทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น และมีการนำเอาสารทริปโตเฟนไปใช้ในการสร้างสารเซโรโทนินจึงทำให้อารมณ์ดีและมีความสุข อย่างไรก็ตามการกินคาร์โบไฮเดรตก็จะต้องระมัดระวังเล็กน้อย เพราะหากกินมากเกินไปก็จะทำให้สารเซโรโทนินถูกผลิตออกมามากจนเหลือเฟือและส่งผลให้เกิดอาการง่วงนอนมากกว่าปกติ ดังนั้นเราจึงมักจะเห็นได้ว่าในคนที่ลดน้ำหนักมักจะเริ่มมีอาการเศร้าซึมในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ซึ่งก็เนื่องมาจากการลดปริมาณของคาร์โบไฮเดรตลงจึงทำให้ระดับเซโรโทนินลดต่ำลงกว่าปกติและส่งผลต่อสภาวะอารมณ์ได้นั่นเอง ทั้งนี้หากต้องการให้ระดับเซโรโทนินสูงขึ้นและภาวะอารมณ์กลับสู่ปกติก็ต้องกินคาร์โบไฮเดรตที่ดี ซึ่งได้แก่ ข้าวโพด ลูกเดือย ฟักทอง เผือก มัน ขนมปังโฮลวีตและมูสลี เป็นต้น ส่วนคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในรูปของน้ำหวานหรือขนมหวานควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้อ้วนได้   

กินคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนแยกกันเพื่อเปลี่ยนอารมณ์

สำหรับการเปลี่ยนอารมณ์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรกินคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนแยกกัน โดยเน้นกินแบบนี้ในมื้อเที่ยงเป็นหลัก เพื่อให้ร่างกายมีความตื่นตัวและพร้อมสำหรับการทำงานในช่วงหลังพักกลางวันต่อไป ทั้งนี้ในมื้ออาหารแนะนำให้เริ่มจากการกินโปรตีนก่อน จากนั้นจึงตามด้วยคาร์โบไฮเดรตเพียงเล็กน้อย เท่านี้ก็จะช่วยเปลี่ยนอารมณ์ให้ดีขึ้นได้แล้ว และที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรือมีน้ำตาลสูงในมื้อเที่ยงอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดอาการง่วงนอนและสะลึมสะลือได้ แถมยังลดการทำงานของสมอง ทำให้สมองไม่แล่นคิดอะไรไม่ค่อยออกอีกด้วย และอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ควรรู้ก็คืออย่ากินมื้อเที่ยงหนักเกินไป โดยฝรั่งได้แนะนำให้กินแซนวิชไก่งวง น้ำผลไม้ ขนมปังโฮลวีตร่วมกับสลัด แต่สำหรับคนไทยที่ไม่ถนัดกินเมนูเหล่านี้มากนัก ก็อาจกินก๋วยเตี๋ยวน่องไก่ใส่เส้นน้อยหรือจะกินยำวุ้นเส้นทะเลแทนก็ได้เหมือนกัน

ลดปริมาณไขมันไม่ดี เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

เพราะอาหารที่มีไขมันชนิดไม่ดีสูง จะไปทำให้การทำงานของสมองช้าลง ทั้งยังเป็นการเพิ่มน้ำหนักและเร่งโอกาสที่จะเกิดโรคหัวใจให้สูงขึ้นอีกด้วย ดังนั้นจึงควรลดปริมาณของไขมันที่ไม่ดีให้น้อยลงที่สุดหรือหากสามารถงดทานไปเลยได้ก็จะดีมาก

ดื่มคาเฟอีน ลดอาการซึมเศร้า

คาเฟอีนที่พบในกาแฟ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยดีต่อสุขภาพมากนักแต่ในขณะเดียวกันก็สามารถลดอาการซึมเศร้าลงได้เหมือนกัน ซึ่งก็จะทำให้เกิดความรู้สึกตื่นตัวและสดชื่นมากขึ้นได้ตั้งแต่ไม่กี่นาทีหลังดื่มเลยทีเดียว ดังนั้นในคนที่เป็นโรคซึมเศร้าหรือมีอาการซึมเศร้าบ่อยๆ แค่ดื่มกาแฟวันละ 1-2 ถ้วย ก็จะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว และที่สำคัญไม่ควรดื่มหลังจากเวลา 15.00 น. ขึ้นไป เพราะสารคาเฟอีนที่ค้างอยู่จะทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับและส่งผลเสียได้นั่นเอง ดังนั้นควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสมแล้วจะได้ผลลัพธ์ที่ดีมากกว่าผลเสียอย่างแน่นอน

กรดโฟลิกช่วยลดอาการซึมเศร้า

กรดโฟลิกเป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่สามารถลดอารมณ์ซึมเศร้าและทำให้เกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น โดยจากการวิจัยให้คำแนะนำว่าควรกินกรดโฟลิกให้ได้วันละ 200 ไมโครกรัม แล้วอาการซึมเศร้าจะหายไปอย่างแน่นอน โดยกรดโฟลิกปริมาณดังกล่าวนี้ก็สามารถรับได้จากผักโขมสุก 1 ถ้วยและน้ำส้ม 1 แก้วนั่นเอง 

ปลาทะเล ลดอารมณ์ซึมเศร้า

ปลาทะเลมีกรดโอเมก้า 3 สูง ซึ่งนอกจากจะข่วยเสริมสร้างสมองและพัฒนาการ การเรียนรู้ที่ดีแล้ว ก็สามารถลดอารมณ์ซึมเศร้าได้ดีไม่แพ้สารอาหารชนิดอื่นๆ เลยทีเดียว นั่นก็เพราะเมื่อกินปลาในปริมาณมาก จะทำให้ระดับเซโรโทนินเพิ่มสูงขึ้น จึงลดอาการซึมเศร้า หดหู่และป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือใครที่ไม่ค่อยสะดวกกินปลา ก็อาจกินน้ำมันตับปลาเสริมที่มีอีพีเอและดีเอชเอวันละ 1 กรัมแทนก็ได้

กินซีลีเนียม ช่วยลดอารมณ์บูด

ซีลีเนียมเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่ออารมณ์เป็นอย่างมาก โดยพบว่าหากขาดซีลีเนียมก็จะทำให้อารมณ์บูด หงุดหงิด ฉุนเฉียวและเกิดอาการซึมเศร้าได้ง่าย แต่หากได้รับซีลีเนียมอย่างเพียงพอก็จะปรับอารมณ์ให้คงที่และทำให้อารมณ์ดีได้ตลอดวันเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามการกินซีลีเนียมไม่ควรกินมากเกินไปเด็ดขาด เพราะจะเป็นพิษได้เหมือนกัน

กินไข่ลดความจำเสื่อม

และสุดท้ายที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือไข่ โดยมีคำแนะนำว่าควรกินไข่วันละ 1 ฟอง เพราะในไข่นั้นมีโคลีนสูง ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่จะช่วยบำรุงสมองและป้องกันความจำเสื่อมได้ ทั้งยังเป็นสารสำคัญที่จะช่วยสร้างสารสื่อประสาทที่เรียกว่าอะเซทิลโคลีน ดังนั้นจึงควรกินไข่เป็นประจำเพื่อสุขภาพที่ดีนั่นเอง

หลังการบริโภค เพื่อเสริมสร้างการทำงานของสมอง

เพื่อเสริมสร้างการทำงานของสมองให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ก็มีหลักการในการบริโภคดังนี้

  • กินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ ตรงตามเวลาและไม่งดอาหารเช้าเด็ดขาด
  • เลือกกินอาหารที่มีไขมันต่ำแต่ต้องได้รับปริมาณไขมันที่เพียงพอด้วยและเลี่ยงอาหารตามกระแสในการลดน้ำหนัก
  • กินปลาทะเลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง รวมถึงอาหารที่มีโคลีนสูง
  • เน้นการกินผักและผลไม้เป็นหลัก โดยควรกินให้ได้วันละ 8-10 ส่วนและกินให้หลากหลายเพื่อการได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน
  • จำกัดปริมาณเครื่องดื่มคาเฟอีนไม่เกินวันละ 1-2 ถ้วย เพื่อให้เกิดผลดีมากกว่าผลเสียและเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมากเกินไป
  • หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะจะทำให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขออกมามากขึ้น

จะเห็นได้ว่าอาหารมีผลต่ออารมณ์ที่แปรผันไปในแต่ละวัน ดังนั้นจึงควรเลือกกินอาหารอย่างถูกหลักและมีประโยชน์เพื่อให้อารมณ์ดีอยู่เสมอนั่นเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.