Home Blog Page 127

การดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรม

0
การดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรม
การดูแลตัวเองหลังจากการทำศัลยกรรมที่ถูกต้อง สามารถช่วยให้แผลที่เกิดขึ้นหลังการทำศัลยกรรมหายเร็วขึ้นและผลการศัลยกรรมออกมาสวยตามที่ต้องการ และช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
การดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรม
การประคบเย็น คือ การประคบด้วยความเย็นจัดหลังจากที่ทำการศัลยกรรมมาทันที เพราะความเย็นจะเข้าไปทำให้เส้นเลือดหดตัว และเแข็งตัวทำให้ไหลเลือดช้าลด

ศัลยกรรม

ปัจจุบันนี้การ ศัลยกรรม เพื่อเสริมความงามเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ทั้งในกลุ่มของผู้หญิง ผู้ชายและเพศที่สามต่างให้ความสนใจและเข้ารับการศัลยกรรม ไม่ว่าจะเป็นการศัลยกรรมปาก ศัลยกรรมจมูก ศัลยกรรมคิ้ว ศัลยกรรมคาง การทำศัลยกรรมเปลี่ยนรูปทรงทั้งใบหน้าหรือการทำศัลยกรรมตามอวัยวะส่วน ๆ ต่างของร่างกายให้มีรูปทรงตามที่ต้องการ สามารถสร้างความมั่นใจ สร้างบุคลิกภาพที่ดี เป็นการเปิดโอกาสทางด้านสังคม การงานและอาชีพให้กับตนเองได้ ก่อนที่จะทำการศัลยกรรมเราควรที่จะทำการศึกษาข้อมูล เลือกวิธีการทำศัลยกรรม สถานที่ทำศัลยกรรมและแพทย์ผู้ให้การบริการในการทำศัลยกรรมให้ดี เพื่อที่ผลของการศัลยกรรมที่ออกมาตามที่ตนเองต้องการ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยให้ผลของการศัลยกรรมออกมาดีที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การดูแลตัวเองหลังจากการทำศัลยกรรม

การเตรียมตัวก่อนทำ ศัลยกรรม ก็เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและพร้อมที่จะรับการผ่าตัดหรือการศัลยกรรมที่เกิดขึ้น ลดความเสี่ยงของอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในขณะที่ทำการศัลยกรรม แต่การดูแลตัวเองหลังจากการทำศัลยกรรมที่ถูกต้อง สามารถช่วยให้แผลที่เกิดขึ้นหลังการทำศัลยกรรมหายเร็วขึ้นและผลการศัลยกรรมออกมาสวยตามที่ต้องการ และช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ เกิดการอักเสบ แผลฉีกขาดหรือเกิดรอยแผลเป็นที่สังเกตเห็นชัดเจน แต่ถ้าทำการดูแลตนเองหลังจากการทำศัลยกรรมไม่ถูกต้องเหมาะสมแล้วย่อมทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนขึ้นหลังจากการทำศัลยกรรมได้ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยย่อมส่งผลเพียงแค่ทำให้แผลที่เกิดขึ้นหายช้าต้องอาศัยเวลาในการผักฟื้นนานขึ้น แต่ถ้าผิดพลาดอย่างมากอาการแทรกซ้อนหลังการทำศัลยกรรมย่อมมีความรุนแรงถึงขนาดต้องทำการศัลยกรรมซ้ำอีกครั้งเพื่อตกแต่งหรือปรับปรุงการศัลยกรรมให้ดีขึ้น หรืออาจร้ายแรงถึงขึ้นเสียชีวิตก็เป็นได้ ดังนั้นการดูแลตัวเองหลังการศัลยกรรมจึงมีความสำคัญมาก

การดูแลตัวเองหลังจากศัลยกรรม

1.การประคบเย็น (Cold compression)
การประคบเย็น คือ การประคบด้วยความเย็นจัด ซึ่งการประคบเย็นควรเริ่มทำหลังจากที่ทำการ ศัลยกรรม มาทันที เพราะความเย็นจากการประคบเย็นจะเข้าไปทำให้เส้นเลือดที่บริเวณดังกล่าวเกิดการหดตัว และเลือดมีการแข็งตัวทำให้ไหลช้าลด จึงสามารถช่วยลดการไหลของเลือดที่บริเวณที่เกิดแผล และยังช่วยลดอาการบวมเนื่องจากเลือดไหลไปยังบริเวณแผลได้น้อย จึงทำให้อาการอักเสบของเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวเกิดขึ้นน้อยลงนั่นเอง ผิวหนังที่บริเวณดังกล่าวจึงมีอาการบวมน้อย สามารถฟื้นตัวได้เร็ว การศัลยกรรมที่เกิดขึ้นก็จะได้รูปทรงตามที่ต้องการ
วิธีการประคบเย็น เริ่มจากนำอุปกรณ์ให้ความเย็น เช่น ผ้ามาห่อน้ำแข็ง เย็น (Hot cold pack) กระเป๋าน้ำเย็น ผ้าเย็น เป็นต้น นำอุปกรณ์มาประคบที่บริเวณทำศัลยกรรม เช่น คาง แก้ม จมูก เต้านม เป็นต้น การประคบเย็นควรประคบในช่วง 3 วันแรกหรือจนอาการบวมเริ่มลดลง โดยให้ทำการประคบวันละ 4 ครั้ง ครั้งละ 10-20 นาที และในระหว่างที่ทำการประคบเย็นถ้าอุณหภูมิของเริ่มอุ่นขึ้นก็ควรทำการเปลี่ยนให้มีความเย็นคงที่ในการประคบเย็น เพื่อความเย็นจะได้คงที่และได้ผลเต็มที่

2. การประคบร้อน (Warm compression)
การประคบร้อน คือ การประคบด้วยอุณหภูมิประมาณ 40 องศาเซลเซียสแต่ไม่เกิน 45 องสาเซลเซียส เพราะจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองหรือเป็นแผลผุพองได้ การประคบร้อนจะประคบหลังจากทำ ศัลยกรรม ประมาณ 4-5 วันหรือหลังจากทำการประคบเย็นแล้วจนแผลและบริเวณทำการศัลยกรรมมีอาการบวมน้อยลง ความร้อนจากการประคบร้อนจะเข้าไปทำการขยายหลอดเลือดส่งผลให้เลือดสามารถหมุนเวียนได้ดีขึ้น ช่วยคลายกล้ามเนื้อ เส้นประสาทและเนื้อเยื่อที่บริเวณทำการศัลยกรรม เมื่อเส้นเลือดมีการขยายตัวเลือดจึงสามารถนำสารอาหารและออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อที่บริเวณแผล ทำให้เนื้อเยื่อที่มีการซ่อมแซมตัวเองได้เร็วขึ้น แผลจึงหายกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้เร็วขึ้น เริ่มจากการเตรียมอุปกรณ์ประคบร้อน เช่น ถุงน้ำร้อน กระเป๋าน้ำร้อน เป็นต้น นำไปประคบที่บริเวณทำศัลยกรรมควรทำวันละ 2-3 รอบ โดยประคบรอบละประมาณ 20 นาทีต่อครั้ง โดยแบ่งประคบเป็นครั้ง ๆ ละ 5 – 10 นาที อย่าทำการประคบร้อนต่อเนื่อง 20 นาที เพราะความร้อนจะทำให้ผิวหนังเกิดผุพองได้

3.รับประทานอาหารอ่อน
อาหารสำหรับผู้ที่ทำการ ศัลยกรรม ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีรสชาติอ่อนไม่เผ็ด ไม่เค็มหรือหวานจัด และควรเลือกรับประทานอาหารที่ไม่ต้องทำการเคลื่อนไหวอวัยวะภายในปากมาก เช่น ต้มจืด โจ๊ก ข้าวต้ม น้ำซุป เป็นต้น เพื่อป้องกันการสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในขณะที่ทำการเคี้ยวหรือการกระทบกันของฟันจะทำให้บาดแผลที่เกิดขึ้นแรงสะเทือนจนเกิดการอักเสบ หรืออาหารรสจัดโดยเฉพาะรสเผ็ดจัดจะทำให้แผลเกิดความร้อนจากรสเผ็ดจะกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้แผลจากการผ่าตัดมีโอกาสที่จะบวมมากขึ้น ซึ่งผู้ที่ทำการศัลยกรรมคาง ปาก จมูกที่มีการเปิดแผลภายในปากจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษอีกด้วย เพราะแผลในปากมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้มาก เนื่องจากมีความชื้นและต้องสัมผัสกับน้ำลาย อาหารอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

การดูแลตัวเองหลังจากการทำศัลยกรรมสามารถช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นและผลการศัลยกรรมออกมาสวยตามที่ต้องการ และช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ

4.นอนให้หัวสูง
ท่านอนที่เหมาะสมกับผู้ที่เข้ารับการ ศัลยกรรม ที่บริเวณส่วนบนของร่างกาย เช่น ใบหน้า คาง คิ้ว เต้านม เป็นต้น ควรนอนให้ศีรษะสูงกว่าส่วนของลำตัวหรือจะนั่งหลับก็ดี เนื่องจากการนอนให้ศีรษะสูงกว่าลำตัวเป็นทำให้เลือดมีการสูบฉีดขึ้นไปยังบริเวณที่ทำการศัลยกรรมได้น้อยลง จึงสามารถช่วยลดอาการบวมให้น้อยลงได้ แต่ถ้านอนราบกับพื้นเลือดจะไหลเข้าสู่บริเวณศีรษะมากขึ้น ทำให้แผลมีอาการบวมมากขึ้น

5.งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์จะเข้าไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปทั่วร่างกาย ซึ่งทำให้เลือดไหลเข้าสู่บริเวณแผลของการ ศัลยกรรม ทำให้เกิดการบวมเพิ่มขึ้น ดังนั้นหลังจากทำศัลยกรรมควรงดดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์จนกว่าจะแผลจะหายบวมและปากแผลปิดสนิท

6.งดสูบบุหรี่
สำหรับคนที่สูบบุหรี่เป็นประจำอยู่แล้ว ควรงดสูบบุหรี่หลังการทำ ศัลยกรรม อย่างน้อย 7 วัน เพราะในบุหรี่มีสารนิโคติน ( Nicotine ) ที่สามารถซึมผ่านทางเนื้อเยื่อผิวหนังเข้าสู่ภายในร่างกายและออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท โดยสารนิดคตินจะทำการกระตุ้นตัวรับสารสื่อประสาทแอเซทิลโคลีนแบบนิโคตินิก ( Nicotinic acetylcholine receptors ) ให้มีการหลั่งของฮอร์โมนอะดรีนาลีน ( Adrenaline ) ในปริมาณที่สูงขึ้น ซึ่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของหัวใจทำให้หัวใจมีอัตราการเต้นสูงขึ้น จึงทำให้เลือดเกิดการไหลเวียนไปยังบริเวณที่ทำการศัลยกรรม ส่งผลให้เกิดอาการบวมและมีความเสี่ยงในการอักเสบมากขึ้นจากสารพิษที่อยู่ในบุหรี่อีกด้วย

7.ล้างแผลแต่พอดี
แผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดเพื่อทำ ศัลยกรรม ความล้างด้วยน้ำเกลือและเช็ดแผลให้แห้งสนิท แล้วทาด้วยยาเบตาดีนหรือยาทาแผลที่แพทย์จ่ายยามาให้ ห้ามให้แผลเปียกหรือโดนน้ำเป็นเวลานานจนกว่าแผลจะแห้งสนิทแล้ว เพราะถ้าน้ำโดนแผลจะทำให้เนื้อเยื่อรอบ ๆ บริเวณปากแผลเกิดการเปื่อยยุ่ยและตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าน้ำที่โดนแผลมีเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกปนเปื้อนอยู่ เชื้อโรคจะเข้าไปทำจับตัวกับเซลล์ผิวหนังทำให้เซลล์ผิวหนังได้รับออกซิเจนและสารอาหารได้น้อย ส่งผลให้กระบวนการสร้างคอลลาเจน (Collagen) ที่ทำให้แผลเกิดการประสาทตัวช้าจึงทำให้แผลหายช้า และมีความเสี่ยงในการติดเชื้อในกระแสเลือดหากเชื้อโรคมีการแพร่กระจายเข้าสู่เส้นเลือดซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต

8.ทานยาตามกำหนด
หลังจากที่ทำการ ศัลยกรรม แพทย์จะให้ยารับประทานเพื่อลดอาการอักเสบ ลดบวมแก่ผู้เข้ารับการศัลยกรรม ดังนั้นให้ผู้ทำศัลยกรรมรับประทานยาตามที่แพทย์กำหนดมาจนหมด เพราะการรับประทานยาตามกำหนดจะช่วยให้แผลหายเร็ว และลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อน ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อ อาการบวม การต่อต้านสิ่งแลปกปลอมของร่างกาย หรือการเคลื่อนของวัสดุที่ใส่เข้าไป ทำให้ผลการศัลยกรรมออกมาสวยตรงตามความต้องการของคนไข้ และควรไปตามนัดที่แพทย์กำหนดมาทุกครั้ง เพื่อที่แพทย์จะได้ติดตามผลการศัลยกรรม หรือเมื่อเกิดความผดปกติ เช่น แผลบวมมาก มีหนอง หรือวัสดุเคลื่อนที่จากตำแหน่งที่ต้องการ ควรรีบไปพบแพทย์ในทันที เพื่อให้แพทย์ทำการแก้ไขและรักษา อย่าทำการแก้ไขด้วยตนเองหรือหาซื้อยากินเองอย่างเด็ดขาด

นี่คือข้อปฏิบัติหลังจากการทำการ ศัลยกรรม ข้อปฏิบัติแต่ละข้อนั้นปฏิบัติได้ง่ายและต้องต้องปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด เนื่องจากการดูแลตัวเองหลังการทำศัลยกรรมมีความจำเป็นที่ผู้เข้ารับการศัลยกรรม เพราะถ้าปฏิบัติตนไม่ดีแล้วย่อมทำให้แผลหายช้าต้องอาศัยเวลาในการพักฟื้นนานกว่าปกติ และยังมีความเสี่ยงในการติดเชื้ออีกด้วย แต่รับรองได้ว่าเมื่อปฏิบัติตามแล้วผลการศัลยกรรมที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้คุณสวยสมใจ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

McQueen KA, Ozgediz D, Riviello R, Hsia RY, Jayaraman S, Sullivan SR, et al. Essential surgery: Integral to the right to health. Health and human rights. 2010 Jun 15;12(1):137-52. PubMed PMID 20930260. Epub 2010/10/12. eng

UN General Assembly. International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights- United Nations Treaty Series. In: Nations U, editor. 1966.

UN Committee on Economic Social and Cultural Rights. CESCR General Comment No. 14: The Right to the Highest Attainable Standard of Health (Art. 12) 2000.

การเลือกคลินิกศัลยกรรมที่เหมาะกับตัวเอง อ่านจบได้ข้อมูลเพิ่มเติมแน่นอน

0
การเลือกคลินิกศัลยกรรมที่เหมาะกับตัวเอง
หลักการเลือกคลินิกศัลยกรรมที่เหมาะสมกับตัวเอง ไม่ว่าการทำศัลยกรรมเพียงเล็กน้อยหรือต้องมีการผ่าตัดเล็ก ล้วนแต่มีความสำคัญต่อร่างกายทั้งสิ้น
การเลือกคลินิกศัลยกรรมที่เหมาะกับตัวเอง
คลินิกศัลยกรรมที่เหมาะสมจึงต้องมีใบอนุญาตประกอบการ จากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเป็นการยืนยันว่าคลินิกมีคุณสมบัติตรงตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดไว้

คลินิกศัลยกรรม

การทำศัลยกรรมที่ดีสามารถสร้างโอกาสให้กับตนเอง ทั้งทางด้านสังคมและจิตใจ แต่หลายครั้งที่พบว่าการทำศัลยกรรมที่เกิดขึ้นในสถานที่บริการหรือ คลินิกศัลยกรรม บางแห่ง แทนที่จะสร้างความสวยงามให้กับผู้เข้ารับการศัลยกรรมกลับสร้างความเสียหาย ส่งผลให้ต้องสูญเสียความงามตามธรรมชาติ สูญเสียเวลา สูญเสียเงินทองเป็นจำนวนมาก และบางครั้งอาจถึงขั้นสูญเสียชีวิตก็มี

ปัจจัยที่มีส่วนในการทำศัลยกรรมให้ประสบผลสำเร็จ

1.ความพร้อมของร่างกายในการเข้ารับการผ่าตัด เช่น อายุ สุขภาพ เป็นต้น
2.ความชำนาญและประสบการของแพทย์ผู้ทำการศัลยกรรม
3.สถานที่ในการทำศัลยกรรม
ซึ่งในที่นี้เราจะกล่าวถึงการเลือก คลินิกศัลยกรรม ที่เหมาะสมกับตนเอง เพราะปัจจุบันนี้มีสถานบริการหรือคลินิกที่เปิดให้บริการทำศัลยกรรมเกิดขึ้นมากมาย แต่ละคลินิกก็มีการโฆษณาและจัดโปรโมชั่นเพื่อเรียกลูกค้า แล้วหลักในการเลือกว่าจะเข้ารับการทำศัลยกรรมกับคลินิกมีดังนี้

หลักในการเลือกเข้ารับการทำศัลยกรรมกับคลินิก

1.มีใบอนุญาตประกอบการ
คลินิกศัลยกรรม ที่เหมาะสมต้องมีใบอนุญาตประกอบการ จากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเป็นการยืนยันว่าคลินิกมีคุณสมบัติตรงตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดไว้ เป็นการตรวจสอบเบื้องต้นว่าคลินิกดังกล่าวมีความพร้อมในการให้บริการ เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่เข้ารับการศัลยกรรม ซึ่งการตรวจสอบว่าคลินิกดังกล่าวเป็นคลินิกที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยการนำชื่อคลินิกและเลขใบอนุญาต 11 หลักที่เขียนอยู่ในใบอนุญาตประกอบการ มาตรวจสอบที่เว็บไซต์ http://privatehospital.hss.moph.go.th หรือติดต่อไปที่หมายเลข 02-1937000 กับ 02-1937999 ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจสอบสถานพยาบาลหรือคลินิกที่เปิดให้บริการว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
นอกจากการตรวจสอบใบอนุญาตประกอบแล้ว ควรสังเกตลักษณะโดยทั่วไปของคลินิกด้วย ซึ่งลักษณะของคลินิกศัลยกรรมที่ดี ต้องมีที่ตั้งชัดเจน พื้นที่ภายในห้องตรวจ ห้องผ่าตัด หรือพื้นที่โดยรวมต้องสะอาด อุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องที่ใช้ในการตรวจ การผ่าตัดสะอาด มีการฆ่าเชื้อและการดูแลอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน รวมถึงต้องมีอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ในการกู้ชีพ ตรวจวัดสภาพความพร้อมของคนไข้ก่อนเข้ารับการศัลยกรรม ในขณะที่ทำที่ทำการศัลยกรรมและหลังการทำศัลยกรรม เช่น อุปกรณ์วัดความดันโลหิต อุปกรณ์ตรวจสอบคลื่นหัวใจ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีไว้สำหรับลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนและช่วยเหลือคนไข้ในยามฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที

2.ศัลยแพทย์ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ
ศัลยแพทย์ที่ทำหน้าการผ่าตัดศัลยกรรมต้องมีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมจากสภาวิชาชีพของแพทย์หรือ “แพทยสภา” ซึ่งแพทย์ที่ทำการรักษาหรือทำการศัลยกรรมทุกคนต้องผ่านกระบวนการ การประเมินความรู้ในเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ขั้นพื้นฐาน การประเมินความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการแพทย์คลินิก การประเมินทางด้านทักษะและทางด้านหัตถการทางคลินิก ก่อนที่ทางสภาวิชาชีพของแพทย์จะทำการออกใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมให้กับแพทย์ท่านนั้น ดังนั้นใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมจึงเป็นใบที่สามารถยืนยันว่าแพทย์มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะทำการรักษาคนไข้ได้ ซึ่งในใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมจะระบุชื่อ นามสกุล รูปแพทย์และหมายเลขของใบประกอบโรคศิลป์ของแพทย์ที่ทำการรักษา ซึ่งส่วนมากแล้วทุก คลินิกศัลยกรรม จะทำการติดใบประกอบวิชาชีพของแพทย์ไว้ที่หน้าห้องหรือหน้าคลินิก แต่ถ้าไม่มีติดไว้เราสามารถขอดูใบประกอบวิชาชีพของแพทย์ได้ และนำหมายเลขใบประกอบวิชาชีพดังกล่าวไปตรวจสอบว่าเป็นเอกสารจริงหรือปลอมได้ที่เว็บไซต์ http://www.tmc.or.th/check_md เพื่อความมั่นใจได้

3.ตรวจสอบยี่ห้อหรือวัสดุที่ใช้ในการทำศัลยกรรม
การศัลยกรรมที่จำเป็นต้องใช้วัสดุเสริมเข้าไปในร่างกาย เช่น การเสริมจมูก การเสริมเต้านม การเสริมหน้าผาก การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) การฉีดโบท็อก (Botox) ก่อนที่จะทำศัลยกรรม ควรทำการตรวจสอบยี่ห้อของวัสดุที่นำใช้ว่าได้มาตรฐานและผ่านการรับรองจากกระทรวงอาหารและยา (อย.) หรือไม่ โดยการนำชื่อยี่ห้อของวัสดุดังกล่าวไปตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ http://fdaolap.fda.moph.go.th/logistics/drgdrug/Dserch.asp เนื่องจากการได้รับรองจากกระทรวงอาหารและยาเป็นการยืนยันเบื้องต้นได้ว่าวัสดุดังกล่าวไม่เป็นอันตรายหรือมีพิษต่อร่างกาย จึงสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อน การติดเชื้อหรือการแพ้ นอกจากนั้นการทราบยี่ห้อของวัสดุที่นำมาใช้ ยังทำให้เราทราบว่าวัสดุดังกล่าวมีองค์ประกอบหรือผลิตจากวัสดุใด ซึ่งทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้สารที่มีอยู่ในวัสดุดังกล่าวได้

4.ราคาที่เหมาะ
สินค้าทุกชนิดจะมีราคามาตรฐานอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะซื้อสินค้าในปริมาณที่มากขนาดไหน ราคาของสินค้าดังกล่าวถ้ามีคุณภาพจริงก็จะไม่ถูกลงเกินครึ่งอย่างแน่นอน ดังนั้นการเลือกใช้บริการคลินิกเพื่อเข้ารับการศัลยกรรมไม่ควรเลือกที่มีราคาถูกเกินไป เพราะบางครั้งราคาก็สามารถบ่งบอกถึงคุณภาพของวัสดุ บริการและแพทย์ที่นำมาให้บริการศัลยกรรมจากคลินิกนำมาใช้ได้ จึงควรเลือกใช้บริการ คลินิกศัลยกรรม ที่มีราคาสมเหตุสมผลไม่ถูกหรือแพงจนเกินไป และอย่าหลงเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อ หรือโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถมที่ทางคลินิกจัดไว้เพื่อดึงดูดลูกค้าเข้ามาใช้บริการ แต่ให้เน้นเรื่องคุณภาพของวัสดุ ขั้นตอนการทำงานของแพทย์และแพทย์ผู้ให้บริการในการทำการศัลยกรรมมากกว่าว่าคุ้มค่ากับบริการและผลของการศัลยกรรมที่ได้รับหรือไม่ แต่ก็ไม่เลือกที่ราคาสูเกินความจริงด้วยคิดว่าของแพง คือ ของดี เพราะบางคลินิกทำการตั้งราคาที่สูงมาก และทำการโฆษณาว่าวัสดุที่ใช้เป็นของดี จนผู้ที่ต้องการทำศัลยกรรมหลงเชื่อและไม่ยอมตรวจสอบให้ดีก่อน

5.พบแพทย์ก่อนเข้ารับการทำศัลยกรรม
การเข้ารับบริการศัลยกรรมใน คลินิกศัลยกรรม บางแห่งผู้เข้ารับการศัลยกรรมทำการคุยผ่านนายหน้าหรือเจ้าหน้าที่ให้บริการหน้าเท่านั้น เพื่อทำความเข้าใจและระบุความต้องการของคนไข้ว่าต้องการทำศัลยกรรมอวัยวะส่วนใด และต้องการให้มีรูปร่างลักษณะอย่างไร โดยที่คนไข้ไม่ได้เข้าพบแพทย์ผู้ทำการศัลยกรรมผู้ทำการศัลยกรรมด้วยตนเองงหรือทำการพูดคุยผ่านเครื่องมือสื่อสารเท่านั้น ซึ่งลักษณะดังกล่าวอาจทำให้แพทย์เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนทำให้ผลของการศัลยกรรมที่ออกมาไม่ตรงตามที่ต้องการ ดังนั้นก่อนที่ผู้เข้ารับการศัลยกรรมจะทำการศัลยกรรมทุกครั้งต้องเข้าไปพูดคุยกับแพทย์ที่ทำการศัลยกรรมก่อนทุกครั้ง เพื่อทำการปรึกษา แจ้งจุดประสงค์ ตำแหน่งและลักษณะรูปทรงทีต้องการจากการทำศัลยกรรมและเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองสงสัยอย่างละเอียด เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดของแพทย์ที่ทำการศัลยกรรมจากการสื่อสารผ่านบุคคลอื่น และอีกอย่างที่ต้องให้ความสำคัญ คือเมื่อต้องเข้ารับการทำศัลยกรรมควรเป็นทำการผ่าตัดด้วยแพทย์คนเดิมที่ได้พูดคุยและตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก ไม่ควรคุยกับแพทย์ท่านหนึ่งแล้ว ทำการผ่าตัดศัลยกรรมกับแพทย์อีกท่าน โดยที่ทาง คลินิกศัลยกรรม ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าเพื่อให้เราทำการพูดคุยกับแพทย์คนดังกล่าวก่อน เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการศัลยกรรมนั่นเอง

6.แพทย์ต้องมีความเชี่ยวชาญ
แพทย์ผู้ให้บริการควรเลือกเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในการทำศัลยกรรมตรงตามอวัยวะที่เราต้องการทำศัลยกรรม เพราะว่าแพทย์แต่ละท่านจะมีความเชี่ยวชาญในการศัลยกรรมแต่ละตำแหน่งไม่เหมือนกัน บางท่านเชี่ยวชาญในการเสริมจมูก บางท่านเชี่ยวชาญในการศัลยกรรมคิ้ว ซึ่งความเชี่ยวชาญจะทำให้แพทย์สามารถให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาทำให้เมื่อศัลยกรรมออกมาสมดุล เหมาะสมกับใบหน้าของเรา ทำให้ใบหน้าโดดเด่นน่ามองมากยิ่งขึ้น โดยการเลือกแพทย์ในยุคปัจจุบันสามารถดูได้จากผลงานที่ผ่าน และควรฟังจากปากผู้ที่เคยเข้ารับบริการจากแพทย์และคลินิก แต่อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาของพรีเซนเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นแบรนด์ของ คลินิกศัลยกรรม ดังกล่าวเท่านั้น
นอกจากนั้นการคุยกับแพทย์สามารถช่วยเพิ่มความเข้าใจระหว่างแพทย์กับคนไข้ถึงจุดประสงค์ในการศัลยกรรมแล้ว ยังทำให้เราทราบถึงทัศนคติและความรู้เบื้องต้นของแพทย์ที่ทำการศัลยกรรมให้กับเราด้วย ดังนั้นก่อนที่จะทำการพบแพทย์เราควรหาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการศัลยกรรมที่ต้องการทำไว้ก่อน เพื่อที่จะไม่โดนหลอกจากมิจฉาชีพบางคนที่แอบอ้างว่าเป็นแพทย์แต่ที่จริงแล้วเป็นเพียงคนที่เคยทำงานเป็นผู้ช่วยแพทย์มาก่อนเท่านั้น

นี่คือหลักการเลือกคลินิกศัลยกรรมที่เหมาะสมกับตัวเอง ไม่ว่าการทำศัลยกรรมที่ต้องการจะเป็นการศัลยกรรมเพียงเล็กน้อยหรือการศัลยกรรมที่ต้องมีการผ่าตัดเล็ก ล้วนแต่มีความสำคัญต่อร่างกายทั้งสิ้น ดังนั้นจึงต้องทำการเลือกคลินิกที่ดีและปลอดภัยในการทำศัลยกรรม เพราะหากเกิดความผิดพลาดอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตก็เป็นได้ ดังนั้นเมื่อทราบถึงวิธีการเลือก คลินิกศัลยกรรม ที่เหมาะสมกับตนเองแล้ว การศัลยกรรมครั้งต่อไปจะช่วยเสริมให้คุณมีเรือนร่างหรือใบหน้าที่สวยงามขึ้นอย่างแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

https://kellyplasticsurgery.com/ Miller, M (2005). “What is body dysmorphic disorder?”. Harvard Mental Health Letter. 22: 8. Canning, Andrea (20 July 2009). “Woman’s DIY Plastic Surgery ‘Nightmare'”. ABC News.

Veale, D. Veale D Body dysmorphic disorder Postgraduate Medical Journal 2004;80:67-71, available online from: http://pmj.bmj.com/content/80/940/67

https://misscafebeauty.com/

การทำศัลยกรรมของคนแต่ละช่วงอายุ ไม่ควรพลาดที่จะอ่าน

0
การทำศัลยกรรมของคนแต่ละช่วงอายุ
การทำศัลยกรรมสามารถหรือภาพลักษณ์ภายนอกให้ดูโดดเด่น สร้างความเชื่อมั่นและโอกาสให้กับตนเอง
การทำศัลยกรรมของคนแต่ละช่วงอายุ
การทำศัลยกรรม นับเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมจากคนทุกช่วงอายุ ไม่ว่าจะวัยรุ่น วัยทำงาน วัยกลางคนหรือวัยสูงอายุ

การทำศัลยกรรม

ปัจจุบันนี้ การทำศัลยกรรม นับเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมจากคนทุกช่วงอายุ ไม่ว่าจะวัยรุ่น วัยทำงาน วัยกลางคนหรือวัยสูงอายุ เนื่องจากการทำศัลยกรรมสามารถเสริมบุคลิกภาพหรือภาพลักษณ์ภายนอกให้ดูโดดเด่น เป็นการสร้างความเชื่อมั่นและโอกาสให้กับตนเอง 

ตามค่านิยมของสังคมปัจจุบันที่คนสวย คนหล่อจะได้รับการยอมรับจากสังคมมากกว่าคนที่ไม่สวยไม่หล่อ โดยเฉพาะในวัยรุ่นที่ต้องการได้รับการยอมรับจากสังคม ต้องการให้คนส่วนมากให้ความสำคัญ การชมเชยหรือการชื่นชม จึงให้ความสนใจกับการศัลยกรรมเป็นอย่างมาก ซึ่งการศัลยกรรมใช่ว่าจะสามารถที่จะทำได้ทุกช่วงอายุ เพราะว่าการทำศัลยกรรมในช่วงอายุที่ไม่เหมาะสมหรือทำในช่วงอายุที่อวัยวะยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่จะส่งผลเสียต่อร่างกาย คือ

ผลเสียจากการทำศัลยกรรมในช่วงอายุที่ไม่เหมาะสม

1.อวัยวะเติบโตช้าลง
การทำศัลยกรรม ด้วยการผ่าตัดเสริมอวัยวะที่ต้องใช้วัสดุใส่เข้าไปในร่างกาย เช่น การเสริมจมูก การเสริมเต้านม เป็นต้น การวางวัสดุหรือการฉีดวัสดุเข้าไปเพื่อเสริมอวัยวะให้ดูใหญ่หรือสูงขึ้น วัสดุดังกล่าวจะไปกดทับเนื้อเยื่อและกระดูกบริเวณดังกล่าวทำให้เนื้อเยื่อและกระดูกมีการเจริญเติบโตทกว่าที่ควรจะเป็นตามช่วงอายุ เมื่ออวัยวะเจริญเติบโตได้ช้าลงย่อมส่งผลให้ขนาดและรูปร่างของอวัยวะไม่สมดุลกับอวัยวะส่วนอื่นของร่างกายอีกด้วย เช่น การเสริมจมูกเมื่ออายุประมาณ 12-13 ปี เมื่ออายุ 18 ปีซึ่งใบหน้าจะมีการเจริญเติบโตที่เต็มที่ ใบหน้าจึงมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น แต่จมูกกลับมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับขนาดของใบหน้าทำให้จมูกแลดูมีขนาดที่เล็กแลดูไม่สมดุลและสวยงามนั่นเอง

>> ฉีดฟิลเลอร์ มีข้อดีข้อเสียอย่างไร อันตรายหรือไม่บทความนี้มีคำตอบ !

>> ฉีดโบท็อกซ์ อันตรายไหม ก่อนจะทำต้องรู้อะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ

2.รูปทรงไม่สวย
เนื่องจากอวัยวะของร่างกายมีการเจริญเติบโตอย่างต่อและเติบโตสูงสุดที่อายุประมาณ 18-20 ปี ซึ่งถ้าทำการศัลยกรรมก่อนที่ร่างกายจะมีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ย่อมทำให้รูปทรงที่เกิดขึ้นจาก การทำศัลยกรรม มีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะวัสดุที่ทำการเสริมเข้าไปไม่สามารถที่จะเจริญเติบโตตามกระดูกหรือเนื้อเยื่อของร่างกาย ทำให้รูปทรงที่ทำศัลยกรรมผิดจากที่ต้องการไป หรือการผ่าตัดกระดูกเพื่อดึงหรือปรับรูปทรงของใบหน้า เมื่อกระดูกเจริญเติบโตขึ้น รูปทรงของใบหน้าก็จะเปลี่ยนแปลงไม่เป็นรูปตามที่ได้กำหนดไว้ในครั้งแรกหลังการทำศัลยกรรม

3.เจ็บตัวซ้ำซ้อน
เมื่อศัลยกรรมที่ทำเกิดการผิดรูปทรงที่ต้องการ เนื่องจากร่างกายมีการเจริญเติบโตมากขึ้น ส่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้คือ การทำศัลยกรรม ซ้ำเพื่อปรับปรุงรูปทรงของการศัลยกรรมให้เหมาะสมกับโครงสร้างของอวัยวะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งบางครั้งการศัลยกรรมซ้ำ อาจจะไม่สามารถปรับปรุงให้อวัยวะกลับมาสวยงามหรือมีขนาดที่เหมาะสมกับรูปร่างได้ เหมือนในการทำศัลยกรรมครั้งแรก เพราะว่าอวัยวะดังกล่าวมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ เนื่องจากการกดทับของวัสดุที่ใช้ทำการศัลยกรรมในครั้งแรกหรือกว่าจะสามารถทำให้อวัยวะกลับมาสวยงามตามที่ต้องการ ผู้ป่วยต้องทำการผ่าตัดหลายครั้งนำมาซึ่งความเจ็บปวดซ้ำซ้อน

4.เสียเวลาและค่าใช้จ่ายมากขึ้น
การทำศัลยกรรม เพื่อแก้ไขมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการทำศัลยกรรมครั้งแรก เพราะว่าการแก้ไขจะต้องทำการนำวัสดุที่เสริมครั้งแรกออก แล้วจึงจะสามารถทำการใส่วัสดุใหม่เพื่อเสริมเข้าไปแทนที่ได้ ซึ่งบางครั้งเมื่อนำวัสดุเก่าออกแล้วจะไม่สามารถทำการเสริมหรือตกแต่งอวัยวะได้ในทันที ต้องทำการพักฟื้นเพื่อให้ร่างกายทำการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและกระดูกที่บริเวณดังกล่าวให้กลับสู่สภาวะปกติก่อน ทำให้ผู้เข้ารับการศัลยกรรมต้องทำการผ่าตัดอย่างน้อย 2 ครั้ง คือ ผ่าตัดนำออกและผ่าตัดนำเข้า ซึ่งค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มเป็นสองเท่าหรือสามเท่าหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของการผ่าตัด และระยะในการพักฟื้นก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้สูญเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายมากขึ้น 2-3 เท่าตัวเป็นอย่างต่ำ
จะพบว่าการศัลยกรรมในช่วงวัยที่ไม่เหมาะสม คือ การศัลยกรรมในช่วงอายุที่อวัยวะของร่างกายมีการเจริญเติบโตไม่เต็มที่นั่นเอง ดังนั้นเมื่อต้องการทำศัลยกรรมควรเลือกทำตามช่วงวัยให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของอวัยวะดังกล่าว ซึ่งช่วงอายุที่เหมาะสมกับการทำศัลยกรรม โดยแบ่งตามอวัยวะของร่างกายดังนี้

การทำศัลยกรรม เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมจากคนทุกช่วงอายุ ไม่ว่าจะวัยรุ่น วัยทำงาน วัยกลางคนหรือวัยสูงอายุ เนื่องจากช่วยเสริมบุคลิกภาพหรือภาพลักษณ์ให้ดูโดดเด่น และสร้างความเชื่อมั่นและโอกาสให้กับตนเอง

ช่วงอายุที่เหมาะสมกับการทำศัลยกรรม 

1.กระดูกหน้าผาก ( Frontal bone )
ช่วงอายุสำหรับ การทำศัลยกรรม หน้าผากสามารถแบ่งได้ดังนี้
1.1การเสริมหน้าผาก ด้วยวัสดุเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาสำหรับผู้ที่มีหน้าผากไม่เรียบเนียน หน้าผากแคบหรือหน้าผากมีลักษณะแบน การเสริมหน้าผากจะทำการเสริมวัสดุเข้าไปใต้ผิวหนัง ซึ่งวัสดุที่นิยมนำมาใช้ เช่น ซีเมนต์เชื่อมกระดูก ( Bone cement ) ซิลิโคนแผ่น Gore- Tex ( e-PTFE ) เป็นต้น ซึ่งผู้ที่ต้องการเสริมหน้าผากหน้าผากควรมีอายุประมาณ 18-20 ปีขึ้นไป เพราะช่วงอายุดังกล่าวกระดูกหน้าผากจะมีการเจริญเติบโตที่เต็มที่แล้ว เมื่อทำการเสริมหน้าผากที่ช่วงอายุนี้จะทำให้ลักษณะของหน้าผากที่ได้จะมีรูปทรงที่คงที่
1.2 กรอหน้าผาก เหมาะสำหรับผู้ที่มีลักษณะของสันโหนกคิ้วสูงมากหรือบริเวณหน้าผากบางส่วนมีความสูงมากจนทำให้หน้าผากมีผิวที่ไม่เรียบเนียน การกรอหน้าผากคือการกรอเอากระดูกส่วนที่เป็นผิวหน้าออกไปทำให้กระดูกส่วนที่นูนหรือสูงออกมาราบเนียน ซึ่งการกรอกระดูกควรทำให้ช่วงอายุ 20 ปีขึ้นไป
1.3 ดึงหน้าผากและการยกคิ้ว คือ การดึงเนื้อบริเวณหน้าผากให้ตึง จุดประสงค์เพื่อลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้น ซึ่งช่วงอายุที่ทำการดึงหน้าผากควรมากกว่า 35 ปี เพราะช่วงอายุดังกล่าวผิวหนังที่บริเวณหน้าผากมีการเสื่อมสมภาพทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นชนิดถาวรขึ้น ซึ่งไม่สามารถรักษาด้วยการทาครีมได้ จึงจัดเป็นช่วงอายุที่เหมาะสมในการทำการศัลยกรรมดึงหน้าผากและยกคิ้ว

2.การศัลยกรรมดวงตา (Eyelid Surgery)
ดวงตาและบริเวณรอบดวงตาจะมีขนาดที่เจริญเติบโตเต็มที่เมื่ออายุประมาณ 17-18 ปี ซึ่งการศัลยกรรมดวงตา ไม่ว่าจะเป็นการทำตาสองชั้นด้วยการกรีด การเย็บชั้นหนักตา การเปิดหัวตาหรือหางตา การนำเนื้อหรือไขมันที่บริเวณหนังตาออกเพื่อให้สังเกตชั้นตาได้ชัดเจนขึ้น ควรทำหลังจากช่วงอายุ 18 ปี เนื่องจากทำแล้วดวงตาจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงขนาดเพิ่มขึ้น จึงทำให้ลักษณะของ การทำศัลยกรรม ที่ทำมาสามารถสังเกตได้ชัดเจน ไม่จางลงหรือเนื้อที่เติบโตขึ้นเข้ามาบดบังชั้นหนังตานั่นเอง แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับถุงใต้ตา ไม่ว่าจะเป็นกรณีถุงใต้ตาใหญ่ ถุงใต้ตาคล้ำเนื่องจากกรรมพันธุ์ควรทำการศัลยกรรมถุงใต้ตาเมื่อมีอายุมากกว่า 19 ปีหรือทำตอนอายุ 20 ปีจะดีที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ถุงใต้ตามีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว เมื่อผ่าตัดเสร็จแล้ว ถุงใต้ตาจะไม่สามารถเพิ่มขนาดขึ้นในภายหลัง
ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของดวงตาก็คือ หนังตาตกหรือผิวหนังเกิดการเหี่ยวย่น สืบเนื่องมากจากอายุที่มากขึ้นทำให้กระบวนการผลิตคอลลาเจน ( Collagen ) และอีลาสติน ( Elastin ) ของผิวหนังเกิดขึ้นน้อยลง ผิวหนังที่บริเวณหนังตาจึงหย่อนลงมาบังชั้นหนังหรือบางครั้งหย่อนลงมาบดบังการมองเห็นของดวงตา สามารถทำการศัลยกรรมเพื่อตัดส่วนของหนังตาที่หย่อนลงมาบดบังได้ ตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่ง การทำศัลยกรรม อาจจะต้องทำอีกครั้งเมื่ออายุประมาณ 45-50 ปี เนื่องจากเซลล์ผิวหนังมีความเสื่อมเพิ่มขึ้น 

3.การศัลยกรรมจมูก ( Rhinoplasty )
การศัลยกรรมจมูกไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดเพื่อเสริมจมูก ( Augmentation Rhinoplasty ) หรือการผ่าตัดเพื่อลดขนาดจมูก ( Reduction rhinoplasty ) สามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป เพราะเป็นช่วงที่กระดูกโครงสร้างของจมูกมีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ดังนั้นเมื่อทำ การทำศัลยกรรมจมูก รูปทรงและลักษณะของจมูกที่ทำไว้จะคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการเจริญเติบโตของกระดูกและเนื้อเยื่อที่เพิ่มขึ้น จนทำให้เปลี่ยนขนาดวัสดุให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเพื่อให้รูปทรงของจมูกมีลักษณะที่เหมาะสมกับใบหน้า

4.ศัลยกรรมปาก ( Lips Surgery )
การทำศัลยกรรมปาก คือ การผ่าตัดเพื่อปรับปรุงรูปร่างและลักษณะบางอย่างของปากให้เหมาะสมกับใบหน้าหรือตามความชื่นชอบของผู้เข้ารับการผ่าตัด ซึ่ง การทำศัลยกรรม ปากที่พบได้บ่อย คือ การผ่าตัดริมฝีปากหนาให้มีลักษณะที่บางลง ( Lips Reduction ) การผ่าตัดยกริมฝีปากบน (Upper lips lift, Upper lips lift shortening) และการเสริมขนาดของริมฝีปาก (Lips Augmentation) ซึ่งเหมาะการศัลยกรรมริมฝีปากสามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป เพราะขนาดของริมฝีปากมีขนาดที่เติบโตเต็มที่แล้ว ผลของการศัลยกรรมที่เกิดขึ้นจะทำให้รูปทรงของปากและลักษณะของริมฝีปากได้รูปที่สวยงาม

5. ศัลยกรรมคาง ( Chin Surgery )
คางเป็นอวัยวะที่มีการเจริญเติบโตของกระดูกและเนื้อเยื่อเต็มที่เมื่ออายุ 18 ปี ดังนั้น การทำศัลยกรรม คาง ไม่ว่าจะเป็นการเสริมคราง ( Chin Augmentation ) ด้วยวัสดุเพื่อเพิ่มขนาดและความยาวของคาง การตัดคาง ( Chin Reduction ) หรือการเลื่อนคาง (Chin Sliding) เพื่อลดขนาดและปรับรูปร่างของคางตามต้องการ ควรทำที่อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปจะดีที่สุด เพราะกระดูกจะไม่มีการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น ทำให้กระดูกไม่เกิดการเคลื่อนที่จากตำแหน่งที่ทำศัลยกรรมไว้

6.การศัลยกรรมกราม ( Jaw surgery )
คนไทยส่วนมากจะมีกรามที่ใหญ่และขยายออกมาด้านข้าง จึงนิยมที่จะตัดกรามเพื่อให้ใบหน้าและดูเรียว ซึ่งการศัลยกรรมกรามซึ่งเป็นกระดูกหลักของใบหน้า จะต้องมีอายุตั้งแต่ 20 ปีจึงจะเหมาะสมใน การทำศัลยกรรม กราม เพราะผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไปนั้น กระดูกขากรรไกรจะมีการเจริญเติบโตเต็มแล้ว 

7. ศัลยกรรมหน้าอก ( Breast surgery )
การมีขนาดหน้าที่อกที่ใหญ่หรือขนาดที่เหมาะสมกับรูปร่างจะช่วยให้ผู้หญิงมีความมั่นใจในตนเองไม่แพ้การมีใบหน้าที่สวยงาม ดังนั้นการศัลยกรรมหน้าอกจึงเป็นการศัลยกรรมอีกอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยม แต่การศัลยกรรมหน้าอกก็มีช่วงอายุที่เหมาะสมเช่นเดียวกัน เพราะ การทำศัลยกรรม หน้าอกอาจจะมีผลต่อการให้นมบุตรได้ ดังนั้นก่อนที่จะทำการศัลยกรรมควรทำการศึกษาข้อมูลเสียก่อนว่าการทำศัลยกรรมวิธีใดที่สามารถให้นมบุตรได้ อย่าลงเชื่อคำโฆษณาของสถานบันเสริมความงามบางแห่ง และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทำศัลยกรรมหน้าอก คือ ช่วงอายุตั้งแต่ 18 – 20 ขึ้นไป เพราะเป็นช่วงที่ฮอร์โมนและอวัยวะที่แสดงความเป็นเพศหญิงมีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว

จากข้อมูลข้างต้นจะพบว่า การทำศัลยกรรม ควรเริ่มทำที่อายุประมาณ 18-20 ปีขึ้นไปเพื่อเสริมสร้างความสวยงามให้กับตนอง เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายของทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว และหลังจากอายุ 40 -45 ปี เพื่อลดจุดบกพร่องที่เกิดจากความเสื่อมของผิวหนังที่ทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นถาวร และก่อนที่จะทำศัลยกรรมทุกครั้ง ควรศึกษาหาข้อมูลให้ดี เลือกแพทย์และสถานบริการที่ได้มาตรฐานเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อระหว่างการเข้ารับการศัลยกรรม อย่างนี้แล้วการศัลยกรรมที่เกิดขึ้นจะเป็นการเปิดโอกาสให้ชีวิตสดใสสวยงามอย่างแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Maniglia A.J. (1989), Reconstructive rhinoplasty, The Laryngoscope, 99(8), page 865.

Lock, Stephen etc. (2001). The Oxford Illustrated Companion to Medicine. USA: Oxford University Press. ISBN 0-19-262950-6. (page 652) https://beautytalktips.com/

เช็กแคลอรี่ในผลไม้รถเข็น ง่ายๆ ได้สุขภาพ

0
เช็กแคลอรี่ในผลไม้รถเข็น ง่ายๆ ได้สุขภาพ
การคำนวณแคลอรี่จากผลไม้รถเข็น
ผลไม้มีส่วนประกอบของไขมันน้อย แคลอรี่น้อย เป็นมิตรต่อการควบคุมน้ำหนักตัว และมีวิตามินแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดชื่น

แคลอรี่

การเช็กแคลอรี่ในผลไม้รถเข็นเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้คุณควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับในแต่ละวัน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักหรือสุขภาพ ผลไม้ที่ขายในรถเข็นมักจะมีรสชาติอร่อยและสดใหม่ แต่ก็มีแคลอรี่ที่แตกต่างกันไปในแต่ละชนิด ดังนั้นการรู้จักแคลอรี่ของผลไม้ที่เลือกกินจึงช่วยให้คุณทำการเลือกได้อย่างชาญฉลาด เช่น ถ้าคุณต้องการลดน้ำหนักหรือควบคุมปริมาณน้ำตาล การเลือกผลไม้ที่มีแคลอรี่ต่ำและกินในปริมาณที่พอเหมาะก็จะช่วยให้สุขภาพดีและไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ง่ายๆ

ถ้างั้นเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลดน้ำหนักกันก่อน สมการง่ายๆ ของการลดความอ้วน ลดปริมาณไขมัน หรืออะไรก็ตาม มีใจความสำคัญอยู่เพียงแค่อย่างเดียว คือ “เอาออกให้มากกว่าเอาเข้า” หมายความว่า ในแต่ละวันเราใช้พลังงานคิดเป็นหน่วยแคลอรี่อยู่ที่ประมาณเท่าไร นี่คือส่วนที่เรา “เอาออก” เราก็แค่เลือกทานอาหารเพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงาน เทียบเท่าหรือน้อยกว่าที่เราต้องใช้ นี่คือส่วนที่เรา “เอาเข้า” จึงเป็นที่มาของการลดน้ำหนักหลากหลายรูปแบบ เช่น อดอาหารเพื่อลดการรับพลังงานเข้าสู่ร่างกาย การเร่งออกกำลังกายเพื่อเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานให้มากขึ้น เป็นต้น ทีนี้พอย้อนกลับมาที่ประเด็นของการเลือกทานผลไม้ ซึ่งขอบอกก่อนว่าเป็นทางเลือกที่ดีมากอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่เราต้องรู้แน่ชัดว่าผลไม้ชนิดไหนมีแคลอรี่อยู่ที่เท่าไร เป็นตัวการที่ช่วยลดน้ำหนัก หรือยิ่งทำให้อ้วนมากขึ้นกันแน่

ข้อดีอย่างหนึ่งของบ้านเราก็คือมีผลไม้ให้เลือกหลากหลายชนิด หาซื้อได้ง่ายและมีราคาไม่แพง อย่างน้อยๆ แค่ผลไม้ตามฤดูกาลก็เลือกทานได้ไม่รู้เท่าไร และยังมีบริการสุดพิเศษที่น่าจะมีแต่ในบ้านเราเท่านั้น ก็คือ ร้านผลไม้รถเข็น เรียกว่าบริการความสดใหม่ให้ถึงที่ด้วยราคาย่อมเยา ไม่จำเป็นต้องซื้อทานทีละเป็นกิโลๆ แค่สิบยี่สิบบาทก็ได้สุขภาพดีขึ้นอีกนิดนึงแล้ว ที่สำคัญร้านผลไม้รถเข็นยังตอบโจทย์คนทำงานได้มากกว่าร้านขายผลไม้ทั่วไปอีกด้วย สำหรับใครที่เป็นลูกค้าประจำร้านผลไม้รถเข็น และกำลังอยู่ในช่วงของการปรับเปลี่ยนรูปร่างให้สมส่วนสวยงามมากขึ้น ก็ต้องมารู้จักกับผลไม้รถเข็นเหล่านี้ และเลือกทานให้ตรงจุดมากขึ้น จำไว้ว่าอย่างน้อยต้องให้ความสนใจกับแคลอรี่และน้ำตาลที่ซ่อนอยู่ในผลไม้ทุกชนิด

ผลไม้ยอดนิยมในร้านผลไม้รถเข็น

ผลไม้ยอดนิยมในร้านผลไม้รถเข็น1. แตงโม : ผลไม้เมืองร้อนที่ไม่ว่าร้านไหนก็ต้องมี แตงโมฝานเป็นซีกแล้วแช่น้ำแข็งเอาไว้ ทานทีไรก็เย็นชื่นใจทุกที ยิ่งในช่วงพักกลางวันที่ต้องเดินตากแดดร้อนๆ ไปหาทานมื้อเที่ยง ถ้าได้แตงโมตบท้ายก็ช่วยดับร้อนไปได้หลายระดับเลยทีเดียว เพียงแค่ใช้ความรู้สึกวัดเอา เราก็จะรู้ได้ทันทีว่าแตงโมน่าจะเป็นผลไม้ที่แคลอรี่ต่ำ ซึ่งเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะแตงโมให้พลังงานราวๆ 30 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนัก 100 กรัมเท่านั้น แถมยังได้ทานน้ำจำนวนมากจากแตงโมอีกด้วย แต่ก็มีสิ่งที่ต้องระวังอยู่เหมือนกัน เพราะแตงโมเป็นผลไม้ที่จัดว่ามีน้ำตาลสูง การทานในปริมาณมากก็ไม่ได้ช่วยให้น้ำหนักตัวลดน้อยลงสักเท่าไรและยังไม่ค่อยดีนักกับคนที่เป็นโรคเบาหวานอีกด้วย

2. สัปปะรด : ผลไม้สีเหลืองทองที่มีให้เลือกทั้งแบบหวานมาก หวานน้อย และอมเปรี้ยวนิดๆ อีกหนึ่งผลไม้ฉ่ำน้ำที่ทานกันได้ทุกเพศทุกวัย สัปปะรดให้พลังงานสูงกว่าแตงโมเล็กน้อย อยู่ที่ประมาณ 50 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนัก 100 กรัม มีข้อดีตรงที่น้ำตาลน้อย และมีสรรพคุณช่วยในการย่อยโปรตีนไม่ให้เกิดการตกค้างอยู่ในลำไส้ วิตามินซีเยอะพอสมควร แต่ด้วยความหวานที่บางครั้งไม่ได้ฉ่ำมากนัก ทำให้หลายคนติดการจิ้มพริกเกลือซึ่งมีน้ำตาลและเกลือ ที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของการลดน้ำหนัก กลายเป็นว่าแทนที่จะลดน้ำหนักได้ก็กลับเพิ่มขึ้นและมีอาการตัวบวมมาร่วมด้วย

3. ฝรั่ง : แม้ว่าจะไม่ใช่ผลไม้สุดโปรดของใครหลายๆ คน แต่ต้องบอกว่าฝรั่งเป็นตัวช่วยที่ดีมากสำหรับการลดน้ำหนัก อย่างแรกคือมีค่าพลังงานไม่เยอะเท่าไร อยู่ที่ประมาณ 68 กิโล แคลอรี่ต่อ มะม่วงดอง 100 กรัม กี่แคล
มีปริมาณน้ำตาลน้อยมาก ในขณะที่วิตามินมีค่าสูง ฝรั่งแช่บ๊วย แคล มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มเส้นใยให้กับระบบร่างกาย ล้างพิษ พร้อมกับทำให้อิ่มท้องได้นาน เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ควรมีติดตู้เย็นในบ้านเป็นประจำเลย ทั้งนี้ไม่นับรวมฝรั่งที่ผ่านกระบวนการมาแล้ว อย่างเช่น ฝรั่งแช่บ๊วย กี่แคล ฝรั่งดอง เป็นต้น

4. ชมพู่ : เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่ทานได้ง่าย รสชาติอร่อย และหลายคนชื่นชอบ ทานเมื่อไรก็สดชื่นด้วยปริมาณน้ำที่มาก และความหวานนิดๆ นี่คือตัวช่วยในการลดน้ำหนักที่ดีมากอีกตัวหนึ่ง ให้ค่าพลังงานอยู่ที่ 28 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนัก 100 กรัมเท่านั้น น้ำตาลต่ำ วิตามินซีสูง และส่วนมากก็ไม่ค่อยมีใครเอาชมพู่จิ้มพริกเกลือทานด้วย ซึ่งดีมากๆ ระวังเพียงแค่ชมพูต้องไม่มีสีสันที่ผิดแผกจากธรรมชาติมากไป เพราะอาจมีการแช่น้ำตาลมาก่อนนั่นเอง

5. มะม่วง : ความพิเศษของผลไม้ชนิดนี้ก็คือ ช่วยลดน้ำหนักก็ได้ หรือทำให้น้ำหนักสูงขึ้นกว่าเดิมก็ได้เช่นเดียวกัน อยู่ที่ว่าเราเลือกทาน มะม่วงแช่บ๊วย กี่แคล ในมะม่วงมีแป้งอยู่เยอะ ดังนั้นจึงค่อนข้างให้พลังงานสูง คือราวๆ 76 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนัก 100 กรัม ถ้านับเฉพาะผลไม้ในรถเข็น นี่อาจจะเป็นผลไม้ที่ให้ค่าแคลอรี่สูงที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ในมะม่วงดิบมีไฟเบอร์และวิตามินสูง ซึ่งดีต่อร่างกายทั้งในด้านการขับถ่ายและต่อต้านอนุมูลอิสระ แต่เมื่อไรที่กลายเป็นมะม่วงสุก เราจะได้น้ำตาลในปริมาณสูงมากมาแทน

6. แคนตาลูป : ผลไม้ที่ติดอันดับต้นๆ ของร้านผลไม้รถเข็น เรียกว่ามาเท่าไรก็หมด เพราะความหอมหวานเป็นเอกลักษณ์ที่ถูกปากคนทั่วไป ทั้งยังมีข้อดีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยบำรุงผิวพรรณ ต่อต้านอนุมูลอิสระ และอื่นๆ อีกมายมาย ค่าพลังงานที่ให้ก็อยู่ในระดับต่ำ ประมาณ 33 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนัก 100 กรัม น้ำตาลก็อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ไม่มากไปไม่น้อยไป

ผลไม้ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีส่วนประกอบของไขมันน้อย แคลอรี่น้อย เป็นมิตรต่อการควบคุมน้ำหนักตัว และมีวิตามินแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดชื่น

7. มันแกว : อันที่จริงมันแกวเป็นพืชในตระกูลเดียวกันกับถั่ว นั่นหมายความว่ามีองค์ประกอบที่เป็นแป้งเยอะประมาณหนึ่ง แต่มีส่วนของไฟเบอร์อยู่เยอะด้วยเช่นกัน ทำให้ค่าพลังงานไม่มากมายเหมือนกับการทานถั่ว ในน้ำหนักมันแกว 100 กรัมก็จะมีค่าพลังงานอยู่แค่ 38 กิโลแคลอรี่ จึงเป็นตัวช่วยที่ดีในการลดน้ำหนัก ระวังก็แต่พริกเกลือที่เอามาจิ้มเท่านั้น หากทานเพียงแค่มันแกวเฉยๆ ไม่จิ้มอะไรเลยก็จะดีกว่า

8. ผลไม้ดอง : ขาดไม่ได้กับผลไม้กลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นมะยมดอง มะม่วงดอง มะดันดอง เป็นต้น ผลไม้ดองไม่ได้มีส่วนประกอบที่ทำให้อ้วนขึ้นโดยตรง แต่มีผลในทางอ้อมอยู่เหมือนกัน ส่วนใหญ่ผลไม้ที่เอามาดองก็มักจะมีรสเปรี้ยว ดังนั้นตัดเรื่องน้ำตาลในผลไม้ไปได้เลย และก็ตัดเรื่องวิตามินที่อยู่ในผลไม้ออกไปด้วย เพราะเมื่อผ่านกระบวนการดองมาเรียบร้อยแล้ว วิตามินส่วนใหญ่จะถูกทำลายไป หลงเหลือเอาไว้ไม่มากนัก สิ่งที่เราจะได้รับเต็มๆ จะเป็นโซเดียมที่ทำให้ร่างกายเกิดอาการบวมน้ำได้ และถ้าทานมากไปก็จะกระตุ้นให้ไตทำงานหนัก มีผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวแน่นอน

9. มะละกอ : สุดยอดผลไม้ที่มีดีทั้งเรื่องราคาและคุณสมบัติ มะละกอเป็นผลไม้ที่ปลูกขึ้นได้ง่าย แทบไม่ต้องดูแลเลยด้วยซ้ำ แต่กลับมีประโยชน์หลายหลายมาก มีสารสีที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณ ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย เป็นต้น ในมะละกอมีค่าพลังงานเพียงแค่ 43 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนัก 100 กรัม แถมน้ำตาลก็มีปริมาณน้อยแม้แต่ในมะละกอสุก

10. กล้วย : นี่อาจไม่ใช่ผลไม้รถเข็นที่หาได้ง่ายนัก จะมีขายแค่บางร้านเท่านั้นและนานๆ ก็จะเห็นสักที แต่เป็นผลไม้ที่ทานง่ายอิ่มท้อง และมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน หากเป็นกล้วยหอมจะมีค่าแคลอรี่อยู่ที่ 120 กิโลแคลอรี่ต่อกล้วย 1 ผล ในขณะที่กล้วยน้ำว้ามีค่าแคลอรี่ประมาณ 60 กิโลแคลอรี่ต่อกล้วย 1 ผล ช่วยป้องกันโลหิตจาง เพราะมีธาตุเหล็กสูงมาก เหมาะที่จะเลือกทานในช่วงเช้ามากกว่าที่เป็นช่วงบ่ายเป็นต้นไป

นี่คือประเภทผลไม้พร้อมกับค่าแคลอรี่และคุณประโยชน์บางส่วนของผลไม้รถเข็น จะเห็นได้ว่า มีชนิดของผลไม้ไม่มากนักเมื่อเทียบกับแผงผลไม้ในตลาด และทั้งหมดเป็นมิตรต่อการควบคุมน้ำหนักตัวด้วย ขอแค่ทานแต่พอดี ไม่เหมายกคันรถก็เป็นอันใช้ได้ อย่างไรก็ตามบนความสะดวกสบายนี้ก็มีข้อควรระวังอยู่ด้วยเหมือนกัน เพื่อให้การเลือกทานผลไม้รถเข็นดีต่อสุขภาพจริงๆ ต้องไม่ลืมที่จะหลีกเลี่ยงอันตรายจากผลไม้รถเข็นเหล่านี้

หลักการเลือกทานผลไม้รถเข็น

  • หลักการเลือกทานผลไม้รถเข็นความสะอาด : เนื่องจากผลไม้ทั้งหมดจะถูกปลอกเปลือกแล้วแช่กับน้ำแข็งเอาไว้ในตู้กระจก ซึ่งมีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะไม่สะอาดเท่าที่ควร ก่อนเลือกซื้อผลไม้ทุกครั้งจึงควรสังเกตดูภาพรวมของตู้กระจกว่าสะอาดใสดีหรือไม่ สีของน้ำแข็งดูผิดปกติหรือมีฝุ่นผงอย่างเห็นได้ชัดหรือไม่ ที่สำคัญร้านผลไม้รถเข็นจอดขายอยู่ในจุดที่เต็มไปด้วยมลภาวะหรือไม่
  • เครื่องจิ้ม : ทั้งเกลือ น้ำตาล ผงชูรส เรียกว่าครบเครื่องเรื่องความอร่อย แต่ไม่ค่อยดีต่อสุขภาพเท่าไร แถมหลายคนมักจะขอเครื่องจิ้มพวกนี้เพิ่มจากที่เขาให้มาอีกด้วย เลยไม่รู้ว่าทานผลไม้เป็นหลัก หรือทานเกลือกับน้ำตาลเป็นหลักกันแน่ ถ้าทำได้ทานสดๆ โดยไม่ต้องจิ้มเลยหรือจิ้มให้น้อยที่สุดดีกว่า
  • สีสัน : บางครั้งผลไม้ก็ดูสดมากเสียจนมีสีเข้มเกินกว่าธรรมชาติ ซึ่งดูน่าทานและไม่น่าจะปลอดภัย ตัวอย่างเช่น ฝรั่งแช่บ๊วยที่ช่วงหลังๆ มานี้มีให้เลือกหลากหลายสี เขียวจัดบ้าง ชมพูเข้มบ้าง หรือแม้แต่ผลไม้สดๆ อย่างมันแกวที่หั่นเป็นแท่งยาวๆ ใส่ถุงไว้ ถ้าดูมีสีขาวมากเกินไป ก็อันตรายเหมือนกัน
  • รสชาติ : ถ้าทานแล้วผลไม้มีความหวานติดลิ้น ผิดธรรมชาติของผลไม้ เป็นไปได้ว่าจะมีการใช้สารช่วยเร่งเรื่องความหวาน เช่น ขัณฑสกร เป็นต้น ทันทีที่รู้สึกแปลกกับรสชาติผลไม้ที่เคยทานเป็นประจำ ให้หยุดทานแบบไม่ต้องเสียดายเลย เพราะสารเคมีที่รับเข้าสู่ร่างกายจะสะสมและอันตรายมากในระยะยาว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

NSW Government’s 8700 (kJ) dietary information website”. 8700.com.au. Retrieved 2018-06-11.

Youdim, Adrienne. “Calories: Overview of Nutrition: Merck Manual Home Edition”. Merckmanuals.com. Retrieved 2018-06-11.

ความเครียดมีผลกระทบต่อร่างกาย

0
ความเครียดมีผลกระทบต่อร่างกาย
ความเครียด คือ การตอบสนองของร่างกายทางสรีรวิทยา และทางจิตวิทยาต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ที่อาจจะเกิดจากปัจจัยภายนอกและภายในร่างกาย
ความเครียดมีผลกระทบต่อร่างกาย
ความเครียด คือ การตอบสนองของร่างกายทางสรีรวิทยา และทางจิตวิทยาต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ที่อาจจะเกิดจากปัจจัยภายนอกและภายในร่างกาย

ความเครียด

ความเครียด ( stress ) คืออะไร ? ในทุก ๆ วัน มีความเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้นรอบๆ ตัวเรา มีทั้งการเรื่องที่พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์นี้อาจนำมาซึ่งปัญหาต่างๆ ในอนาคตจนทำให้หลายๆ ท่านรู้สึกวิตกกังวล หากอาการเหล่านี้ไม่ได้รับการเยียวยา ก็จะกลายเป็นความเครียดได้ในที่สุด โดยเจ้าความเครียดนี้จะส่งผลกระทบหลายๆ อย่างต่อร่ายกายทั้งทางตรงและทางอ้อม

มาทำความรู้จักกับความเครียด

ความเครียด ( stress ) คือ การตอบสนองของร่างกายที่เกิดขึ้นทั้งทางสรีรวิทยา ( Physiological ) และทางจิตวิทยา ( Psychological ) ต่อสิ่งที่มาคุกคามหรือเป็นอันตราย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีความสำคัญและสิ่งที่ไม่คาดคิด ซึ่งอาจเกิดได้ทั้งจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในร่างกาย

ความเครียด แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. ความเครียดเฉียบพลัน หรือ Acute Stress คือ ความเครียดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เกิดขึ้นทันทีทันใด และร่างกายก็ตอบสนองต่อความเครียดนั้นโดยทันทีเช่นกัน เมื่อความเครียดนี้หายไปแล้ว ร่างกายจะค่อยๆ ปรับตัวให้เข้าสู่สภาวะปกติ เรียกว่าเป็นการรักษาดุลยภาพของร่างกาย ความเครียดเฉียบพลัน ได้แก่ การที่ร่างกายตื่นตระหนกจากเสียงดัง อากาศร้อนหรือเย็น ความกลัวอันตราย ความหิว หรือแม้แต่การอยู่ในที่แออัด ในชุมชนที่มีคนมากๆ เป็นต้น

2. ความเครียดเรื้อรัง หรือ Chronic Stress คือ ความเครียดที่เกิดจากการสะสมเป็นระยะเวลานานหรือเกิดขึ้นทุกวัน ร่างกายไม่สามารถตอบสนองหรือแสดงออกต่อความเครียดนี้แล้วขจัดให้หายไป ไม่สามารถรักษาดุลยภาพให้อยู่ในภาวะปกติได้ ความเครียดประเภทนี้จึงมีความรุนแรงมากกว่าประเภทที่ 1 (ความเครียดฉับพลัน) เพราะอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านบุคลิกภาพและอารมณ์ ผู้ที่กำลังประสบปัญหานี้จึงควรปรึกษาและเข้ารับคำแนะนำจากจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา ตัวอย่างความเครียดแบบเรื้อรัง เช่น ความเครียดจากปัญหาในที่ทำงาน ปัญหาในครอบครัว ความเหงา ความเครียดที่เกิดจากความสัมพันธ์ และความเครียดจากการอดทนจากภัยคุกคามอันไม่พึงประสงค์ ฯลฯ

สาเหตุของความเครียด

ความเครียดเกิดได้จากหลายๆ ปัจจัย แตกต่างกันในแต่ละบุคคล สามารถแบ่งได้ 3 กลุ่มหลัก ๆ คือ

  • ด้านร่างกาย ได้แก่ การเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ หรือการเจ็บป่วยแบบเรื้อรังเป็นระยะเวลานาน เป็นต้น
  • ด้านจิตใจ ได้แก่ ความรู้สึกผิดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ความวิตกกังวลต่อสิ่งที่จะเกิดในอนาคต หรือแม้แต่ความกลัวต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว เป็นต้น
  • ด้านสังคม ได้แก่ ความสัมพันธ์ที่ไม่พึงประสงค์ ความขัดแย้งกับคนในครอบครัวหรือที่ทำงานและปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่หรือที่ทำงานใหม่ เป็นต้น

การตอบสนองของร่างกายกับความเครียด

ทุกคนต้องพบเจอกับความเครียดอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และในทุกๆ ครั้งร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดและสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งความเครียดนี้หากมองในแง่บวกก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เนื่องจากธรรมชาติให้ติดตัวมากับมนุษย์ทุกคนเพื่อให้เกิดความตื่นตัวและตอบสนองต่อภัยอันตรายภายนอก ให้สามารถเอาตัวรอดได้เมื่อต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยงและคับขัน แต่อย่างไรก็ตาม ความเครียดจะกลายเป็นภัยก็ต่อเมื่อ เรามีความเครียดอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้รับการบำบัดผ่อนคลาย จนนำไปสู่การตอบสนองต่อความเครียดในทางที่ผิด ทำให้เกิดผลเสียต่างๆ ขึ้นกับร่างกาย

การตอบสนองต่อความเครียด ( Stress response ) หรือการปรับตัว ( General adaptation syndrome ) เป็นปฏิกิริยาทางสรีรวิทยาที่ตอบสนองต่อความเครียด ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ

1. ระยะเตรียมพร้อม ( Alarm Stage ) จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายรับรู้ถึงภัยอันตราย โดยจะเตรียมความพร้อมสำหรับจัดการกับอันตรายนั้นในรูปแบบของการสู้หรือหนี ( fight or flight ) ซึ่งระยะนี้จะถูกควบคุมด้วยระบบประสาทและฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อ

2. ระยะต่อต้าน ( Resistance Stage ) จะเกิดความเปลี่ยนแปลงเพื่อต่อต้านกับความเครียดเพื่อให้ร่างกายกลับเข้าสู่ภาวะสมดุล

3. ขั้นหยุดการทำงาน ( Exhaustion Stage ) หากร่างกายอยู่ในภาวะเครียดเป็นระยะเวลานาน จะไม่สามารถปรับสมดุลในข้อ 2 ได้ ร่างกายจึงไม่สามารถเข้าสู่ภาวะสมดุล ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยตามมาและกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้   

เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น ร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนความเครียด อันเกิดจากฮอร์โมน 2 ตัว คือ “คอร์ติซอล ( Cortisol ) และ แอดีนาลีน ( Adrenaline ) ซึ่งหลั่งออกมาจากต่อมหมวกไตทั้งสองข้าง โดยฮอร์โมนความเครียดนี้จะทำให้ร่างกายมีพละกำลังมากพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดหรือกระทำการใหญ่ เช่น การยกของหนักๆ หนีไฟไหม้ การวิ่งหนีภัย เมื่อฮอร์โมนนี้ได้ถูกใช้ไป ความเครียดหรือความกดดันต่างๆ ก็จะหายไปด้วย แต่หากฮอร์โมนชนิดนี้ยังคงอยู่ในร่างกายก็จะส่งผลเสีย เนื่องจากฮอร์โมนนี้จะเพิ่มระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์และน้ำตาลในเลือด ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ปากแห้ง วิงเวียนศีรษะ ตัวสั่น ใจสั่น เหนื่อยง่าย ไม่มีสมาธิและท้องเสีย เป็นต้น ยิ่งถ้ามีฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้นอีก ก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกายเป็นวงกว้าง จนอาจถึงขั้นทำให้หัวใจวายและชีวิตได้

ความเครียด คือ การตอบสนองของร่างกายทางสรีรวิทยา และทางจิตวิทยา ต่อสิ่งทีเกิดขึ้นหรือเป็นอันตราย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและไม่คาดคิด ที่เกิดจากปัจจัยภายนอกและภายในร่างกาย

ผลกระทบของความเครียดต่อร่างกาย

ความเครียดนอกจากจะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจและอารมณ์แล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพร่างกายโดยตรง อันก่อให้เกิดโรคและความผิดปกติหลายอย่าง ดังนี้

  • หัวใจเต้นผิดปกติ เนื่องจากความเครียดจะไปกระตุ้นให้ผู้ป่วยโรคหัวใจเกิดอาการเจ็บหน้าอก เพราะกลไกการทำงานของหัวใจหนักขึ้น มีการบีบตัวและเต้นเร็วขึ้น จนทำให้เกิดการเต้นที่ผิดปกติของหัวใจและอาจถึงขึ้นหัวใจวายได้
  • ม้ามทำงานหนัก เนื่องจากความเครียดจะไปกระตุ้นให้ม้ามหลั่งเซลล์เม็ดเลือดขาวและเซลล์เม็ดเลือดแดงออกมาในจำนวนมากผิดปกติ
  • ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย ในผู้ป่วยที่มีความเครียดเรื้อรัง ร่างกายจะมีจำนวนเม็ดเลือดขาวและภูมิต้านทานที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อน้อยกว่าคนทั่วไป จึงทำให้ติดเชื้อไข้หวัดและเริมได้ง่าย
  • น้ำตาลในเลือดสูง ความเครียดจะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานเกิดการดื้ออินซูลิน    
  • ความต้องการทางเพศลดลง ในผู้หญิงจะมีปัญหาเรื่องประจำเดือนมาไม่ปกติ แท้งบุตรและมีปัญหาเรื่องการถึงจุดสุดยอดขณะมีเพศสัมพันธ์ ส่วนในผู้ชายจะมีปัญหาเรื่ององคชาติไม่แข็งตัว ไม่มีอารมณ์ทางเพศ เป็นต้น
  • โรคขาดสารอาหาร เนื่องจากความเครียดส่งผลให้ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติและจะสลายอาหารจำพวกโปรตีน วิตามิน ไขมัน รวมถึงสารอาหารอื่นๆ มากกว่าปกติ จึงอาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้
  • โรคอ้วน ผู้ที่ประสบอาการเครียดจะรู้สึกอยากอาหารจำพวกที่มีรสเค็ม มัน หวาน มากขึ้นทำให้เกิดภาวะน้ำหนักตัวเกิน กลายเป็นโรคอ้วนซึ่งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
  • โรคความดันโลหิตสูง ความเครียดอันเกิดจากความโกรธและความวิตกกังวลนั้น ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หากเป็นบ่อยก็จะส่งผลให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงได้
  • โรคแผลในกระเพราะอาหารและลำไส้ เนื่องจากเมื่อประสบภาวะเครียด ร่างกายจะหลั่งสารแอดดินาลีนออกมา สารนี้มีส่วนในการกระตุ้นให้ผนังลำไส้ขับกรดออกมามากกว่าปกติ เมื่อนานวันเข้าก็จะทำให้กลายเป็นโรคกระเพราะอาหารและลำไส้ได้ในที่สุด
  • โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ จากการศึกษาพบว่าความเครียดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคนี้
  • กรดไขมันในเส้นเลือดสูง เมื่อร่างกายเกิดความเครียดจะสร้างกรดไขมันขึ้น เพื่อใช้ในการต่อสู้ เมื่อร่างกายคลายความเครียดลง ระดับกรดไขมันก็จะลดลงด้วย แต่หากมีความเครียดสะสม กรดไขมันนี้ก็จะก่อตัวพอกพูนเกาะอยู่ในผนังเส้นเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก เกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้
  • ต่อมน้ำเหลืองทำงานผิดปกติ เนื่องจากความเครียดจะไปยับยั้งการแบ่งเซลล์และการสังเคราะห์ในต่อมน้ำเหลือง จึงทำให้เกิดภาวะต่อมน้ำเหลืองทำงานผิดปกติส่งผลให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำลง

วิธีจัดการกับความเครียด

การจัดการกับความเครียดมีด้วยกันหลากหลายวิธี หนึ่งในนั้นคือการใช้ยา ซึ่งถือว่าเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ โดยต้นเหตุความเครียดของหลายๆ ท่าน อาจสามารถรับมือได้ง่าย ๆ เพียงเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตหรือเปลี่ยนวิธีคิด ดังนี้

  •  เปลี่ยนแปลงทัศนคติ เช่น ลดการแข่งขันกับผู้อื่น รู้จักผ่อนปรนและลดความเข้มงวดลง
  • ปรับปรุงสัมพันธภาพกับคนในครอบครัว หรือบุคคลรอบตัวให้ดีขึ้น
  • ลดเครื่องดื่มบางประเภทที่ช่วยก่อให้เกิดความเครียด เช่น กาแฟและเครื่องดื่มหรือขนมที่มีน้ำตาลสูง
  • ออกกำลังกายหรือทำงานอดิเรกที่ชื่นชอบเพื่อลดความตึงเครียด ให้ร่างกายและจิตใจได้ผ่อนคลาย
  • ฝึกมองโลกในแง่ดี เช่น มองผู้อื่นในแง่ดี มองตนเองในแง่ดี รู้จักให้อภัย รู้จักให้กำลังใจตนเองและผู้อื่น รวมถึงฝึกปล่อยวางในสิ่งที่ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ 
  • ฝึกวิธีผ่อนคลายร่างกายโดยตรง เช่น ฝึกการหายใจที่ถูกวิธี ฝึกสมาธิ เล่นโยคะหรือนวดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
  • ลดพฤติกรรมการชอบทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เพราะทำให้เกิดความกดดัน ต้องแข่งขันกับเวลาอยู่เสมอ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งงดการสูบบุหรี่หรือการใช้สารเสพติดชนิดอื่นๆ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และนอนหลับให้เพียงพอ

วิธีรักษาโรคเครียด

ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ไม่สามารถจัดการกับปัญหาความเครียดได้ จนกลายเป็นความเครียดเรื้อรัง การระบายกับเพื่อนหรือบุคคลในครอบครัวอาจไม่เป็นผล ผู้ป่วยจึงมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาจากจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ซึ่งมีวิธีการรักษาแตกต่างกันไป ดังนี้

1. ปรึกษาจิตแพทย์ วิธีนี้เป็นวิธีขั้นพื้นฐานที่ช่วยรักษาโรคเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากแพทย์จะรับฟัง วิเคราะห์ปัญหาและช่วยให้ผู้ป่วยรับมือกับเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียดได้อย่างตรงจุด ผู้ป่วยจึงสามารถจัดการกับอาการความเครียดที่เกิดขึ้นได้ด้วยตนเอง

2. บำบัดพฤติกรรมและความคิด หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า CBT ( Cognitive Behavioural Therapy ) วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่โรคเครียดเกิดจากความวิตกกังวลหรือมีแนวคิดบางอย่างที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต โดยแพทย์จะทำความเข้าใจกับความคิดและความรู้สึกของผู้ป่วย ช่วยให้เข้าใจว่าบางความคิดไม่ถูกต้อง ทำให้ผู้ป่วยสามารถปรับทัศนคติและมองทุกอย่างได้ถูกต้องตามความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น

3. ใช้ยารักษา ในการรักษาแพทย์อาจจะใช้ตัวยาบางชนิดร่วมด้วย ( ส่วนใหญ่จะใช้ยาเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ) เพื่อบรรเทาอาการบางอย่าง เช่น หัวใจเต้นเร็ว นอนไม่หลับหรือซึมเศร้า ฯลฯ ตัวยาที่ใช้ได้แก่

เบต้า บล็อกเกอร์ ( Beta-Blocker ) มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการซึ่งเกิดจากที่ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา เช่น ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว ยาชนิดนี้มีข้อดี คือไม่ก่อให้เกิดอาการง่วง ( สามารถรับประทานในเวลาทำงานได้ ) และไม่ทำให้เสพติด เพราะไม่อยู่ในกลุ่มยาระงับประสาท

ยาไดอะซีแพม ( Diazepam ) ยาชนิดนี้เป็นยาระงับประสาท อยู่ในกลุ่มยาเบนโซไดอะซีปีน ( Benzodiapines ) ซึ่งไม่นิยมนำมาใช้ในการรักษา เว้นแต่ในผู้ป่วยบางรายที่มีข้อบ่งชี้ให้จำเป็นต้องใช้ ก็จะให้รับประทานในระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น เนื่องจากอาจเกิดอาการดื้อยา ทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาเสื่อมลงจนไม่เป็นผลและผู้ป่วยมีโอกาสเสพติดยาได้ง่าย 

นอกจากตัวยาข้างต้น แพทย์อาจใช้ยาชนิดอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ ยาต้านเศร้ากลุ่ม SSRIs ( Selective Serotonin Reuptake Inhibitors ) ยาระงับอาการวิตกกังวล เป็นต้น และในบางรายที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจใช้วิธีการสะกดจิต หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Hypnotherapy ร่วมด้วย ซึ่งพบไม่มากนักในประเทศไทย ส่วนผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมทำร้ายผู้อื่นหรือทำร้ายตนเอง ในบางรายอาจถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายนั้น จะต้องได้รับการดูแลจากนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์อย่างใกล้ชิดจึงมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาระยะยาวที่โรงพยาบาลจนกว่าสภาพจิตใจจะดีขึ้น จนสามารถดูแลตนเองและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้

ความเครียดในระดับต่ำนั้นมีข้อดี คือช่วยกระตุ้นให้เรามีความมุ่งมั่นเพื่อเอาชนะปัญหาและช่วยในการเรียน ตลอดจนการทำงานต่างๆ ให้สำเร็จ แต่หากมีมากจนเกินไปก็จะกลายเป็นบ่อเกิดของโรคและส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมากมายเช่นกัน การรู้จักจัดการกับความเครียดและหาวิธีระบายอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะหากระบายความเครียดด้วยวิธีที่ผิด เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ พึ่งยานอนหลับหรือพึ่งสารเสพติด อาจก่อให้เกิดปัญหาทั้งต่อตนเองและผู้อื่นได้ โดยในปัจจุบันมีหลายโรงพยาบาลที่รับให้คำแนะนำและปรึกษาปัญหา ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถเข้ารับบริการได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Edmunds, W. John (1997). “Social Ties and Susceptibility to the Common Cold”. JAMA: the Journal of the American Medical Association. 278 (15): 1231; author reply 1232.

Herbert, T. B.; Cohen, S. (1993). “Stress and immunity in humans: a meta-analytic review”. Psychosomatic Medicine. 55 (4): 364–379. doi:10.1097/00006842-199307000-00004.

Ogden, J. (2007). Health Psychology: a textbook (4th ed.), pages 281–282 New York: McGraw-Hill ISBN 0335214711

วิธีดูแลถุงใต้ตา ให้สดใสไม่หมองคล้ำ

0
วิธีดูแลถุงใต้ตาให้สดใสไม่หมองคล้ำ
ถุงใต้ตา คือ ถุงไขมันที่อยู่บริเวณใต้ดวงตาหรือบริเวณเบ้าตาด้านล่าง
วิธีดูแลถุงใต้ตาให้สดใสไม่หมองคล้ำ
ถุงใต้ตา เกิดขึ้นแล้วย่อมจะทำให้ดวงตาที่สวยงามดูหม่นหมอง ใบหน้าหมองคล้ำแลดูแก่กว่าวัย

ถุงใต้ตา

ถุงใต้ตา ( Eye bags ) คือ ถุงไขมันที่อยู่บริเวณใต้ดวงตาหรือบริเวณเบ้าตาด้านล่าง มีจำนวนทั้งหมด 3 ถุง แต่ถุงที่มีการคั่งค้าของน้ำหรือของเหลวจนกลายเป็นถุงใต้ตา คือ ถุงไขมันที่อยู่ส่วนกลาง ( Middle Fat ) และถุงไขมันที่อยู่ส่วนด้านใน ( Inner Fat ) ซึ่งโดยปกติถุงไขมันที่อยู่ใต้ดวงตาจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้จากภายนอก แต่เมื่อมีสิ่งมากระตุ้นจะทำให้ถุงไขมันมีการขยายขนาดขึ้น วันนี้เรารู้จักประเภทของถุงใต้ตา และวิธีลดถุงใต้ตาตามฝากเพื่อน ๆ ทุกคนมาดูกันเลย

ประเภทของถุงใต้ตา

รอยคล้ำบริเวณถุงใต้ตาเป็นรอยที่สามารถพบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ลักษณะที่พบคือถุงใต้ตาบวมมีสีคล้ำก่อให้เกิดปัญหาใบหน้า ทำให้ใบหน้าหมองคล้ำแลดูแก่กว่าวัย โดยเฉพาะถุงใต้ตาเยอะและรอยคล้ำเห็นได้ชัดเจนอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ โรตภูมิแพ้ อ่อนเพลียเรื้อรัง ผิวแพ้ง่าย ริ้วรอยก่อนวัย พันธุกรรม ปัญหาถุงใต้ตาจากแสงแดด ซึ่งสามารถแบ่งประเภทได้ดังนี้

1.ถุงใต้ตาเทียม

คือ ถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบการไหลเวียนของเหลวภายในร่างกาย ทำให้เกิดการสะสมของไขมัน เลือดและน้ำที่บริเวณถุงไขมันที่บริเวณเบ้าตาด้านล่าง ทำให้ถุงไขมันดังกล่าวมีขนาดใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นถุงใต้ตาที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน ซึ่งสาเหตุของถุงใต้ตามเทียมเกิดขึ้นจากการที่ร่างกายอ่อนแอ เนื่องจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ การร้องไห้เสียน้ำตาในปริมาณมาก การใช้สายตามากจนดวงตาเกิดความเหมื่อยล้า อาการแพ้หรือการอักเสบเนื่องจากได้รับสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่บริเวณเบ้าตาจนทำให้เบ้าตาเกิดการระคายเคือง จนส่งผลให้ระบบไหลเวียนของเหลวเกิดความผิดปกติ

2.ถุงใต้ตาแท้

เป็นถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นจากการทำงานที่ผิดปกติของต่อมไร้ท่อ ( Endocrine Gland ) ที่ทำหน้าที่ในการผลิตและหลั่งฮอร์โมน ( Hormone ) ที่ควบคุมการไหลเวียนของเหลวภายในร่างกาย เช่น เลือด ไขมัน น้ำเหลือง เป็นต้น ถ้าระบบมีการทำงานที่ผิดปกติเกิดขึ้นจะทำให้มีการสะสมของเหลวหรือไขมันที่บริเวณถุงไขมันใต้ตา ส่งผลให้ถุงใต้ตามีขนาดใหญ่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งสาเหตุของความผิดปกติที่ทำให้เกิดถุงใต้ตาแท้ คือ

2.1กรรมพันธุ์

ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อสามารถทำการถ่ายทอดทางพันธุ์กรรมจากพ่อแม่สู่ลูกได้ ถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมนี้สามารถสังเกตเห็นได้ตั้งแต่อายุยังน้อย 

2.2 อายุ

เมื่ออายุมากขึ้นระบบการทำงานของต่อมไร้ท่อเกิดการเสื่อมประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการสะสมของไขมันและน้ำที่บริเวณถุงไขมันใต้ดวงตากลายมาเป็นถุงใต้ตา

ถึงแม้ว่าการที่ถุงใต้ตามีขนาดที่ใหญ่ขึ้นมาจนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนจะไม่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อร่างกาย แต่ว่าการมีถุงใต้ตาที่ใหญ่ก็ทำให้สูญเสียความมั่นใจในใบหน้าของตนเอง เพราะถุงใต้ตาที่มีขนาดใหญ่และมีสีคล้ำจะทำให้ใบหน้าหม่อนหมองแลดูแก่กว่าวัย โดยเฉพาะถุงใต้ตาเทียมที่เกิดขึ้นได้ง่ายในยามที่ร่างกายและดวงตาอ่อนล้า ดังนั้นการดูแลให้ระบบการไหลเวียนของเหลวที่เกิดขึ้นในร่างกายและบริเวณเบ้าตาสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดการคั่งค้างของของเหลว น้ำหรือไมมันในถุงไขมันที่บริเวณใต้ตาก็จะสามารถลดขนาดและป้องกันการเกิดถุงใต้ตา ซึ่งการดูแลร่างกายมีวิธีการดังนี้

วิธีลดถุงใต้ตา เพื่อรักษาถุงใต้ตาได้อย่างถูกต้อง

  • ใช้ช้อนแช่น้ำเย็นประคบถุงใต้ตาประมาณ 30 วินาที เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ถุงใต้ตา
  • ใช้ไข่ขาว ทารอบบริเวณถุงใต้ตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือจนแห้ง ล้างออกด้วยน้ำเย็น
  • ใช้เกลือครึ่งช้อนโต๊ะผสมละลายกับน้ำอุ่น จากนั้นนำสำลีแผ่นกลมชุบแปะที่ดวงตาทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
  • ใช้ถุงชาแช่ไว้ในตู้เย็น แล้วนำไปวางบนเปลือกตาทั้ง 2 ข้าง ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที
  • ใช้แตงกวาแช่เย็น หั่นเป็นแว่นแปะรอบดวงตาและถุงใต้ตา เพื่อผ่อนคลายเพิ่มความชุ่มชื่นผิวถุงใต้ตา
  • กดนวดลดถุงใต้ตาบวม โดยใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางให้ปลายนิ้วอยู่บนเนินจมูกค้างทำซ้ำประมาณ 10 วินาที

วิธีการดูแลร่างกายเพื่อป้องกันการเกิดถุงใต้ตา

1. พักผ่อนให้เพียงพอ

การที่ระบบการทำงานของต่อมไร้ท่อ มักเริ่มมาจากร่างกายได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ มีการนอนน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการหรือนอนหลับไม่สนิท ดังนั้นเพื่อรักษาถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นมานั้นจะต้องทำการพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งสังเกตได้จากหลังจากตื่นนอนแล้งยังรู้สึกอ่อนเพลียหรือไม่ ถ้าร่างกายยังรู้สึกอ่อนเพลียแสดงว่ายังพักผ่อนไม่เพียงพอ และควรนอนเป็นเวลาตั้งแต่ 22.00 – 06.00 น. เป็นเวลาที่เหมาะสมกับการนอนหลับที่ดีที่สุด โดยช่วงเวลาประมาณ 24.00 – 01.30 น. เป็นเวลาที่ร่างกายมีการหลั่งโกรทฮอร์โมน ( Growth Hormone: GH ) ที่มีหน้าที่ในการซ่อมแซมเซลล์และระบบการทำงานของร่างกายให้มีประสิทธิภาพ และท่าการนอนควรนอนหงาย อย่านอนคว่ำหรือนอนตะแคงตลอดทั้งคืน

2. การนวดคลึงเบ้าตา

การนวดที่บริเวณถุงใต้ตาจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด น้ำ น้ำเหลืองที่มีการคั่งค้างอยู่ในถุงไขมันให้มีการกระจายตัวและช่วยให้มีการไหลเวียนดีขึ้น กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทที่บริเวณเบ้าตา ลดความเหมื่อยล้าและเกร็งของกล้ามเนื้อ การนวดสามารถนวดโดยใช้มือนวดคลึงเป็นรูปก้นหอยที่บริเวณเบ้าตาด้านล่างไปจนถึงบริเวณหางตา การนวดควรนวดทุกวันจะสามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำ

ร่างกายมีระบบการควบคุมความเป็นกรด-ด่างภายในร่างกาย โดยค่าความเป็นกรดของร่างกายอยู่ที่ 7.35 -7.45 ถ้าร่างกายมีความเป็นกรดหรือด่างมากกว่าค่ามาตราฐาน ซึ่งมักเกิดจากการร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่น้อย ร่างกายจึงทำการสะสมน้ำไว้ภายในร่างกายเพิ่มขึ้นเพื่อเจือจางความเป็นกรดและด่างให้อยู่ในค่ามาตราฐาน ส่งผลให้มีการสะสมน้ำที่บริเวณถุงใต้ตาเพิ่มขึ้น ถุงใต้ตาจึงมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ดังนั้นการดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำวันวันละประมาณ 7-8 แก้วจะสามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาให้มีขนาดเล็กลงได้ เพราะร่างกายมีการไหลเวียนของน้ำและเลือดในสภาวะสมดุลไม่จำเป็นต้องกักเก็บน้ำไว้ในร่างกาย

ถุงใต้ตา ( Eye bags ) คือ ถุงไขมันที่อยู่บริเวณใต้ดวงตาหรือบริเวณเบ้าตาด้านล่าง มีจำนวนทั้งหมด 3 ถุง แต่ถุงที่มีการคั่งค้าของน้ำหรือของเหลวจนกลายเป็นถุงใต้ตา

4. งดสูบบุหรี่

สารพิษที่อยู่ในบุหรี่ เช่น สารนิโคติน ก็าซคาร์บอนมอนอกไซด์ สารแคดเมี่ยม ไนตริคออกไซด์ ไฮโดรเจนไซยาไนด์คาร์บอนไดซัลไฟด์ จะมีคุณสมบัติที่ทำให้ผนังของเส้นเลือดมีขนาดที่หนาขึ้น ทำให้ของเหลวไม่สามารถไหลผ่านไปได้ จนเกิดการสะสม โดยเฉพาะที่บริเวณเส้นเลือดฝอยที่บริเวณผิวหนังใต้ดวงตา จึงทำให้มีการสะสมของเหลวที่ถุงไขมันใต้เบ้าตาจนทำให้เกิดถุงใต้ตาเกิดขึ้น สังเกตได้ว่าคนที่สูบบุหรี่จัดถุงใต้ตาจะมีขนาดใหญ่กว่าคนทั่วไป ดังนั้นการงดสูบบุหรี่จึงสามารถช่วยลดขนาดและป้องกันการเกิดถุงใต้ตาได้เป็นอย่างดี

5. ลดใช้สายตา

การใช้สายตาในการเพ่งหรือมองจนกล้ามเนื้อบริเวณเบ้าตาเกิดความเหมื่อยล้าจะทำให้ถุงใต้ตามีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ดังนั้นเมื่อต้องทำงานหรือเพ่งมองควรหยุดพักสายตาทุก 15 -20 นาทีเพื่อลดความเหมื่อยล้าของกล้ามเนื้อบริเวณรอบเบ้าตา 

6. ประคบเย็น

เมื่อเกิดถุงใต้ตาขึ้นการประคบเย็นจะสามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาได้ เนื่องจากความเย็นที่เกิดขึ้นจะเข้าไปกระชับถุงไขมันใต้ตาให้มีขนาดที่เล็กลงและทำการขับของเหลวที่อยู่ภายในถุงใต้ตาออกมา โดยการประคบเย็นสามารถประคบด้วยถุงน้ำแข็ง แผ่นเจลประคบเย็น ผ้าชุบน้ำเย็น หรือจะเป็นผัก ผลไม้ที่หั่นเป็นชิ้น ๆ ที่แช่เย็นจัด เช่น แตงกวา มันฝรั่ง มะเขือเทศ ถุงชา มาวางบนเบ้าตาทั้งสองข้าง วางไว้ประมาณ 15- 20 นาทีต่อครั้ง และควรทำเป็นประจำทุกวัน นอกจากจะสามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาให้เล็กลงแล้ว ยังสามารถป้องกันไม่ให้ถุงใต้ตาเกิดขึ้นได้อีกด้วย

7. การทาครีมบำรุงผิวและลบถุงใต้ตา

การทาครีมบำรุงผิวที่ออกแบบมาเพื่อบำรุงรอบดวงตา สามารถช่วยลดขนาดและการเกิดถุงใต้ตา ซึ่งครีมบำรุงรอบดวงตาควรเลือกที่มีส่วนผสมที่อ่อนโยนต่อผิวและดวงตา เพราะการทาที่บริเวณรอบดวงตามีความเสี่ยงที่สารในเนื้อครีมจะเข้าไปทำให้เกิดการระคายเคืองกับดวงตาได้ ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยลดถุงใต้ตาแล้วอาจจะทำให้ถุงใต้ตามีขนาดที่ใหญ่ขึ้นอีกด้วย และครีมบำรุงใต้ตาควรแช่เย็นไว้ เพื่อที่เวลาทาครีมนอกจากจะได้ผลจากสารบำรุงที่อยู่ในเนื้อครีมแล้ว ความเย็นที่ได้จากเนื้อครีมก็จะคล้ายกับการประคบเย็นนั่นเอง

8. การใช้คลื่นวิทยุ ( Radio Frequency หรือ RF )

การใช้คลื่นวิทยุที่อยู่ในช่วงความถี่ 0.3 – 0.5 MHz ยิงเข้าไปสู่ที่บริเวณเบ้าตาด้านล่างที่มีถุงใต้ตาเกิดขึ้น คลื่นวิทยุที่ยิงเข้าไปจะเข้าไปจะเข้าไปสู่ผิวหนังชั้นในสุด ( Subcutaneous fat ) ในขณะที่คลื่นวิทยุผ่านชั้นผิวหนังเข้าสู่ด้านในจะทำให้ผิวหนังแต่ชั้นเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อยคล้ายกับการนวด ซึ่งคลื่นวิทยุช่วยกระตุ้นกระบวนการผลิตคอลลาเจน ( Collagen ) และอีลาสติน ( Elastin ) ที่อยู่ใต้ผิว ส่งผลให้กล้ามเนื้อที่บริเวณใต้ตามีความแข็งแรง และยังช่วยกระตุ้นกระบวนการละลายของไขมันป้องกันการกระจายตัวเข้าสู่หลอดน้ำเหลืองที่บริเวณถุงไขมัน ทำให้ปริมาณไขมันในถุงใต้ตามีปริมาณลดลง ถุงใต้ตาจึงมีความกระชับแบนราบ

9. การใช้เลเซอร์ ( Laser Eye Bag Removal )

เลเซอร์ ( Laser ) สามารถช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาได้ ด้วยเนื่องจากเลเซอร์จะเข้าไปทำการสลายและดูดไขมันส่วนเกินบางส่วนออกมาจากถุงใต้ตา ทำให้ถุงใต้ตามีขนาดที่เล็กลงอย่างเห็นได้ชัด โดยการเปิดแผลและทำการฉายเลเซอร์เข้าไปที่ถุงไขมันที่บริเวณด้านล่างของเบ้าตา ซึ่งการรักษาถุงใต้ตาด้วยการฉายเลเซอร์เป็นการรักษาชนิดที่ไม่ถาวร ถุงใต้ตามีโอกาสที่จะกลับมามีขนาดที่ใหญ่ขึ้นอีกได้ แต่ก็สามารถทำการฉายเลเซอร์เพื่อลดขนาดของถุงใต้ตาได้ตลอด

10. การผ่าตัดลดขนาดถุงใต้ตา ( Lower Blepharoplasty )

การผ่าตัดนำถุงไขมันที่มีการขยายตัวขึ้นออกเป็นการรักษาภาวะถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นได้ดีที่สุดและเป็นการรักษาแบบถาวรที่ถุงใต้ตาจะไม่กลับมาอีก ซึ่งจะใช้รักษาถุงใต้ตาแท้ที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อซึ่งมาจากพันธุ์กรรมที่พบมาตั้งแต่อายุยังน้อย โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดแผลและทำการตัดเอาไขมันส่วนเกินที่อยู่ภายในถุงไขมัน กล้ามเนื้อหรือหนังส่วนเกินที่บริเวณรอบดวงตาที่ถุงไขมันมีการขยายตัวออกมาก ทำให้ถุงไขมันมีขนาดที่เล็กลง เพื่อปรับขนาดของถุงใต้ตาให้มีขนาดเล็กลงและผิวหนังรอบดวงตาเรียบเนียน การผ่าตัดเป็นการรักษาถุงใต้ตาต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยของดวงตา

จะพบว่าการรักษาถุงใต้ตาสามารถเริ่มได้จากการดูแลร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน รับประทานอาการให้ครบทั้ง 5 หมู่ อย่างต่อเนื่อง การปฏิบัติตนเช่นนี้จะสามารถป้องกันหรือลดขนาดของถุงใต้ตาเทียมได้ผลเป็นอย่างดี แต่สำหรับผู้ที่มีถุงใต้ตาชนิดถุงใต้ตาแท้การรักษาจำเป็นจะต้องทำการรักษาด้วยการใช้เลเซอร์หรือการผ่าตัดภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะถ้าเกิดความผิดพลาดในขณะที่ทำการผ่าตัดอาจจะทำให้ดวงตาไม่สามารถมองเห็นได้ การผ่าตัดตัดถุงใต้ตาออกสามารถช่วยลดปัญหาถุงใต้ตาแท้ที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่ออย่างได้ผล หลังจากทำการรักษาถุงใต้ตาให้หายแล้วควรดูแลและป้องกันร่วมด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ถุงใต้ตากลับมาเป็นอีก

การลดขนาดถุงใต้ตา ปรับผิวบริเวณเบ้าตาด้านล่างให้เรียบเนียนและดูแลผิวพรรณให้เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล จะส่งผลให้ใบหน้าสดใสที่เคยหม่อนหมอง แก่กว่าวัย กลับมาเป็นใบหน้าที่แลดูอ่อนเยาว์ลดอายุไปได้อีกหลายปีเลยทีเดียว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

http://health.howstuffworks.com/wellness/natural-medicine/home-remedies/home-remedies-for-puffy-eyes1.htm

http://momcoloredglasses.com/healthy-living/natural-remedies-puffy-eyes/

แต่งตาอย่างไรให้สวยคมยั่วยวน

0
แต่งตาอย่างไรให้สวยคมยั่วยวน
การแต่งตา มีหลากหลายรูปแบบ มีทั้งการไล่ระดับสีเพิ่มเลเยอร์ชั้นตาลุคหวานธรรมชาติ หรือสวยหรูดูแพง หรือลุคสาวญี่ปุ่น
แต่งตาอย่างไรให้สวยคมยั่วยวน
สโมกกี้อายที่เป็นการทำกราเดชั่นสีให้ดูอ่อนโยนลงก็เป็นลุคน่าทึ่งที่แคทวอล์คในฤดูกาลยอมรับ

การแต่งตา

ลุค การแต่งตา มีหลากหลายรูปแบบ มีทั้งการไล่ระดับสีเพิ่มเลเยอร์ชั้นตาลุคหวานธรรมชาติ หรือสวยหรูดูแพง หรือลุคสาวญี่ปุ่น และอีกมากมายที่เป็นลุคแต่งตาโทนสุดฮอต

1.แต่งตาโทนสีน้ำตาลตุ่น ลงสีอ่อนให้ทั่วเปลือกตา แล้วตามด้วยสีเข้ม กรีดไลเนอร์สีดำ
2.แต่งตาโทนส้ม แต่งจะเน้นสีส้มช่วงรอยพับตา และขอบตาล่าง กรีดไลเนอร์สีดำเส้นเล็ก
3.แต่งตาโทนสีอ่อน ปาดแค่สีเดียวง่ายๆ ได้ลุคธรรมชาติสวยที่สุด
4.แต่งตาโทนสีทองชิมเมอร์วิบวับ สวยหรูดูแพงแบบสุภาพ
5.แต่งตาโทนสีน้ำตาลกาแฟชิมเมอร์สวยๆ สีน้ำตาลลงแบบอ่อนๆทำให้ดูธรรมชาติ
6.โทนสีชมพูเหลือบมุก เน้นสีชมพูชัดๆที่ช่วงหางตา และขอบตาล่าง
7.สีส้มผสมสีพีช ให้ลุคสดใสแบบซัมเมอร์
8.โทนสีพีชประกายทอง
9.ทาสีครีมทอง และเน้นโทนสีน้ำตาลเข้มช่วงรอยพับตาและะเปลือกตาบน ขอบตาล่างเน้นสีชมพูหวานๆ
10.สโมกกี้อายสีเข้มแต่แต่งให้ดูธรรมชาติ หัวตาที่ขอบตาล่างทาสีทอง
11.แต่งตาโทนสีน้ำตาลประกายชิมเมอร์ กรีดไลเนอร์หางเบาๆ
12.เน้นโทนสีเดียวทั้งเปลือกตา หรือเพิ่มอีกสีให้ดูมีมิติ
13.ชมพูตุ่นเน้นทาสีเดียวที่ขอบตาถึงรอยพับ และลงมาถึงขอบตาล่าง กรีดไลเนอร์เส้นเล็ก
14.แต่งตาสีเดียวอีกกับโทนสีม่วงเหลือบมุก สวยแบบสาวญี่ปุ่น
15.แต่งตาโทนสีพีช กรีดไลเนอร์ทนสีเข้มให้ชิดขอบตามากที่สุด
16.อายแชโดว์สีเดียวโทนสีชมพูตุ่น กรีดอินไลเนอร์ไม่วิงหาง ปัดขนตา
17.โทนสีน้ำตาลแมท เป็นโทนสีที่สวยแบบธรรมชาติสุดๆ
18.โทนสีส้มพีช สดใสนิดๆ ตาดูสวยมีชีวิตชีวา
19.ทาโทนสีเดียวเช่น โทนสีครีม กรีดอินไลเนอร์โทนสีดำให้ตาดูกลมโต
20.แต่งตาโทนสีเดียว โทนสีส้มเนื้อแมท สดใสขึ้น
21.แต่งตาโทนสีน้ำตาลแบบฝรั่ง แต่งยังดูธรรมชาติ
22.สีน้ำตาลมอคค่า สวยธรรมชาติแบบไม่ดูเข้มจนเกินไป
23.โทนสีแดงเบอกันดี เน้นทาแค่ขอบตาถึงลอยพับตา เหลือบมุกวาวๆ ดูโดดเด่น
24.ลงสีชมพูเหลือบมุกก่อนให้ทั่ว ตามด้วยน้ำตาลอมส้มช่วงรอยพับตา
25.โทนสีน้ำตาลอมม่วงหวาน ให้ลุคสวยหวาน

เทคนิคการแต่งตาแบบต่างๆ

แต่งตาสวยไตล์นางแบบชิคส์ๆ

กางเกงยีนส์กับเสื้อยืดตัวหลวมหลวมๆแมตซ์กับรองเท้าส้นสูง โลกนี้ก็เหมือนกับการแต่งหน้าที่เน้นขอบตาคม การแต่งหน้าที่เน้นเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งนั้น ในบางครั้งก็ดึงดูดสายตาได้มากกว่าการแต่งหน้าอย่างมีสีสันที่เน้นใบหน้าโดยรวมทั้งหมด มารองน้ําตาให้สวยชีสและดึงดูดสายตาผู้คนด้วยเส้นขอบตาที่สะอาด คมชัด แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเฉียบแหลม

  • ใช้อายไลเนอร์ชนิดเจลเขียนขอบตา เริ่มตั้งแต่หัวตาแล้วเพิ่มความหนาขึ้นในส่วนท้ายๆ และเขียนปรายให้ชีคม การเขียนขอบตาที่ค่อนข้างหนาและคมเหมาะกับคนที่มีตาชั้นเดียวมากๆ
  • เบิกตาให้โตแล้วค่อยๆเขียนขอบตาให้เป็นเส้นคมชัดต่อเนื่องกันโดยเริ่มจากหัวตา
  • เขียนขอบตาด้านล่างให้ชิดกับขอบตาด้านในโดยเริ่มเขียนจาก 1 ใน 3 ของขอบตาล่างลากไปจรดกับหางตาบน
  • ทำกราเนชั่นโดยใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลทองทาให้ทั่วขอบตาล่าง

เพิ่มเสน่ห์ดึงดูดใจด้วยการแต่งตาสโมคกี้อาย

แม้แต่สาวๆที่แต่งหน้าไม่แก่ก็เคยลองเขียนขอบตาอยู่บ่อยๆ สิ่งที่คุณต้องเตรียมคือแจ็คเก็ตหนังสีดำ และมินิสเกิร์ตดิทรอยต์ ถึงแม้ว่าจะมีตาแบนๆ ที่ไม่โค้งเว้า แต่ลองแต่งตาแบบสโมกกี้อายที่ทำให้เสน่ห์พุ่งกระฉูดทันตาเห็น

  • ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอสีดำวาดเส้นคลุมเบ้าตาทั้งหมด และระบายให้เต็ม สำหรับสาวตาชั้นเดียวควรหมั่นตรวจสอบลักษณะดวงตาทั้งสองข้าง เวลาที่ดวงตาทั้งสองข้างดูไม่เท่ากันต้องพยายามแต่งให้ดูเท่ากัน โดยเฉพาะเวลาที่ลืมตา
  • เขียนขอบตาล่างด้วยดินสอแท่งเดิม ให้บริเวณหัวตาและหางตาตลอดกับเส้นขอบตาด้านบน แนะนำเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่ดวงตาสั้น ลองต่อหางตาให้ยาวกว่าความเป็นจริง จะทำให้ดวงตาโดยรวมดูโตและยาวขึ้น
  • ทาอายแชโดว์สีดำให้ทั่วเปลือกตาไปจนถึงเบ้าตา ทับบริเวณที่ใช้ดินสอเขียนไว้เพื่อให้ติดทนนาน เขียนขอบตาด้านล่างให้คมชัดด้วยอายไลเนอร์ชนิดเจลสีดำ

อายแชโดว์ชนิดผงไม่ค่อยติดทนนานและแต่งตาให้ดูหนังเล่นได้ยาก จึงใช้แต่งตาแบบสโมกกี้อายได้ไม่ค่อยดีเท่าที่ควรหากใช้อายแชโดว์ชนิดนี้เพียงอย่างเดียว แต่หากใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอ ชนิดครีม หรือทาอายแชโดว์ชนิดครีมแล้วทาชนิดผงทับ จะทำให้เครื่องสำอางติดทนนาน สำหรับอายไลเนอร์ดินสอแนะนำให้ใช้ชนิดกันน้ำ
เวลาที่แต่งตาแบบสโมกกี้อายที่โดนหนักแน่นๆควรเขียนคิ้วให้บางและดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ถ้าเน้นทางตาและคิ้วพร้อมพร้อมกัน จะทำให้ไม่สามารถเน้นส่วนใดส่วนหนึ่งได้อย่างแท้จริง

แต่งตาสวยคมลึกลับน่าค้นหา

สโมกกี้อายไม่ได้มีแค่สีดำ สีน้ำตาล หรือสีเทาเท่านั้น แต่คัลเลอร์สโมกกี้อายที่เป็นการทำกราเดชั่นสีให้ดูอ่อนโยนลงก็เป็นลุคน่าทึ่งที่แคทวอล์คในฤดูกาลยอมรับ วิธีเน้นเส้นอายไลเนอร์มากกว่าการทาอายแชโดว์สีจนทั่วเปลือกตา

  • เขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์ชนิดเจล เพิ่มความหนาในส่วนท้ายท้ายและเขียนปรายให้ชี้คม
  • เขียนขอบตาล่างยาวประมาณ 1 ใน 3 ให้ชิดกับขอบตาด้านใน โดยเขียนให้เชื่อมต่อกับเส้นขอบตาบนที่วาดไว้
  • ทำกราเดชั่นด้วยการทาอายแชโดว์สีน้ำตาลทองให้ทั่วขอบตาล่าง
  • ทาอายแชโดว์สีเทาผสมประกายมุกเล็กน้อยบริเวณหางตายาวประมาณ 1 ใน 3 ทำกระเดชั่นบริเวณหางตาที่วาดชี้ขึ้นเท่านั้น ขอบตาล่างก็เช่นเดียวกัน ท่ายางบางเบามากๆ ลองใช้แปรงปัดอายแชโดว์ประกายมุกสีสดใสจะช่วยรักษาความแน่นของเนื้อสีประกายมุก รวมทั้งสภาพโดยรวมของดวงตาไว้ได้

สำหรับคนที่หางตาตกหรือมีริ้วรอยรอบดวงตามาก ถ้าเขียนขอบตาโดยใช้สีอื่นนอกจากสีดำจะทำให้หางตาดูชี้ขึ้นและเฉียบคม เวลามีงานปาร์ตี้การแต่งหน้าสไตล์นี้เหมาะกับลุคเซ็กซี่มาก ยิ่งเวลาเขียนขอบตาล่างด้วยดินสอโทนสีเขียว จะให้ความรู้สึกแปลกตาและดูงดงามและใช้ลิปสติกสีมันวาวเนื้อชุ่มชื้นเพื่อแสดงความแข็งแรงและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน

แต่งตาลุคสไตล์หวานๆ

การแต่งตาเป็นเสน่ห์ที่สำคัญ เพราะหน้าตาจะหวานหรือเซ็กซี่ก็จะขึ้นอยู่กับการแต่งตา ซึ่งการแต่งตาให้ลุคสวยหวานก็สามารถดึงดูดสายตาได้เช่นกัน

  • ทาอายแชโดว์แบบครีมสีทองมุกบริเวณเปลือกตา และหางตาด้านล่าง
  • ใช้อายไลเนอร์เขียนให้ชิดขอบตาให้มากที่สุด และไม่หนามาก
  • นำคัตเตอร์บัตแต้มอายแชโดว์แบบครีมสีน้ำตาลเข้มทาบริเวณหัวตา
  • ดัดขนตา หรือติดขนตาปลอมแบบไม่หนาเกินไป และใช้มาสคาราปัดขนตาอีกครั้งเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ
    ถ้าชอบลุคเกาหลีหน่อยๆก็เปลี่ยนจากอายแชโดว์สีทองมุกเป็นสีขมพูแทน แล้วใช้อาไลเนอร์ทาบริเวณหัวตาเบาๆ เท่านี้ก็ได้ลุคหวานๆแบบเกาหลีกันแล้ว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559

เปลี่ยนสไตล์ตัวคุณด้วยสีสันเครื่องสำอาง

0
เปลี่ยนสไตล์ตัวคุณด้วยสีสัน
สไตล์ คือ ตัวตน การแต่งหน้าของแต่ละคนก็เช่นกัน สามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของคนนั้นๆได้
เปลี่ยนสไตล์ตัวคุณด้วยสีสัน
สไตล์ คือ ตัวตน การแต่งหน้าของแต่ละคนก็เช่นกัน สามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของคนนั้นๆได้

สไตล์

สไตล์ คือ ตัวตน การแต่งหน้าของแต่ละคนก็เช่นกัน สามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของคนนั้นๆได้ ซึ่งแต่ละคนก็มีความชอบที่แตกต่างกัน ดังนั้นสไตล์การแต่งตัวจึงมีหลากหลายตามบุคลิคของแต่ละคนที่จะทำให้ตัวเองดูเด่นและมีความมั่นใจที่จะแสดงออก

ตัวอย่างสไตล์ที่ได้รับความนิยม

สีพีชไสตล์สาวหวานๆ

หากคุณกังวลกับผิวที่ดูหมองคล้ำ สีเมคอัพที่เหมาะสมที่สุดคือสีพีช หากเติมสีสันให้ดวงตาและแก้มด้วยสีพีชประกายมุกเนื้อละเอียดอ่อนกับสีชมพูโทนนู้ด สีหน้าที่ดูเหนื่อยล้าจะหายไปในพริบตาอย่างแน่นอน หากกังวลว่าตาจะดูบวมการเขียนขอบตาให้เป็นเส้นคมด้วยอายไลเนอร์สีน้ำตาลจะช่วยได้มาก
• ทาเปลือกตาด้วยอายแชโดว์ชนิดครีมผสมมุกสีพีชบางๆให้ทั่ว หลังจากทาอายแชโดว์ชนิดครีม หากทาอายแชโดว์ชนิดแป้งพัฟจะช่วยให้เนื้อสีแน่นและติดทนนาน
• ทาอายแชโดว์สีพีชทับอีกครั้งหนึ่ง
• ใช้อายแชโดว์มุกสีเหลืองอ่อนทาใต้วงตาและบริเวณหัวตา สีพีชและสีเหลืองเป็นสีต่างกัน แต่ให้ความรู้สึกคล้ายกันหากใช้ 2 สีนี้ถ้าด้านบนและใต้ดวงตาจะทำให้ดวงตาดูมีมิติ
• เขียนขอบตาคมบางด้วยอายไลเนอร์ชนิดเจลสีน้ำตาล
• ทาอายแชโดว์มุกสีน้ำตาลบางๆบนเส้นอายไลเนอร์
• เศษดินบริเวณโหนกแก้มและกรามเพื่อให้ใบหน้าดูเล็ก
• เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้แก้มด้วยบลัชออนสีคอรัลพีชหรือสีแสดผสมมุก
• ทาลิปสติกสีพีช

สีส้มอารมณ์ป่าเขตร้อนแสนสดชื่น

ผู้หญิงเอเชียมีผิวธรรมชาติที่ค่อนข้างเหลือง สีส้มจึงเป็นหนึ่งในบรรดาสีที่แต่งยากและท้าทาย แต่หากใช้สีบรอนร่วมด้วยแล้วเรื่องก็จะเปลี่ยนไปทันที ไม่มีคู่สีไหนจะเข้ากันได้ดีเท่ากับสีบรอนซ์กับสีส้ม ถ้าไม่อยากดูเชยต้องเลือกลิปสติกเนื้อแมตต์สีส้มสดใสที่ไม่มีประกายระยิบระยับ
• ทาอายแชโดว์ชนิดครีมสีบรอนซ์ทองบางๆให้ทั่วเปลือกตา
• ใช้แปรงทาอายแชโดว์สีบรอนซ์เพิ่มบางๆ
• เขียนขอบตาด้วยดินสอสีน้ำตาล
• เขียนขอบตาล่างแค่ส่วนต้น ด้วยดินสอสีทองผสมประกายมุก ใช้สีเมทัลแผนที่บริเวณหัวตาหรือใช้เขียนขอบตาล่างแค่ส่วนต้น
• เน้นเฉพาะหางตาด้วยสีบรอนซ์และสีน้ำตาลทาบลัชออนชนิดครีมสีส้มไม่มีประกายมุกโดยการใช้นิ้วแตะแต้ม ใช้นิ้วแตะบลัชออนปริมาณเล็กน้อยเพียงครั้งเดียวแล้วเบลนด์ให้ไม่เป็นก้อน
• ทาลิปสติกสีส้มสดใส ถ้าต้องการให้สีดูเป็นธรรมชาติ ทาบลัชออนชนิดครีมแทนได้ สีส้มที่เจอสีเหลืองนั้นให้ความรู้สึกน่าตื่นเต้น
เวลาที่ทาลิปสติกสีสดใสอย่างสีส้มหรือสีชมพูสดพลาดแล้วต้องแก้ไขนั้น ใช้แค่กระดาษทิชชูอย่างเดียวอาจทำได้ยาก แต่หากใช้เอกซ์โฟลิเอเตอร์สำหรับริมฝีปากเช็ดออกแล้วล่ะก็ จะทำความสะอาดริมฝีปากได้โดยไม่เหลือคราบ

สีฟ้าน้ำทะเลให้เต็มสองตา

เพราะหน้าร้อนมาถึงสีที่ทุกคนตามหาเป็นอันดับแรกสุดคือสีฟ้า ถ้าอยากดึงดูดสายตาผู้คนด้วยดวงตาอันเปี่ยมเสน่ห์ แทนที่จะทาอายแชโดว์สีฟ้าจนทั่วเปลือกตา หันมาเขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์สีฟ้าแทน สีดีปบลูให้ความรู้สึกสดชื่นและทำให้แลดูอ่อนเยาว์ สวนศรีเนวีบลูนั้นช่วยแต่งดวงตาให้ดูเย็นสบายและอ่อนโยนในขณะเดียวกัน
• ทาอายแชโดว์สีบรอนซ์อ่อนผสมมุกให้ทั่วทั้งเปลือกตา
• ทาอายแชโดว์สีวอร์มบราวน์เพิ่ม
• ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอสีแบล็กบลูเขียนขอบตาบนให้เต็มร่องขนตา
• ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอดีปบลูเขียนซ้อนขึ้นไปเป็นขอบตาแบบทูโทน
• ใช้อายไลเนอร์ชนิดลิควิดสีเนวีบลูเขียนใต้เส้นดินสอ เป็นเส้นบางๆเพื่อสร้างดวงตาที่คมชัด
• ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอสีน้ำตาลเขียนขอบตาล่าง
• ทาบลัชออนสีชมพูโทนเย็นเพิ่มความเปล่งปลั่งสดชื่นให้แก้ม
• ทาลิปสติกสีชมพูที่ให้ความรู้สึกสบายๆ
หากเขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์ผสมมุกที่เนื้อสีแน่นจะทำให้ดวงตาดูคมชัดและชุ่มชื้นในขณะเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้ใบหน้าดูละเอียดอ่อนมากๆ การแต่งหน้าสไตล์นี้ใช้สีแบล็คบลูที่ให้ความรู้สึกสบายๆและโดดเด่นแปลกตา เวลาเขียนขอบตาสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน ให้เขียนเพียงขอบตาบนหรือล่างเพียงอย่างเดียว

สีม่วงสไตล์เซ็กซี่แสนยั่วยวน

ถ้าจะให้เลือกสีที่เน้นความโรแมนติกและความเซ็กซี่ไปในตัว แน่นอนว่าต้องเป็นสีม่วง สีม่วงที่ทำให้ดวงตาดูคมลึกและมีเสน่ห์น่าหลงใหลนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เมื่อจับคู่กับสโมกกี้อายหรือไม่ก็ขอบตาแบบดราม่า และอายแชโดว์ที่มีประกายวิบวับ ก็สามารถแต่งเป็นลุคงานปาร์ตี้ได้
• ทาอายแชโดว์สีไอซ์พิ้งค์ประกายมุกบนเปลือกตา
• ทาอายแชโดว์สีม่วงให้ทั่วเปลือกตา และถ้าต่อเนื่องกันไปยังขอบตาล่าง
• ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอสีม่วงน้ำเงินเขียนขอบตาบนและล่าง
• ทาอายแชโดว์สีไอซ์พิ้งค์ที่มีสปาร์คลิ่งให้บริเวณหัวตาดูโดดเด่น
• ดัดขนตาและปัดมาสคาร่าให้ขนตาโค้งงอนขึ้น
• ถ้าบลัชออนสีชมพูพีชโดยปัดเป็นแนวเฉลียงที่บริเวณสวนแอปเปิ้ล ให้พยายามแต่งตาขึ้นไปทางด้านบนเหมือนการแต่งเมคอัพที่หางตาสีขึ้น และบลัชออนขึ้นข้างบนเพื่อให้กรอบหน้าดูคมสวย
• ไฮไลท์บริเวณโซน C โซน T และส่วนสามเหลี่ยมให้หน้าดูสว่าง
• ทาลิปกลอสชมพูอ่อนบางๆบริเวณกลางริมฝีปากเท่านั้น

สีแดงสไตล์เรียบหรูดูแพง

ถ้าอยากแต่งหน้าโทนแดงลุคซอฟท์ให้ดูเนียนใสสไตล์เกาหลีแบบออกไปใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป ไม่ได้จะโบ๊ะไปงาน แนะนำให้ใช้คุชชั่น เพราะเนื้อจะเบาบางกว่ารองพื้น แล้วตบตามด้วยแป้งอัดแข็งเบาๆ ไม่ต้องคัดเบ้าให้วุ่นวาย ทาปากสีแดงได้แบบสบายใจ ไม่ต้องกลัวใครมองว่าเว่อร์
• เขียนคิ้วตามโครงคิ้วเดิม ผมดำให้เลือกใช้สี Dark Brown และลดความเข้มของสีคิ้วด้วยมาสคาร่าคิ้ว
• ทาอายแชโดว์สีแดงให้ทั่วเปลือกตาและย้ำช่วงหางตา ให้ตาดูมีมิติมากขึ้น
• ใช้อายไลเนอร์แบบปากกากรีดตาบาง ๆ
• ดัดขนตาจากโคนขนตาไปถึงปลายขนตา แล้วปัดมาสคาร่า
• ใช้แปรงแตะอายแชโดว์โทนสีเบจไฮไลท์หัวตาให้ดูมีมิติและดูสว่างขึ้น
• บลัชออนอาจใช้เป็นสีโทนส้มอมแดงก็ได้ ไม่ต้องแดงจี๊ดเท่ากับตาหรือปาก แนะนำให้ปัดเบา ๆ
• เขียนขอบปากด้วยดินสอเขียนขอบปาก หรือแปรงสำหรับทาลิปสติก เพื่อกันลิปสติกเลอะจนต้องลบบ่อยๆ หรืออาจจะทาลงไปเลยแล้วใช้คอนซีลเลอร์ลบขอบปากหลังทาเสร็จก็ได้

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559.

วิธีการใช้ยาคุมกำเนิดแบบต่างๆ

0
วิธีการใช้ยาคุมกำเนิดแบบต่างๆ
ยาคุมกำเนิด คือ ยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโทรเจน และฮอร์โมนโปรเจสติน ที่เป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสังเคราะห์ขึ้นมาจากระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อนำมาเป็นส่วนประกอบในยาคุมกำเนิด
วิธีการใช้ยาคุมกำเนิดแบบต่างๆ
ยาคุมกำเนิด คือ ยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโทรเจน และฮอร์โมนโปรเจสติน ที่เป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสังเคราะห์ขึ้นมาจากระบวนการทางวิทยาศาสตร์

ยาคุมกำเนิด

การคุมกำเนิดเป็นการวางแผนอนาคตของครอบครัวและตนเองได้เป็นอย่างดี เพราะการคุมกำเนิดที่ดีสามารถช่วยป้องกันไม่ให้ตั้งครรภ์ที่ไม่ต้องการได้ 100% ซึ่งการคุมกำเนิดมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ทั้งการผ่าตัดทำหมันที่เป็นการคุมกำเนิดแบบถาวรหรือการใช้อุปกรณ์และการใช้ยาเพื่อทำการคุมกำเนิดที่เป็นการคุมกำเนิดแบบชั่วคราว ซึ่งการใช้ ยาคุมกำเนิด จัดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่นิยมใช้เพื่อคุมกำเนิดมากที่สุด เนื่องจากประหยัด ไม่ต้องเจ็บตัวจากการผ่าตัดและสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้สูงสุดถึง 99%

ยาคุมกำเนิด ( Oral contraceptive pill หรือ Birth control pill หรือ Pill )

ยาคุมกำเนิด ( Oral contraceptive pill หรือ Birth control pill หรือ Pill ) คือ ยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโทรเจน ( Estrogen ) และฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) ที่เป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ( Progesterone ) ชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสังเคราะห์ขึ้นมาจากระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อนำมาเป็นส่วนประกอบในยาคุมกำเนิด ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองชนิดนี้เป็นฮอร์โมนเพศหญิง ยาคุมกำเนิดมีการแบ่งตามส่วนประกอบของฮอร์โมนที่ใช้เป็นส่วนผสมได้ 2 แบบ คือ

  1. ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดียว ( Minipill ) คือ ยาคุมกำเนิดที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) เพียงชนิดเดียว

2. ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ( Combined pill ) คือ ยาคุมกำเนิดที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโทรเจน ( Estrogen ) และฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) อยู่ด้วยกัน

กลไกการทำงานของฮอร์โมนที่มีอยู่ในยาคุมจะมีการทำงานในการคุมกำเนิด

1. ยับยั้งการเจริญเติบโตของไข่

โดยฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเข้าไปยับยั้งทำงานของต่อมใต้สมองในการหลั่งฮอร์โมน Follicle stimulating hormone ( FSH ) ซึ่งฮอร์โมน FSH เป็นฮอร์โมนที่มีหน้าที่ในการกระตุ้นไข่ที่บริเวณรังไข่ให้มีการเจริญเติบโตจนกระทั้งไข่สุก ดังนั้นเมื่อร่างกายมีการหลั่งฮอร์โมน FSH น้อยลง ย่อมส่งผลให้ไข่หยุดการเจริญเติบโตและไม่มีไข่สุกเกิดขึ้น เมื่อไม่มีฮอร์โมน Follicle stimulating hormone ย่อมไม่มีไข่ที่เจริญเติบโตพร้อมที่จะได้รับการปฏิสนธิเกิดขึ้นนั่นเอง

2. ยับยั้งการตกไข่

ฮอร์โมนโปรเจสตินจะทำหน้าที่ในการยับยั้งการทำงานของต่อมใต้สมอง ( Pituitary gland ) ในการผลิตฮอร์โมน Luteinizing hormone ( LH ) ที่ทำหน้าที่ในการกระตุ้นไข่ที่เจริญเติบโตเต็มที่หรือไข่สุกให้ตกออกจากรังไข่ หรือที่เรียกว่าการตกไข่ เมื่อไม่มีฮอร์โมน LH เข้าไปกระตุ้นไข่ที่สุกแล้วก็จะไม่สามารถตกลงมาที่บริเวณท่อนำไข่ได้ จึงไม่สามารถได้รับการปฏิสนธิกับตัวอสุจิได้ 

3. ปรับลักษณะของมูกที่ปากช่องคลอด

มูกช่องคลอด ( Cervical Mucus, CM ) ที่สภาวะปกติจะมีลักษณะที่เหนียวข้นเพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ปากมดลูกได้ แต่ในสภาวะที่ร่างกายมีการตกไข่เกิดขึ้น มูกที่บริเวณปากช่องคลอดจะเปลี่ยนไปเป็นมูกไข่ตก ( Fertile Cervical Mucus ) ซึ่งมีลักษณะเหลวและลื่นเพื่อทำให้ตัวอสุจิสามารถเคลื่อนตัวผ่านเข้าสู่ช่องคลอดและมดลูกได้ง่ายขึ้น แต่ฮอร์โมนโปรเจสตินจะส่งผลให้มูกที่บริเวณปากช่องคลอดคงลักษณะที่เหนียวข้นไม่เปลี่ยนเป็นมูกไข่ตก จึงสามารถป้องกันไม่ให้ตัวอสุจิสามารถเดินทางเข้าไปสู่ภายในมดลูกเพื่อทำการปฏิสนธิได้

4. ปรับลักษณะของผนังมดลูก

ฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจนตินจะมีคุณสมบัติทำให้เนื้อเยื่อบุมดลูก ( Endometrial ) มีลักษณะที่ไม่เหมาะสม กับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิกับตัวอสุจิแล้ว ทำให้ไข่ไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนได้

ยาคุมกำเนิด คือ ยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโทรเจน และฮอร์โมนโปรเจสติน ที่เป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสังเคราะห์ขึ้นมา

การรับประทานหรือการใช้เพื่อคุมกำเนิด

นอกจากการแบ่งยาคุมกำเนิดตามส่วนประกอบของฮอร์โมนแล้ว ยังสามารถแบ่งยาคุมตามลักษณะการรับประทานหรือการใช้เพื่อคุมกำเนิดได้ ดังนี้   

1. ยาคุมกำเนิดชนิดกิน สามารถออกเป็น 2 ประเภท คือ

1.1 ยาคุมกำเนิดชนิดกินแบบฮอร์โมน คือ ยาคุมกำเนิดชนิดกินจะมีเป็นยาคุมกำเนิดทั้งที่ประกอบด้วยฮอร์โมนเดียวและฮอร์โมนรวม ซึ่งการรับประทานจะต้องรับประทานทุกวันอย่างต่อเนื่องจึงจะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ ยาคุมกำเนิดชนิดกินแบบฮอร์โมนมีลักษณะเป็นเม็ดกลมขนาดเล็ก โดยทั่วไปจะมีสีขาวหรือสีเหลือง บรรจุบนแผงยา จำนวนเม็ดยาจะมี 21 และ 28 เม็ด โดยยาจำนวน 21 เม็ดแรกจะบรรจุฮอร์โมนไว้ด้านใน แต่สำหรับยาที่บรรจุ 28 เม็ดนั้น ยาเม็ด 21 เม็ดแรกจะบรรจุฮอร์โมนเช่นเดียวกับยาคุมที่มี 21 เม็ด แต่ยาเม็ดที่ 22-28 จะเป็นแป้งหรือแป้งผสมวิตามินสำหรับบำรุงร่างกายเท่านั้น

ขั้นตอนการรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดกินแบบฮอร์โมน 

  1. เริ่มรับประทานเม็ดแรกในวันที่เริ่มมีประจำเดือนวันแรกหรือภายใน 5 วันหลังจากที่เริ่มมีประจำเดือน

2. ภายในระยะเวลา 7 วันแรกที่เริ่มรับประทานยาคุม ยังมีอัตราเสี่ยงที่จะสามารถตั้งครรภ์ได้ ดังนั้นหากมีเพศสัมพันธ์เกิดขึ้นควรมีการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การใส่ถุงยางอนามัย เป็นต้น

3. ควรรับประทานยาคุมกำเนิดเวลาเดิมทุกวัน เพื่อให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายมีระดับที่สม่ำเสมอกันตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อลดอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ เป็นต้น และป้องกันการลืมรับประทานยาคุมกำเนิดอีกด้วย

4. หากลืมรับประทานยา 1 วัน ในวันถัดไปให้รับประทานยาร่วมกัน 2 เม็ดหรือในรับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้ก่อนที่จะรับประทานยาในวันต่อไป

5. หากลืมรับประทานยา 2 เม็ดหรือ 2 วัน ให้ทำการรับประทานยาตอนเช้า 1 เม็ดและตอนเย็น 2 เม็ด

6. หากลืมรับประทานยา 3 เม็ดหรือ 3 วันติดต่อกัน แสดงว่ายาคุมกำเนิดที่รับประทานอยู่นั้นไม่สามารถช่วยป้องกันการคุมกำเนิดได้แล้ว ให้ทำการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นแทน และเริ่มรับประทานยาคุมกำเนิดแผงใหม่ในวันที่ 1-5 ของประจำเดือนรอบถัดไป

7. สำหรับผู้ที่เลือกรับประทานยาคุมกำเนิดแบบ 21 เม็ด เมื่อยาหมดแผงให้เว้นระยะ 7 วันก่อนแล้ววันที่ 8 จึงเริ่มรับประทานยาคุมแผงต่อไปได้ แต่ผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิดแบบ 28 เม็ดสามารถรับประทานยาแผงต่อไปได้ทันทีหลังจากรับประทานยาเม็ดที่ 28 หมดแล้ว 

1.2 ยาคุมกำเนิดชนิดกินแบบฉุกเฉิน

คือ ยาคุมกำเนิดที่รับประทานหลังจากมีเพศสัมพันธ์เกิดขึ้นแล้ว แผงยาจะบรรจุยาสองเม็ด มีลักษณะเป็นเม็ดขนาดเล็กสีขาวภายในตัวยาจะประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) ที่มีปริมาณสูงมาก โดยฮอร์โมนโปรเจสตินจะเข้าไปยับยั้งการตกไข่และปรับสภาพของเนื้อเยื่อบุผนังมดลูก ( Endometrial ) ให้ไม่เหมาะสมกับการฝังตัวของไข่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว จึงสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 80% การใช้ยาคุมฉุกเฉินจะมีอาการข้างเคียงที่รุนแรงและอันตรายสูงกว่าการกินยาคุมปกติ เช่น การมีเลือกออกที่บริเวณปากช่องคลอด เป็นต้น

ขั้นตอนการรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดกินแบบฉุกเฉิน 

1.ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินเม็ดแรกภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์หรือไม่เกิน 48 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ และรับประทานยาเม็ดที่ 2 หลังจากที่รับประทานยาเม็ดแรกไปแล้ว

2.ควรรับประทานยาทั้งสองเม็ด การรับประทานยาเพียงเม็ดเดียวจะทำให้ความสามารถในการป้องกันการตั้งครรภ์ลดลง 50%

2. ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด ( Injectable Contraceptives )

คือ ยาคุมกำเนิดที่ทำการฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อที่ภายในร่างกายได้โดยตรง โดยส่วนมากแพทย์จะทำการฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อที่บริเวณสะโพก ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดตามระยะเวลาคงอยู่ของตัวยา คือ

2.1 ยาคุมกำเนิดแบบฉีดทุก 1 เดือน

เป็นยาคุมกำเนิดที่ทำการฉีดทุก 28-30 วัน คล้ายกับการรับประทานยาคุมกำเนิดแบบรายเดือน แต่การฉีดจะทำการฉีดยาคุมกำเนิดเพียงครั้งเดียวต่อเดือนไม่ต้องทำการฉีดทุกวัน ซึ่งยาคุมกำเนิดแบบฉีดรายเดือนประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน ( Estrogen ) และฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) เป็นยาที่ผลิตขึ้นมาเพื่อแก้ไขข้อด้อยของยาฉีดที่มีฮอร์โมนโปรเจสตินฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 1 เดือน โดยฮอร์โมนที่อยู่ตัวยาคุมกำเนิดแบบฉีดจะอยู่ในรูปเมดรอกซีโปรเจสเตอโรน ( Medroxyprogesterone ) ปริมาณ 25 มิลลิกรัมผสมอยู่กับเอสทราดิอัล ไซพิโอเนท ( Estradiol Cypionate ) ที่มีปริมาณ 5 มิลลิกรัม การฉีดยาคุมแบบ 1 เดือน ร่างกายจะมีประจำเดือนมาแบบปกติทุกเดือน 

2.2 ยาคุมกำเนิดแบบฉีดทุก 3 เดือน

คือ ยาคุมกำเนิดที่สามารถช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนต่อการฉีดยาหนึ่งครั้ง ยาคุมกำเนิดชนิด 3 เดือนประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจนตินเพียงชนิดเดียว ซึ่งฮอร์โมนที่นำมาใช้จะอยู่ในรูปเมดรอกซีโปรเจสเตอโรน ( Medroxyprogesterone ) โดยฮอร์โมนโปรเจนตินจะเข้าไปยับยั้งการตกไข่และเพิ่มความเหนี่ยวของเมือกให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวอสุจิเข้าสู่มดลูกได้ จึงลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดี การฉีดยาคุมแบบ 3 เดือนประจำเดือนบางเดือนอาจจะมาหรือบางเดือนอาจจะไม่มาก็ได้ ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างไร

การฉีดยาคุมต้องทำการฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการเกิดอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดยาคุมกำเนิดได้

3. ยาฝังคุมกำเนิด ( Contraceptive Implant )

คือ ยาคุมกำเนิดที่สามารถคุมกำเนิดได้ด้วยการฝังเข้าสู่ร่างกาย โดยยาคุมกำเนิดชนิดฝังเป็นยาคุมกำเนิดที่ประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) โดยบรรจุฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) ไว้ภายในแท่งหรือวัสดุที่มีรูปร่างคล้ายหลอดผิวนิ่ม สามารถยืดหยุ่นและหลอดของยาคุมกำเนิดชนิดฝังจะไม่เกิดการสลายตัว ขนาดของหลอดมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-2.5 มิลลิเมตรและมีความยาวประมาณ 4-4.3 เซนติเมตร การใช้ยาทำได้โดยการฝังแท่งยาเข้าสู่ร่างกายไว้ที่บริเวณใต้ท้องแขนของผู้หญิงในด้านมือข้างที่ไม่ถนัด เพราะจะมีการใช้งานแขนด้านนั้นน้อยกว่าด้านที่ถนัด ซึ่งการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดนี้

ขั้นตอนการฝังแท่งยาคุมกำเนิด คือ

  1. ทำความสะอาดบริเวณที่ต้องการฝังให้สะอาด

2. ทำการฉีดยาชาและปล่อยทิ้งไว้ประมาณ

3. ทำการผ่าเปิดแผลขนาดประมาณ 3 – 5 เซนติเมตร ลึกประมาณ 1 เซนติเมตร ที่บริเวณท้องแขนซึ่งอยู่ระหว่างรักแร้และข้อศอก 

4. ทำการวางแท่งยา แล้วจึงทำการปิดแผล

หลังจากทำการผ่าตัดเพื่อฝังแท่งยาคุมกำเนิดแล้ว ที่บริเวณท้องแขนอาจจะมีรอยเขียวช้ำเกิดขึ้นเล็กน้อย แต่รอยช้ำที่จะเกิดขึ้นจะหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์หลังจากทำการผ่าตัด เมื่อทำการฝั่งแท่งยาคุมเข้าสู่ร่างกายแล้ว ฮอร์โมนโปรเจสตินที่อยู่ภายในแท่งยาคุมกำเนิดจะค่อย ๆ ไหลออกมาจากแท่งยาคุมและซึมเข้าสู่ร่างกายที่ละน้อย โดยฮอร์โมนโปรเจสตินจะเข้าไปยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน Luteinizing hormone ( LH ) ที่ช่วยกระตุ้นไข่ให้ไข่สุกให้เกิดการตกไข่ ทำให้ร่างกายไม่สามารถทำการตกไข่ออกมาเพื่อปฏิสนธิกับตัวอสุจิได้ จึงสามารถป้องกันการตกไข่ได้เป็นอย่างดี

การฝังยาคุมกำเนิดได้ตั้งแต่ 3 -5 ปี ขึ้นอยู่กับความต้องการระยะเวลาในการคุมกำเนิด ซึ่งการฝังแท่งยาคุมกำเนิดสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้สูงถึง 99% และเมื่อต้องการยกเลิกการคุมกำเนิดก่อนระยะเวลาหมดอายุของแท่งยาคุมกำเนิดที่ทำการฝังไว้ ก็สามารถผ่าตัดนำแท่งยาคุมกำเนิดออกมาจากท้องแขนได้ เมื่อทำการผ่าตัดนำแท่งยาคุมออกมาแล้วก็สามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ ข้อดีของการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฝัง คือ ไม่ต้องกลัวลืมที่จะกินยาเพราะเมื่อฝังไปแล้วฤทธิ์ของยาจะคงอยู่ตามระยะเวลาของยาที่กำหนด ไม่ต้องกลัวว่าผลของยาจะผิดพลาดจนเกิดการตั้งครรภ์ที่ไม่ต้องการเกิดขึ้น

5.แผ่นแปะคุมกำเนิด

คือ ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม โดยการนำฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจนตินมาบรรจุไว้บนแผนแปะ ซึ่งแผ่นแปะคุมกำเนิดมีขนาดกว้าง 2 นิ้ว ยาว 2 นิ้ว โดยแผ่นแปะคุมกำเนิดจะทำการปล่อยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสตินออกมาและซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนัง ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองชนิดจะยับยั้งการตกไข่ ปรับสภาพของมดลูกให้ไม่เหมาะสมกับการฝังตัวของไข่และลดโอกาสการผ่านของตัวอสุจิเข้าสู่มดลูก ซึ่งแผ่นแปะสามารถช่วยคุมกำเนิดได้มากถึง 90-99%

ขั้นตอนใช้แผ่นแปะคุมกำเนิด

  1. ทำความสะอาดบริเวณที่ต้องการแปะแผ่นคุมกำเนิด

2. ทำการแปะแผ่นคุมกำเนิดที่ผิวหนังบนร่างกาย เช่น บริเวณสะโพก ต้นแขนหรือหน้าท้อง 

3. แผ่นแปะ 1 แผ่นจะสามารถคุมกำเนิดได้ 7 วัน เมื่อแปะแผ่นครบ 7 วันแล้วจึงทำการแกะแผ่นแปะออก พร้อมทั้งทำการแปะแผ่นคุมกำเนิดแผ่นใหม่ต่อทันที การแปะจะต้องแปะติดต่อกัน 27 วันหรือ 3 สัปดาห์ติดต่อกัน แล้วจึงหยุดแปะแผ่น 7 วัน

อาการข้างเคียงที่พบจากการใช้ยาคุมกำเนิด

การใช้ยาคุมกำเนิดสามารถป้องกันการตั้งครรภ์อย่างได้ผลก็จริง แต่ก็มีอาการข้างเคียงที่สร้างผลกระทบต่อร่างกายอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากระดับฮอร์โมนของร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาการข้างเคียงที่พบจากการใช้ยาคุมกำเนิด ดังนี้

  1. ประจำเดือนมาแบบผิดปกติ

2. มีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ เต้านมคัดตึง และมีอารมณ์แปรปรวน

3. อาการคลื่นไส้อาเจียน

4. เต้านมเกิดอาการคัดตึง

5. อารมณ์เกิดการแปรปรวน

6. น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น

7. ปากช่องคลอดแห้ง ความต้องการทางเพศลดลง

อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นจะมีอาการมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาวะของแต่ละบุคคล บางคนใช้ยาคุมกำเนิดชนิดเดียวกัน แต่ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นต่างกัน ดังนั้นการใช้ยาคุมกำเนิดควรเลือกให้เหมาะกับสภาพร่างกายของตนเอง ซึ่งการเลือกยาคุมกำเนิดผู้ใช้ต้องทำการใช้ยาคุมกำเนิดก่อน ถ้าเกิดอาการข้างเคียงที่ไม่ต้องการแล้วให้ทำการเปลี่ยนไปใช้ยาคุมกำเนิดชนิดอื่นแทนจนกว่าร่างกายจะไม่เกิดอาการข้างเคียงเมื่อใช้ยาคุมกำเนิดนั่นเอง

สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการตั้งครรภ์แล้วการคุมกำเนิดด้วยการใช้ยาจึงนับเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ได้ผลดีและมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมาก แต่ถ้าต้องการให้การคุมกำเนิดได้ผล 100% ควรที่จะต้องมีการใช้อุปกรณ์ช่วยในการคุมกำเนิด เช่น ถุงยางอนามัย ห่วงคุมกำเนิด ร่วมด้วยจึงจะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 100% ซึ่งการใช้อุปกรณ์ช่วยคุมกำเนิดนอกจากจะสามารถช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้แล้วยังสามารถลดความเสี่ยงในการติดโรคที่เกิดทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

All US women aged 15-44 Mosher WD, Martinez GM, Chandra A, Abma JC, Willson SJ (2004). “Use of contraception and use of family planning services in the United States: 1982-2002”. Adv Data (350): 1–36. PMID 15633582.

“Birth Control Pills – Birth Control Pill – The Pill”.Hatcher, Robert A.; Nelson, Anita (2004). “Combined Hormonal Contraceptive Methods”. In in Hatcher, Robert A. (ed.). Contraceptive Technology (18th rev. ed. ed.). New York: Ardent Media. pp. pp. 391–460. ISBN 0-966-49025-8.

ริมฝีปากแห้งรักษาอย่างไร

0
วิธีการใช้ยาคุมกำเนิดแบบต่างๆ
ริมฝีปากแห้ง เกิดจากการที่ต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายออกมาน้อยกว่าปกติ จึงทำให้บริเวณริมฝีปากได้รับความชุ่มชื้นน้อย ส่งผลให้ริมฝีปากแห้ง แตกและลอกเป็นขุย
ริมฝีปากแห้งรักษาอย่างไร
ครีมบำรุงเหล่าที่ออกแบบมาเพื่อรักษาและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากโดยเฉพาะจะช่วยลดการสูญเสียน้ำที่ริมฝีปากและช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับริมฝีปาก

ริมฝีปากแห้ง

ริมฝีปากเป็นผิวหนังส่วนที่ต่างจากผิวหนังส่วนอื่น เนื่องจากผิวหนังบริเวณนี้จะไม่มีต่อมน้ำมันที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังเหมือนผิวหนังที่บริเวณอื่นของร่างกาย แต่ริมฝีปากจะได้รับความชุ่มชื้นจากน้ำลายที่ออกมาจากต่อมน้ำลายภายในปาก และริมฝีปากเป็นส่วนที่ต้องสัมผัสกับสิ่งต่างรอบตัวอยู่ตลอดเวลา ทั้งเป็นอากาศ อาหาร แสงแดด สายลม ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถทำให้ริมฝีปากเกิดความผิดปกติขึ้น และความผิดปกติที่สามารถพบได้บ่อยกับริมฝีปาก คือ ภาวะริมฝีปากแห้ง หรือภาวะปากแห้งเนื่องจากปริมาณน้ำลายเกิดขึ้นน้อย ( Xerostomia ) คือ การที่ต่อมน้ำลายมีระบบการทำงานที่ผิดปกติ ต่อมน้ำลายทำการการผลิตน้ำลายออกมาน้อยกว่าปกติ จึงทำให้บริเวณริมฝีปากได้รับความชุ่มชื้นจากน้ำลายภายในปากน้อยกว่าปริมาณการสูญเสียความชุ่มชื้นออกไป ส่งผลให้เกิดภาวะริมฝีปากแห้ง แตกและลอกออกมาเป็นขุยนั่นเอง

ใบหน้าเป็นสิ่งแรกที่ทุกคนต้องพบเห็น ใบหน้าช่วยสร้างเสน่ห์ให้กับคนเรา ทุกส่วนบนใบหน้าล้วนมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันในการสร้างเสน่ห์ รวมถึงริมฝีปากของเราด้วย ริมฝีปากมีลักษณะอ่อนนุ่ม สามารถเคลื่อนไหวเพื่อทำหน้าที่ในการรับอาหารและใช้ในเปล่งเสียงเพื่อสื่อสารออกมาเป็นคำพูด นอกจากนั้นริมฝีปากของเรายังเป็นอวัยวะที่สามารถบ่งบอกถึงสุขภาพของร่างกายได้อีกด้วย นั่นคือริมฝีปากของผู้ที่มีสุขภาพดีจะมีริมฝีปากที่แลดูฉ่ำน้ำ เปล่งปลั่งและมีสีชมพูอ่อนจนถึงสีแดงคล้ำ โดยผู้ที่มีสีผิวเข้มจะมีริมฝีปากสีแดงคล้ำ ส่วนผู้ที่มีผิวขาวจะมีริมฝีปากสีชมพู

สาเหตุที่ทำให้การทำงานของต่อมน้ำลายผิดปกติ

1.ร่างกายขาดน้ำ

ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำร้อยละ 60 ซึ่งในแต่ละวันร่างกายจะทำการขับน้ำออกมาในรูปของเสีย เช่น ปัสสาวะ เหงื่อ เป็นตลอดเวลา ดังนั้นเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อทดแทนปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องสูญเสียไประหว่างวัน ดังนั้นถ้าร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่น้อยกว่าปริมาณน้ำที่สูญเสียไป ร่างกายจะเกิดภาวะขาดน้ำ ทำให้ริมฝีปากแห้ง นอกจากการดื่มน้ำที่ไม่เพียงพอแล้ว ภาวะร่างกายขาดน้ำยังสามารถเกิดขึ้นได้จากกรณีที่ร่างกายมีการสูญเสียน้ำในปริมาณที่มาก ๆ อย่างเฉียบพลัน เช่น เกิดอาการท้องเสีย เสียเลือดมาก อาเจียน เป็นไข้ เป็นต้น ก็สามารถส่งผลให้เกิดริมฝีปากแห้งได้เช่นเดียวกัน

2.สภาพสิ่งแวดล้อม

ช่วงฤดูร้อน ที่มีอุณหภูมิสูง ร่างกายต้องทำการขับเหงื่อออกมาเพื่อรักษาอุณหภูมิภายในร่างกายให้คงที และในฤดูหนาว อากาศมีความชื่นน้อย ทำให้ความชื้นในร่างกายระเหยออกมาสู่ภายนอก เมื่อร่างกายสูญเสียความชื้นและน้ำในปริมาณสูง โดยเฉพาะส่วนของริมฝีปากที่ต้องกระทบกับอากาศจากภายนอกอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ริมฝีปากสูญเสียความชุ่มชื้นออกมามากกว่าปกติ ส่งผลให้ริมฝีปากเกิดภาวะปากแห้งและลอกเป็นขุยได้ หรือแม้แต่การอยู่ในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศจนอากาศเย็นมาก ๆ ก็จะทำให้อากาศมีความชื้นน้อยจนส่งผลให้ริมฝีปากแห้งได้เช่นเดียวกัน

3.การเลียริมฝีปาก

การเลียริมฝีปากหลายคนคิดว่าเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก แต่ที่จริงแล้วผลที่ได้กลับตรงกันข้าม เพราะการเลียริมฝีปากบ่อยมาก ๆ จะทำให้ริมฝีปากแห้งแตกได้ เนื่องจากในน้ำลายมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหารอยู่ ดังนั้นเมื่อน้ำลายมาอยู่บนริมฝีปากเอนไซม์ดังกล่าวก็จะทำการปฏิกิริยากับออกซิเจนและโปรตีนที่อยู่ในริมฝีปากทำให้ริมฝีปากแห้ง 

4.การสูบบุหรี่

บุหรี่ประกอบด้วยสารที่เป็นพิษอยู่หลายชนิด ซึ่งสารดังกล่าวจะส่งผลให้การทำงานของต่อมน้ำลายเกิดความผิดปกติ ทำให้มีการผลิตน้ำลายออกมาได้น้อยลงจึงส่งผลให้เกิดอาการปากแห้งได้

5.การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

เมื่อร่างกายได้รับแอลกอฮอล์เข้าไป ร่างกายจะต้องทำการขับออกจากร่างกายเพื่อรักษาสมดุลความเป็นกรด-ด่างของร่างกายให้สมดุล ซึ่งการขับแอลกอฮอล์ที่เข้าสู่ร่างกายจะต้องใช้น้ำเป็นตัวช่วย โดยการขับจะขับอยู่ในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ ดังนั้นเมื่อมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากและไม่มีการดื่มน้ำเปล่าเลย ร่างกายจะเกิดภาวะขาดน้ำทำให้เกิดริมฝีปากแห้งได้

6.ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง

คนส่วนมากชอบดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกายให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า แต่ว่าคาเฟอีนที่ดื่มจะเข้านอกจากจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองรับรู้แล้วยังเข้าไปกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนกลางที่มีหน้าที่ในการขับน้ำออกจากร่างกาย จึงทำให้ร่างกายมีการขับน้ำออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระมากกว่าปกติ ดังนั้นเมื่อเราดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากจะให้ร่างกายปัสสาวะบ่อย จึงทำให้ร่างกายขาดน้ำและเกิดภาวะริมฝีปากแห้งได้

7.การใช้ยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากที่มีฤทธิ์รุนแรง

ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากที่ใช้อยู่ทั่วไปจะมีส่วนของฟลูออไรด์ แอลกอฮอล์และสารเคมีผสมอยู่ เช่น สารที่ทำให้เกิดฟอง สารที่ทำให้เกิดรสชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้ามีปริมาณที่สูงหรือร่างกายเกิดอาการแพ้แล้ว จะทำให้ผิวหนังบริเวณ เกิดอาการแพ้ ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณริมฝีปากเกิดภาวะแห้งได้

8.แพ้เครื่องสำอาง

ปัจจุบันนี้ผู้หญิงและผู้ชายบางกลุ่มนิยมที่จะแต่งหน้ากันมากขึ้น โดยเฉพาะการทาลิปสติกบนริมฝีปากเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แม้ไม่ได้แต่งหน้าทั้งหมดขอเพียงแค่ทาริมฝีปากด้วยลิปสติกเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว ซึ่งลิปสติกที่ใช้มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด บางชนิดมีส่วนผสมของสารเคมีที่ไม่เหมาะสมกับริมฝีปาก ทำให้ริมฝีปากเกิดอาการแพ้จนริมฝีปากแห้ง แตกและลอกเป็นขุยได้   

9.ผลข้างเคียงจากการใช้ยา

การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแก้แพ้ลดน้ำมูกในกลุ่มแอนตี้ฮีสตามีน ( Antihistamines ) ยาแก้ปวด ยาขับปัสสาวะ ยาลดความดันโลหิต ยารักษาโรคซึมเศร้ากลุ่มไตรไซคลิก ( Tricyclic Antidepressants ) ยารักษาความดันโลหิตสูง ยาคลายกล้ามเนื้อ ยารักษาอาการทางจิต ( Antipsychotics ) ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ( Anyiemetics ) เป็นต้น ซึ่งยาดังกล่าวจะเข้าไปทำให้การทำงานของต่อมน้ำลายมีความผิดปกติ ทำให้มีการผลิตน้ำลายออกมาน้อยลง รวมถึงอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นในผู้ที่ป่วยที่ทำการรักษาโรคมะเร็งด้วยการฉายรังสีหรือการให้ยาเคมีบำบัด โดยเฉพาะการรักษามะเร็งที่ส่วนของศีรษะและลำคอ เนื่องจากรังสีที่ฉายเข้าไปนั้นจะเข้าไปทำลายเซลล์ที่บริเวณต่อมน้ำลายอาจถูกทำลายได้ ซึ่งเซลล์ที่ถูกทำลายบางส่วนจะสามารถฟื้นฟูและกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้ในภายหลัง แต่ถ้าได้รับปริมาณรังสีในปริมาณที่สูงเซลล์ก็จะโดนทำลายอย่างถาวร ทำให้ต่อมน้ำลายไม่สามารถทำการผลิตน้ำลายได้มากเท่าปกติ และยาเคมีบำบัดก็จะทำให้น้ำลายมีลักษณะที่เหนียวและข้นมากขึ้นด้วย

10.โรคประจำตัว

โรคบางชนิดที่เกิดขึ้นสามารถส่งผลกระทบต่อการทำงานของต่อมน้ำลายในการผลิตน้ำลายทำให้มีการผลิตน้ำลายออกมาได้น้อยลงจึงทำให้ริมฝีปากแห้งได้ เช่น โรคเบาหวาน ( Diabetes ) โรคหลอดเลือดในสมอง โรคพาร์กินสัน ( Parkinson’s disease ) โรคซิสติกไฟโบรซิส ( Cystic Fibrosis ) โรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer’s disease ) โรคความดันโลหิตสูง ( Hypertension ) โรคโลหิตจาง ( Anemia ) โรคข้ออักเสบ ( Arthritis )

ริมฝีปากแห้ง เกิดจากการที่ต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายออกมาน้อยกว่าปกติ จึงทำให้บริเวณริมฝีปากได้รับความชุ่มชื้นน้อย ทำให้แตกและลอกเป็นขุย

การรักษาให้ริมฝีปากชุ่มชื้น

โดยส่วนมากแล้วอาการริมฝีปากแห้งที่พบได้บ่อยจะเกิดจากพฤติกรรมการดื่มน้ำน้อย การเลียริมฝีปากบ่อยเกินไป การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีน ดังนั้นการรักษาอาการริมฝีปากแห้งที่เกิดขึ้นจึงมักมุ่งเน้นไปที่ต้นเหตุของอาการที่ทำให้ริมฝีปากแห้งเสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากการรักษาที่ตรงจุดจะสามารถทำให้ริมฝีปากสามารถกลับมาชุ่มชื่นได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการรักษาให้ริมฝีปากชุ่มชื้นสามารถทำได้ดังนี้   

1.ดื่มน้ำให้เพียงพอ

น้ำที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย คือ น้ำเปล่าสะอาดที่มีอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนหรือเย็นกว่าอุณหภูมิทั่วไป หลายคนสงสัยว่าแล้วจะทราบได้อย่างไรว่าร่างกายต้องการน้ำในปริมาณเท่าใด ซึ่งปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการต่อวันสามารถคำนวณได้จากสูตร ดังนี้

ปริมาณน้ำที่ต้องการต่อวัน = น้ำหนักตัว ( กิโลกรัม ) / 2 x 2.2 x 30 หน่วยเป็นมิลลิลิตร

ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัมจะต้องดื่มน้ำต่อวันประมาณ 50 / 2 x2.2×30 = 1,650 มิลลิลิตร หรือ 1.65 ลิตร นั่นหมายความว่าผู้ที่มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัมต้องดื่มน้ำอย่างน้อย 1.6 ลิตรต่อวันจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนั่นเอง การดื่มน้ำที่ดีควรดื่มสะอาดเท่านั้น โดยทำการดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอน 1-2 แก้ว หลังมื้ออาหารครั้งละ 1 แก้ว และระหว่างมื้ออาหารอย่างน้อย 1 แก้ว หรือจะทำการดื่ม 1 แก้วทุก 1 ชั่วโมงก็ได้ แต่ห้ามดื่มครั้งละมากๆ หรือดื่มครั้งเดียวตามปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน เพราะว่าร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำที่ดื่มเข้าไปใช้ได้หมดและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำเกินในร่างกายอีกด้วย ดังนั้นการดื่มสะอาดอย่างต่อเนื่องเป็นการดื่มน้ำที่ดีสุดที่ช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอและร่างกายสามารถนำน้ำไปใช้ได้อย่างเหมาะสม

2.ลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีน

เมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากเกิดภาวะแห้งหรือรู้สึกกระหายน้ำ ไม่ควรดับความกระหายด้วยการดื่มเครื่องดื่มที่มีการปรุงแต่งกลิ่น สี รสหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ แต่ควรดื่มน้ำสะอาดแทน และควรลดหรืองดการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ให้น้อยลงในแต่ละวัน เพื่อลดการขับน้ำออกจากร่างกายให้น้อยลง

3.ทาครีมบำรุงริมฝีปาก

หลายคนเมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากแห้ง มักจะทำการเลียริมฝีปากเพื่อให้ริมฝีปากชุ่มชื้น แต่การเลียริมฝีปากจะทำให้ปากชุ่มชื้นได้เพียงช่วงสั้น ๆ แต่กลับจะทำให้ริมฝีปากแห้งได้ในระยะยาว ดังนั้นเมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากแห้งเกิดขึ้นให้ทาครีมบำรุงที่ออกแบบมาเพื่อรักษาและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากโดยเฉพาะ เช่น ลิปบาล์ม ( Lip balm ) ออยล์ ( Oil ) น้ำมันที่สกัดจากธรรมชาติ ( Natural Oils ) ปิโตรเลียมเจล ( Petroleum jelly ) ขี้ผึ้ง ( Beeswax ) เป็นประจำทุกวัน ครีมบำรุงเหล่านี้จะเข้ามาลดการสูญเสียน้ำที่บริเวณริมฝีปากและช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวหนังที่บริเวณริมฝีปาก จึงช่วยลดภาวะริมฝีปากแห้งได้เป็นอย่างดี 

4.หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่ทำให้ริมฝีปากแห้ง

ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีลมพักแรงและแสงแดดจัด เพราะทั้งสองอย่างนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้ริมฝีปากแห้ง ยิ่งสายลมและแสงแดดในช่วงฤดูหนาวที่อากาศมีความชื้นน้อยมาก จะยิ่งทำให้ริมฝีปากสูญเสียความชุ่มชื้นจนทำให้ริมฝีปากแห้ง แตกและลอกเป็นขุยได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าจำเป็นต้องอยู่ในสภาพอากาศดังกล่าวให้ทาปากด้วยครีมบำรุงริมฝีปากที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นและมีส่วนผสมที่สามารถกันแดดเพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากได้

5.การรับประทานอาหาร

ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของวิตามินตามธรรมชาติสูง โดยเฉพาะวิตามินบีและวิตามินเอที่มีส่วนในการเสริมสร้างเคราติน ( Keratin ) ที่มีหน้าที่ในการลดอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลตที่อยู่ในแสงแดดและช่วยลดการการระเหยของน้ำจากผิวหนังที่บริเวณริมฝีปาก เช่น ธัญพืชไม่ขัดขาวอย่าง ข้าวกล้อง ผักใบเขียว เช่น ผักโขม บร็อคโคลี คะน้า และถั่วเปลือกแข็ง เช่น พวกเมล็ดอัลมอนด์ ถั่วลิสง มะม่วงหิมพานต์ พีแคน รวมถึงปลาแซลมอน ไข่ไก่ มะม่วง สัปปะรด กีวี ลูกพืช บลูเบอร์รี ราสเบอร์รี สตอเบอร์รี ผักปวยเล้ง และเนื้อไก่ ที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุและน้ำอยู่ในปริมาณที่สูง วิตามินและแร่ธาตุที่ได้รับจากอาหารจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบการสร้างเคราตินให้มีการสร้างเซลล์เคราตินที่ทำให้มีเซลล์ผิวที่บริเวณริมฝีปากมีความแข็งแรง สามารถรักษาความชุ่มชื้นภายในเซลล์และลดการสูญเสียน้ำของเซลล์ให้น้อยลง และยังช่วยให้ร่างกายแข็งลดความเสี่ยงในติดเชื้อที่บริเวณต่อมน้ำลาย ซึ่งทำให้กระบวนการผลิตน้ำลายเกิดขึ้นน้อยลงได้อีกด้วย

6.เปลี่ยนยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก

ควรเลือกใช้ยาสีฟันมีส่วนผสมของฟลูออไรด์ในสัดส่วน 1,350 -1,500 ppm และควรเลือกใช้น้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ผสมอยู่ เพื่อลดการสูญเสียความชุมชื้นของริมฝีปาก เนื่องจากการได้รับปริมาณฟลูออไรด์และแอลกอฮอล์ที่บริเวณริมฝีปากที่มากเกินไป

จะเห็นว่าการรักษาและป้องกันไม่ให้ริมฝีปากแห้งนั้น สามารถทำการรักษาและป้องกันได้ด้วยตนเองเพียงแค่ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อวัน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อย่างผักและผลไม้มาก ๆ ลดการสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ใช้ครีมทาบำรุงริมฝีปากอย่างต่อเนื่อง อาการริมฝีปากแห้งก็จะสามารถหายไปได้เองในระยะเวลาอันสั้น เพียงเท่านี้เราก็สามรรถเปลี่ยนริมฝีปากที่แห้ง แตก ลอกเป็นขุยที่น่ารังเกียจให้กลายเป็นริมฝีปากที่ชุ่มชื้น เปล่งปลั่งน่ามองอยู่กับตัวเราไปตลอดได้แล้ว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Bork, Konrad (1996). Diseases of the oral mucosa and the lips (English ed.). Philadelphia, Pa. [u.a.]: Saunders. p. 10. ISBN 9780721640396.

Cohen, Bernard A. (2013). Pediatric Dermatology (Fourth ed.). Elsevier Health Sciences. p. Chapter 9.2. ISBN 9781455737956.

Archived March 20, 2012, at the Wayback Machine.
“Journal of the American Academy of Dermatology”, Volume 56, Issue 2, Pages AB94 – AB94