Home Blog Page 159

การตรวจปัสสาวะ ( Urinalysis )

0
การตรวจปัสสาวะหาค่าความผิดปกติของร่างกาย (Urinalysis)
การตรวจปัสสาวะเพื่อนำค่าผลตรวจที่ได้ไปวิเคราะห์ถึงสาเหตุต่างๆของโรคที่เกิดขึ้นในร่างกาย หรือ โรคที่ยังไม่เกิดเพื่อการป้องกัน
การตรวจปัสสาวะหาค่าความผิดปกติของร่างกาย (Urinalysis)
การตรวจปัสสาวะเพื่อนำค่าผลตรวจที่ได้ไปวิเคราะห์ถึงสาเหตุต่างๆของโรคที่เกิดขึ้นในร่างกาย หรือ โรคที่ยังไม่เกิดเพื่อการป้องกัน

การตรวจปัสสาวะ

การตรวจปัสสาวะ ( Urinalysis ) วิธีการตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะเพื่อนำค่าผลตรวจที่ได้ไปวิเคราะห์ถึงสาเหตุต่างๆของโรคที่เกิดขึ้นในร่างกาย หรือ ยังไม่เกิดโรค ก็ให้ตรวจเพื่อการป้องกัน และมีแนวทางการดำเนินชีวิตต่อไปอย่างเหมาะสมนั้นมีความสำคัญมาก เรามาทำความรู้จักกับลักษณะทางกายภาพของปัสสาวะให้มากขึ้นกันค่ะ

ลักษณะทางกายภาพของ ปัสสาวะ ( Urine )
เกณฑ์การวัด อาการแสดงของปัสสาวะ อาการผิดปกติที่อาจเกิดโรค
สีของปัสสาวะ
สีระดับปกติ เหลืองซีดหรือเหลืองเข้ม
สีระดับผิดปกติ เหลืองจัด อาจมีภาวะขาดน้ำ
สีระดับผิดปกติ ใสซีด อาจเป็นโรคไต
อาจเป็นโรคเบาหวาน
สีระดับผิดปกติ แดง อาจมีเลือดปน
ความใสของปัสสาวะ
ความใสปกติ สีใสและไม่มีตะกอน
ความใสผิดปกติ ขุ่น อาจมีเม็ดเลือดปะปน
อาจมีเชื้ออสุจิปะปน
อาจมีเชื้อโรค
กลิ่นของปัสสาวะ
กลิ่นปกติ กลิ่นคล้ายเปลือกไม้
กลิ่นผิดปกติ มีกลิ่นฉุน อาจเกิดจากกลิ่นของอาหารที่มีกลิ่นรุนแรง
อาจมีการอักเสบที่ช่องทางเดินปัสสาวะ
อาจมีกรดอะมิโนออกมาปะปน
ค่าความถ่วงจำเพาะ ( Urine Specific Gravity ) 
ค่าปกติ 1.005 – 1.030
ค่าผิดปกติ มีระดับสูง อาจเข้มข้นเพราะร่างกายขาดน้ำ
ค่าผิดปกติ มีระดับต่ำ อาจเจือจางเพราะโรคไต

สารชีวเคมีใน ปัสสาวะ

เนื่องจากปัสสาวะนั้น ผลิตขึ้นจากวัตถุดิบ คือ เลือด ที่ไตเป็นผู้กรองเอาสารชีวเคมีที่ดีคือให้เลือดกลับไปใช้ได้อีก ดังนั้น น้ำปัสสาวะแท้จริงจึงคงเหลือแต่   

1.สารของเสีย

2.สิ่งที่เป็นพิษ เช่น มีแอลกอฮอล์ในร่างกาย

3.สารในสภาวะของเหลวจากเลือดจำนวนหนึ่ง

รวมกันในรูปของน้ำปัสสาวะที่ไตขับทิ้งออกสู่กระเพาะปัสสาวะโดยรวบรวมไว้รอการปลดปล่อยให้พ้นออกจากร่างกายต่อไป ในร่างกายของคนที่มีสุขภาพเป็นปกติ จึงย่อมปรากฏแต่สารของเสียซึ่งเป็นสารชีวเคมีที่ร่างกายไม่ต้องการใช้ปะปนผสมอยู่ในปัสสาวะเท่านั้น และในร่างกายของคนที่มีสภาวะผิดปกติ ย่อมปรากฏมีสารชีวเคมีที่ดีซึ่งควรอยู่แต่ในเลือด แต่กลับหลุดออกมาสู่น้ำปัสสาวะ จึงทำให้สามารถตรวจวิเคราะห์เพื่อจะทราบถึงสาเหตุแท้จริงของสภาวะผิดปกติหรือโรคได้ต่อไป

คำแนะนำในการเก็บน้ำปัสสาวะเพื่อส่งตรวจ

ศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา ได้แนะนำวิธีการเก็บปัสสาวะของผู้ประสงค์จะสงค์กรวดน้ำปัสสาวะของตนเอง ให้ดำเนินการดังนี้

วันแรก เมื่อตื่นนอนตอนเช้าให้ปัสสาวะทิ้งโถส้วมไป 1 ครั้ง ภายหลังจากนับแต่เวลานั้นอีก 24 ชั่วโมงต่อมา จึงให้ถ่ายปัสสาวะใส่ลงในภาชนะรวบรวมเก็บไว้ในตู้เย็น ปัสสาวะส่วนนี้ คือ จำนวนที่จะนำไปตรวจ นับเป็นชนิดปัสสาวะในรอบ 24 ชั่วโมง ( 24 Hours Urine )

วันที่สอง เมื่อตื่นนอนตอนเช้า ก็ให้ถ่ายปัสสาวะครั้งแรกใส่ลงในภาชนะแล้วปิดฝาให้เรียบร้อย เก็บไว้ในตู้เย็น ปัสสาวะส่วนนี้ คือ จำนวนที่จะนำไปตรวจเป็นชนิดน้ำปัสสาวะตัวอย่าง ( Spot Urine )

ในกรณีได้เตรียมการใดๆเลยโดยเทเก็บปัสสาวะ ณ เวลาใดก็ได้จะเรียกว่า ปัสสาวะสุ่มตรวจ ( Random Urine )   

ภายหลังจากนั้น จึงให้รีบนำส่งปัสสาวะไปรับการตรวจวิเคราะห์โดยเร็วที่สุด หรือในโอกาสแรกที่ทำได้

บทบาทของไตในการผลิต น้ำปัสสาวะ

เมื่อจะกล่าวถึงการตรวจวิเคราะห์บรรดาสารชีวเคมีในน้ำปัสสาวะทั้งหลายหรือคุณลักษณะพิเศษเกี่ยวกับปัสสาวะทั้งปวง ก็ย่อมไม่อาจมองข้ามบทบาทของไตในฐานะที่เป็นผู้สร้างน้ำปัสสาวะ หรือเป็นต้นตอของผู้ปล่อยผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย คือ น้ำปัสสาวะ    

1.บทบาทของไตในการธำรงรักษาสภาวะแวดล้อมภายในร่างกาย และ
2.สภาพของไตที่เสื่อมลงจนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

1.บทบาทของไตในการธำรงรักษาสภาวะแวดล้อมภายในร่างกาย เพื่อให้เกิดความปกติสุข อาจกล่าวในสาระสำคัญโดยสรุปได้ ดังนี้

  • ไตเป็นอวัยวะจำเป็นยิ่งอย่างหนึ่งที่มีหน้าที่ขับถ่ายสารของเสียที่เกิดจากปฏิกิริยาการธำรงชีวิตของร่างกาย เช่น กระบวนการเผาผลาญอาหารทั่วไปย่อมเกิดคาร์บอนไดออกไซด์ กระบวนการย่อยสลายโปรตีน ย่อมเกิดสารแอมโมเนีย และยูเรีย ตามลำดับ ฯลฯ สารของเสียทั้งหลายเหล่านั้น ไต จะมีส่วนช่วยบำบัดปล่อยทิ้งผ่านทางปัสสาวะ
  • ควบคุมปริมาณของของเหลวและสารละลายภายในร่างกาย เพื่อความสมดุลของปริมาตร ความสมดุลของกรด-ด่าง ตลอดจนเกลือแร่ชนิดต่างๆ
  • มีหน้าที่ร่วมกับตับในการขจัดทิ้งบรรดาสารพิษที่ละลายน้ำได้ เช่น สารเคมีที่ปนเปื้อนมากับอาหาร แอลกอฮอล์ หรือแม้แต่ยารักษาโรคชนิดที่ละลายน้ำได้ ( Water Soluble Drugs ) หน้าที่ในข้อนี้ของไตเสมือนรับหน้าที่ดำเนินการต่อจากตับว่า หากตับได้ตรวจสอบได้ว่าอะไรเป็นพิษต่อร่างกายก็จะถูกกรองทิ้งสารพิษนั้นทิ้งออกไปนอกร่างกายปนไปกับปัสสาวะทันที
  • ไตยังมีบทบาทสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการทำหน้าที่คล้ายต่อมไร้ท่อ ( Endocrine Function ) โดยสามารถผลิตสารชีวโมเลกุลหลายอย่าง

ไตมีเอนไซม์ สร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ( Eryhropoietin ) ซึ่งไตผลิตขึ้นแล้วส่งให้ไขกระดูกดำเนินการทางชีวเคมีต่อไป

วิตามินดี ( Vitamin D ) ส่วนหนึ่งผลิตขึ้นมาจากคอเลสเตอรอล ซึ่งถูกรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดด แต่วิตามินดี ส่วนน้อยอีกจำนวนหนึ่งก็ผลิตขึ้นมาใช้โดยไต ทั้งนี้ วิตามินดี ทั้งหมดนี้ไตจะส่งให้ ลำไส้เล็กใช้เป็นเครื่องมือดูดซึมแคลเซียมจากอาหารเอามาใช้ในร่างกาย

เอนไซม์เรนีน ( Renin Enzyme ) เป็นเอนไซม์ที่ไตผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ควบคุมความดันเลือดทั่วร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ไตได้รับเลือดแดงไม่พอเลี้ยงเซลล์ของไต เอนไซส์เรนีนจะถูกหลั่งออกมามากขึ้นและถูกดัดแปลงไปตามลำดับ จนสามารถไปบีบหลอดเลือดทั่วร่างกายให้ตีบแคบลง ทำให้ความดันเลือดสูงขึ้นถึงระดับมีเลือดแดงพอที่จะส่งไปเลี้ยงเซลล์ของไตได้ แต่ร่างกายโดยรวมย่อมจะเดือดร้อน เพราะความดันเลือดจะสูงขึ้นมากกว่าเกณฑ์ปกติ ( ค่ามาตรฐานคือ 130/85 มม.ปรอท )

2.สภาพของไตที่เสื่อมลง จนถึงขั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ชนิดที่เรียกว่า ไตวายเฉียบพลัน  อาจปรากฏข้อมูลบ่งชี้ดังนี้

  • ปริมาณ ปัสสาวะน้อยลงจนถึงระดับน้อยกว่า 500 มิลลิลิตร/วัน
  • ค่า BUN และค่า creatinine ในเลือดสูงขึ้นกว่าเกณฑ์ปกติมากพร้อมๆกัน
  • ปริมาณแร่ธาตุในเลือด อาจตรวจพบค่าในระดับผิดปกติ

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม 

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4

Reference range list from Uppsala University Hospital (“Laborationslista”). Artnr 40284 Sj74a. Issued on April 22, 2008.

Normal Reference Range Table Archived December 25, 2011, at the Wayback Machine. from The University of Texas Southwestern Medical Center at Dallas. Used in Interactive Case Study Companion to Pathologic basis of disease.

medscape.com – Urine Calcium: Laboratory Measurement and Clinical Utility By Kevin F. Foley, PhD, DABCC; Lorenzo Boccuzzi, DO. Posted: 12/26/2010; Laboratory Medicine.

7 ขั้นตอนสร้างสมดุลให้ชีวิต

0
7 ขั้นตอนสร้างสมดุลให้ชีวิต
การรักษาสมดุลให้ชีวิตคือการรักษาเซลล์และระบบกลไกต่างๆในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ
7 ขั้นตอนสร้างสมดุลให้ชีวิต
การรักษาสมดุลให้ชีวิตคือการรักษาเซลล์และระบบกลไกต่างๆในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ

สร้างสมดุลให้ชีวิต

เพื่อให้การใช้ชีวิตของคุณมีความสุขต้องเริ่มจาก การสร้างสมดุลให้ชีวิต จึงจะมีสุขภาพที่ดีห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ถือว่าเป็นรางวัลชนิดหนึ่งที่ใครหลายคนก็คงอยากเป็นแบบนี้ คำว่ามีสุขภาพดีไม่ได้หมายถึงเพียงด้านร่างกายอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงด้านอื่นๆ อีก 4 ด้านด้วยกัน คือ ด้านร่างกาย ( Physical ) ด้านจิตใจ ( Mental ) ด้านอารมณ์ ( Emotional ) และด้านจิตวิญญาณ ( Spiritual ) ซึ่งหากใครมีสุขภาพดีครบทั้ง 4 ด้านนี้ด้วยความลงตัว จึงจะถือว่ามีสุขภาพดีอย่างสมบรูณ์ การทำให้ตนเองมีสุขภาพดีครบทุกด้านก็สามารถทำได้ด้วยตนเองโดย ซึ่งมีข้อแนะนำในการปฏิบัติการสร้างสมดุลให้ชีวิตดังต่อไปนี้

มารู้จักการจัดสรรเวลาเพื่อสร้างสมดุลให้ชีวิตคุณกันดีกว่า

1. กินอาหารที่มีประโยชน์

การที่จะมีสุขภาพดีนั้น ทั้งหมดจะต้องเริ่มต้นจากการมีสุขภาพร่างกายที่ดีและแข็งแรงเสียก่อน การเลือกกินอาหารก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีแข็งแรงได้ โดยควรเลือกกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ มีสารอาหารหลักครบ 5 หมู่ รู้จักหลีกเลี่ยงอาหารที่มากไปด้วย แป้ง น้ำตาล ไขมัน อาหารฟาสฟู้ดส์ อาหารรสจัดต่างๆ โดยให้เน้นทานผัก และ ผลไม้ ควรดื่มน้ำเปล่าให้มากพอ อย่างน้อยวันละ 8 – 10 แก้ว แทนการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง หรือ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ยังควรกินอาหารมื้อหลักให้เป็นเวลา กินให้ครบทุกมื้อ โดยเฉพาะมื้อเช้าที่มีความสำคัญที่สุด

2. ทำงานอย่างมีความสุข

ทุกคนเมื่อผ่านพ้นจากวัยเด็กมา ก็ต้องทำงานเลี้ยงชีพตนเอง โดยอาชีพที่ทำล้วนมีความแตกต่างกันออกไป การทำงานเปรียบเสมือนองค์ประกอบหลักของชีวิตอย่างหนึ่ง ที่ต้องทำเจอต้องทำเกือบทุกวันในชีวิต ดังนั้นจึงต้องมีแนวทางการทำงานให้ตนเองมีความสุขด้วย ต้องมีความรักในงานที่ตนเองทำ ทำด้วยความตั้งใจและไม่เครียดกับงานมากไป จนชีวิตไม่มีความสุข และต้องมีความภาคภูมิใจในงานที่ตนเองทำไม่ว่าจะเป็นอาชีพใดๆก็ตาม หากทำงานแล้วไม่มีความสุขหรือมีแต่ความเครียดความทุกข์ ให้ลองมองและวิเคราะห์ถึงปัญหา เพื่อจะได้รีบไปปรับปรุงให้คุณภาพชีวิตในการทำงานดียิ่งขึ้น

3. การทำสมาธิ

การจะทำการสิ่งใดก็แล้วแต่ หากขาดสมาธิก็อาจจะส่งผลให้สิ่งที่ทำออกมา อาจไม่ดีเหมือนดังที่ตั้งใจไว้ การทำสมาธิ หรือ การฝึกจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง เป็นวิธีที่ช่วยบริหารจิตใจให้ผ่องใส คลายความฟุ้งซ่าน ความวิตกกังวลต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวันได้ โดยการกำหนดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ให้มี “สติ” อยู่กับลมหายใจ จิตใจจะค่อยๆ สงบ ผ่อนคลายทำให้เกิดสติและมีสมาธิ นอกจากนี้ผลของการทำสมาธิยังจะช่วยให้คลื่น สมอง มีความเป็นระเบียบมากขึ้น ช่วยลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อ ส่งผลต่อสุขภาพทางกายทุกอย่างย่อมต้องสมดุลกันอีกด้วย

คนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญไปกับอะไรเพียงด้านใดด้านหนึ่ง และหลงลืมหรือละเลยด้านอื่นๆ ในชีวิต (ที่สำคัญมากพอๆ กัน)

4. นอนหลับพักผ่อน

การนอนหลับ เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด เป็นการซ่อมแซมเซลล์ และอวัยวะที่สึกหรอ รวมไปถึงฮอร์โมนต่างๆในร่างกายให้สมดุลทำให้สุขภาพกลับมาแข็งแรง และพร้อมที่จะทำงานหรือกิจกรรมต่างๆในวันต่อๆไปการนอนหลับที่ดีและถูกวิธี ควรนอนหลับให้ได้วันละ 7-8 ชั่วโมง และเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม การนอนหลับสนิทตลอดคืน และถูกวิธี เมื่อตื่นนอนขึ้นมา จะเต็มไปด้วยความสดชื่น แจ่มใส พร้อมที่จะทำกิจกรรมของวันใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. การทำความดี

การทำความดี คือ การทำให้เกิดผลดีต่อผู้อื่น ต่อส่วนรวม รวมถึงตนเองด้วย ซึ่งการทำดีจะต้องเกิดจากเจตนาที่ดีด้วย การทำดีสามารถทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการให้ การแบ่งปัน การเสียสละ การทดแทนบุญคุณ การช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆ หรือแม้แต่การพูดให้กำลังใจผู้อื่น ล้วนเป็นเรื่องที่ดีทั้งสิ้น หากได้ลองทำความดีแม้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ แต่ผลที่ได้นอกจากจะได้เห็นคนอื่นมีความสุขแล้ว ตัวเราเองก็จะมีความสุขตามไปด้วย ดังนั้นจึงควรหมั่นหาโอกาสในการทำความดีให้ได้อย่างน้อยวันละครั้ง

6. คบหาเพื่อนที่ดี

คนเราทุกคนล้วนแต่ต้องมีสังคม มีเพื่อนด้วยกันทั้งนั้นสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือการบริหารความสมดุลในชีวิตของคุณและคนรอบข้าง หากแต่ในการเลือกคบเพื่อน ควรเลือกเพื่อนที่มีทัศนคติที่ดีในการใช้ชีวิต เป็นคนคิดบวก มีความจริงใจต่อกัน เคารพซึ่งกันและกัน เนื่องจากคนที่อยู่รอบๆตัวเรานั้นจะมีอิทธิพลต่อต่อสุขภาพทางอารมณ์ของเราด้วย หากเราคบเพื่อนที่ไม่ดีมีทัศนคติติดลบไปซะทุกเรื่องในชีวิต ก็อาจจะทำให้ตัวเรามีแต่เรื่องที่ไม่ดี สุขภาพจิตก็จะแย่ลงตามไปด้วย ดังคำที่กล่าวไว้ว่า “Law of Five” ซึ่งหมายถึง เราจะเป็นค่าเฉลี่ยของคน 5 คน ที่เราใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ด้วยกับเขา

7. ค้นหาแรงบันดาลใจ

หากพูดถึงแรงบันดาลใจแล้ว ก็คงเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเราในแต่ละวันมีความหมาย ที่จะก้าวไปให้ถึงจุดหมายเส้นชัยที่ได้ตั้งเอาไว้ ทำให้เรามีความกระตือรือร้น มีความกระปรี้กระเปร่า อยากตื่นเช้ามาทุกๆวันเพื่อทำสิ่งนั้น ดังนั้นคนเราจึงควรมีแรงบันดาลใจ เพื่อที่จะให้แรงบันดาลใจนั้นผลักดันให้เรามีเป้าหมายในชีวิต ทำให้เราเกิดความพยายามทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จ ไม่ได้แค่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปวันๆแบบไม่มีจุดหมาย แรงบันดาลใจเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตสมบูรณ์

นอกจากเรื่องต่างๆที่กล่าวมาทั้ง 7 ข้อ ด้านบนแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตของเรามีความสุขก็คือ การหัวเราะ ในแต่ละวันไม่ว่าเราจะเจอกับเรื่องอะไร จะดีจะร้ายแค่ไหนก็ตาม อย่าลืมใช้เวลาแบ่งปันรอยยิ้มให้กับครอบครัว เพื่อนสนิทมิตรสหาย และคนข้างๆกายเสมอ การหัวเราะยังช่วยทำให้เราลืมความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจ ช่วยลดระดับความเครียดต่างๆที่เจอมาแต่ละวัน ดังนั้นจงอย่าลืมเตือนตัวเองไว้เสมอว่า วันนี้คุณได้ยิ้มหรือได้หัวเราะแบบมีความสุขบ้างหรือยัง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

http://www.socialfish.org/2017/08/7-steps-for-finding-worklife-balance.

การตรวจแร่ธาตุและสารละลายในร่างกาย ( Electrolyte )

0
การตรวจแร่ธาตุและสารละลายในร่างกาย
การตรวจแร่ธาตุและสารละลายในเลือดเพื่อตรวจว่าแร่ธาตุและสารละลายอยู่ในสภาวะสมดุลหรือไม่
การตรวจแร่ธาตุและสารละลายในร่างกาย
โซเดียมที่มีในร่างการมนุษย์ คือ โซเดียมคลอไรด์ หรือ เกลือธรรมดาทั่วๆไป

ค่าอิเล็กโทรไลต์ คือ

Electrolyte หรือสารละลายของธาตุระดับโมเลกุลที่มีประจุไฟฟ้า คือ แร่ธาตุอันเป็นสารเคมีที่สามารถนำไฟฟ้าได้ซึ่งแตกตัวออกจนเป็นส่วนย่อยเล็กที่สุด ( ระดับไอออน ) ละลายอยู่ในในปัสสาวะ เนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ และเลือดภายในร่างกายด้วยจำนวนอันน้อยนิด แต่เพียงพอที่จะทำให้เกิดสภาวะสมดุลระหว่างแร่ธาตุที่ละลายอยู่ด้วยกัน

การตรวจค่าอิเล็กโทรไต์ ( Electrolyte ) เพื่อจะทราบว่า สารละลายสื่อนำไฟฟ้า Electrolyte ชนิดต่างๆ ของแร่ธาตุ ( Mineral ) ในเลือดว่ามีค่าอยู่ในสภาวะสมดุลหรือไม่ หรือเพื่อจะทราบว่าค่าแร่ธาตุใดมีปริมาณสูงหรือต่ำกว่าเกณฑ์ปกติไปมากน้อยเพียงใด เนื่องจากความผิดปกติของแร่ธาตุตัวใดๆ นั้น อาจบ่งชีถึงความไม่เป็นปกติภายในร่างกายของผู้รับการตรวจเลือดได้

แร่ธาตุซึ่งเป็น Electrolyte ในร่างกายที่สำคัญ
1 Na ธาตุโซเดียม
2 K ธาตุโปแตสเซียม
3 CI สารคลอไรด์ จากธาตุคลอรีน CI2
4 CO2 CO2 คือ สารประกอบคาร์บอนไดออกไซด์

 

แร่ธาตุหรือสารเคมีชนิดต่างๆ ใน อิเล็กโทรไลต์ ตามปกติจะมีหน้าที่โดยทั่วไปในการช่วยร่างกายให้ดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติสุข

  • ช่วยสร้างศักย์ไฟฟ้า Generate Electricity เพียงพอที่จะให้ธาตุแต่ละตัวแสดงค่าประจุไฟฟ้าเป็นบวกหรือลบ กล่าวคือ

ไอออน (+) เรียกว่า “ แคทไออน ” Cation เช่น โพแทสเซียม

ไอออน ( – ) เรียกว่า “ แอนไอออน ” Anion เช่น คลอไรด์

  • ช่วยควบคุมการยืด-หดตัวของกล้ามเนื้อ
  • ช่วยอำนวยให้เกิดการเคลื่อนไหวของน้ำและของเหลวในร่างกายเพื่อสร้างสภาวะสมดุล
  • ร่างกายเสริมปฏิกิริยาชีวเคมีทั้งหลายให้ดำเนินไปด้วยความราบรื่น

ร่างกายควบคุมความเข้มข้นหรือควบคุมค่าปกติของแร่ธาตุใน

Electrolyte ผ่านทางฮอร์โมนจากแหล่งผลิตต่างกัน

ฮอร์โมนเรนิน ( Rennin ) ผลิตจากไต
ฮอร์โมนแองจิโอเทนซิน ( Angiotensin ) ผลิตจากปอด สมอง และหัวใจ
ฮอร์โมนแอลโดสเตอโรน ( Aldosterone ) ผลิตจากต่อมอะดรินัล
ฮอร์โมนแอนตี้ไดอูเรติค ( Antidiuretic Hormone, ADH ) ผลิตจากต่อมพิตูอิทารีในสมอง

แร่ธาตุหรือสารประกอบละลายในของเหลวของร่างกาย

โปแตสเซียม ( Potassium )

“ โปแตสเซียม ” ( Potassium ) สัญลักษณ์ทางเคมีคือ K เป็น แร่ธาตุ ซึ่งมีละลายอยู่ในน้ำเลือดในฐานะ อิเล็กโทรไลต์ นั้น มีปริมาณสูงต่ำกว่าเกณฑ์ปกติมากน้อยเพียงใด โปแตสเซียมมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการส่งเสริมการทำหน้าที่ของหัวใจ ผู้ที่ถูกสั่งให้ต้องกินยาขับน้ำปัสสาวะ ( กลุ่มยา Diuretics ) เพื่อลดความดันเลือด หรือผู้ที่กำลังอยู่ในห้วงการบำบัดโรคหัวใจใดๆ ก็ตาม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหมั่นติดตามตรวจหาระดับค่าโปแตสเซียม K ในเลือดของตนเองให้ทราบไว้เสมอ

หน้าที่ของโปแตสเซียม

  1. โปแตสเซียม ( K ) เป็นธาตุที่จำเป็นต้องมีอยู่ในน้ำเลือดโดยเป็นสารละลายเช่นเดียวกับโซเดียม ( Na ) แต่ระดับความเข้มข้นของโปแตสเซียมนั้นจะเป็นปฏิภาคกลับกันกับโซเดียม เมื่อใดหากน้ำเลือดมีความเข้มข้นของโซเดียมอยู่ในระดับสูง เมื่อนั้นโปแตสเซียมก็จะมีความเข้มข้นอยู่ในระดับต่ำ ในทางกลับกัน หารโซเดียมต่ำ โปแตสเซียมก็จะอยู่ในระดับสูง
  1. แหล่งที่โปแตสเซียมมีความเข้มข้นสูงสุดปกติประมาณ 150 mEq / L ก็คือ ภายในเซลล์ทุกเซลล์ของมนุษย์โดยมีประจุไฟฟ้าเป็นบวก (+) ส่วนภายนอกเซลล์นั้น จะมีโปแตสเซียมที่มีความเข้มข้นเพียงระดับประมาณ 4 mEq / L โดยค่าโปแตสเซียม ( K ) ที่ตรวจหาได้จากการเจาะเลือดออกมาทราบระดับให้เป็นตัวเลขนี้ ก็คือ ค่าความเข้มข้นของโปแตสเซียมภายนอกเซลล์นี้เอง

ค่าความแตกต่างในความเข้มข้นของระดับโปแตสเซียมที่อยู่ภายในเซลล์และภายนอกเซลล์ ซึ่งเป็นอัตราส่วนต่อกันนี้ อาจเป็นตัวบ่งชี้ถึงบทบาทในการทำหน้าที่ของผนังเซลล์ซึ่งได้แก่

1) การส่งผ่านสารอาหาร Nutrients เข้าสู่ภายในเซลล์

2) การชักนำเอาของเสีย ( Wastes ) ออกทิ้งภายนอกเซลล์

3) การส่งผ่านสัญญาณไฟฟ้าของเซลล์ประสาท ( Nerve Impulse Transmission ) ตามเส้นใยประสาท เริ่มต้นผ่านจากตา หู จมูก ลิ้น หรือผิวหนัง ( จากการสัมผัส ) ไปสู่สมอง ซึ่งเป็นศูนย์กลาง และส่งผ่านกลับมายังหัวใจ ( ให้เต้นเร็วขึ้นหรือแรงขึ้น ) หรือส่งไปยังกล้ามเนื้อเพื่อเป็นปฏิกิริยาใดๆ ในการตอบสนอง เช่น ขณะเล่นกีฬา ขณะประสบอันตราย

อัตราส่วนระหว่างความเข้มข้นของโปแตสเซียมที่อยู่ภายในและภายนอกเซลล์ดังกล่าวนั้น หากผิดไปจากเกณฑ์ปกติ ก็ย่อมอาจมีผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ถึงขั้นทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หรืออาจทำให้การบังคับกล้ามเนื้อส่วนอื่นของร่างกายลดประสิทธิภาพลง

โปแตสเซียม นับเป็นธาตุสำคัญยิ่งต่อการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อตลอดทั่วทั้งร่างกายมนุษย์ และโปรดระลึกว่า หัวใจ ที่เป็นก้อนเนื้อขนาดประมาณเท่ากับกำปั้นของตัวเจ้าของร่างกายนั้น โดยแท้จริงแล้วก็คือ ก้อนกล้ามเนื้อที่สำคัญที่สุด ซึ่งจำเป็นต้องมีและใช้โปแตสเซียมมากยิ่งกว่าก้อนกล้ามเนื้ออื่นใด

  1. โดยที่ค่าระดับโปแตสเซียมในเลือดนับว่ามีปริมาณน้อยมากอยู่แล้วกล่าวคือ เพียงประมาณ 4 mEq / L หากมีสาเหตุใดๆ ที่มากระทบต่อความเข้มข้นของโปแตสเซียมให้ต่ำลงไปอีก ย่อมจะมีผลร้ายแรงต่อสุขภาพ สภาวะผิดปกติที่อาจพบได้เมื่อระดับโปแตสเซียมต่ำก็คือ ความดันเลือดจะขึ้นสูง จนอาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดในสมองแตก ( Stroke ) นั่นเอง
  2. ยิ่งกินเค็มมากเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้โปแตสเซียมในเลือดต่ำลงมากเท่านั้น และเมื่อโปแตสเซียมต่ำลงและต่ำลง ความดันเลือดก็จะสูงขึ้นและสูงขึ้นจึงควรงดอาหารเค็ม

เพื่อรักษาระดับโปแตสเซียมมิให้ต่ำลง มีข้อแนะนำเพิ่มเติมควรเลือกทานอาหารที่มีโปแตสเซียมสูงและโซเดียมต่ำ โดยยกมาแสดงเฉพาะอาหารบางชนิด ดังนี้

อาหารที่มีโปแตสเซียมสูงและโซเดียมต่ำ
ชนิดอาหาร (100 กรัม) โปแตสเซียม (มก.) โซเดียม (มก.)
แป้งถั่วเหลือง 1,650 9
น้ำมะเขือเทศต้ม 1,150 28
ลูกเกด 1,020 60
จมูกข้าวสาลี 950 5
กล้วยหอม 400 1
ถั่วเหลืองต้ม 510 2
มันฝรั่งอบทั้งเปลือก 600 12

 

  1. โปแตสเซียม เป็นธาตุที่อาจถูกขังทิ้งออกจากร่างกายโดยการกรองของไต จากเลือดส่งผ่านทางน้ำปัสสาวะ (คล้ายโซเดียม)
  2. การกินอาหารที่อุดมด้วยธาตุโปแตสเซียม สำหรับท่านผู้อ่านที่มีร่างกายเป็นปกติ ไตไม่เสื่อม อาจช่วยส่งเสริมสุขภาพสำคัญ 3 ประเภทดังนี้
  • ช่วยลดความเสี่ยงมิให้เกิดสภาวะความดันเลือดสูง
  • ช่วยให้กล้ามเนื้อ ( รวมทั้งกล้ามเนื้อหัวใจ ) และระบบประสาททั่วร่างกาย ทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม ถูกต้อง และสมบูรณ์แบบ
  • ช่วยรักษาสภาวะสมดุลของของเหลวสารละลาย อิเล็กโทรไลต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ควบคุมดุลยภาพความเป็นกรด-ด่าง ( Acid-Base Balance ) ไม่ให้เกิดความเป็นกรดในร่างกายมากเกินไป ธาตุที่สร้างความเป็นกรดในร่างกายได้อย่างน่ากลัวก็คือ โซเดียมจากเกลือ ( จากน้ำปลา ) หรือจากอาหารเค็มทั้งหลายนั่นเอง

[adinserter name=”แบนเนอร์ checkup”]

  1. สภาวะของคนที่มีโปแตสเซียมต่ำหรือน้อย ซึ่งถูกเรียกว่า ( Hypokalemia ) นั้นโดยมากมักจะปรากฏอาการที่แสดงให้เห็นความจำเป็นว่าจะต้องรีบบริโภคอาหารซึ่งอุดมด้วยโปแตสเซียมเข้าไปช่วยแก้ไขร่างกาย นั่นคือ อาการคล้ายคลึงกับ Hypernatremia หรือมีโซเดียมมากเกินไป กล่าวคือ มักปรากฏอาการบางอย่าง ดังนี้
  • ท้องร่วงต่อเนื่องเรื้อรัง
  • ปัสสาวะบ่อยครั้งจากการกินยาขับปัสสาวะ ( Diuretics )
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • เหนื่อยอ่อน
  • เกิดปัญหาโรคหัวใจบางโรค
  • ความคิดสับสน
  • กระสับกระส่าย
  1. เนื่องจากระดับโปแตสเซียมปกติในเลือดมีค่าเพียงประมาณ 4 mEq / L ซึ่งไม่สูงมากนัก โดยเหตุนี้ การเติมโปแตสเซียมจากอาหารจึงนับว่าพอเพียงและปลอดภัย เนื่องจากสูงเกินเกณฑ์เมื่อใด ก็จะมีไตช่วยกรองขับทิ้งออกไปนอกร่างกาย

ในทุกกรณีจึงมีข้อห้าม ที่มิให้ผู้ใดไปซื้อเกลือโปแตสเซียม (Potassium Chloride หรือ Potassium Bicarbonate) มากินเอง เนื่องจากหากระดับโปแตสเซียมในเลือดสูงมากกว่าเกณฑ์ปกติไปมากๆ จะเกิดเป็นพิษแก่ร่างกาย โดยอาจเกิดอันตรายด้วยอาการนับตั้งแต่ คลื่นเหียน อาเจียน ท้องร่วง หัวใจเต้นผิดจังหวะ จนถึงขั้นหัวใจพิบัติ ( Heart Attack ) ในทางการแพทย์ท่านจะเรียกสภาวะของผู้ที่โพแทสเซียมในเลือดสูงเกินปกติว่า ไฮเปอร์คาเมเมีย ( Hyperkalemia )

ค่าปกติของโปแตสเซียม ( K )
  1. ให้ยึดถือตามค่าที่ระบุไว้ในใบรายงานแสดงผลเลือด
  2. ค่าปกติทั่วไป
ผู้ใหญ่/ผู้สูงอายุ K : 3.5 – 5.0 mEq/L
ค่าวิกฤติ K : < 2.5 หรือ > 5.0 mEq/L
หมายเหตุ K : 1 mEq/L = 39.1 mEq/L

ค่าผิดปกติโปแตสเซียม ( K )

  1. ค่าผิดปกติในทางน้อย ( Hypokalemia ) อาจแสดงผลว่า
  • ในกรณีผู้เป็นโรคเบาหวานและได้รับการรักษาด้วยวิธีฉีดอินซูลินผลแห่งการใช้อินซูลินให้พากลูโคส ( น้ำตาลในเลือด ) เข้าสู่ภายในเซลล์ มันก็จะช่วยพาโปแตสเซียมจากน้ำเลือดเข้าสู่ภายในเซลล์พร้อมกันไปด้วย โดยเหตุนี้ จึงอาจมีผลต่อผู้ฉีดอินซูลินว่า โปแตสเซียมในเลือด ( ส่วนที่อยู่ภายนอกเซลล์ ) มีโอกาสที่จะต่ำกว่าระดับปกติได้
  • ในกรณีผู้ป่วยที่มีอาการท้องมาน ( Ascites ) ซึ่งจะทำให้ของเหลวในช่องท้องไปกดทับหลอดเลือดเลือดแดงจนอาจทำให้เลือดไหลไปสู่ไตไม่สะดวกหรือกรณีผู้ป่วยมีอาการปรากฏว่าหลอดเลือดไตตีบเอง ( Renal Artery Stenosis ) ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ย่อมจะทำให้ฮอร์โมนแอลโดสเตอโรน ( Aldosterone ) ออกมาทำหน้าที่บังคับไตให้ดูดกลับโซเดียมมากกว่าปกติ
  • บริโภคอาหารที่อุดมด้วยโพแทสเซียมน้อยไป
  • เนื่องจากกินยาบางประเภทที่มีผลต่อการขับทิ้งโพแทสเซียม เช่น

กลุ่มยาระบาย ( Laxatives ) ใช้แก้อาการท้องผูก

กลุ่มยาขับปัสสาวะ ( Diuretics ) ใช้ลดความดันเลือดสูง

กลุ่มยาแก้ปวด ( Steroids ) ใช้แก้อาการอักเสบต่างๆ

กลุ่มยาเหล่านี้ ล้วนอาจมีส่วนช่วยขับทิ้งโพแทสเซียมออกไปนอกร่างกาย ถึงขั้นสร้างผลเสียหายร้ายแรงได้ทั้งสิ้น

  • ในร่างกายคนที่สุขภาพไม่ดีอาจเกิดสภาวะฮอร์โมนแอลโดสเตอโรนทำงานเกิน ( Hyperaldosteronism ) โดยฮอร์โมนตัวนี้ตามปกติมันจะมีบทบาทไปบังคับให้ไตดูดกลับโซเดียมก่อนที่จะปล่อยทิ้งไปกับปัสสาวะ หากมันทำงานเป็นปกติ มันก็จะไปบังคับไตให้ดูดกลับโซเดียมเพียงเท่าที่ร่างกายจำเป็นจะต้องมีใช้ทำให้โซเดียมในเลือดอยู่ในระดับปกติ กรณีมันทำงานเกิดปกติ มันก็จะไปบังคับไตให้ดูดกลับโซเดียมคืนมาให้ร่างกายมากเกินไป จนทำให้มีโซเดียมในเลือดสูงเกินเกณฑ์ปกติ ในน้ำเลือดนั้นถ้าโซเดียมสูงขึ้นเมื่อใด โพแทสเซียมก็จะต่ำลง โซเดียมสูงเมื่อใด โพแทสเซียมก็ต่ำลงเมื่อนั้น
  1. ค่าผิดปกติในทางมาก ( Hyperkalemia ) อาจแสดงผลว่า
  • อาจเกิดอาการบาดเจ็บ หรือการฟกช้ำต่อเนื้อเยื่อ ซึ่งมีผลกระทบต่อเซลล์ จนอาจทำให้โปแตสเซียมที่มีอยู่เข้มข้นภายในเซลล์ต้องหลุดลอดออกมาสู่กระแสเลือด จึงทำให้ค่าโปแตสเซียมในเลือดสูงขึ้น
  • อาจเกิดสภาวะโลหิตจางเพราะเหตุเม็ดเลือดแดงแตก ( Hemolysis ) จึงทำให้โปแตสเซียมหลุดออกจากเซลล์เม็ดเลือดแดง
  • บริโภคอาหารที่อุดมด้วยโปแตสเซียมมากเกินไป มนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งกินอาหารประเภทผัดสด และผลไม้สดด้วยอัตราส่วนที่ต่ำกว่าเนื้อสัตว์มากมาย จึงยากนักหนาที่จะเกิดมีโปแตสเซียมระดับสูงจากอาหารที่กินเข้าไป
  • อาจมีโรคหรือเหตุสำคัญทำให้เกิดสภาวะฮอร์โมนแอลโดสเตอโรนทำงานต่ำเกินไป ( Hypoaldosteronism ) ซึ่งหมายถึงว่า ร่างกายมีปริมาณฮอร์โมนตัวนี้น้อยเกินไป จึงไปบังคับไตให้ดูดกลับโซเดียมไม่ได้เต็มที่ เป็นผลทำให้โซเดียมถูกปล่อยทิ้งไปกับน้ำปัสสาวะโดยไร้การควบคุม ซึ่งจะเป็นเหตุทำให้โซเดียมในเลือดมีค่าลดระดับต่ำลง

แร่ธาตุโซเดียมในเลือดลดลงมากเท่าใด โปแตสเซียมก็จะสูงขึ้นมากเท่านั้น

  • อาจเกิดจากเหตุที่คาดไม่ถึงซึ่งสามารถนับเป็นเหตุสำคัญได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ จากยาที่กินเข้าไปด้วยวัตถุประสงค์จะรักษาโรคใดโรคหนึ่งแต่ยานั้นกลับมีพิษ หรือมีผลข้างเคียงที่ทำให้โพแทสเซียมในเลือดสูงขึ้น เช่น

กลุ่มยา Heparin ( ใช้ช่วยให้เลือดมีความใส )

กลุ่มยา Captopril ( ใช้รักษาโรคความดันเลือดสูง )

กลุ่มยา Antineoplastic Drugs ( ใช้รักษาโรคมะเร็ง )

กลุ่มยา Aminocaproic Acid ( ใช้ยับยั้งการแข็งตัวของเลือด )

กลุ่มยา Antibiotics ( ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อจุลชีพก่อโรคทั้งหลาย )

  • อาจเกิดสภาวะไตวายอย่างเฉียบพลันหรือเรื้อรัง จึงทำให้ลดหรือหมดขีดความสามารถในการขับทิ้งโปแตสเซียม

โซเดียม ( Sodium )

“ โซเดียม ” Sodium เป็น แร่ธาตุ สัญลักษณ์ทางเคมี คือ Na ซึ่งมีละลายอยู่ในน้ำเลือดในฐานะ อิเล็กโทรไลต์ มีปริมาณอยู่ในระดับเท่าใด สูงหรือต่ำกว่าเกณฑ์ปกติมากน้อยหรือไม่ อย่างไร ค่าใดๆ ที่ผิดปกติในทางมาก ไม่ว่าสูงมากเกินไป หรือต่ำมากเกินไปล้วนอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้

โซเดียม คือ เกลือแร่ หรือสารอาหารชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย โดยโซเดียมจะทำหน้าที่ควบคุมความสมดุลของเหลวในร่างกาย รักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ ช่วยในการทำงานของประสาทและกล้ามเนื้อต่างๆ ตลอดจนการดูดซึมสารอาหาร บางอย่างในไตและลำไส้เล็ก

โซเดียมที่ร่างการมนุษย์เกี่ยวข้องมากที่สุด คือ โซเดียมคลอไรด์ ( Sodium chloride, NaCI ) ก็คือ เกลือธรรมดาๆ นี่เอง

หน้าที่ของโซเดียม

  1. โซเดียม เป็น แร่ธาตุ ที่นับว่าอยู่ในสารละลาย อิเล็กโทรไลต์ ซึ่งแสดงประจุไฟฟ้าเป็นบวก ( Cation ) โดยมีปริมาณส่วนใหญ่อยู่ภายนอกเซลล์ ด้วยความเข้มข้นประมาณ 140 mEq/L ด้วยขนาดความเข้มข้นดังกล่าว โซเดียม จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษาความดันออสโมติก ( Osmotic Pressure ) สำหรับของเหลวหรือน้ำ ( เลือด ) ภายนอกเซลล์เม็ดเลือดแดงขณะเดียวกันก็สร้างแรงดันภายในหลอดเลือด ทำให้สามารถวัดความดันเลือดได้
  1. มีหลักการที่ควรจำไว้อย่างหนึ่งว่าในร่างกายมนุษย์นั้นถ้ามีโซเดียมอยู่ ณ บริเวณที่ใดมากเท่านั้นด้วยเสมอไปโดยเหตุนี้ จึงอาจสรุปเป็นหลักการทั่วไปว่า โซเดียมมีบทบาทช่วยการแจกจ่ายน้ำ หรือรักษาน้ำในร่างกายให้มีไว้ แต่หากมีโซเดียมมากเกินไป ก็จะเกิดสภาวะบวมน้ำ ( Retention of Sodium Leads to Edema ) หรืออุ้มน้ำ เช่น ในกรณีกินเกลือหรืออาหารเค็มมากเกินไป หรือในกรณีเกินสภาวะไตเสื่อม ไม่อาจขับโซเดียมทิ้งออกทางน้ำปัสสาวะได้ตามที่เคยกระทำ ทั้งนี้ไม่ว่าจะเกิดจากกรณีใด โซเดียมก็ย่อมจะล้นเกิน หล่นลงมากองจนเข้มข้นอยู่บริเวณขาหรือเท้า ทำให้ต้องมีน้ำมาหล่อโซเดียมจำนวนนี้ จนอาจเห็นได้จากภายนอกโดยง่ายว่ามีอาการบวมที่ขาและหลังเท้า
  2. โดยธรรมดา โซเดียมในร่างกายจะมีปริมาณเข้มข้นพอดีๆ หรืออยู่ในสภาวะสมดุลเสมอ ด้วยกระบวนการโซเดียมได้จากอาหาร = โซเดียมที่ไตขับทิ้ง ( ทางน้ำปัสสาวะ ) ในกรณีกินอาหารจืดเกินไป จนโซเดียมอาจไม่พอเพียงในเลือดร่างกายก็จะมีกลไกสั่งให้ไตทำการดูดซึมกลับ ( Reabsorb ) โซเดียม โดยไม่ยอมปล่อยให้ทิ้งไปกับน้ำปัสสาวะอย่างที่เคยทำ

ในกรณีกินอาหารเค็มมากเกินไป ร่างกายก็จะสั่งให้ไตรีบเร่งรัด ปล่อยทิ้ง ( Excretion ) โซเดียมออกตามหน้าที่อย่างหนักหน่วง วันละ 3 เวลาหลังอาหาร 365 วันต่อปี ผ่านมาแล้วกี่ปีก็ดูได้จากตัวเลขของอายุ ตามวัยของตน

  1. นอกจากร่างกายจะสูญเสีย โซเดียม ทางน้ำปัสสาวะแล้ว ยังอาจสูญเสียได้อีกทางหนึ่ง คือ “เหงื่อ” แต่ด้วยปริมาณไม่มากนัก ขณะเมื่อมีการออกแรง ( เพราะทำงาน หรือเพราะออกกำลังกายก็ตาม ) จนเกิดมีเหงื่อที่พาโซเดียมออกทิ้งพ้นร่างกายทางผิวหนัง ขณะนั้นร่างกายก็จะมีฮอร์โมนตัวหนึ่งชื่อ “ แอลโดสเตอโรน ” ( Aldosterone ) ซึ่งผลิตโดยต่อมหมวกไตที่คอยเฝ้าระวัง หากพบว่าโซเดียมในเลือดชักจะลดระดับต่ำกว่าปกติ ไปสั่งให้ไตทำการดูดซึมกลับ reabsorb โซเดียม มิให้ปล่อยทิ้งไปกับน้ำปัสสาวะเพื่อรักษาระดับโซเดียมในเลือดเอาไว้ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติตลอดเวลา
  1. ในร่างกายของคนที่มีไตเป็นปกติดี ไตจะมีความสามารถขับโซเดียมออกทิ้งทางน้ำปัสสาวะ ได้ประมาณ 450-500 mEq ต่อวัน แปลว่า ถ้ากินอาหารไม่เค็มจัดจนเกินไป ก็จะมีสุขภาพด้านโซเดียมซึ่งละลายในเลือด ไม่เดือดร้อนอะไรนั้นเนื่องจากโซเดียม ( Na ) 500 mEq ที่ร่างกายมนุษย์ปกติสามารถขับทิ้งต่อวันนั้น โดยอาศัยตัวเลขความสัมพันธ์การแปลงค่าจะคำนวณได้เป็นโซเดียม = 500 x 23 = 11,500 mg หรือเป็นเกลือจำนวนมากกว่า 11 กรัมต่อวัน ซึ่งนับว่าสูงไม่น้อยจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครกินมากขนาดนั้น แต่ในคนที่เกินเค็มจนไตขับทิ้งโซเดียมไม่ทัน หรือด้วยเหตุใดก็ตามที่ทำให้โซเดียมในเลือดมีระดับสูงมากๆ สภาวะเช่นนั้น จะมีศัพท์แพทย์เรียกว่า ( Hypernatremia )
  1. คนที่มีสภาวะ ( Hypernatremia ) หรืออยู่ในสภาวะมีเกลือ หรือมีโซเดียมละลายอยู่ในน้ำเลือดระดับสูงนั้น แม้ยังไม่ทันจะได้เจาะเลือดตรวจก็อาจเห็นอาการได้อย่างหนึ่งอย่างใด หรืออาจเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกัน เช่น
  • กล้ามเนื้อหดเกร็ง อาจเกิดอาการชักกระตุก ( Convulsions )
  • ชอบก่อกวน
  • ไม่อยู่นิ่ง ปวดศีรษะ
  • กระสับกระส่าย ความดันเลือดสูง
  • ฉุนเฉียว
  • คอแห้ง ( Dry Mucous Membranes )
  • กระหายน้ำ
  1. คนที่มีสภาวะ ( Hypernatermia ) หรือมีเกลือต่ำ หรือมีโซเดียมในเลือดต่ำมากๆ อาจเกิดอาหาร ดังนี้
  • หมดสติ ( Coma )
  • อาการคล้ายคนสลบ ( Stupor )
  • ความคิดสับสน
  • รู้สึกอ่อนเปลี้ย ไม่มีแรง
  • แสดงความเฉื่อยชา

ค่าปกติของโซเดียม ( Na )

  1. ให้ยึดถือตามค่าที่ระบุไว้ในใบรายงานแสดงผลเลือด (ถ้ามี)
  2. ค่าปกติทั่วไป
ผู้ใหญ่/ผู้สูงอายุ Na 136 – 145 mEq/L
ค่าวิกฤติ Na <120 หรือ > 160 mEq/L
หมายเหตุสูตรการแปลงค่า Na 1 mEq/L = 23 mEq/L

 

ค่าผิดปกติ

  1. ในทางน้อย ( Hypernatremia ) อาจแสดงผลว่า
  • อาจเกิดจากอาการอาเจียน หรือท้องร่วงติดต่อกันนาน ทำให้โซเดียมสูญเสียไปกับของเหลว
  • อาจเกิดจากการกินยาขับปัสสาวะ ( ยาเพื่อลดความดันเลือดสูง )
  • อาจมีเหตุสำคัญ หรือโรคของไตเอง ที่ดูดกลับโซเดียมไม่ได้อย่างที่ควรกระทำ
  • อาจกินโซเดียม หรือกินอาหารเค็มน้อยเกินไป
  • อาจเกิดโรค Addison’s disease มีต้นเหตุจากต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมน ( Aldosterone ) และฮอร์โมน ( Corticosteroid ) ไม่เพียงพอ ก็จะมีผลต่อมาทำให้ไตดูดกลับโซเดียมไม่ได้เต็มที่ จนทำให้โซเดียมสูญเสียไปกับน้ำปัสสาวะ ทำให้ปรากฏพบค่าโซเดียมในเลือดต่ำกว่าปกติ
  1. ในทางมาก ( Hypernatremia ) อาจแสดงผลว่า
  • อาจเกิดโรค Cushing’s Syndrome ที่สร้างสภาวะที่เรียกว่า ( Aldosterone-like Effect ) ทำให้ไตดูดกลับโซเดียมคืนให้ร่างกายมากเกินไป
  • อาจเกิดการเสียน้ำผ่านช่องทางเดินอาหาร เช่น ท้องร่วง ท้องเสียและเจ้าของร่างกายไม่ดื่มน้ำให้พอเพียง โซเดียมในเลือดจึงเข้มข้นขึ้น
  • อาจกินโซเดียม หรือกินอาหารเค็มมากเกินไป โดยธรรมดาเกลือ หรือโซเดียม นั้น มักมีแทรกอยู่ในอาหารของทุกชาติทุกภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผลพวงของวิธีเก็บถนอมอาหารของอาหารไทย ในรูปของปลาเค็ม ปลาร้า ไข่เค็ม ผักดอง ผลไม้ดอง ปูเค็ม ต้มจับฉ่าย ไส้กรอก หมูยอ แหนม ต้มเค็ม หลน น้ำพริกกะปิ น้ำพริกลงเรือ ฯลฯนอกจากนี้ อาหารไทยยังมีการเติมผงชูรสกันอย่างมาก ( Monosodium Glutamate – MSG ) ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่า มีคำว่า โซเดียม ปรากฏอยู่โดยเหตุนี้การกินอาหารที่เติมผงชูรส ก็คือ การเพิ่มโซเดียมให้แก่ร่างกายโดยตรงนั่นเอง
  • อาจเกิดการเสียน้ำผ่านช่องทางเดินอาหาร เช่น ท้องร่วง ท้องเสียและเจ้าของร่างกายไม่ดื่มน้ำให้พอเพียง โซเดียมในเลือดจึงเข้มข้นขึ้น

[adinserter name=”แบนเนอร์ checkup”]

  • อาจเกิดการสูญเสียเหงื่อมากเกินไป แม้ว่าโซเดียมจะพลอยพ้นร่างกายออกมาพร้อมกับเหงื่อบ้าง แต่สัดส่วนของน้ำอิสระที่เรียกว่า Free Water มักจะสูญเสียออกไปด้วยมากกว่า โดยเหตุนี้ หากมิได้ดื่มน้ำให้พอเพียง ก็ย่อมจะทำให้โซเดียมในเลือดมีความเข้มข้นมากขึ้น

คาร์บอนไดออกไซด์ ( Carbondioxide )

“ คาร์บอนไดออกไซด์ ” Carbondioxide ซึ่งมีสูตรทางเคมีว่า CO2 หรือ CO2 ที่มีอยู่ในเลือดว่าอยู่ในระดับใดโดย CO2 เป็นสารละลายที่ควรจะอยู่ในสภาวะสมดุลกับสารละลายตัวอื่น ระดับของ CO2 ที่สูง/ต่ำ จะมีส่วนก่อให้เกิดผลต่อค่าความเป็นกรด (pH) ของเลือดมากน้อยแตกต่างกัน

หน้าที่ของคาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกาย

  1. คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด เป็นผลิตผลที่เกิดขึ้นในทำนองของเสียเหลือใช้ จากการเผาผลาญกลูโคสในระดับเซลล์จากปฏิกิริยาการสร้างพลังงานเช่นเดียวกับควันไฟที่เกิดจากเตาหุงต้ม ตามปกติมันก็อาจลอยหายไปในอากาศแต่คาร์บอนไดออกไซด์ มันเกิดขึ้นในร่างกายทั่วทุกเซลล์ จึงลอยหนีไปไหนไม่ได้มันจำต้องอาศัยเฮโมโกลบินของเม็ดเลือดแดง ( ที่เข้าไปส่งออกซิเจนถึงทุกเซลล์ในเที่ยวขาไป – จากการหายใจเข้า ) ให้ช่วยรับคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งสิ้นกลับออกมาผ่านหลอดเลือดดำ เพื่อขนส่งกลับคืนส่งมาให้ปอดปล่อยออกทิ้งไปนอกร่างกาย โดยการหายใจออก

ขณะคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ในหลอดเลือดดำจะปรากฏว่ามันอยู่ในเม็ดเลือดแดงประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ และตกหล่นอยู่ในน้ำเลือดประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์

  1. คาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในน้ำเลือดนี้เอง ที่ส่วนหนึ่งจะรวมตัวกับน้ำในน้ำเลือดจนกลายเป็น ไบคาร์บอเนต ( Bicarbonate ) ซึ่งมีสูตรทางเคมีว่า HCO3 แต่มันมีความเข้มข้นน้อย ปรากฏเพียงในระดับประจุไฟฟ้าลบ (-) แต่ถึงกระนั้นมันก็มีบทบาทในการสร้างความเป็นกลาง หรือทำให้เกิดความสมดุลของประจุไฟฟ้าระหว่างภายในและภายนอกเซลล์ โดยที่คุณสมบัติของไบคาร์บอเนต มีสถานะเป็น ด่าง มันจึงช่วยควบคุมร่างกายมิให้เกิดความเป็นกรด นั่นคือ สร้างความสมดุลระหว่างกรดและด่าง
  2. ระดับของค่าคาร์บอเนต จะถูกปรับแต่งให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมโดยไต การเพิ่มค่าขึ้นของคาร์บอเนตอย่างผิดปกติ ย่อมแสดงว่า ร่างกายกำลังเกิดสภาวะความเป็นพิษจากด่าง ( Alkalosis )

การลดลงของคาร์บอเนตอย่างผิดปกติ ก็ย่อมแสดงว่า ร่างกายกำลังเกิดความเป็นพิษจากกรด acidosis

ค่าปกติของคาร์บอนไดออกไซด์ ( CO2 )

  1. ให้ยึดถือตามค่าที่ระบุไว้ในใบรายงานแสดงผลเลือด (ถ้ามี)
  2. ค่าปกติทั่วไป
ผู้ใหญ่/ผู้สูงอายุ CO2 : 23 – 30 mEq/L
ค่าวิกฤติ CO2 : < 6 mEq/L

ค่าผิดปกติ

  1. ในทางน้อย อาจแสดงผลว่า
  • อาจกำลังมีสภาวะของโรคไตวายระยะเริ่มต้น จึงควบคุมไบคาร์บอเนตไม่ได้
  • อาจเกิดสภาวะความเป็นกรดจากโรคเบาหวาน ( Diabeticketoacidosis ) ทำให้ร่างกายต้องใช้ไบคาร์บอเนตสิ้นเปลืองไปให้การรักษาสมดุล โดยทำให้ความเป็นกรดลดลง หรือพยายามรักษาความเป็นกลางระหว่างกรด-ด่างนั่นเอง คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสารประกอบตั้งต้นของไบคาร์บอเนตจึงพลอยลดระดับลง
  • อาจอยู่ในสภาวะอดอาหาร เช่น กรณีพลัดหลงอยู่ในป่า หรือทะเลทราย หรือกรณีอดอาหารประท้วงทางการเมือง หรือติดอยู่ใต้ตึกถล่ม ฯลฯ ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ก็ย่อมมีผลทำให้กลูโคสในเลือดลดระดับลง ในการนี้ก็ย่อมทำให้การเผาผลาญอาหารของเซลล์ทำงานน้อยลง จึงเป็นเหตุต่อเนื่องให้คาร์บอนไดออกไซด์ อันเป็นของเสียจากการเผาผลาญ ก็ย่อมจะมีน้อยลง
  • อาจมีอาการท้องเสียเรื้อรัง
  • อาจมีการส่วนใส่ท่อปัสสาวะตลอดเวลาต่อเนื่องยาวนานเกิดไปทำให้ไบคาร์บอเนตสูญเสียไปกับน้ำปัสสาวะมากผิดปกติ นั่นคือ มีผลต่อเนื่องทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดลดระดับลง
  1. ในทางมาก อาจแสดงผลว่า
  • อาจเกิดโรคช่องทางเดินอากาศไปสู่ปอดตีบตันเรื้อรัง ( Chronic Obstructive Pulmonary Disease, COPD ) ทำให้ร่างกายหายใจไม่ได้เต็มที่จึงมีความโน้มเอียงที่จะเกิดสภาวะความเป็นกรดจากการหายใจ ( Respiratory Acidosis ) โดยเหตุนี้ร่างกายจึงพยายามสะสมไบคาร์บอเนต เพื่อที่จะชดเชยในการสร้างความเป็นกลายของสภาวะความเป็นกรด-ด่าง ภายในร่างกาย
  • อาจมีการดูดน้ำออกจากกระเพาะอาหารทิ้งออกนอกร่างกายด้วยเหตุใดก็ตามต่อเนื่องยาวนานและมากเกินไป ทำให้ร่างกายขาดน้ำ
  • อาจเกิดการอาเจียนอย่างรุนแรงทำให้เสียน้ำในร่างกายไปมากอย่างผิดปกติ ในการนี้ ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด จึงย่อมมีมากขึ้น

คลอไรด์ ( Chloride )

“ คลอไรด์ ” Chloride สัญลักษณ์ทางเคมีคือ CI ซึ่งนับเป็นสารสำคัญที่มีในสารละลายของน้ำเลือดว่ามีปริมาณสูง/ต่ำ มากน้อยเพียงใด

คลอไรด์ เป็นสารจำเป็นที่ต้องมีอยู่ในน้ำเลือด เช่นเดียวกับ โซเดียม โปแตสเซียม และแคลเซียม เนื่องจากคลอไรด์จะมีบทบาทสร้างสภาวะความสมดุลในเรื่องใหญ่ๆ ถึง 4 ประการ คือ

  1. รักษาความดันเลือดให้อยู่ในระดับปกติ

2. รักษาระดับความเป็นกรด ( pH ) ของของเหลวทั่วร่างกายมิให้สูงหรือต่ำเกินไป

3. รักษาความสมดุลระหว่างของเหลวภายในและภายนอกเซลล์

4. รักษาปริมาตรของน้ำเลือดทั้งระบบให้มีขนาดพอดีๆ

หน้าที่สำคัญของคลอไรด์

  1. ความเข้มข้นของคลอไรด์ในน้ำเลือด หรือในของเหลวส่วนอื่นของร่างกายนั้น นับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจว่า มันจะมีค่าความเข้มข้นอยู่ในระดับใกล้เคียงกับคลอไรด์ในน้ำทะเลเสมอ
  2. คลอไรด์ เป็นสารที่เกิดจากการรวมตัวของธาตุคลอรีน Chlorine 2 ตัว ทั้งนี้ คลอไรด์นับเป็นสารที่มีประจุไฟฟ้าลบ (-) ซึ่งอยู่ในองค์ประกอบของสารละลายที่เรียกว่า เลือด รวมทั้งเป็นประจุไฟฟ้าลบของของเหลวที่อยู่ภายนอกเซลล์ตลอดทั่วร่างกาย
  3. หากยามใดคลอไรด์ที่มีในเลือดสูงกว่าระดับปกติซึ่งควรจะมี ร่างกายก็จะขับทิ้งออกโดยไตผ่านทางน้ำปัสสาวะ การวัดระดับคลอไรด์จากน้ำปัสสาวะ ( ในรอบ 24 ชั่วโมง ) ก็ทำให้อาจทราบผลแม่นยำไม่แพ้จากการตรวจในเลือด เพียงแต่มีความยุ่งยากและใช้เวลานานกว่า
  4. คลอไรด์ที่ร่างกายมีและได้ประโยชน์สำหรับใช้สอยนั้น เกือบทั้งหมดก็ได้มาจากเกลือหรืออาหารเค็ม ที่มนุษย์กินผ่านเข้าทางปาก

เนื่องจากเกลือมีสูตรทางเคมีว่า “ โซเดียมคลอไรด์ ” ( Sodium Chloride ) ระดับคลอไรด์ในเลือด จึงมีความสัมพันธ์โน้มเอียงที่จะขึ้น-ลงหรือ สูง-ต่ำ ในทิศทางเดียวกับโซเดียมเสมอ

  1. การตรวจเลือดหาค่าระดับคลอไรด์ ซึ่งมักกระทำพร้อมกันกับ แร่ธาตุ อื่นในสารละลาย อิเล็กโทรไลต์ เสมอ แต่เฉพาะค่าคลอไรด์ (CI) นั้น มักเจาะจงเพื่อจะวินิจฉัยให้ทราบว่า
  • กำลังมีปัญหาของไตและต่อมอะดรินัล ( Adrenal Glands ) อยู่บ้างหรือป่าว
  • ในกรณีร่างกายมีสภาวะความเป็นกรดน้อยลง ( ค่า pH ในเลือดจะสำแดงตัวเลขสูง ) นั้น เกิดจากอะไร เช่น เกิดการอาเจียนรือท้องเดินมาเนิ่นนาน
  • ความสมดุลของสารละลายยังเป็นปกติดีอยู่หรือไม่ เนื่องจากหากคลอไรด์ในเลือดต่ำเกินไปก็อาจทำให้ร่างกายเกิดอาการกล้ามเนื้อกระตุก ( Muscle Twitching ) หรือกล้ามเนื้อหดเกร็ง หายใจถี่และตื้น สภาวะของผู้ที่มีคลอไรด์ในเลือดต่ำ จะถูกเรียกว่า ( Hypochloremia ) หากคลอไรด์ในเลือดสูงเกินไปก็อาจก่อให้เกิดอาการหายใจลึกและหอบเหนื่อยอ่อน ความคิดสับสน และอาจหมดสติ ( Coma ) สภาวะของผู้ที่มีคลอไรด์ในเลือดสูง จะถูกเรียกว่า Hypochloremia

ค่าปกติของคลอไรด์ ( CI )

  1. ให้ยึดถือตามค่าที่ระบุไว้ในใบรายงานแสดงผลเลือด (ถ้ามี)
  2. ค่าปกติทั่วไป
ผู้ใหญ่/ผู้สูงอายุ CI : 90 – 106 mEq / L
ค่าวิกฤติ CI : < 80 หรือ > 115 mEq / L

ค่าผิดปกติของคลอไรด์ ( CI )

  1. ในทางน้อย ( Hypochloremia ) อาจแสดงผลว่า
  • อาจดื่มน้ำมากเกินไป
  • อาจเกิดจากไตอักเสบ ทำให้สูญเสียเกลือ ( Salt-Losing Nephritis ) เมื่อไตไม่ดูดกลับโซเดียม ก็ย่อมทำให้โซเดียมในเลือดลดน้อยถอยลง
  • อาจเกิดจากโรค Addison’s Disease ซึ่งเป็นโรคที่มีต้นเหตุมาจากต่อมหมวกไต ( หรือต่อมอะดรินัล ) ลดการทำงานลง ทำให้มีผลต่อเนื่องจนผลิตฮอร์โมนแอลโดสเตอโรน ( Aldosterone ) ได้ลดน้อยลง เมื่อฮอร์โมนตัวนี้ลดน้อยก็จะไปบังคับไตให้ดูดกลับโซเดียมไม่ได้เต็มที่ ทำให้ค่า อิเล็กโทรไลต์ ของโซเดียมในเลือดลดต่ำลง
  • อาจเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนขับน้ำออกจากร่างกาย ( Syndrome of Inpropiate Secretion of Antidiuretic Hormone, SIADH ) ทำให้คลอไรด์ในเลือดเจือจางลง
  • อาจเกิดการอาเจียน หรือมีการรักษาพยาบาลด้วยการดูดเอาของเหลวออกจากกระเพาะอาหารนานเกินไป
  1. ในทางมาก Hyperchloremia อาจแสดงผลว่า
  • อาจเกิดจากสภาวะครรภ์เป็นพิษ Eclampsia
  • ร่างกายอาจขาดน้ำจากการดื่มน้ำน้อย จากการอาเจียน หรือจากอาการท้องเสีย จึงมีผลต่อเนื่องทำให้คลอไรด์ในเลือดเข้มข้นขึ้น
  • อาจได้รับน้ำเกลือ ( Normal Saline ) ในกรณีเจ็บไข้ได้ป่วย และได้รับการรักษาพยาบาล จึงทำให้อาจได้คลอไรด์จากน้ำเกลือ มากกว่าที่ปล่อยทิ้งทางปัสสาวะ
  • อาจเกิดสภาวะที่ไตทำงานไม่เป็นปกติ ( Kidney Dysfunction ) กล่าวคือ ดูดกลับโซเดียมเองอย่างมากผิดปกติ จนพลอยทำให้คลอไรด์สูงค่าขึ้นด้วย
  • อาจเกิด โรคคุชชิง ( Cushing’s Syndrome ) ซึ่งเป็นสภาวะที่ต่อมหมวกไต ทำงานเกิน จึงปล่อยแอลโดสเตอโรนฮอร์โมนออกมาบังคับให้ไตดูดกลับโซเดียมคืนสู่ร่างกายมากผิดปกติ โซเดียมในเลือดจึงเข้มข้นขึ้น คลอไรด์ จึงพลอยเพิ่มค่าขึ้น จนมีระดับสูงผิดปกติ

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4

Weast, Robert (1984). CRC, Handbook of Chemistry and Physics. Boca Raton, Florida: Chemical Rubber Company Publishing. pp. E110. ISBN 0-8493-0464-4.

Magnetic susceptibility of the elements and inorganic compounds, in Lide, D. R., ed. (2005). CRC Handbook of Chemistry and Physics (86th ed.). Boca Raton (FL): CRC Press. ISBN 0-8493-0486-5.

4 สุดยอด ผัก ผลไม้ต้านมะเร็ง

0
4 สุดยอดผักผลไม้ต้านมะเร็ง
ชาเขียวมีสารคาเทชินที่ช่วยป้องกันมะเร็งและต้านอนุมูลอิสระ
4 สุดยอดผักผลไม้ต้านมะเร็ง
ฟักข้าวมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีไลโคปีนต้านอนุมูลอิสระ และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ

ผัก ผลไม้ต้านมะเร็ง

มะเร็ง ถือเป็นโรคไม่ติดต่อร้ายแรงชนิดหนึ่ง ที่มีปริมาณของผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ ในแต่ละปีที่ค่อนข้างสูงมาก ซึ่งโรคมะเร็งสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุแตกต่างกันไป แต่จำนวนมากกว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งชนิดต่างๆ มีสาเหตุหลักมาจาก การใช้พฤติกรรมการดำเนินชีวิต และการบริโภคอาหารในแต่ละวันที่ไม่ดีไม่ถูกต้อง เช่น การทานอาหารที่มีไขมันสูง ชอบกินอาหารฟ้าสฟู๊ดส์ ยึดติดกับรสชาติอาหารที่อร่อยโดยไม่คำนึงถึงคุณค่าและสารอาหารที่ได้รับเข้าไป การอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยมลพิษ สารเคมีปนเปื้อนที่มากับน้ำและอาหาร และขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น พฤติกรรมต่างๆที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นตัวในการกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็งชั้นดีเลยทีเดียว ดังนั้นโรคมะเร็งจึงถือว่าเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมาก ทุกคนที่ไม่อยากเป็นโรคมะเร็งต้องรู้จักดูแลสุขภาพตนเอง ทำความเข้าใจ และพยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรมความเสี่ยงต่างๆที่อาจจะก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้อย่างถูกต้อง เพราะนอกจากยา และนวัตกรรมทางการแพทย์อื่น ๆ แล้ว ผัก ผลไม้ต้านมะเร็ง และป้องกันความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งได้อีกด้วย

ปัจจุบันมีโฆษณาชวนเชื่อมากมายในเรื่องอาหารเสริมหรือสมุนไพรสุขภาพ ที่ช่วยในการต่อต้านโรคมะเร็งได้ แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่มีผลการวิจัยทางการแพทย์ใดรับรองว่าสามารถทำได้จริงตามคำกล่าวอ้างนั้นๆ แต่วงการแพทย์และโภชนาการสมัยใหม่ ได้มีการค้นพบสารสำคัญชนิดหนึ่งจากในพืช ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ไฟโตนิวเตรียน ( Phytonutrients ) ว่าสามารถที่จะต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี โดยมีสรรพคุณคือ สามารถลดความเสียหายของ DNA ที่เกิดจากการโจมตีของอนุมูลอิสระ ช่วยขับสารก่อมะเร็งออกจากร่างกาย และยังสามารถยับยั้งการสร้างระบบท่อน้ำเลี้ยงก้อนมะเร็ง ซึ่งทำให้ก้อนมะเร็งฝ่อลงได้ สารไฟโตนิวเตรียน ดังที่กล่าวมานี้ สามารถพบได้ในพืชผักผลไม้ที่ทานกันอยู่ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น

ผัก ผลไม้ต้านมะเร็ง

1. มะเขือเทศ

มะเขือเทศ คือ พืชอีกชนิดหนึ่งที่มากไปด้วย ไลโคปีน เหมือนกับฟักข้าว นอกจากนี้มะเขือเทศยังมากไปด้วยสารอาหารอย่างเช่น วิตามินซี วิตามินเอ โปแตสเซียม และอื่นๆอีกมากมาย ที่ล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกาย
มีหลักฐานในการวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ใช้เวลาทดสอบมากกว่า 20 ปี และมีกลุ่มตัวอย่างในการทดลองโดยใช้ผู้ชายถึง 79,000 คน ในการทดสอบ พบว่า ผู้ชายที่รับประทานมะเขือเทศปรุงสุก สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะสามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้กว่า 50% และนอกจากนี้ยังมีผลวิจัยที่ให้ข้อมูลว่า การทานผักผลไม้ที่มากไปด้วยไลโคปีนแบบสม่ำเสมอว่า จะสามารถช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจวายในผู้ชายได้มากถึง 50 % อีกด้วย นอกจากในมะเขือเทศแล้ว ยังสามารถพบไลโคปีนได้มากในผลไม้อื่นๆ อีก เช่น แตงโม แครอท มะละกอ หรือองุ่นแดง เป็นต้น

2. ชาเขียว

ชาเขียว คือเครื่องดื่มที่มีสารอาหารชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า “ คาเทชิน ” ( Catechin ) เป็นสารเคมีที่ได้จากพืช และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ทำหน้าที่ในการป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ พบได้ในอาหารประเภท โกโก้ ไวน์ แอปเปิ้ล เป็นต้น คาเทชิน ยังมีประโยชน์อีก คือ ทำหน้าที่ต่อต้านสารอนุมูลอิสระที่สำคัญ โดยจะไปช่วยยับยั้งการสร้าง ไนโตรซามีน ในร่างกาย ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง ช่วยยับยั้งการเจริญเติมโตของมะเร็ง และยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่างๆ อย่างเช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งตับได้ดีอีกด้วย
ในการดื่มชาเขียวต้องดื่มในขณะที่ชายังร้อนอยู่ จึงจะได้รับประโยชน์จากสารคาเทชิน เนื่องจากหากปล่อย ชาเขียวทิ้งไว้จนเย็น จะไปทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศทำให้สูญเสียคุณค่าไป ซึ่งการเลือกซื้อชาเขียวจากตามร้านคาทั่วไปมาทานหรือซื้อแบบผงมาชงดื่มเอง ควรเลือกแบบไม่มีน้ำตาลผสม เพื่อให้ดีต่อสุขภาพมากที่สุด โดยปกติรสชาติที่แท้จริงของชาเขียวจะมีรสขมผสมรสฝาด ไม่มีรสหวานใดๆทั้งสิ้น 

3. ฟักข้าว

ฟักข้าว คือพืชที่นิยมนำผลมาทาน ซึ่งผลของฟักข้าวเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่สูง ในฟักข้าวยังมี ไลโคปีน ( Lycopene ) ซึ่งเป็นสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ ที่ร่างกายไม่สามารถผลติดขึ้นได้เอง ต้องมาจากการทานผักและไม้ สามารถพบได้ในผักและผลไม้ชนิดที่มีสีแดง สีส้ม และสีเหลือง เช่น ฟักข้าว แครอท เป็นต้น
ไลโคปีนเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ชนิดต่างๆได้มากมาย เช่น โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด มะเร็งระบบทางเดินอาหาร มะเร็งลำไส้ และ มะเร็งเต้านม เป็นต้น เนื่องจากในเยื่อเมล็ดของฟักข้าวนั้นมีปริมาณของไลโคปีน ที่สูงมาก จึงทำให้สามารถช่วยต่อต้านสารมะเร็งในร่างกายได้ดีที่สุดชนิดหนึ่งเลยทีเดียว

4. ธัญพืชชนิดต่างๆ

ธัญพืช คือ พืชที่ให้เมล็ดสำหรับใช้เป็นอาหาร ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันมากมายหลายชนิด เช่น ข้าวเจ้า ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวไรซ์เบอร์รี ข้าวฟ่าง ข้าวโอ๊ต รวมถึงถั่วชนิดต่างๆด้วย เป็นพืชที่มีสารอาหารประเภทไฟเบอร์ที่สูง ในการเลือกทานธัญพืช ควรเลือกแบบที่ไม่ขัดสี เพราะจะให้คุณค่าทางอาหารที่สูงกว่าแบบขัดสีมาก
ไฟเบอร์หรือใยอาหารต่างๆที่อยู่ในธัญพืช จะทำหน้าที่สำคัญในการขับสารต่างๆ ที่เป็นโทษต่อร่างกายออกมาทางการขับถ่าย อุดจาระหรือปัสสาวะ โดยส่วนมากมักเกาะติดอยู่บริเวณลำไส้ นอกจากนี้ยังทำให้สามารถขับถ่ายได้ง่ายขึ้น โดยจะไปทำให้อุจจาระมีความอ่อนนุ่ม ช่วยลดอาการท้องผูกได้ จึงมีผลทำให้ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ทางเดินอาหาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่ลดลงตามไปด้วย

ถึงแม้ข้อมูลผลไม้ต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น จะสามารถช่วยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งได้จริง แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยป้องกันมะเร็งก็คือตัวเราเอง แม้ว่าจะทานผลไม้ข้างต้นทั้ง 4 ชนิดมากเพียงใด แต่หากมีการใช้ชีวิตและบริโภคอาหารที่ไม่ดีและไม่ถูกต้อง ก็ยังคงมีโอกาสเป็นมะเร็งได้อยู่ดี ดังนั้นจึงควรปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตการบริโภคอาหาร และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายมีความแข็งแรงและ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ชนิดต่างๆ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ขอบคุณข้อมูลสาระจาก : หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ สุขภาพดี คุณมีได้

แอพเพิลเกต, ลิซ. 101 อาหารรักษาหัวใจ.–กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2547. 342 หน้า. 1. อาหารเพื่อสุขภาพ. 2.โภชนบำบัด. I.จงจิต อรรถยุกติ, ผู้แปล. II.ชื่อเรื่อง. 641.56311 ISBN 974-00-8692-6.

คุณประโยชน์ของ ถั่วแดงหลวง ( Kidney Bean )

0
ถั่วแดง
ถั่วแดงมีโปรตีนที่เป็นแหล่งพลังงาน มีปริมาณไขมันอิ่มตัวหรือไขมันเลวน้อยเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญของร่างกาย
ถั่วแดง
เมล็ดสีแดง มีโปรตีนที่เป็นแหล่งพลังงาน มีปริมาณไขมันอิ่มตัวหรือไขมันเลวน้อยเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญของร่างกาย

ถั่วแดง หรือถั่วแดงหลวง

ถั่วแดง หรือถั่วแดงหลวง ( Kidney Bean ) คือถั่วที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะมีจำหน่ายอยู่มากตามท้องตลาด มีการนำมาปรุงเป็นอาหารทั้งคาวและหวานให้รับประทานกัน มีทางวิทยาศาสตร์ว่า Phasecolus Vulgaris L. เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ Fabaceae หรือ Leguminosae เป็นพืชที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วลิสง ถั่วฝักยาวและถั่วพู มีชื่อสามัญว่า Kidney Bean ที่หมายถึงถั่วรูปไตที่เรียกเช่นนั้นก็เพราะว่าเมล็ดของถั่วมีลักษณะคล้ายกับไต ในประเทศไทยได้นำเข้ามาปลูกในสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ต้องการให้ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่น แต่ต้องมีการนำพืชทดแทนมาปลูกเพื่อสร้างรายได้ให้กับชาวเขาด้วย ดังนั้นหม่อมเจ้าภีศเดช รัศนี ที่ดำเนินตามเสด็จไปในครานั้นด้วยได้มีการเสนอให้ปลูก Red Kidney Bean เป็นพืชทดแทนฝิ่นของชาวเขาในปี พ.ศ.2512 ซึ่งในตอนแรกได้มีการสั่งซื้อเมล็ดพันธุ์มาจากแคลิฟอร์เนียเพื่อทำการทดลองปลูกเพื่อเป็นพืชทดแทน เมื่อทดลองปลูกปรากฏว่าได้ผลผลิตดีมาก และมีการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการเป็นภาษาไทยว่า “ ถั่วแดงหลวง ” มาจากถั่วที่เป็นสีแดงและมีเมล็ดขนาดใหญ่ คำว่าหลวงในภาษาเหนือแปลว่าใหญ่ แต่ชาวบ้านทั่วไปมักเรียกสั้นๆ ว่า “ ถั่วแดง ”

ปัจจุบันนี้เป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งของประเทศไทย โดยมีการส่งออกไปยังต่างประเทศนำเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศปีละหลายล้านบาทเลยที่เดียว โดยเฉพาะที่ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จะมีการสั่งซื้อมากที่สุด เพื่อนไปผลิตเป็นไส้ขนมและอาหารรับประทานกัน การปลูกนอกจากจะปลูกเพียงอย่างเดียวแล้ว ยังสามารรถปลูกแซมหรือปลูกสลับกับพืชหมุนเวียนชนิดอื่น เช่น อ้อย ข้าวโพด เป็นต้น นอกจากจะมีรายได้เพิ่มจากการขายแล้ว ยังเป็นการบำรุงให้อุดมสมบูรณ์ด้วย มีสารไนโตรเจนที่สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินเป็นจำนวนมาก

ถั่วแดง หรือถั่วแดงหลวง มีโปรตีนที่เป็นแหล่งพลังงาน มีปริมาณไขมันอิ่มตัวหรือไขมันเลวน้อยเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญของร่างกาย

ประโยชน์ของ ถั่วแดง หรือถั่วแดงหลวง

นอกจากสารไนโตรเจนที่มีประโยชน์กับดิน ถั่วแดง หรือถั่วแดงหลวง เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสำหรับคนอีกด้วย มีทั้งวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย คือ โปรตีน ที่ได้มีคุณค่าเหมือนกับโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ เหมาะสำหรับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติใช้เป็นแล่งโปรตีนทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ หรือเป็นแหล่งโปรตีนเสริมสำหรับผู้ที่รับประทานเนื้อยู่แล้วก็ได้เช่นเดียวกัน

ถั่วแดง หรือถั่วแดงหลวง ช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วยเพราะมีโปรตีนที่เป็นแหล่งพลังงานกับร่างกายแต่มีปริมาณไขมันอิ่มตัวหรือไขมันชนิดที่เป็นโทษต่อร่างกายน้อยมากเมื่อเทียบกับโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญของร่างกายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้มีการเผาผลาญไขมันที่ได้รับเข้าไปและดึงไขมันที่สะสมตามส่วนต่างของร่างกายออกมา และมีเส้นใยที่มีคุณสมบัติพิเศษคือช่วยดูดซับน้ำได้มาก มีอัตราการพองตัวสูง เมื่อร่างกายได้รับเข้าไปเส้นใยจะเข้าไปเส้นใยจะพองตัวขึ้น ทำให้น้ำย่อยทำงานได้ช้าลงเป็นผลให้การดูดซึมสารอาหารเกิดขึ้นได้ช้าลงอีกด้วย ทำให้เรารู้สึกอิ่มนานขึ้น ลดการทานขนมกินเล่นหรือการทานจุบจิบระหว่างมื้ออาหาร จึงทำให้น้ำหนักตัวจึงลดลงเมื่อรับประทานถั่งแดงเป็นประจำ ต่างจากรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีแต่โปรตีนและมีเส้นใยในปริมาณที่น้อยมาก ดังนั้นเมื่อรับประทานเนื้อสัตว์จะถูกย่อยได้อย่างรวดเร็วทำให้รู้สึกหิวเร็วขึ้น เส้นใยยังช่วงล้างสารพิษไม่ให้ตกค้างอยู่ในร่างกาย ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ ป้องกันอาการท้องผูกที่เป็นสาเหตุต้นๆของเกิดโรคมะเร็งที่เกี่ยวกับระบบขับถ่ายและลำไส้

โฟเลตและวิตามินบี ที่มีประโยชน์ต่อสตรีที่กำลังตั้งครรภ์อย่างมาก เพราะช่วยเสริมสร้างกระบวนมนการสร้างเซลล์สมองและประสาท ลดความเสี่ยงของสตรีในคลอดบุตรก่อนกำหนด ช่วยให้ทารกในมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ทั้งอวัยวะและสมอง

ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาทของทารก ทำให้เด็กมีน้ำหนักตามเกณฑ์และมีไอคิวเป็นปกติ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ

ธาตุเหล็กยังช่วยปรับสภาพเลือดให้แข็งแรง ลดอาการอ่อนเพลีย สมองสั่งงานช้าที่มีสาเหตุจากความเข้มข้นของเลือดน้อยหรือเลือดจาง

แคลเซียม เมื่อรับประทาน ถั่วแดง หรือถั่วแดงหลวง ต่อเนื่องแล้ว ร่างกายจะมีกระดูกและฟันที่แข็งแรง เนื่องจากแคลเซียมเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างกระดูกแลฟัน เมื่อร่างกายได้รับในปริมาณที่เพียงพอจะป้องกันการเสื่อมของข้อกับกระดูกและโรคกระดูกพรุน โดยเฉพาะโรคมะเร็งกระดูกและยังช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ สำหรับสตรีวัยหมดประจำเดือนแคลเซียมยังลดอาการวัยทอง สำหรับสตรีที่มีปัญหาเกี่ยวกับมดลูก มีอาการปวดบริเวณท้องน้อย ชิงกราน แนะนำให้นำถั่วแห้งครึ่งกิโลกรัมห่อด้วยผ้าขาวหรือใส่ในถุงผ้า มัดปากให้สนิทด้วยเชือกที่ทนความร้อน ทำการมัดคล้ายกับลูกประคบก็ได้ นำเข้าไปอบด้วยเตาอบหรือเตาไมโครเวฟ ทำการอบด้วยไฟปานกลางเป็นเวลา 3-4 นาที นำถุงที่อบแล้วมาประคบบริเวณท้องน้อยจะช่วยลดอาการอักเสบ ลดการคั่งของเลือดภายใน ลดอาการปวดบวมได้เป็นอย่างดี

ถั่วแดง หรือถั่วแดงหลวง นั้นเราสามารถนำมาประกอบเป็นอาหารได้ทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน โดยเฉพาะอาหารหวานจะนิยมเป็นพิเศษ เนื่องจากเมื่อนำมาทำอาหารหวานแล้วรสชาติจะเป็นเอกลักษณ์น่ารับประทานอย่างยิ่ง เช่น ทำเป็นไส้ขนมปัง เค้ก ขนมโดริยากิ วุ้นถั่วแดงกวน เป็นต้น และยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นวัตถุดิบสำหรับทำอาหารได้ด้วย เช่น แป้งที่ทำจากถั่วแดง เป็นต้น

ถั่วแดง หรือถั่วแดงหลวง ในประเทศไทยหาซื้อได้ทั่วไป สำหรับใครที่ยังนึกไม่ออกว่าเมนูอาหารหวานวันนี้จะทำอะไรรับประทานดี ก็ให้นึกถึงเมนูที่มีรสชาติอร่อยและยังอุดมไปด้วยสารอาหารอีกมากมาย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“Raw Kidney Beans”. Home Food Preservation (Penn State Extension).

“Cooking safely with slow cookers and crock pots”. foodsmart.govt.nz.

“Be Careful With Red Kidney Beans in The Slow Cooker”. Mother Earth News.

ประโยชน์ของพริกระฆังหรือพริกหวาน ( Bell Pepers )

0
ประโยชน์ของพริกระฆังหรือพริกหวาน (Bell Pepers)
พริกระฆังหรือพริกหวาน มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมได้ด้วยสารวิตามินซี แคโรทีน ลูทีอิน และแซนธิน มีสารต้านอนุมูลอิสระ
พริกระฆัง หรือพริกหวาน
พริกระฆังหรือพริกหวาน มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมได้ด้วยสารวิตามินซี แคโรทีน ลูทีอิน และแซนธิน มีสารต้านอนุมูลอิสระ

พริกหวาน หรือพริกระฆัง คือ

พริกหวาน หรือพริกระฆัง ( Bell Pepers ) คือ พริกที่มีรูปร่างเหมือนระฆัง มีหลายสีมาก เช่น สีเหลือง สีเขียว สีส้ม สีแดงและสีม่วง คนไทยมักนำมาประดับหรือใส่ในจานอาหารเพื่อเพิ่มสีสันให้กับอาหาร สีสันของอาหารเป็นตัวกระตุ้นช่วยให้เจริญอาหารมากขึ้น เมนูที่เราพบบ่อยคือ ผัดผักใส่พริกหวาน สลัดผักใส่พริกหวาน ผัดเปรี้ยวหวาน พริกหวานชุปแป้งทอด พริกหวานยัดไส้หมูนึ่ง พริกหวานเป็นพริกที่มีรสหวาน เผ็ดน้อยหรือบางลูกไม่มีรสเผ็ดแม้แต่น้อย จึงได้ชื่อว่าพริกหวาน

ลักษณะของพริกหวาน หรือพริกระฆัง

พริกหวาน หรือพริกระฆัง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Capsicum Annum L. มีชื่อสามัญว่า Bell Peper, Sweet Peper, Capsicum เป็นพืชในวงศ์มะเขือเทศ ( Solanaceae ) คนไทยรู้จักกันในชื่อ พริกยักษ์, พริกระฆัง และพริกตุ้มใหญ่ จัดเป็นพืชข้ามปีคือมีอายุหลายปีแต่ว่านิยมปลูกเป็นพืชฤดูเดียวมากกว่าเพราะผลผลิตในปีแรกจะให้ผลิตสูงที่สุด แต่ในปีต่อไปปริมาณผลผลิตจะน้อยลงจึงนิยมปลูกแค่ปีเดียวเท่านั้น ลำต้นมีความสูงประมาณ 0.5-1.5 เมตร รากมีความลึกในแนวดิ่งประมาณ 90-120 เซนติเมตร แผ่วงกว้างรอบโคนต้นประมาณ 90 เซนติเมตร รากเจริญเติบโตและหนาแน่นมาที่ความลึก 50-60 เซนติเมตร ลำต้นช่วงแรกจะตั้งตรงเป็นต้นเดี่ยว เมื่อออกช่อดอกบริเวณยอดจะมีการแตกแขนงไปเรื่อย ๆ จนมีกิ่งเป็นจำนวนมาก ยิ่งกิ่งมีเป็นจำนวนมากจำนวนผลผลิตก็จะสูงตามไปด้วย กิ่งแก่นั้นเปราะหักง่าย มีใบเดี่ยวออกตามกิ่งและลำต้น ออกสลับกันจนถึงยอด ดอกมีสีขาวและสีม่วง ดอกเป็นดอกเดี่ยวคือในหนึ่งก้านจะมีเพียงดอกเดียวเท่านั้นไม่ออกดอกเป็นช่อ ดอกพริกหวานจัดเป็นดอกสมบูรณ์เพศ คือมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน สมารถผสมพันธุ์ในดอกหรือนอกดอกก็ได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีพริกหวานสายพันธุ์ผสมข้ามสายพันธุ์เกิดขึ้นอยู่เสมอ ดอกมี 5 กลีบมีเกสรอยู่ตรงกลางของกลีบ เกสรตัวเมียมี 1 อยู่ตรงกลางส่วนเกสรตัวผู้เป็นเกสรย่อยอยู่รอบ ๆ เกสรตัวเมีย ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตในพื้นที่ความชื้นน้อย อากาศอบอุ่นและมีอุณหภูมิยู่ที่ 20-25 องศาเซลเซียส เม็ดสีคลลอโรฟิลล์เป็นที่มาของสีเขียวในพริกหวาน เม็ดสีแอนโธไซยานินจะทำให้พริกหวานมีสีม่วง เม็ดสีแคโรทีนอยด์ทำให้พริกหวานเป็นสีเหลือง สีส้มและสีแดง ส่วนการผสมของเม็ดสีคลอโรฟิลล์ ไลโคปีนและเบต้าแคโรทีนจะทำให้พริกหวานมีสีน้ำตาล ผลพริกหวานที่ทั้งรูปทรงเรียวและทรงคล้ายระฆังขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ พริกหวานที่มีรูปทรงเรียวยาวจะมีรสเผ็ดมากกว่าที่มีรูปทรงคล้ายระฆัง

พริกหวาน หรือพริกระฆัง ประโยชน์

ด้วยความที่พริกชนิดนี้มีหลายสีมาก พริกหวาน หรือพริกระฆัง จึงเป็นพริกที่อุดมได้ด้วยสารวิตามินซี แคโรทีน ลูทีอิน ( Lutenin ) และแซนธิน ( Zeaxanthin ) ที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดชนิดหนึ่ง ยิ่งพริกมีสีเข้มมากเท่าใดก็จะมีสารอาหารมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะพริกหวานสีเขียวที่เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวนั้น นั่นคือ พริกหวานเขียวจะมีวิตามินซีมากเกินความต้องการของร่างกาย 140% แต่รู้หรือไม่ว่าถ้าพริกหวานเขียวสุกเปลี่ยนเป็นสีแดง ปริมาณวิตามินซีจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าหรือ 280% เลยที่เดียว และปริมาณแคโรทีน ซีอะแซนและลูทีอินก็จะเพิ่มขึ้นอีก 9 เท่าตัว ซึ่งสารนี้เป็นสารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระไม่ให้ทำปฏิกิริยากับไขมันเลว (LDL) ที่อยู่ในร่างกายเกิดเป็นสารที่มีพิษต่อหลอดเลือดและหัวใจ ป้องกันการเกิดโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดอักเสบ ไขมันอุดตันในเสส้นเลือดและโรคหัวใจ   

นอกจากนี้ พริกหวาน หรือพริกระฆัง ยังมีสารที่ให้ความเผ็ดที่เรียกว่า ( Capsaicin ) ถึงแม้ว่าจะมีในปริมาณที่น้อยกว่าพริกขี้หนูจึงไม่มีรสเผ็ดเหมือนพริกขี้หนู สารนี้จะช่วยให้ร่างกายเจริญอาหารสำหรับผู้ที่รู้สึกเบื่ออาหาร ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคขาดสารอาหาร ช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจให้ทำงานได้เป็นปกติ ช่วยให้ต่อมน้ำลายทำงานได้ดีและสาร  ( Capsaicin ) จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างสารแห่งความสุข ( Endorphins ) ช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ลดความดันโลหิต ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้เป็นปกติ เพราะว่าสาร ( Capsaicin ) ให้เลือดอ่อนตัวทำให้เคลื่อนตัวได้ดีขึ้น ลดการแข็งตัวของเลือดที่และยังช่วยขับสารพิษในร่างกายออกมาทางเหงื่อ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้

พริกหวาน หรือพริกระฆัง เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเป็นผักที่ควรสามารถรับประทานได้แบบสดและแบบปรุงสุกแล้ว การทานทั้ง 2 แบบจะให้คุณค่าทางโภชนาการไม่ต่างกันเท่าใดนัก สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าจะรับประทานพริกหวานอย่างไรดี ลองนำพริกหวานไปทำสลัดแบบของเราดูสิ รับรองว่าอร่อยและได้คุณค่าเต็ม ๆ

เมนูสลัด พริกหวาน หรือพริกระฆัง 

เมนูแนะนำสลัด 5 สี
ส่วนผสมสลัด 5 สี
1 พริกหวานสีแดง สีเหลือง สีเขียว สีส้ม อย่างละ ¼ ผล
2 กะหล่ำปีม่วง 1 ถ้วยตวง
3 หัวหอมแดง ½ หัว
4 แอปเปิ้ลแดงหรือเขียว 1 ผล
5 น้ำส้ม 2 ช้อนโต๊ะ (ควรเลือกชนิดที่มีกลิ่นหอมจะช่วยเพิ่มความน่าทานให้กับสลัด)
6 น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ

ขั้นตอนการทำสลัด 5 สี 

1.นำ พริกหวาน หรือพริกระฆังเตรียมไว้มาล้างให้สะอาด นำมาหั่นเป็นชิ้นบางๆตามแนวยาวหรือจะหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าก็ได้ตามชอบ
2.หั่นหัวหอมแดง กะหล่ำปีเป็นชิ้น ๆ ขนาดตามชอบใจ
3.นำผักทั้งหมดมาคลุกเล้าให้เข้ากัน และเติมน้ำส้มกับน้ำมันมะกอกเข้าไปด้วย
4.นำแช่เย็นประมาณ 30-60 นาที ก่อนเสิร์ฟให้หั่นแอปเปิ้ลเป็นชิ้นบางๆ วางไว้ด้านบนด้วย เพียงเท่านี้สลัด 5 สีก็พร้อมเสิร์ฟแล้ว ปริมาณสลัดทำได้ สามารถเสิร์ฟได้ 4 จานด้วยกัน

สลัด 5 สี สามารถทานเป็นอาหารจานหลักหรือออร์เดิร์ฟเพื่อเรียกน้ำย่อยก็ได้ หรือจะใช้เป็นเครื่องเคียงทานกับเนื้อสัตว์ก็อร่อยไม่แพ้กัน นอกจากรสชาติที่อร่อยแล้ว สลัด 5 สียังมีสารอาหารทางโภชนาการดังนี้

ข้อมูลทางโภชนาการ
สลัด 5 สี   (คำนวณจากปริมาณ 1 จาน)
                                                                                         ปริมาณสารอาหารในแต่ละจาน
พลังงานทั้งหมด                                                                                80   แคลอรี่
พลังงานจากไขมัน                                                                             33   แคลอรี่
%คุณค่าสารอาหารต่อวัน
ไขมันรวม                                   4 กรัม                     9%
ไขมันอิ่มตัว                             < 1 กรัม                     6%
คอเลสเตอรอล                             0 มิลลิกรัม               0%
โซเดียม                                    5 มิลลิกรัม                0%
คาร์โบไฮเดรตรวม                       13 กรัม                     4%
เส้นใยอาหาร                               2 กรัม                   10%
โปรตีน                                      1 กรัม
วิตามิน เอ    0%           วิตามิน ซี    100%            แคลเซียม    7%             ธาตุเหล็ก    2%

พริกหวาน หรือพริกระฆัง เป็นพริกที่มีรสหวานทานง่าย นำมาปรุงอาหารแล้วสีสันก็ยังคงสวยงามน่ารับประทาน และยังคุณค่าทางอาหารอีกมากมาย เวลาที่ปรุงอาหารเราควรหาพริกหวานมาปรุงด้วยเพื่อที่จะได้รับสารอาหารที่ร่างกายต้องการเพิ่มมากขึ้น พริกหวานหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด วันนี้คุณทานพริกหวานกันแล้วหรือยัง?

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“Species records of Capsicum”. Germplasm Resources Information Network. United States Department of Agriculture. Retrieved 2010-06-23.

Capsicum L”. Germplasm Resources Information Network. United States Department of Agriculture. 1 September 2009. Retrieved 2010-02-01.

สรรพคุณของถั่วแขก ( String Bean )

0
สรรพคุณของถั่วแขก (String Bean)
ถั่วแขกเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสูง นิยมรับประทานทั้งสด และแห้ง
ถั่วแขกเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสูง นิยมรับประทานทั้งสด และแห้ง
ถั่วแขกเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสูง นิยมรับประทานทั้งสด และแห้ง

ถั่วแขก ( String bean ) คือ

ถั่วแขก ( String bean ) คือ ถั่วที่สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย เป็นอาหารที่หลายคนชื่นชอบ ถั่วสามารถนำมาแปรรูปเป็นอาหารได้หลากหลาย ถั่วมีอยู่หลายชนิดที่นิยมรับประทานกัน เช่น ถั่วฝักยาว ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแดง และถั่วแขก เป็นต้น ถั่วแขก เป็นที่มีรสชาติหวานกรอบ ฝักมีลักษณะกลมหรือกลมแบนคล้ายกับถั่วฝักถั่วเขียวแต่ว่ามีขนาดยาวกว่า มีสีเขียวหรือสีเหลืองเขียว นิยมนำมารับประทานแบบสดจิ้มน้ำพริก นำมาประกอบอาหารทั้งผัดกับผักหรือผัดกับเนื้อสัตว์ และยังมีการไปแปรรูปเป็นอาหารสำเร็จรูปทั้งที่คงรูปแบบเดิมและแปรรูปเป็นผงอีกด้วย เช่น ถั่วอบแห้ง ถั่วกระป๋อง ผงถั่วเหลือง เป็นต้น หรือนำไปสกัดสารนำไปผลิตอาหารเสริมชนิดบรรจุเม็ดพร้อมรับประทาน 

ถั่วแขก เป็นพืชที่อยู่ในตระกูลถั่ว มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Phaseolus Valgaris L. มีชื่อทางสามัญว่า ( Snap Bean, Fresh Bean, French Bean, String Bean, Garden Bean ) ส่วนคนไทยจะรู้จักถั่วแขกในชื่อ ถั่วแขกพุ่ม ถั่วฝรั่ง ถั่วฝรั่งเศส ถั่วบุ้ง ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ซึ่งชื่อเรียกถั่วแขกนั้นมาจากลักษณะของฝักถั่วที่มีลักษณะคล้ายหนอนบุ้ง การที่นิยมบริโภคถั่วแขกก็เพราะว่าในถั่วนี้มีสารอาหารอยู่มาก สารอาหารที่มีอยู่คือ โปรตีน วิตามินซี แคลเซียมและธาตุเหล็ก วิตามินซีในถั่วแขกมีสรรพคุณที่เข้าไปช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุน

ถั่วแขก มีต้นกำเนิดมาจากทางตอนใต้ของประเทศแม็กซิโก และได้มีการนำมาปลูกในประเทศอเมริกากลาง อังกฤษและส่งต่อมายังประเทศแทบยุโรปเรื่อยมา และเมื่อทางยุโรปได้เดินทางเข้ามาสู่ประเทศเขตร้อนชี้นและประเทศในเขตอบอุ่นก็ได้นำเมส็ดพันธุ์ของถั่วแขกเข้ามาด้วย ทำให้ถั่วแขกเป็นที่รู้จักตั้งแต่นั้นมา การที่ถั่วแขกเป็นที่รู้จักกันดีก็เพราะว่าเป็นถั่วที่มีประโยชน์ รสชาติอร่อยและเมื่อนำมาปลูกในพี้นที่เขตร้อนชื้นแล้วให้ผลผลิตดี เนื่องจากการปลูกถั่วแขกนั้นปลูกได้ดีในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิ 20-25 องศาเซลเซียส ชอบขึ้นในดินร่วนซุ่ยหรือดินปนทรายที่ระบายน้ำและอากาศได้ดี มีแสงแดดส่องตลอดทั้งวันไม่ชอบที่น้ำขังดินชื้นแฉะหรือมีฝนตกชุก เพราะจะทำให้ลำต้นเน่า ดอกไม่ติดผล

สายพันธุ์ของถั่วแขก

ถั่วแขก จัดเป็นพืชล้มลุกที่มีอายุตั้งแต่ 2 -3 ปี มีอยุ่ด้วยกัน 3 สายพันธุ์

1.ถั่วแขกพันธุ์พุ่ม ถั่วแขกพันธุ์นี้ลำต้นจะมีลักษณะเป็นพุ่มสูงจากพื้นดินประมาณ 25-30 เซนติเมตร ลำต้นมีลักษณะเป็นข้อสั้นๆต่อกันตั้งแต่ 4-8 ข้อต่อหนึ่งต้น

2.ถั่วแขกพันธุ์เลื้อย สายพันธุ์นี้จะมีลักษณะลำต้นคล้ายถั่วฝักยาว คือ เมื่อปลูกต้องทำราวหรือค้างเป็นหลักเพื่อให้ต้นถั่วเลื้อยเกาะ ลำต้นของสายพันธุ์นี้จะมีความยาวประมาณ 1.8 – 3 เมตร

3.ถั่วแขกพันธุ์กึ่งเลื้อย ลำต้นของสายพันธุ์นี้จะมีความสูงมากกว่าสายพันธุ์พุ่ม มีความสูงประมาณ 60-120 เซนติเมตร แต่ไม่ยาวเหมือนสายพันธุ์เลื้อย ิ

ใบของถั่วแขก จะยื่นออกมาจากข้อต่อของลำต้น โดยส่วนปลายก้านจะมีใบย่อยแยกออกเป็น 3 ใบ ลักษณะของใบบริเวณโคนใบมีขนาดกว้างและลดขนาดใบลงเรื่อยจนถึงปลายใบแหลม เนื้อใบและขอบใบเรียบไม่มีรอยยัก บนใบมีขนขนาดเล็กอยู่ทั้งด้านบนและด้านล่าง ด้านบนของใบมีสีเขียวเข้ม ด้านล่างมีสีเขียวอ่อน
ดอกของถั่วแขก จะมีการออกดอกเป็นช่อ ช่อดอกจะยื่นออกมาจากซอกใบที่บริเวณปลายยอดของใบ ในหนึ่งช่อจะออกดอกตั้งแต่โคนช่อจนถึงปลายช่อ ดอกของถั่วจำนวน 5 กลีบต่อหนึ่งดอก สีของดอกมีหลายสีเหลือง สีชมพู และสีขาวขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของถั่ว โคนหรือฐานดอกมีกลีบเลี้ยงีเขียวอยู่โดยรอบฐาน การบานของดอกจะเริ่มบานจากดอกด้านล่างที่ใกล้โคนช่อมากที่สุดเรื่อยมาจนมาถึงดอกที่อยู่ด้านบนสุดของช่อดอก ดอกจะมีอายุอยู่ปราะมาณ 2-3 วันดอกถั่วแขกเป็นดอกประเภทสมบูรณ์เพศ คือ มีเกสรตัวผูและเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกันด้วยเหตุนี้ทำให้อัตราการติดฝักของดอกสูงหรือมีการติดฝักทุกดอกที่ออกมาก็ว่าได้
ผลของถั่วแขก เราเรียกว่าฝัก ฝักถัวแขกมีลักษณะคล้ายฝักของถั่วเขียวแต่ว่ามีขนาดที่ใหญ่กว่าและยาวกว่า นั่นคือมีฝักมีความกว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ฝักมีความยาวประมาณ 8-20 เซนติเมตร ฝักอ่อนมีสีเขียวเมื่อแก่ฝักจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน เมล็ดภายในฝักจะเรียงเมล็ดตามแนวยาวของฝัก ซี่งหนึ่งฝักจะมีเมล็ดภายในประมาณ 5-8 เมล็ดของถั่วแขก ขนาดของเมล็ดจะมีขนาดไล่เลี่ยกันโดยมีน้ำหนักประมาณ 0.2-0.6 กรัมต่อเมล็ด เมล็ดจะมีรูปร่างคล้ายไตมีสีดำ สีขาว สีเหลืองครีม สีชมพู สีเขียว สีแดงม่วงและสีน้ำตาลขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของถั่วแขกที่ทำการปลูก

ประโยชน์และการนำไปใช้ของถั่วแขก

ถั่วแขก นำมาประกอบอาหารได้ทั้งอาหารคาว เช่น ผัดถั่วน้ำมันหอย ซุปถั่ว ผัดกับหมู เป็นต้น และอาหารหวานหรือนำไปผสมในขนมหวาน หรือนำมาแปรรูปเป็นอาหารกระป๋องสำเร็จรูปพร้อมรับประทานทั้งแบบที่เป็นเม็ดและแบบที่เป็นผง เช่น ซุปถั่วในกระป๋อง ถั่วแขกผสมคอลลาเจน ผงถั่วแขกพร้อมชง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการนำไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตวุ้นเส้นอีกด้วย ถั่วแขกนี้เป็นอาหารที่คนรับประทานได้สัตว์รับประทานดี เพราะว่าถั่วมีทั้งโปรตีนและไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงได้มีการนำถั่วแขกไปเป็นส่วนผสมในการผลิตอาหารสัตว์เพื่อใช้ในการเลี้ยงสัตว์อีกด้วย ส่วนลำต้นที่เหลือจากการเก็บผลผลิตแล้วเราก็ไถ่กลบเพื่อให้ต้นถั่วกลายเป็นปุ๋ยในดิน ต้นถั่วนี้อุดมไปด้วยไนโตรเจนและฟอสฟอรัสที่เป็นธาตุอาหารจำเป็นสำหรับพืช

ถั่วเป็นอาหารที่อุดมได้ด้วยโปรตีนและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ในประเทศไทยมีการปลูกถั่วหลายชนิด จึงทำให้คนไทยรู้จักนำถั่วมาดัดแปรงปรุงเป็นอาหารทั้งอาหารคาวและอาหารหวานเป็นที่ชื่นชอบของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่ได้ลิ้มชิมรสกัน เช่น ถั่วแดงต้มน้ำตาล ข้าวเหนียวถั่วดำ ถั่วเขียวกวน เป็นต้น ถั่วมีทั้งที่เป็นถั่วราคาถูกหาซื้อได้ง่ายและถั่วราคาแพงที่มีจำหน่ายในบางพื้นที่เท่านั้น ถั่วแขก ก็เป็นหนึ่งในถั่วที่มีสารอาหารเป็นจำนวนมากไม่แพ้ถั่วชนิดอื่นๆ และเป็นถั่วที่นำมาปรุงอาหารรับปะทานได้อย่างอร่อยด้วย วันนี้คุณกินถั่วแขกแล้วหรือยัง?

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“Green Beans”. The World’s Healthiest Foods. Retrieved March 2, 2017.

“Beans – Vegetable Directory – Watch Your Garden Grow – University of Illinois Extension”.

“Growing beans in Minnesota home gardens”. University of Minnesota Agricultural Extension. Retrieved 20 September 2016.

เกลือไอโอดีน ประโยชน์มหาศาล ( Iodine ) 

0
หน้าที่และประโยชน์ของไอโอดิน (Iodine)
ไอโอดีน คือ แร่ธาตุที่ร่างกายของเราไม่ต้องการมากนัก พบในสัตว์ทะเล เช่นหอย ปลาหมึก และเกลือสมุทร
หน้าที่และประโยชน์ของไอโอดิน (Iodine)
ไอโอดีน คือ แร่ธาตุที่ร่างกายของเราไม่ต้องการมากนัก พบในสัตว์ทะเล เช่นหอย ปลาหมึก และเกลือสมุทร

เกลือไอโอดีน

ไอโอดีน ( Iodine ) คือ แร่ธาตุที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ ซึ่งช่วยควบคุมระบบเผาผลาญอาหารในร่างกาย แต่ร่างกายของเราไม่ได้มีความต้องการมากนัก และเมื่อร่างกายได้รับไอโอดีนก็จะเปลี่ยนให้เป็นไอโอไดด์  โดยร่างกายของเราจะมีไอโอดีนอยู่ประมาณ 25 มิลลิกรัม หรือคิดเป็นร้อยละ 0.0004 ของน้ำหนักตัว ซึ่งครึ่งหนึ่งจะถูกเก็บไว้ที่ต่อมธัยรอยด์ อีกส่วนหนึ่งจะอยู่ตามกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง ขุมขน ต่อม น้ำลาย ระบบทางเดินอาหาร และกระดูก ส่วนในกระแสเลือดจะมีไอโอดีอยู่ค่อนข้างที่จะน้อยมาก

หน้าที่ของไอโอดีนคืออะไร?

1. ช่วยในการทำงานและการเจริญเติบโตของต่อมธัยรอยด์ และเป็นส่วนหนึ่งของฮอร์โมนไทรอกชิน ( Thyroxine ) ซึ่งต่อม ธัยรอยด์ผลิตขึ้น โดยมีหน้าที่ก็คือควบคุมอัตราเมแทบอลิซึมภายในร่างกาย ต่อมธัยรอยด์เป็นส่วนหนึ่งในร่างกายที่มีความสำคัญต่อสภาพจิตใจ ผม ผิวหนัง เล็บ และฟัน การเปลี่ยนแคโรทีนให้เป็นวิตามินเอ การสังเคราะห์โปรตีน โดยไรโบโซมรวมทั้งการดูดซึมน้ำตาลจากลำไส้เล็ก ซึ่งหากฮอร์โมนไทรอกชินถูกผลิตออกมาตามปกติ การทำงานของสิ่งต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาแล้วก็จะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

2. ช่วยให้สมองเกิดความตื่นตัวและมีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะหลังตื่นนอน

3. ช่วยให้การผลิตพลังงานของร่างกายเป็นไปตามปกติ จึงทำให้ร่างกายมีพลังงานอย่างเพียงพอ

4. ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกายและช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ลดความเสี่ยงโรคอ้วนหรือไขมันอุดตัน

5. ช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6. ช่วยให้แคลเซียมและฟอสฟอรัสเคลื่อนย้ายจากกระดูกให้มากขึ้น

7. ช่วยในการขับถ่ายปัสสาวะและควบคุมการกระจายของน้ำตามอวัยวะต่างๆ

8. ช่วยกระตุ้นในการหลั่งน้ำนมทำให้มีน้ำนมหลั่งออกมามากขึ้น

การดูดซึมและการเก็บไอโอดีนของร่างกาย

เกลือไอโอดีน ระบบทางเดินอาหารของร่างกายจะสามารถดูดซึมไอโอดีนที่มีอยู่ในอาหารหรือน้ำได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนให้เป็นเกลืออนินทรีย์ของไอโอดีน (Iodine) หรือ ไอโอไดด์ และไอไอไดด์ก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่ต่อมธัยรอยด์ผ่านทางกระแสเลือด ซึ่งหากมีมากเกินไปก็จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะภายใน 1 – 2 วัน หลังจากเข้าสู่ต่อมธัยรอยด์ ไอไอไดด์ก็จะเปลี่ยนไปเป็นไอโอดีนแล้วไปร่วมมือกับไทโรซีน สร้างเป็นไดไอโอโดไทโรซีน ( Diiodotyrosine ) และไตรไอโอโดไทโรนีน ( Triiodothyronine ) และไทรอกซิน ( Thyroxine ) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่มีไอโอดีนอยู่ จากนั้นไทรอกซินจะร่วมกับโกลบูลินกลายเป็นไทโรโกลบูลิน ( Thyroglobulin ) ซึ่งจะถูกเก็บไว้ในต่อมธัยรอยด์ ต่อมพิทูอิทารีเป็นอีกต่อมหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้ต่อม ธัยรอยด์สร้างไทรอกซินเพิ่มขึ้นได้ โดยอาศัยฮอร์โมนที่ชื่อไทโรโทรฟิน ( Thyrotrophin ) ซึ่งหากร่างกายได้รับไทรอกซินเพียงพอแล้ว ไทรอกซินก็จะไปทำให้ต่อมพิทูอิทารีหยุดสร้างไทโรโทรฟินลง ทั้งฮอร์โมนไทรอกซินและฮอร์โมนไทโรโทรฟิน จึงมีผลในการเพิ่มหรือลดซึ่งกันและกันนั่นเอง

แหล่งอาหารที่พบไอโอดีน

สำหรับแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยไอโอดีน เกลือไอโอดีน ก็คือสาหร่ายทะเลที่เรียกกันว่า เคลพ์ ( Kelp ) ส่วนสัตว์ทะเลจะมีไอโอดีนอยู่ประมาณ 200 – 1,000 ไมโครกรัม/กิโลกรัม ไอโอดีนในเนื้อสัตว์จะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับอาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์ เช่นเดียวกันกับไอโอดีนในพืชซึ่งก็ขึ้นอยู่กับดินที่ใช้ปลูกพืชนั้นๆ ว่าเป็นดินชนิดไหน ในเกลือสมุทรจะมีไอโอดีนมากกว่าเกลือสินเธาว์ และแหล่งอาหารอีกแหล่งหนึ่งที่ให้ไอโอดีนก็คือเกลือที่เติมไอโอดีน ( Iodized Salt ) โดยใช้สารโซเดียมไอโอไดด์ หรือโปแตสเซียม ไอโอไดด์ ในความเข้มข้นร้อยละ 0.005 – 0.01

ปริมาณไอโอดีนอ้างอิงที่ควรได้ต่อวันสำหรับคนไทยในแต่ละวัย
เพศ อายุ ปริมาณ หน่วย
เด็ก 1-5 ปี 90 ไมโครกรัม/วัน
เด็ก 6-8 ปี 120 ไมโครกรัม/วัน
วัยรุ่น 9-12 ปี 120 ไมโครกรัม/วัน
13-18 ปี 150 ไมโครกรัม/วัน
ผู้ใหญ่ 19-≥ 71 ปี 150 ไมโครกรัม/วัน
ผู้หญิงตั้งครรภ์ ควรได้รับเพิ่มอีก 50 ไมโครกรัม/วัน
ผู้หญิงให้นมบุตร ควรได้รับเพิ่มอีก 50 ไมโครกรัม/วัน

ผลของการขาดไอโอดีนในเด็ก

เด็กที่ขาดเกลือไอโอดีนจะส่งผลให้เด็กมีอาการครีตินนิซึม ( Cretinism ) คือเด็กที่เกิดมาจะมีร่างกายเตี้ยแคระและสมองไม่มีการพัฒนา

หากในระยะตั้งครรภ์แม่บริโภคไอโอดีนน้อย หรือไม่พอเพียงแก่ความต้องการ โดนจะมีอาการปรากฏให้เห็นในหลาย ๆ แบบไม่ว่าจะเป็น หูหนวก เป็นใบ้ ตาเหล่ มีกล้ามเนื้อหย่อนยานและอ่อนแอ ผิวหนังแห้ง รูปร่างสั้นเตี้ย ซึ่งก็เป็นเพราะกระดูกไม่ได้เจริญตามปกติ ซ้ำยังมีผลให้จิตใจขาดการพัฒนา โดยจะมีอาการเดินกระตุก หรือเกร็ง ระบบสืบพันธ์ผิดปกติ ซึ่งหากทารกได้รับการแก้ไขในระยะแรก ก็จะช่วยให้ร่างกายมีการเจริญเติบโตดีขึ้น รวมทั้งจิตใจก็อาจพัฒนาขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจะทำให้ประสาทสมองส่วนกลางที่ถูกทำลายไปกลับมาดีอย่างเดิมได้อีก

ผลของการขาดเกลือไอโอดีนผู้ใหญ่

ผู้ใหญ่ที่ขาดไอโอดีนจะทำให้เกิดโรคคอพอก ( Simple Goiter ) เนื่องจากต่อมธัยรอยด์จะโตขึ้นจนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนที่ช่วงคอ นั่นก็เป็นเพราะถูกได้รับการกระตุ้นจากฮอร์โมนไทโรโทรพิน ( Thyrotrophin หรือ  Stimulating Hormone, TSH ) ซึ่งเป็นฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองให้ทำงานมากขึ้น เพื่อที่จะดูดไอโอดีนที่อยู่ในเลือดให้ได้เยอะที่สุด เพื่อนำไปสร้างฮอร์โมนไทรอกซินแต่เนื่องจากไอโอดินไม่พอจึงไม่สามารถที่จะสร้างได้ จึงมีผลทำให้ต่อมไทรอยด์ที่บริเวณใต้คอโตขึ้น หรือมีอาการคอพอกนั่นเอง คนที่ต่อมธัยรอยด์มีขนาดใหญ่มาก จะทำให้ไปกดหลอดลม ส่งผลให้ไอ สำลัก หายใจลำบาก และถ้าไปกดหลอดอาหารก็จะกลืนอาหารลำบากด้วยเช่นกัน

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคคอพอก

การขาดเกลือไอโอดีน ซึ่งมีสาเหตุดังต่อไปนี้

1. บริโภคอาหารที่มีเกลือไอโอดีนน้อยมากไม่พอเพียงแก่ความต้องการ เช่น ผู้ที่อยู่ในแหล่งที่อยู่อาศัยที่ไม่สามารถหาอาหารทะเลบริโภคได้

2. ร่างกายต้องการเกลือไอโอดีนเพิ่มสูงขึ้น เช่น คนวัยหนุ่มสาว ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่ต้องให้นมแก่ทารก หรือมีอาการอักเสบภายในร่างกายเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้ต่อมธัยรอยด์ต้องทำงานเพิ่มขึ้น ร่างกายจึงต้องการไอโอดีนมากขึ้นด้วย

3. เกลือไอโอดีนหย่อนสมรรถภาพลง ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุบางอย่าง เช่น การบริโภคอาหารแคลเซียมสูงแต่มีไอโอดินต่ำ ร่างกายขาดวิตามินเอและได้รับไอโอดีนน้อย หรือมีสารบางอย่างในอาหารออกฤทธิ์กดต่อมธัยรอยด์ทำให้ต้องการไอโอดีนเพิ่มขึ้นมากขึ้น จนเป็นเหตุให้เกิดโรคคอพอก

4. การได้รับสารที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของต่อมธัยรอยด์ เช่น ยาพวกไทโอชัยยาไนด์ ( Thiocyanide ) อะมิโนไธอะโซล ( Aminothiasole ) ซึ่งมีผลให้ต่อมธัยรอยด์ไม่สามารถใช้ไอโอดีนได้ตามปกติ จึงทำให้ต่อมมีขนาดใหญ่ขึ้น

5. ในพืชที่เรารับประทานจะมีสารบางอย่างที่ทำให้เกิดคอพอก ( Goitrogenic Compounds ) ซึ่งโดยปกติแล้วสารที่อยู่ในพืชนี้จะไม่เป็นพิษแต่อย่างใด แต่ในพืชจะมีน้ำย่อยชนิดหนึ่ง คือ ( Thioglycosides ) ซึ่งจะไปมีผลต่อสารนี้ให้เปลี่ยนเป็นสารที่มีฤทธิ์ขัดขวางการสร้างธัยรอยด์ฮอร์โมน จึงทำให้เซลล์ที่ต่อมธัยรอยด์เกิดการแบ่งตัวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งวิธีที่จะช่วยป้องกันการออกฤทธิ์ของสารนี้ได้ก็คือการนำพืชที่จะบริโภคไปต้มเสียก่อนนั่นเอง โดยพืชที่มีสารที่ทำให้เกิดคอพอกก็จะมี หัวผักกาด พีช แพร์ สตรอว์เบอร์รี่ แครอท และพืชที่อาจจะมีสารนี้อยู่ได้แก่ องุ่น คื่นฉ่าย พริกสด ส้มเขียวหวาน ถั่วลิสง ถั่วลันเตา ถั่วฝักยาว แตงไทย กะหล่ำปลี ผักกาดหอม หอยนางรม นมสด ตับ ส่วนอาหารทีไม่พบสารเหล่านี้เลยได้แก่ เนื้อโค เนยแข็ง ไอศกรีม กุ้ง เห็ด สัปปะรด ดอกกะหล่ำ แตงกวา ข้าว ข้าวโพด ถั่วดำ ถั่วแดง หอม ลูกมะกอก อัลมอนด์ แอปเปิ้ล กล้วย มันฝรั่ง มะเขือเทศ     

ในประเทศไทยพื้นที่ที่พบว่ามีผู้ที่เป็นคอพอกมากที่สุดก็คือทางภาคเหนือและภาคอีสาน เช่น เชียงใหม่ เชียงราย อุตรดิตถ์ แพร่ ลำปาง อุบลราชธานี อุดรธานี โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้ภูเขา ที่ราบสูง ซึ่งมีความไม่สะดวกในการเดินทาง การขนส่ง และมีฐานะความเป็นอยู่ค่อนข้างยากจน จึงส่งผลให้เกิดการขาดสารอาหารจำพวกโปรตีน และไอโอดีน

โรคคอพอกรักษาได้อย่างไร

1. รักษาโดยการใช้เกลือไอโอดีน โดยหยดไอโอดีนเข้มข้นละลายลงไปในน้ำดื่มในอัตราส่วนที่เหมาะสมคือ 1 หยดต่อน้ำ 5 ลิตร จะได้ปริมาณที่เพียงพอที่ร่างกายร่างกายต้องการในหนึ่งวัน ซึ่งก็คือ 150 ไมโครกรัม ซึ่งทางกรมอนามัยก็ได้นำสารไอโอดีนเข้มข้นไปแจกจ่ายให้แก่โรงพยาบาล สถานีอนามัยและโรงเรียนต่าง ๆ เพื่อผสมลงในน้ำดื่มให้แก่นักเรียนและในครัวเรือนของประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งการใช้วิธีการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เกลือเสริมไอโอดีน น้ำปลาเสริมไอโอดีนและยาเม็ดเสริมไอโดดีน

2. รักษาโดยวิธีการผ่าตัดในรายที่คอพอกมีขนาดโตมาก เกิดความยากลำบากในการออกเสียงหรือหรือการกลืนอาหาร จำเป็นต้องใช้การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดต่อมบางส่วนออก โดยที่ภายหลังการผ่าตัดจะให้บริโภคเกลือไอโอดีนในหลายรูปแบบ เช่น ในรูปโปตัสเซียมไอโอไดด์ หรือในรูปของเกลือไอโอดีนที่ผสมลงในอาหารที่รับประทาน

ภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำ ( Hypothyroidism )

เป็นภาวะที่ร่างกายไม่มีธัยรอยด์ฮอร์โมนอย่างพอเพียงกับความต้องการ ส่งผลให้มีเมแทบอลิซึมช้าผิดปกติ ซึ่งหากเกิดในผู้ใหญ่จะเรียกว่า มิกเซดีม่า ( Myxedema ) โดยมีอาการที่มักแสดงให้เห็น ก็คือ มีความคิดค่อนข้างที่จะเฉื่อยชา มีอาการง่วงเหงาหาวนอน มีภาวะ Chronic Fatigue Syndrome, CFS คือ อ่อนเพลียเรื้อรัง เหนื่อยง่าย ปวดกล้ามเนื้อ มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นถึงจะกินน้อย มีแห้งผิวหยาบ ผมร่วง ขี้หนาว อาการต่าง ๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและจะมีพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาที่ค่อนข้างเชื่องช้าทางอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นหากปล่อยไว้ไม่รักษาจะเป็นสาเหตุของภาวะแอลดีแอลคอเลสเตอรอลสูง ส่งผลให้มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นหัวใจตามมา จะมีปัญหาต่อพัฒนาการทางสมองและร่างกายในทารกแรกเกิด

การเป็นพิษจากไอโอดีน

ไม่เคยมีการพบว่าการบริโภคไอโอดีนที่มากับน้ำและอาหารทำให้เกิดการเป็นพิษได้ แต่สำหรับไอโอดีนในรูปของยาอาจต้อง พึงระวังในเรื่องของปริมาณที่ได้รับ เพราะหากได้รับมาก ๆ ในเวลาเดียวกันอาจเป็นอันตรายได้ 

ภาวะต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ

ภาวะต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ เป็นภาวะที่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งทำให้ต่อมธัยรอยด์มีการสังเคราะห์และหลั่งธัยรอยด์ฮอร์โมนออกมามากจนเกินไป จนทำให้มีอาการ ( Hyperthyroidism ) คือจะมีอาการนอนหลับยาก ขาดสมาธิ มือสั่นใจสั่น อ่อนเพลีย เหงื่อออกมาก น้ำหนักลดโดยอย่างปราศจากสาเหตุ อาจมีตาโปน ซึ่งมักพบในผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ถ้าไม่รีบทำการรักษา อาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคกระดูกพรุน มีอัตราการเต้นของหัวใจสูงจนผิดปกติ โดยถือว่าเป็นอันตรายอย่างมาก

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Gay-Lussac, J. (1813). “Sur la combination de l’iode avec d’oxigène”. Annales de chimie. 88: 319.

Davy, Humphry (1 January 1814). “Some Experiments and Observations on a New Substance Which Becomes a Violet Coloured Gas by Heat”. Phil. Trans. R. Soc. Lond. 104: 74. 

ลิพิดคืออะไร มันช่วยร่างกายคุณอย่างไรบ้าง?

0
หน้าที่และความสำคัญของลิปิดคืออะไร?
สารประกอบอินทรีย์ที่ได้จากเนื้อเยื่อพืชและสัตว์

ลิพิด

ลิพิด (Lipid) คือสารอินทรีย์ที่ประกอบด้วยคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจนเป็นหลัก โดยในบางชนิดยังมีฟอสฟอรัสอยู่ในโมเลกุล เช่น ฟอสโฟลิพิดและสเตอรอลลิพิด ลิพิดมักพบในธรรมชาติ รวมถึงในเนื้อเยื่อของสัตว์และพืช โดยส่วนใหญ่จะเป็น ไขมัน และ น้ำมัน ซึ่งไขมันในอุณหภูมิปกติจะมีลักษณะเป็นของแข็ง ส่วนในน้ำมันจะเป็นของเหลว ไขมันที่ได้จากสัตว์และน้ำมันจากพืชจะมีส่วนประกอบหลักเหมือนกัน แต่แตกต่างกันในลักษณะทางกายภาพ สารเหล่านี้ประกอบด้วยคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน แต่สัดส่วนของไฮโดรเจนและออกซิเจนในไขมันจะแตกต่างจากคาร์โบไฮเดรต โดยไขมันจะมีสัดส่วนไฮโดรเจนต่อออกซิเจนมากกว่า 2:1 เช่น ไขมันในเนื้อวัวมีไฮโดรเจนถึง 110 ส่วน และออกซิเจนแค่ 6 ส่วน ทำให้ไขมันมีพลังงานสูงกว่าคาร์โบไฮเดรต โดยไขมัน 1 กรัมสามารถให้พลังงานถึง 9.45 กิโลแคลอรี่

ไขมันลิพิด จึงถือได้ว่าเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานมากกว่าสารอาหารชนิดอื่น ๆ และนอกจากสมองและประสาทแล้วเนื้อเยื่อทุกชนิดในร่างกายจะใช้พลังงานจากกรดไขมันได้ หากได้รับสารอาหารที่ให้พลังงานเข้าสู่ร่างกายในระดับที่มากกว่าร่างกายต้องการ ซึ่งพลังงานเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็จะถูกเก็บไว้ในร่างกายในรูปของไตรกลีเซอไรด์ในเนื้อเยื่อไขมัน ซึ่งก็พร้อมที่เปลี่ยนเป็นพลังงานเมื่อร่างกายจำเป็นต้องใช้โดยน้ำมันหรือไขมัน 1 โมเลกุลเมื่อมีการแตกตัวออกจะได้กรดไขมัน 3 โมเลกุลและกลีเซอรอล 1 โมเลกุล ซึ่งหน้าที่ของกลีเซอรอลก็คือให้กรดไขมันเกาะจับในโมเลกุลไม่ว่าจะเป็นกรดไขมันชนิดใด และเป็นเพราะชนิดของกรดไขมันที่มีความแตกต่างกันจึงทำให้ไขมันและน้ำมันมีลักษณะที่แตกต่างกันนั่นเอง

คุณสมบัติของลิพิด

  • คุณสมบัติของลิพิดไม่มีขั้ว (nonpolar)
  • ไม่ละลายในน้ำแต่ละลายได้ดีในตัวทำละลายอินทรีย์ทีไม่มีขั้ว (เช่น เฮกเซนแอลอกฮอล์ )
  • เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane)
  • เป็นสารอาหารที่ ให้พลังงานแก่ร่างกายได้มากที่สุด
  • เป็นตัวละลายวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน เช่น Vitamin A, Vitamin D, Vitamin E และ Vitamin K

ประเภทหน่วยย่อยของลิพิด

ประเภทหน่วยย่อยของลิพิดลิพิดสามารถแยกออกเป็น 4 ประเภทได้แก่
1. ลิพิดอย่างง่าย(simple lipid) คือลิพิดที่เป็นเอสเตอร์ของกรดไขมัน (fatty acids)กับแอลกอฮอล์ชนิดต่างๆ เช่น
1.1 ไขมัน (fat) และน้ํามัน (oil)
1.2 แวกซ์หรือไข (waxes) เช่น ขี้ผึ้ง
2. ลิพิดเชิงประกอบ (compound lipid) คือลิพิดที่เป็นเอสเตอร์ของกรดไขมันกับแอลกอฮอล์และสารอื่น ได้แก่
2.1 ฟอสโพลิพิด (phospholipids) ประกอบด้วย กรดไขมัน แอลกอฮอล์
และกรดฟอสฟอริค บางครั้งอาจจะพบเบสที่มีไนโตรเจนประกอบรวมอยู่ด้วย
2.2 ไกลโคลิพิด (glycolipids) เป็นลิพิดที่ประกอบด้วยกรดไขมัน สฟิงโกไซน์
และคาร์โบไฮเดรต
2.3 ลิพิดเชิงประกอบชนิดอื่นๆ เช่น ลิโพโปรตีน (lipoproteins) หรือ ซัลโฟลิพิด (sulfolipids)
3. อนุพันธ์ของลิพิด (derived lipid) คือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการย่อยสลายของลิพิดอย่างง่ายหรือลิพิดเชิงประกอบ
4. ลิพิดอื่นๆ(miscellaneous lipid) เป็นลิพิดที่ไม่สามารถจัดกลุ่มได้ เช่น สเตอรอยด์(steroid) เทอร์พีน (terpene) ไอโคซานอยด์(icosanoid)

ประโยชน์ของลิพิด

ประโยชน์ของลิพิด1. ทำให้อาหารมีกลิ่น รส และเนื้อสัมผัสดี มีรสอร่อยขึ้น
2. การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง จะทำอิ่มนานกว่าอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตสูง
3. ช่วยการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามินเอในเนยเหลว วิตามินอีในน้ำมันรำ วิตามินเอในน้ำมันตับปลา
4. ให้กรดไขมันที่จำเป็นสำหรับเติบโตและสุขภาพของผิวหนังของทารกและเด็ก
5. ให้พลังงานแก่ร่างกาย
6. ไขมันทำหน้าที่เป็นเบาะป้องกันการกระทบกระเทือนของอวัยวะภายใน เช่น ในช่องอก และช่องท้อง
7. ช่วยรักษาอุณหภูมิของร่างกาย ทำให้ร่างกายอบอุ่น
8. ช่วยพยุงหรือทำให้อวัยวะคงรูป เช่น ไขมันที่บุแก้ม ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ไขมันที่บุฝ่ามือยังช่วยหยิบจับสิ่งของได้สะดวก
9. สามารถเปลี่ยนเป็นคาร์โบไฮเดรต และกรดอะมิโน เมื่อร่างกายต้องการฉุกเฉิน

ไขมันในเลือดมีกี่ชนิด

ในโลหิตของมนุษย์จะมีไขมันอยู่ด้วยกัน 4 ชนิดคือ กรดลิพิดไขมันอิสระ ไตรกลีเซอไรด์ คอเลสเตอรอล และ ฟอสโฟลิพิด ซึ่งไขมันเหล่านี้ล้วนแล้วเป็นไขมันที่ไม่ละลายในน้ำเลือด จึงทำให้พวกมันจับกลุ่มกันเป็นโปรตีนเพื่อจะ ที่สามารถลอยตัวและเคลื่อนที่ไปยังอวัยวะต่าง ๆ ผ่านทางกระแสเลือดได้ โดยที่กรดไขมันอิสระจะเกาะอยู่กับอัลบูมิน ส่วนไขมันตัวอื่น ๆ จะไปเกาะกับโปรตีนที่ชื่อ ไลโปโปรตีน ( Lipoprotein ) ซึ่งไลโปโปรตีนนี้มีอยู่ด้วยกัน 4 ชนิด แบ่งโดยวิธีปั่นแยก ( Ultracentrifugation ) ในไลโปโปรตีนทั้ง 4 ชนิดนี้จะมีคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอรไรด์ ฟอสโฟลิพิดและโปรตีน เป็นส่วนประกอบเหมือนกัน แต่ปริมาณของไขมัน และโปรตีนจะแตกต่างกัน จึงทำให้ความหนาแน่นของไลโปโปรตีนทั้ง 4 ชนิดไม่เท่ากัน คือ

1. ไคโลไมครอน ( Chylomicron ) เป็นไลโปโปรตีนที่มีความหนาแน่นต่ำที่สุดซึ่งได้มาจากอาหาร และผลิตจากเยื่อบุผนังลำไส้ต้อนต้นและตอนกลาง โดยมีไตรกลีเซลไรด์เป็นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 90 โดยมีหน้าที่ขนถ่ายกลีเซอไรด์จากอาหาร ไปยังเนื้อเยื่อไขมันและกล้ามเนื้อต่างๆ ผ่านทางระบบน้ำเหลืองและกระแสโลหิต
หลังจากที่ไคโลไมครอนผ่านเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว จะถูกย่อยด้วยน้ำย่อยไลโปโปรตีน ไลเปส ( Lipoprotein Lipase ) จากเนื้อเยื่อไขมันและกล้ามเนื้อ ส่งผลให้ไตรกลีเซอไรด์ในไคโลไมครอนถูกเปลี่ยนให้เป็นกรดไขมันอิสระและจะถูกเก็บไว้ในเนื้อเยื่อไขมันและกล้ามเนื้อ เพื่อเก็บไว้เป็นพลังงานสะสมและนำไปผลิตไตรกลีเซอไรด์ต่อไปอีก และส่วนที่เหลือจากการย่อยก็จะมีไตรกลีเซอไรด์ลดน้อยลง ซึ่งก็จะถูกส่งต่อไปยังตับ ซึ่งน้ำย่อยเฮปาติค ไลเปส ( Hepatic Lipase ) ก็จะทำหน้าที่ในการย่อยต่อไป

2. ไลโปโปรตีน ที่มีความหนาแน่นต่ำมาก ( Very Low Density Lipoprotein, VLDL ) เกิดมาจากน้ำตาลและพลังงานที่มีมากเกินไปจนใช้ไม่หมด จึงทำให้ตับต้องนำไปสร้างเป็นไลโปโปรตีนชนิดนี้ขึ้น ซึ่งมีไตรกลีเซอไรด์ เป็นส่วนประกอบอยู่ประมาณร้อยละ 80 มีคอเลสเตอรอลเป็นเพียงส่วนน้อย โดยที่หน้าที่ของ VLDL ก็คือลำเลียงไตรกลีเซอไรด์จากร่างกายไปยังเนื้อเยื่อไขมันและกล้ามเนื้อ จากนั้น VLDL ก็จะถูกย่อยในกระแสเลือดโดยน้ำย่อยไลโปโปรตีน ไลเปส ( Lipoprotein Lipase ) โดยที่เนื้อเยื่อจะดึงเอาไตรกลีเซอไรด์ออกจาก VLDL ไปใช้ประมาณ ร้อยละ 35 ส่วนที่เหลือก็จะเป็นไลโปโปรตีนที่มีความหนาแน่นในระดับปลานกลาง ( Intermediate Density Lipoprotein, IDL ) ซึ่งก็มีคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์เป็นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 40

3. ไลโปโปรตีนที่มีความหนาแน่นต่ำ ( Low Density Lipoprotein,LDL ) เป็นไลโปโปรตีนที่เหลืออยู่หลังจากที่เนื้อเยื่อได้ดึงเอาไตรกลีเซอไรด์ออกมาจาก IDL แล้ว โดยไลโปโปรตีนชนิดนี้มีคอเลสเทอรอลเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ LDL จะทำหน้าที่ลำเลียงคอเลสเตอรอลจากตับไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ โดยมีตัวรับ แอลดีแอล ( LDL Receptor ) ที่อยู่ที่ผิวเซลล์จะทำหน้าที่รับเอา LDL เข้าไป และเนื่องจาก LDL เป็นไลโปโปรตีนที่มีปริมาณคอเลสเตอรอลสูงถึงร้อยละ 45 ซึ่งจัดได้ว่าสูงกว่าไลโปโปรตีนประเภทอื่น ๆ เพราะฉะนั้นการที่ร่างกายมี LDL อยู่ในระดับสูงจะทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นเป็นโรคหัวใจขาดเลือด ( Coronary Heart Disease ) สูงตามไปด้วย
LDL กำลังเป็นที่สนใจอย่างมากในปัจจุบัน ในฐานะที่เป็นตัวที่ทำให้สามารถมองเห็นภาพรวมของไขมันในเลือดว่าเป็นอย่างไร คือ LDL แม้เพียงตัวเดียวก็สามารถบอกถึงโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดเส้นเลือดตีบตันได้ ไม่ต่างอะไรกับการตรวจไขมันทุกตัว ซึ่งในคนทั่วๆ ไปควรมีระดับ LDL อยู่ต่ำกว่า 160 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรจึงจะถือได้ว่าปกติ แต่หากมีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างเกิดขึ้น เช่น มีอาการป่วยเป็นโรคเบาหวานหรือมีไขมันสูงหรือมีบุคคลในครอบครัวที่มีประวัติว่าป่วยเป็นหัวใจ ระดับ LDL ควรจะต่ำกว่า 130 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรและควรที่จะต้องควบคุมระดับ LDL ให้อยู่ต่ำกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากเกิดภาวะของหลอดเลือดหัวใจตีบหรือหลอดเลือดที่มีสมองตีบร่วมด้วย

4. ไลโปโปรตีนที่มีความหนาแน่นสูง ( High Density Lipoprotein, HDL ) เป็นไลโปโปรตีนที่สร้างจากตับและลำไส้เล็ก ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่ไคโลไมครอนและ VLDL ถูกเผาผลาญ HDL เป็นไขมันที่มีความหนาแน่นสูง โดยมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 45 HDL เป็นไลโปโปรตีน ที่มีหน้าที่แตกต่างกับ LDL กล่าวคือ

1. HDL จะทำหน้าที่ลำเลียงคอเลสเทอรอลที่แอลดีแอลไปปล่อยไว้ตามผนังหลอดเลือดแดงคืนไปสู่ตับ ซึ่งตับก็จะเผาผลาญคอเลสเทอรอลให้กลายเป็นกรดน้ำดี ซึ่งก็จะขับถ่ายออกจากร่ายต่อไป

2. HDL จะช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ต่างๆ ได้รับ LDL มากจนเกินไป โดยที่ HDL สามารถแยกที่ LDL ในการจับตัวรับวีแอลดีแอลได้

เพราะฉะนั้นหากร่างกายมี HDL ในระดับสูง จะทำให้โอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบและโรคหลอดเลือดลดน้อยลง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหาก HDL มีระดับสูงเกิน 60 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ซึ่งก็อาจเป็นผลมาจากการออกกำลังกาย การรับประทานปลาทะเล การรับประทานผักผลไม้เป็นประจำ หรือการทานยาลดไขมันบางชนิด แต่ถ้าหาก HDL มีระดับต่ำกว่า 35 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ก็จะทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเป็นโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบและโรคหลอดเลือดสูง ในผู้หญิงที่มีประจำเดือน จะมีระดับ HDL สูงกว่าผู้ชาย ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าฮอร์โมนเพศหญิง คือ Estrogen หรือ ฮอร์โมนจากรังไข่สามารถช่วยให้ HDL เพิ่มระดับสูงขึ้นได้ และนอกจากค่า HDL แล้ว หากพบว่าอัตราส่วนระหว่าง LDL/HDL ต่ำกว่า 4 ก็จะทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรค ( Cardiovascular Disease ) น้อยลง

สำหรับไขมันที่พบได้ในเลือดของมนุษย์และมีความสำคัญทางโภชนาการ ได้แก่ ฟอสโฟลิพิด กรดไขมัน คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า

ลิพิดกรดไขมัน ( Fatty Acid ) เป็นกรดอินทรีย์ที่สามารถพบได้ทั้งในลิพิดธรรมดาและลิพิดเชิงประกอบ ซึ่งกรดไขมันทุกตัวจะประกอบไปด้วย คาร์บอน ไฮโดรเจน และ ออกซิเจน และมีสูตรโดยทั่วไปของกรดไขมันคือ CH3 ( CH2 ) nCOOH ซึ่ง n มีค่าตั่งแต่ 2-24

ส่วนคาร์บอนอะตอมมักจะพบได้มากในลิพิดธรรมดาและลิพิดเชิงประกอบ โดยกรดไขมันทุกตัวจะประกอบไปด้วย คาร์บอน ไฮโดรเจนและออกซิเจน และมีสูตรโดยทั่วไปของกรดไขมันคือ CH3 ( CH2 ) nCOOH ซึ่ง n มีค่าตั้งแต่ 2-24

ซึ่งจะเห็นได้ว่าคาร์บอนอะตอมส่วนใหญ่มักจะเป็นเลขคู่และมีตั้งแต่ 2 ขึ้นไป และมักจะพบได้มากในรูปของไตรกลีเซอร์ไรด์หรือรวมกับลิพิดชนิดอื่นๆ โดยมักจะไม่พบในรูปของกรดไขมันอิสระมากนัก และเนื่องจากกรดไขมันมีความแตกต่างกัน 2 ประการคือ ความยาวของห่วงโซ่คาร์บอน ( Carbon Chain ) และขนาดของความอิ่มตัว จึงสามารถที่จะแบ่งกรดไขมันออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

1. กรดไขมันห่วงโซ่ขนาดสั้น ( Short Chain Fatty Acid ) กรดไขมันประเภทนี้จะมีคาร์บอน 6 ตัว หรือน้อยกว่า

2. กรดไขมันห่วงโซ่ขนาดกลาง ( Medium Chain Acid ) กรดไขมันประเภทนี้จะมีคาร์บอน 8-12 ตัว

3. กรดไขมันห่วงโซ่ขนาดยาว ( Long Chain Fatty Acid ) กรดไขมันประเภทนี้จะมีคาร์บอน 14-20 ตัว

ในอาหารส่วนใหญ่มักจะพบไขมันแบบห่วงโซ่ขนาดยาว และไม่ละลายในน้ำ ส่วนไขมันแบบห่วงโซ่ขนาดสั้นและขนาดกลางจะละลายในน้ำได้ต่างจากแบบยาว เช่น ไขมันในไข่แดงและนม นอกจากนี้ไขมันที่มีความอิ่มตัวก็มักจะมีห่วงโซ่ขนาดกลางและอยู่ในสภาพของเหลว อย่างเช่น น้ำมันตับปลา น้ำมันมะกอก น้ำมันปลาวาฬ เป็นต้น

ประเภทลิพิด กรดไขมันที่แบ่งออกตามความอิ่มตัว

กรดไขมันสามารถแบ่งออกได้ตามความอิ่มตัว ( Degree of Saturation ) เป็น 2 ประเภท คือ

1. กรดไขมันอิ่มตัว ( Saturated Fatty Acid ) คือ กรดไขมันที่คาร์บอนในโมเลกุล มีไฮโดรเจนจับอยู่จนเต็มขีดจำกัดโดยโมเลกุลไม่สามารถที่จะรับไฮโดรเจนเพิ่มเข้าไปได้อีก ซึ่งแขนของคาร์บอนที่เป็นแขนเดี่ยวส่วนมากมักจะเป็นไขมันซึ่งแข็งตัวได้โดยง่าย แม้จะได้รับความเย็นเพียงเล็กน้อย ซึ่งกรดไขมันประเภทที่อิ่มตัวนี้จะมีสูตรทั่วไป คือ CnH2nO2 (n= 4,6,8) ซึ่งกรดไขมันที่เป็นกรดไขมันประเภทอิ่มตัว ก็มีอย่างเช่น กรดอะซีติก กรดโพรพิโอนิก กรดบิวทีริก เป็นต้น ซึ่งกรดไขมันเหล่านี้เป็นกรดไขมันที่ทนต่อความร้อนได้ดี โดยจะไม่เกิดการทำปฏิกิริยากับ ออกซิเจน เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาทำอาหารโดยใช้การทอดก็ควรที่จะเลือกใช้น้ำมันที่เป็นประเภทกรดไขมันอิ่มตัว เช่น น้ำมันปาล์มที่สกัดจากเมล็ดปาล์มหรือผลปาล์ม เนื่องจากจะทำให้อาหารที่ทอดมีความกรอบและไม่อมน้ำมัน

ในด้านโภชนาการกรดไขมันอิ่มตัวก็จะมีบทบาทที่สำคัญ คือ ไปช่วยกระตุ้นให้ตับทำการสังเคราะห์คอเลสเตอรอล ซึ่งก็จะส่งผลให้คอเลสเตอรอลและแอลดีแอลคอเลสเตอรอลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นจึงทำให้มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งไขมันจากวัว หรือไขมันจากหมู จะมีกรดไขมันอิ่มตัวในปริมาณที่สูงกว่าไขมัน จากอาหารจำพวกพืชและปลา ยกเว้นไขมันจากน้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ซึ่งจะมีปริมาณกรดไขมันอิ่มตัวในระดับสูง

กรดพาลมิทิก เป็นกรดไขมันอิ่มตัวตามธรรมชาติที่พบมากที่สุดโดยจะสามารถพบได้ในไขมันทุกชนิด ซึ่งจากกรดไขมันทั้งหมดที่มีอยู่จะพบได้ประมาณร้อยละ 10 ถึง 50 เลยทีเดียว ส่วนกรดไขมันที่อิ่มตัว ชนิดอื่น ๆ ที่พบรองลงมา ได้แก่ กรดไมริสทิก ( Myristic Acid ) และกรดสเทียริก ( Stearic Acid )

2. กรดไขมันไม่อิ่มตัว ( Unsaturated Fatty Acid ) หมายถึง กรดไขมันที่คาร์บอนในโมเลกุล มีไฮโดรเจนจับอยู่อย่างไม่เต็มขีดจำกัด และโมเลกุลก็ยังสามารถที่จะรับไฮโดรเจนเพิ่มเข้าไปในได้อีก ส่วนแขนของคาร์บอนนั้นก็จะมีทั้งแขนเดี่ยวและแขนคู่ และส่วนมากจะเป็นน้ำมันซึ่งเป็นของเหลว กรดไขมันไม่อิ่มตัวนี้ง่ายต่อการเกิดออกซิเดชั่น หากถูกออกซิไดส์จะส่งผลให้มีความหืนเกิดขึ้น ซึ่งก็จะทำให้กลิ่นและรสผิดปกติ และยังมีผลให้วิตามินที่ละลายในไขมันอย่าง วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค สูญเสียไปด้วย จากผลการศึกษาพบว่าแหล่งของกรดไขมันไม่อิ่มตัวอย่างน้ำมันพืชจะมีจุดเดือดต่ำ หรือ จะเป็นควันได้ง่าย เพราะฉะนั้นหากใช้น้ำมันประกอบอาหารก็ควรจะเป็นอาหารประเภทที่ต้องให้ความร้อนสูงและใช้เวลานาน เช่น อาหารประเภททอด เนื่องจากอาจจะทำให้อาหารไหม้เกรียมเสียก่อนที่จะสุกอย่างทั่วถึง หรือไม่ก็จะทำให้อาหารมีลักษณะกรอบนอกจากนี้แล้วยังอาจก่อให้เกิดอนุมูลอิสระเนื่องจากกรดไขมันไม่อิ่มตัวจะถูกทำให้เกิดการแตกตัวและไปทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศและอาจทำให้มี โอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจ และเป็นโรคมะเร็งได้ หากมีการบริโภคอาหารที่ใช้น้ำมันพืชในการทอดบ่อย ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน

เพราะฉะนั้นในการทอดอาหารควรที่จะใช้น้ำมันปาล์มโอเลอีนจึงจะเหมาะที่สุด เนื่องจากมีจุดเดือดสูง ซึ่งลักษณะของน้ำมันปาล์มโอเลอีนที่ดีสีจะต้องเข้ม เนื่องจากยังไม่ได้ผ่านการฟอกสีจนใส ทำให้เบต้าแคโรทีนยังคงไม่ถูกทำลายไป ซึ่งก็จะสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้นั่นเอง สำหรับน้ำมันพืชก็จะเหมาะกับการประกอบอาหารที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความร้อนสูง เช่น การผัด

กรดไขมันไม่อิ่มตัว มีสูตรทั่วไปคือ C2H2n-2O2 หรือ CnH2n-4O2 มักพบในน้ำมันพืช น้ำมันปลา และสัตว์ทะเลเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีน้ำมันพืชบางชนิด ที่มีกรดไขมันเป็นกรดไขมันประเภทอิ่มตัว เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ( Palm Oil, Palm Kernel Oil Cocoa Butter)

กรดไขมันไม่อิ่มตัว สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

1. กรดไขมันไม่อิ่มตัวหนึ่งตำแหน่ง ( Monounsaturated Fatty Acid, MUFA ) คือกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ในสูตรโครงสร้าง จะมีแขนคู่ ( Double Bond ) เพียง 1 แห่ง เช่น กรดโอเลอิก ( Oleic Acid ) หรือโอเมก้า 9 กรดพาลมิโทเลอิก ( Palmitoleic Acid ) กรดวัคซีนิก ( Vaccenic Acid ) พบได้ในถั่วหลายชนิด เช่น เมล็ดอัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วลิสง ฮาเซลล์นัท ในน้ำมันพืช เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันคาโนลา น้ำมันปาล์มโอ เลอิน น้ำมันงา ซึ่งจะมีผลให้คอเลสเตอรอลรวมและแอลดีแอลลดน้อยลง แต่ไม่มีผลกับเอชดีแอลคอเลสเตอรอล

2. กรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง ( Polyunsaturated Fatty Acid, PUFA ) คือกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีแขนคู่อย่างน้อย 2 แห่งขึ้นไป เช่น กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 และ กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 6 พวกกรดไลโนเลอิก ( Linoleic Acid,LA ) และกรดอะราซิโดนิก ( Arachidonic Acid,AA ) มักพบในเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง เนื้อสัตว์สีแดง และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนม กรดไลโนเลอิก มีคุณสมบัติในการช่วยให้ระดับคอเลสเตอรอลรวมและ ( LDL-Cholesterol ) ในเลือดให้ลดน้อยลง แต่ก็มีผลให้ ( HDL-Cholesterol ) ลดลงด้วย

สำหรับกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ได้แก่ กรดไลโนเลนิก ( Alpha-Linolenic Acid, LNA )

ซึ่งกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ที่นักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจมีอยู่ 2 ชนิด คือ กรดไอโคซาเพนตะอีโนอิก ( Eicosapentaenoic Acid, EPA ) และกรดโดโคซาเฉกซาอีโนอิก ( Docosahexaenoic Acid, DHA ) โดยทั้ง EPAc และ DHA จะมีหน้าที่ในการช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือด โดยเฉพาะ VLDL นอกจากนี้แล้วกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ยังสามารถทดแทนกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 6 ในเยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์ทุกชนิดได้ กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการในเด็ก

และจากผลการศึกษาพบว่าเมื่อน้ำมันพืชซึ่งเป็นแหล่งของ ( PUFA ) ไปใช้ประกอบอาหาร ไม่ควรที่ใช้ความร้อนในระดับที่สูงเกิน 180 องศาเซลเซียส นานเกิน 20 นาที เพราะจะส่งผลให้ PUFA เกิดการแตกตัวและไปทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศจนกลายเป็นอนุมูลอิสระ ซึ่งก็จะให้มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ และโรคมะเร็ง

ตาราง ปริมาณกรดไขมันตามความอิ่มตัวคิดเป็นร้อยละ ที่พบในน้ำมันชนิดต่างๆ
ชนิดน้ำมัน กรดไขมันอิ่มตัว กรดไขมันไม่อิ่มตัวหนึ่งตำแหน่ง กรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง
คาโนลา 8 59 33
ทานตะวัน 10 18 70
ข้าวโพด 13 25 61
ถั่วเหลือง 15 24 61
มะกอก 15 75 10
รำข้าว 18 45 37
ฝ้าย 25 56 49
ปาล์มโอเลลิน 50 39 10

 

ประเภทของกรดไขมันแบ่งตามความต้องการของร่างกาย

กรดไขมันสามารถแบ่งออกได้ตามความต้องการของร่างกาย เป็น 2 ประเภท คือ

1. กรดไขมันจำเป็น ( Essential Fatty Acid หรือ Vitamin F ) กรดไขมันประเภทนี้ คือกรดไขมันที่ร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาให้เพียงพอต่อความต้องการของตัวเองได้ จึงจำเป็นที่จะต้องรับจากอาหารชนิดต่างๆ โดยกรดไขมันจำเป็นนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ตระกูล คือตระกูลไลโนเลอิก ( Linoleic ) ซึ่งเป็นกรดไขมันประเภทโอเมก้า 6 และตระกูลไลโนเลนิก ( Linolenic ) เป็นกรดไขมันประเภทโอเมก้า 3
เมื่อร่างกายรับกรดไขมันจำเป็นทั้ง 2 ตระกูลนี้เข้าไปแล้ว กรดไขมันนี้ก็จะไปสร้างกรดไขมันอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายต่อไป ( แต่ไม่สามารถสร้างแบบข้ามตระกูลกันได้ จึงต้องรับทั้ง 2 กรดไขมันนี้ให้เท่าเทียมกัน ) เช่น กรดไลโนเลนิก  นำไปสร้างกรดไดโฮโมแกมมาไลโนเลนิก ( Dihomo Gamma-Linolenic Acid หรือ n-6 ) ส่วนกรดไลโนเลอิกนำไปสร้างกรดไอโคซาเพนตะอีโนอิก ( Eicosapentaenoic Acid หรือ n-3 หรือ EPA ) กรดโดโคซาเพนตะอีโนอิก ( Docosapentaenoic Acid หรือ DPA ) และกรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก ( Docosahexaenoic Acid หรือ DHA )
กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 มีความสำคัญต่อร่างกาย คือ

1. กรดไอโคซาเพนตะอีโนอิก EPA สามารถพบได้ทุกส่วนของร่างกาย แต่จะพบมากในสมอง จึงมีผลต่อการทำงานในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น

1.1 ลดการสร้างไลโปโปรตีนในตับ และช่วยลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์

1.2 รักษาสมดุลของฮอร์โมน ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายมีความปกติมากขึ้น

1.3 ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลรวม และแอลดีแอลคอเลสเตอรอล ( LDL – ไขมันเลว ) ในกระแสโลหิต ในขณะเดียวกันเพิ่มเอชดีแอลคอเลสเตอรอล ( HDL – ไขมันดี )

1.4 ช่วยบำบัดรักษาอาการเหนื่อยล้า ลดอาการปวดเมื่อยได้ดี

1.5 ช่วยรักษาอาการของโรคซึมเศร้า

1.6 ช่วยต้านอาการเลือดจับตัวแข็งเป็นก้อน และเกาะติดกับผนังของหลอดเลือดแดง ที่เป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ

2. กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก ( DHA ) เป็นสารที่มีในผนังเซลล์ทั่วไป โดยเฉพาะเป็นส่วนประกอบของเซลล์สมอง มีหน้าที่สำคัญ คือ

2.1 ช่วยในการเจริญเติบโตและการพัฒนาของระบบประสาทส่วนกลางและสมอง เกี่ยวข้องกับการส่งผ่านสัญญาณของระบบประสาทและติดต่อสื่อสารกันระหว่างเซลล์สมอง

2.2 ช่วยลดระดับของไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นตัวการทำร้ายสุขภาพ

2.3 ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ทำให้ลดอาการอักเสบต่างๆ

2.4 ช่วยต้านอาการความดันโลหิตสูง และควบคุมระดับความดันได้ดี

2.5 ช่วยในการมองเห็นและบำรุงสายตา

กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 6 มีความสำคัญต่อร่างกาย คือ

นำไปใช้ในการสร้างสารพรอสตาแกลนดินส์ ( Prostaglandins ) ซึ่งเป็นสารที่มีลักษณะคล้ายฮอร์โมน แต่สามารถเข้าไปควบคุมการทำงานของร่างกายได้หลายส่วน เช่น

  • การหลั่งกรดเกลือในกระเพาะอาหาร
  • การหดตัว และคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบของอวัยวะภายใน
  • การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
  • การไหลเวียนของโลหิต

จากการทดลองทางวิทยาศาสตร์โดยใช้หนูขาวในการทดลอง พบว่า ถ้าหนูขาวหลังอดนม ขาดกรดไขมันที่จำเป็น จะทำให้เกิดอาการทางผิวหนัง คือ ผิวหนังตกสะเก็ด ขนร่วง สูญเสียน้ำหนัก อัตราการเจริญเติบโต และการสืบพันธุ์ด้อยลง แต่การกิน (ทั้งน้ำและอาหาร) จะสูงขึ้น เพราะมีการใช้พลังงานภายในร่างกายสูงขึ้น และมักจะตายตั้งแต่อายุยังน้อย

เพราะฉะนั้น หากมีการเลี้ยงเด็กด้วยนมผงขาดมันเนย หรือ คนไข้ที่มีปัญหาในการดูดซึมไขมันจะแสดงอาการเช่นเดียวกับหนูขาว คือ ผิวหนังอักเสบเป็นแผล ( Eczema ) ป่วยเรื้อรัง การเจริญเติบโตจะช้ากว่าเด็กปกติ เส้นผมหยาบและร่วง ติดเชื้อง่าย ปริมาณเกร็ดเลือดต่ำ ภูมิต้านทานโรคต่ำ มีไขมันคั่งในตับ แต่เมื่อให้ทานอาหารที่ผสมกรดไลโนเลอิกเข้าไปในอาหารอย่างน้อยร้อยละ 1 ของพลังงานที่ได้รับทั้งหมดทุกวัน อาการดังกล่าวจะทุเลาและหายภายใน 1 เดือน

2. กรดไขมันไม่จำเป็น ( Nonessential Fatty Acid )

กรดไขมันประเภทนี้ เป็นกรดไขมันที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นมาเองได้ โดยแบ่งเป็นกรดไขมันอิ่มตัว และกรดไขมันไม่อิ่มตัวในตระกูลกรดพาลมิโทเลอิก และตระกูลโอเลอิก

ฟอสโฟลิพิด คือ สารประกอบชนิดไขมันธรรมดาที่ภายในของสารจะประกอบไปด้วยหมู่ฟอสและส่วนของโคลีนที่คอยเกาะอยู่ภายในของเซลล์พืชหรือเซลล์สัตว์ทุกประเภท สารตัวนี้จะมีปริมาณที่สูงมากเรียกว่าสูงเป็นอันดับสองรองจากสารประเภทกรดไขมันเลยก็ว่าได้ ฟอสโฟลิพิดส่วนใหญ่มักพบได้ในตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายซึ่งแต่ละแห่งจะมีอัตราส่วนที่แตกต่างกันออกไป สำหรับความสำคัญของสารตัวนี้ ได้แก่

1.คอยทำหน้าที่หลักในการเป็นโครงสร้างสำคัญให้กับส่วนของผนังเซลล์และตัวเซลล์ออร์แกเนลล์ สารนี้จะคอยให้โปรตีนและคอยควบคุมความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นภายในเซลล์ซึ่งนั่นอาจส่งผลทำให้สารชนิดนี้กลายเป็นสารที่เป็นได้มากกว่าการเป็นเพียงไขมันสะสมและถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงโครงสร้างของเซลล์ก็ตามทีบวกกับเป็นสารที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาด้วยแต่ถึงอย่างนั้นปริมาณของสารที่มีอยู่ก็จะยังคงรักษาระดับไว้ให้อยู่ในช่วงคงที่อยู่เสมอนั่นก็เพราะร่างกายนั้นไม่ได้นำเอาสารตัวนี้ไปใช้ในการเผาผลาญเพื่อเปลี่ยนให้เป็นพลังงานแต่อย่างใด ( ไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงของการอดอาหารก็เช่นกัน )

2.เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการย่อยสารอาหาร การดูดซึมสารอาหารและการขนส่งสารอาหารประเภทไขมัน ฮอร์โมนและวิตามิน ช่วยทำให้ตัวเซลล์ยังคงสามารถเลือกใช้กรดไขมันได้ในระดับที่เรียกว่าดีมากไว้ได้

3.เป็นสิ่งที่กลายเป็นส่วนประกอบสำคัญของเลือด สารนี้จะเข้าไปรวมอยู่กับส่วนของโปรตีนในอัตราส่วนที่แตกต่างกันไป จะคอยทำหน้าที่ช่วยขนส่งพวกสารอาหารประเภทลิพิดแบบต่าง ๆ และส่งไปให้กับเซลล์ ( ระดับตามปกติสำหรับบุคคลที่อายุอยู่ในช่วง 20 ปี ถึง 50 ปีจะอยู่ที่ประมาณ 250 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ) สารนี้จะไม่ถูกส่งไปยังเซลล์เนื้อเยื่ออื่นใดเป็นอันขาดเพราะเซลล์แต่ละประเภทล้วนต่างสามารถสร้างสารตัวนี้ใช้เองได้ ไม่จำเป็นต้องมีการส่งมาจากที่ใด

สารเลซิติน ก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่นับว่าเป็นฟอสโฟลิพิดอีกประเภทหนึ่งเช่นกัน เลซิตินภายในจะประกอบไปด้วยอินโนซิทอลและโคลีนอยู่ภายใน สามารถพบได้มากตามบริเวณเนื้อเยื่อของร่างกาย ตามส่วนของการขนส่งและการใช้กรดประเภทกรดไขมัน นอกจากนี้เซลล์ของร่างกายยังสามารถทำการสังเคราะห์สารตัวนี้ได้ด้วยตัวเองได้อีกด้วย แต่ข้อควรระวังก็คือหากพบว่าเมื่อใดก็ตามที่ร่างกายมีปริมาณของเลซิตินที่อยู่ในระดับสูงมากเกินไปนั่นอาจส่งผลทำให้เกิดการดูดซึมปริมาณคอเลสเตอรอลที่ลดน้อยลงตามไปด้วยได้ อาจทำให้ไขมันที่อยู่ภายในเลือดเกิดการไม่รวมตัวเข้า ด้วยกัน ฉะนั้นหากภายในร่างกายมีปริมาณเลซิตินที่มากพอแล้วจึงยิ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบริโภคสารตัวนี้เพิ่มเข้าไปอีก สำหรับปริมาณที่มากเกินไปนั้นจะอยู่ที่ “มากกว่า 3500 มิลลิกรัม” ปริมาณระดับนี้สามารถส่งผลทำให้เกิดความเสียหายต่อร่างกายได้สูงมาก ตัวอย่างอาการหรือลักษณะที่พบได้ ได้แก่ การมีระดับความดันโลหิตที่ลดต่ำลง การมีอาการคลื่นไส้และอาเจียน ฯลฯ

ส่วนในกรณีของโคลีนก็เป็นสารที่อยู่ในกลุ่มเมธิลและยังเป็นรูปแบบของฟอสโฟลิพิดเหมือนกับสารข้างต้น สารตัวนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาทเป็นอย่างมาก ร่างกายสามารถที่จะทำการสังเคราะห์ตัวโคลีนได้จากเมไทโอนีนเองได้แถมยังสามารถช่วยสังเคราะห์พวกโปรตีนและฮอร์โมนที่ได้จากต่อมหมวกไตได้อีกมากมายอีกด้วย

สุดท้ายส่วนของคอเลสเตอรอล สารตัวนี้เป็นสารประเภทไขมันซึ่งมีสูตรโครงสร้างภายในเป็น สเตอรอล เป็นสิ่งที่ไม่สามารถให้พลังงานแก่ร่างกายได้ สามารถพบได้ที่บริเวณของเนื้อเยื่อและในอวัยวะของสัตว์ทุกประเภท พบได้ในปริมาณที่ค่อนข้างแตกต่างกันไป ไม่สามารถพบได้ในอาหารที่ทำมาจากพืช เป็นสารที่สามารถผ่านบริเวณผนังลำไส้ของคนเราได้เป็นอย่างดี มีสีคล้ายกับขี้ผึ้ง (สีออกขาวๆ) ตามปกติแล้วคอเลสเตอรอลมักจะได้รับจากสองทางนั่นคือได้จากการเกิดการสังเคราะห์ด้วยตัวเองกับอีกแบบคือได้มาจากการรับประทานอาหารที่มีสารตัวนี้เข้าไป

สำหรับการสร้างและการสลายตัวนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดระยะเวลา ตับจะคอยทำหน้าที่ในการเปลี่ยนคอเลสเตอรอลให้กลายเป็นกรดน้ำดีหลังจากนั้นก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเกลือน้ำดีตามมา เมื่อเปลี่ยนเป็นเกลือน้ำดีเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จะค่อย ๆ ปล่อยเข้าไปในส่วนของลำไส้เล็กเพื่อทำหน้าที่ช่วยย่อยไขมันภายในนั้น ( กระบวนการย่อยก็คือจะเข้าไปทำให้ไขมันเกิดการแตกตัวเพื่อกลายเป็นโมเลกุลขนาดเล็ก ) ข้อควรรู้ก็คือ ปริมาณคอเรสเตอรอลที่ร่างกายของคนเรานั้นสามารถสร้างได้ตามปกติจะอยู่ที่ 15 – 20 กรัม/วัน ( คิดโดยประมาณอยู่ที่ 80% ของความต้องการที่ร่างกายต้องการ ) และระดับของคอเลสเตอรอลที่อยู่ภายในเลือดของคนเราทั่วไปจะอยู่ที่ 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ( สำหรับคนช่วงอายุ 20 ปีถึง 50 ปี )

ไตรกลีเซอไรด์ ( Triglyceride ) เป็นสารอาหารประเภทไขมันชนิดหนึ่งที่พบได้มากในอาหาร ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ หากได้รับไตรกลีเซอไรด์มากเกินความจำเป็น เพราะไตรกลีเซอไรด์จะถูกเก็บไว้ในเนื้อเยื่อ เมื่อมีมากขึ้น ก็จะทำให้เสี่ยงต่อภาวะไขมันในเลือดสูงได้ ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่ ผู้ที่มีไตรกลีเซอไรด์สูงก็จะมีไขมันในเลือดสูงด้วยนั่นเอง นอกจากนี้ไตรกลีเซอไรด์ที่เข้าสู่ร่างกายได้นั้น จะสามารถรับเข้ามาได้สองทางด้วยกัน คือจากอาหารไขมันที่บริโภคเข้าไปอยู่ในรูปของ ( Chylomicron Triglyceride , Chylomicron-TG ) และจากการสังเคราะห์ที่ตับจากน้ำตาลและแป้งที่บริโภคเข้าไป ซึ่งสังเคราะห์ได้เป็น ( Very Low Density Lipoprotein Triglyceride VLDL-TG ) ในคนอ้วนระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดมักจะสูง

หน้าที่และความสำคัญของลิพิด

1. ลิพิดมีความสำคัญโดยจะเป็นส่วนประกอบของร่างกาย โครงสร้างผนังเซลล์และในการสร้างเซลล์สมอง และมีความสำคัญอย่างมากในเด็กก่อนคลอด นอกจากนี้นี้เซลล์ในร่างกายทั้งหมดจะประกอบด้วยไขมัน ซึ่งพบว่าในผู้หญิงที่แข็งแรงและไม่อ้วนจะมีไขมันอยู่ร้อยละ 18-25 ของน้ำหนักตัว ในขณะที่ผู้ชายในภาวะเดียวกันจะมีไขมันอยู่ร้อยละ 15 -20 ของน้ำหนักตัวเท่านั้น

2. ไขมัน 1 กรัม จะให้พลังงานได้ถึง 9 กิโลแคลอรี ดังนั้นจึงเป็นแหล่งสะสมพลังงานอย่างดี ซึ่งในภาวะปกติ ไขมันจะให้เนื้อเยื่อ ไขมันที่ใต้ผิวหนัง ในช่องท้องรอบๆ อวัยวะภายในและแทรกอยู่ทั่วไปตามในกล้ามเนื้ออีกด้วย

3. ทำหน้าที่ในการเร่งการดูดซึมและขนส่งวิตามินที่ละลายไขมันในร่างกายไปตามส่วนต่างๆ

4. เป็นแหล่งของกรดไขมันจำเป็น โดยจะประกอบไปด้วยของโครงสร้างผนังเซลล์และใช้ในการสร้างเซลล์สมอง และจำเป็นอย่างมากในเด็กก่อนคลอด เพราะร่างกายไม่สามารถที่จะสังเคราะห์ขึ้นมาเองได้ จึงต้องได้รับผ่านการทานอาหารของแม่นั่นเอง นอกจากนี้จากการศึกษาพบว่ากรดไลโนเลอิกซึ่ง เป็นกรดไขมันจำเป็นที่จะช่วยเร่งการเผาผลาญคอเลสเทอรอลไปเป็นน้ำดี และอาจจะช่วยลดการหลั่งของ LDL โดยตับด้วย อีกทั้งกรดไลโนเลอิกก็จะช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ลดการจับตัวของเกล็ดเลือดและลดความดันโลหิตด้วยเช่นกัน

5. ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกัน เพื่อลดอันตรายจากการกระทบกระเทือนไปยังอวัยวะภายใน โดยเฉพาะไขมันบริเวณช่องอกและช่องท้องจะทำหน้าที่นี้ได้ดี

6. ช่วยในการเติบโต บำรุงสุขภาพ และผิวหนังของทารก

7. สามารถเปลี่ยนเป็นคาร์โบไฮเดรตและกรดไขมันไม่จำเป็นได้เมื่อร่างกายต้องกาย

8. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย และลดการเสียความร้อนออกนอกร่างกายทางผิวหนังมากเกินไป โดยจะทำให้อุณหภูมิของร่างกายมีความคงที่มากขึ้น โดยส่วนใหญ่แล้วคนอ้วนที่มีไขมันมากจะทนต่ออุณหภูมิต่ำได้ดีกว่าคนที่มีไขมันน้อย

9. คอเลสเตอรอล จำเป็นในการสังเคราะห์ Provitamin D, Adrenocortical Hormones, Steroid Sex Hormones and Bile Salts

10. ฟอสโฟลิพิด ทำหน้าที่เป็น อิมัลซิฟอิงเอเจนต์ ( Emulsifying Agents ) ที่มีประสิทธิภาพมาก ซึ่งจะช่วยในกระบวนการย่อยและการดูดซึมได้ดี

11. ไขมันบางชนิดที่ผิวเซลล์ประสาทจะทำหน้าที่ในการช่วยส่งผ่านสัญญาประสาท

12. ช่วยเพิ่มรสชาติและลักษณะเนื้อให้อาหาร ทำให้อาหารมีรสชาติอร่อยมากขึ้น

ความต้องการไขมันของร่างกาย

คณะกรรมการจัดทำข้อกำหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจำวัน สำหรับคนไทย ปี 2546 ได้แนะนำปริมาณไขมันที่ควรได้รับประจำวันในผู้ใหญ่ ทั้งชายและหญิง รวมทั้งหญิงตั้งครรภ์ และหญิงที่ให้นมบุตร คือ ร้อยละ 25-35 ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน โดยที่ไขมันที่บริโภคควรได้จากกรดไขมันจำเป็นกลุ่มโอเมก้า 3 ร้อยละ 0.6-1.2 ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน และกรดไขมันจำเป็นกลุ่มโอเมก้า 6 ร้อยละ 5-10 ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับ
สำหรับในเด็ก ปริมาณไขมันที่ควรได้รับจะค่อยๆ ลดลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยที่เด็กอายุ 1-3 ปี ปริมาณไขมันที่ควรได้ คือ ร้อยละ 30-40 ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน แต่เมื่ออายุ 4-18 ปี ปริมาณที่แนะนำ คือ ร้อยละ 25-35 ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน สำหรับปริมาณคอเลสเตอรอล คณะกรรมการอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา US (FDA) แนะนำว่าไม่ควรได้รับเกินวันละ 300 mg.

โรคอาหารที่เกี่ยวกับไขมัน

1. ผลของการได้รับไขมันน้อย

ปกติแล้ว โรคที่เกิดจากการขาดไขมัน จนนำไปสู่การได้รับวิตามินไม่เพียงพอ มักจะไม่ค่อยปรากฏกับร่างกายมนุษย์มากนัก แต่ถ้าเป็นกรณีที่ได้รับกรดไขมันที่จำเป็น ( กรดไลโนเลอิก-กรดไลโนเลนิก ) ไม่เพียงพอ ก็อาจทำให้เกิดปัญหาทางผิวหนัง โดยเฉพาะโรค eczema ที่มักจะพบมากในวัยเด็ก เพราะได้รับกรดไลโนเลอิกน้อยกว่าพลังงานทั้งหมดที่ร่างกายควรได้รับ อาการที่สามารถสังเกตได้ง่าย คือผิวจะบางกว่าปกติ ถ้าเกิดการเสียดสีก็อาจทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อได้ง่าย เส้นผมจะหยาบมากขึ้น และการเติบโตก็จะชะงักแบบเห็นได้ชัด อาจจะมีไขมันบางส่วนไปคั่งในตับอีกด้วย

ถ้าหากเด็กได้ทานนมแม่หรือทานนมชงที่มีสารอาหารครบถ้วน ก็จะไม่มีปัญหากับโรคนี้ เพราะในน้ำนมคนและน้ำนมวัวจะมีกรดไลโนเลอิกสูง แต่ถ้ามีอาการของโรคแล้ว วิธีการรักษาคือ การให้กรดอะราชิโดนิกเพิ่มเติม ทางเส้นเลือดหรือกล้ามเนื้อ แต่ถ้าอาการไม่รุนแรงจะให้ทางปาก

นอกจากนี้ กรดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็น จะช่วยในการละลายและควบคุมปริมาณของคอเลสเตอรอลในเลือด ดังนั้นถ้าขาดกรดไขมันที่จำเป็น จะเป็นสาเหตุทำให้คอเลสเทอรอล สะสมในเลือดมากเกินไปจนอาจทำให้เกิดการอุดตัน เป็นสาเหตุให้เกิดโรคหัวใจ

2. ผลของการได้รับไขมันมากเกินไป

การบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้น้ำหนักขึ้นอย่างผิดปกติ และทำให้อ้วนได้ เพราะการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงมาก ๆ จะเป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบย่อยอาหาร ดูดซึมช้ากว่าปกติ และมีผลทำให้อาหารไม่ย่อย

แต่ในกรณีที่ขาดคาร์โบไฮเดรต ร่วมกับการขาดน้ำในอาหารที่บริโภค ( การอดอาหารโดยเฉพาะแป้ง ) หรือร่างกายมีการทำงานของไตผิดปกติ กระบวนการเมตาบอลิซึมของไขมันจะไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และทำให้เกิดการเป็นพิษแก่ร่างกาย

โรคที่มักจะเกิดจากการที่ร่างกายได้รับไขมันมากเกินไป และรู้จักอย่างแพร่หลาย ได้แก่

2.1 โรคอ้วน ( Obesity ) คือโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายมีการสะสมไขมันเอาไว้มากกว่าปกติ ทำให้น้ำหนักเกินเกณฑ์ และอาจนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพได้อีกมากมาย โดยทั่วไปจะมีไขมันสะสมมากกว่าร้อยละ 25-30 ของน้ำหนักร่างกาย ส่วนโรคที่คนอ้วนมักจะเสี่ยง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคไขมันสูงในเลือด โรคข้ออักเสบ โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคเบาหวาน และโรคมะเร็งบางชนิด

โรคอ้วนที่มีผลร้ายต่อสุขภาพมี 3 ประเภท

1. อ้วนทั้งตัว ( Overall Obesity ) เป็นผู้ที่มีไขมันอยู่ทั่วร่างกายมากกว่าปกติ ไม่ได้มีไขมันเยอะเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น

ตาราง ปริมาณกรดไลโนเลอิก ในน้ำมันพืชที่ใช้ปรุงอาหาร
ส่วนประกอบ ชื่อทางการค้า กรดไลโนเลอิก % ของกรดไขมันทั้งหมด
น้ำมันบริสุทธิ์
ถั่วเหลือง 100% Best Food Salad Oil 57
ถั่วเหลือง 100% ทิพ 47
ข้าวโพด 100% Mazola 47
ถั่วลิสง 100% อาละดิน 37
รำข้าว 100% ทิพ 34
รำข้าว 100% ลูกโลก 32
รำข้าว 100% คิง 31
ปาล์ม 100% Pigeon 13
ปาล์ม 100% รอยโก้ 11
มะพร้าว 100% ช้างบิน 2
น้ำมันผสม
ถั่วเหลือง 50% นุ่น 50% ทิพ 48
ถั่วเหลือง 25% นุ่น 25% รำข้าว 25%
ฝ้าย 25%
ทิพ 48
รำข้าว 50% นุ่น 50% ทิพ 37
ถั่วเหลือง 40% นุ่น 40% ฝ้าย 25% กุ๊ก 48
ถั่วเหลือง 40% รำข้าว 40%
ฝ้าย 20%
กุ๊ก 49

2. อ้วนลงพุง ( Visceral or Abdominal Obesity ) เป็นการอ้วนโดยมีไขมันที่หน้าท้องมากกว่าปกติ และมักจะมีพุงยื่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด

3. อ้วนทั้งตัวร่วมกับอ้วนลงพุง ( Combined Overall and Abdominal Obesity ) เป็นผู้ที่อ้วนทั้งตัวและมีไขมันหน้าท้องเยอะด้วย ซึ่งจะมีพุงยื่นออกมาอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน

การวินิจฉัยโรคอ้วน ในทางปฏิบัติทั่วไปนิยมใช้วิธีต่อไปนี้ คือ

1. การชั่งน้ำหนักและการวัดส่วนสูง โดยการชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูงเพื่อให้ได้ค่าที่แน่นอนที่สุด คือจะต้องชั่งโดยใส่เสื้อผ้าบางๆ และวัดส่วนสูงด้วยการไม่สวมรองเท้า จากนั้นจะนำค่าทั้งสองที่วัดได้มาเทียบกับตารางน้ำหนักมาตรฐานของแต่ละระดับความสูง

เกณฑ์การตัดสิน คือน้ำหนักตัวที่มีค่าระหว่างร้อยละ 100-119 ของน้ำหนักตัวมาตรฐานจะถือได้ว่ามีน้ำหนักเกิน

ตารางที่ น้ำหนักที่ควรเป็นของเพศชายและหญิง กำหนดโดยส่วนสูง
ผู้ชาย ผู้หญิง
ความสูง

(ซม.)

น้ำหนักเฉลี่ย

(กิโลกรัม)

น้ำหนักที่ควรเป็น

(กิโลกรัม)

น้ำหนักเฉลี่ย

(กิโลกรัม)

น้ำหนักที่ควรเป็น

(กิโลกรัม)

145 46.0 42-53
148 46.5 42-54
150 47.0 43-55
152 48.5 45-57
154 49.5 44-58
156 50.4 45-58
158 55.8 51-64 51.3 46-59
160 57.6 52-65 52.6 48-61
162 58.6 53-66 54.0 49-62
166 60.6 55-69 56.8 51-65
168 61.7 56-71 58.1 52-66
170 63.5 58-73 60.0 53-67
172 65.0 59-74 61.3 55-69
174 66.5 60-75 62.6 56-70
176 68.0 62-77 64.0 58-72
178 69.4 64-79 65.3 59-74
180 71.0 65-80
182 72.6 66-82
184 74.2 67-74
186 75.8 69-86
188 77.6 71-88
190 79.3 73-90
192 71.0 75-93

 

ตาราง การแบ่งประเภทความอ้วนตาม BMI ขององค์การอนามัยโลก
Classification  BMI
Normal 18.5-24.9
Overweight ≥ 25
Pre-obese 25.0-29.9
Obese I 30.0-34.9
Obese II 30.0-39.9
Obese III ≥ 40

 

ตารางองค์ประกอบของกรดไขมันที่พบในน้ำมัน และไขมัน ที่ใช้รับประทานทั่วไป

(คิดเป็นร้อยละของกรดไขมันทั้งหมด)

ชนิดของน้ำมัน

และไขมัน 

กรดไขมันอิ่มตัว กรดไขมันไม่อิ่มตัว

หนึ่งตำแหน่ง

กรดไขมันไม่อิ่มตัว

หลายตำแหน่ง

มะพร้าว 86 6 2
รำข้าว 19 38 37
งา 15 40 40
ดอกคำฝอย 9 12 74
น้ำมันหมู 38 53 9
ปาล์ม 48 38 9
ทานตะวัน 10 21 64
ฝ้าย 26 29 51
ถั่วลิสง 19 46 30
มะกอก 14 72 9
ถั่วเหลือง 15 23 58
ข้าวโพด 13 25 58

 

ตารางปริมาณคอเลสเตอรอล ไขมันและกรดไขมันอิ่มตัวในอาหารไทย
ชนิดอาหาร ไขมัน

(กรัม/100กรัม)

คอเลสเตอรอล

(มก./100กรัม)

กรดไขมันอิ่มตัวร้อยละ

ของไขมันทั้งหมด

ไข่ไก่, ไข่แดง 30.0 1,250 34.9
ไข่ไก่, ทั้งฟอง 8.6 427 35.7
ไข่นกกระทา 13.2 508 37.4
ไข่ขาว, ไข่ไก่ 0.3 32.1
ตับ, หมู 5.2 364 41.1
ตับ, ไก่ 7.9 336 42.4
ตับ, เป็ด 3.5 235 40.5
หมู, เซ่งจี้ 3.0 235 33.1
หมู, ขา 18.0 66 29.4
หมู, สันใน 2.4 49 36.9
หมู, แฮมทอด 7.9 66 27.9
วัว, เนื้อ 1.7 65 45.5
วัว, สันใน 3.3 55 36.6
วัว, น้ำนม 3.9 17 63.7
น่องไก่ 10.0 100 29.6
อกไก่, ไม่ติดหนัง 1.5 63 32.4
เป็ด, เนื้อ 2.2 82 31.0
กุ้งแชบ๊วย 0.9 192 30.8
กุ้งกุลาดำ 1.2 175 31.6
มันกุ้งนาง 34.0 138 38.3
หอยนางรม 4.2 231 37.3
หอยแมลงภู่ 1.6 148 32.1
หอยแครงลวก 1.5 195 35.9
ปูทะเล 0.4 87 29.5
ปูทะเล, มัน 4.7 361 39.1
ปลาหมึกกล้วย, เนื้อ 1.1 251 34.0
ปลาดุก, เนื้อ 3.0 94 34.2
ปลาช่อน, เนื้อ 4.3 44 31.5
ปลาทู 5.2 76 34.2
ปลาจะละเม็ด 2.6 56 48.5
เนย 82.4 186 65.4
เนยแข็ง 29.7 94 61.9

ข้อควรระวังในการทานน้ำมันตับปลา

น้ำมันตับปลามีประโยชน์ในการช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อควรระวังในการทานเช่นกัน นั่นเอง

1. น้ำมันตับปลาไม่เหมาะกับผู้ที่มีความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด เพราะจะทำให้เลือดออกง่ายขึ้น และเป็นอันตรายได้

2. การได้รับน้ำมันปลาซึ่งเป็นไขมันที่ไม่อิ่มตัวในปริมาณสูง จะทำให้ร่างกายต้องการวิตามินอีเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ต้องทานวิตามินอีเสริมมากขึ้นกว่าเดิมไปด้วย เพราะวิตามินอีที่ได้รับอาจไม่เพียงพอกับความต้องการนั่นเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Maitland, Jr Jones (1998). Organic Chemistry. W W Norton & Co Inc (Np). p. 139. ISBN 978-0-393-97378-5.

McNaught, A. D. and Wilkinson, A., ed. (1997). “lipids”. Compendium of Chemical Terminology (the “Gold Book”) (2nd ed.). Oxford: Blackwell Scientific Publications. 

Fahy E, Subramaniam S, Murphy RC, Nishijima M, Raetz CR, Shimizu T, Spener F, van Meer G, Wakelam MJ, Dennis EA (April 2009). “Update of the LIPID MAPS comprehensive classification system for lipids”. Journal of Lipid Research. 

ธาตุสังกะสีตัวช่วยในการดูดซึมสารอาหาร ( Zinc )

0
ธาตุสังกะสีตัวช่วยในการดูดซึมสารอาหาร (Zinc)
สังกะสีถูกดูดซึมได้ในลำไส้เล็กตอนต้น ดูดซึมได้ดีในรูปของซิงค์กลูโคเนต พบในเนื้อสัตว์ เมล็ดฟักทอง จมูกข้าวสาลี โกโก้ ชา ถั่ว และกระถิน
ธาตุสังกะสีตัวช่วยในการดูดซึมสารอาหาร (Zinc)
สังกะสีถูกดูดซึมได้ในลำไส้เล็กตอนต้น ดูดซึมได้ดีในรูปของซิงค์กลูโคเนต พบในเนื้อสัตว์ เมล็ดฟักทอง จมูกข้าวสาลี โกโก้ ชา ถั่ว และกระถิน

ธาตุสังกะสี ( Zinc ) มีความสำคัญอย่างไร

ธาตุสังกะสี ( Zinc ) เป็นธาตุอาหารชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อระบบการทำงานของร่างกายของมนุษย์ สัตว์หรือพืช นับเป็นหัวใจในการทำงานร่วมกับเอนไซม์ต่างๆ มากกว่า 300 ชนิด การรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุชนิดนี้อย่างเพียงพอจะช่วยรักษาร่างกายให้ทำงานได้อย่างสมดุล และเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายไม่ต้องการมากนัก นอกจากธาตุเหล็กแล้ว ธาตุสังกะสี คือแร่ธาตุที่พบมากเป็นอันดับสองในเกือบทุกเซลล์ในร่างกาย จะมีสังกะสีอยู่ 1.8 กรัม แต่มีเหล็กอยู่ถึง 5 กรัมและเนื่องจากในอาหารจำพวกผักผลไม้มี  แร่ธาตุสังกะสีอยู่ในปริมาณน้อย ผู้ที่ทานอาหารเจหรืออาหารมังสวิรัติจึงได้รับสังกะสีน้อยกว่าคนทั่วๆ ไปที่ไม่ได้ทาน

หน้าที่ของแร่ธาตุสังกะสีในร่างกาย

1. มีส่วนช่วยในการดูดซึมและการเกิดปฏิกิริยาของวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินบีรวม

2. เป็นส่วนหนึ่งของน้ำย่อยในการย่อยอาหารและการเผาผลาญภายในร่างกาย เช่น

  • เอนไซม์แลคเตตและมาเลตดีไฮโดรจีเนส ( Latate and Malate Dehydrogenase ) ที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ในการสร้างพลังงาน
  • เอนไซม์ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส ( Super Oxide Dismutase, SOD ) ซึ่งมีฤทธิ์ในการต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น สามารรถช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ และชะลอวัยได้
  • น้ำย่อยคาร์โบนิก แอนไฮเดรส ( Carbonic Anhydrase ) เป็นน้ำย่อยที่สำคัญต่อการหายใจของเนื้อเยื่อและทำให้กรดอะมิโนมีความสมดุล

3. ช่วยให้ฮอร์โมนอินซูลินและอวัยวะรับสัมผัสทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น เช่น การรับรู้รสชาติและกลิ่นต่าง ๆ ได้ไวขึ้น

4. เป็นส่วนหนึ่งของน้ำย่อยแอลกอฮอล์ดีไฮโดรจีเนส ( Alcohol Dehydrogenase ) ซึ่งช่วยในการขจัดสารพิษในตับอย่างแอลกอฮอล์ให้หมดไป

5. ช่วยในการย่อยคาร์โบไฮเดรตและฟอสฟอรัสเมแทบอลิซึม ให้ร่างกายนำไปใช้งานได้ง่ายขึ้น

6. มีความสำคัญในการสังเคราะห์และเมแทบอลิซึมของกรดนิวคลิอิก อย่าง ดีเอ็นเอ ( DNA ) และอาร์เอ็นเอ ( RNA ) ซึ่งร่างกายจำเป็นต้องใช้ในระหว่างสร้างเซลล์ใหม่

7. มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็กทารก เด็กวัยรุ่น และผู้หญิงตั้งครรภ์ และการพัฒนาของอวัยวะสืบพันธ์ุอย่างเหมาะสมและช่วยให้การทำงานของต่อมลูกหมาก ( Prostate Gland ) เป็นไปตามปกติ

8. ช่วยให้เซลล์สามารถนำวิตามินเอไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ทำให้เซลล์ผิวหนังที่เกิดขึ้นใหม่มีความสมบูรณ์ช่วยให้ความสมดุลของผิวหนังเป็นปกติ และช่วยป้องกันปัญหาสิวซึ่งมีสาเหตุมาจากการอุดตันของไขมันได้

9. ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะการทำงานของเม็ดเลือดขาว 

การดูดซึมแร่ธาตุสังกะสีของร่างกาย

แร่ธาตุสังกะสี ( Zinc ) จะถูกดูดซึมได้ในลำไส้เล็กตอนต้น หากเป็นในรูปของซิงค์กลูโคเนตจะทำให้ดูดซึมได้ดียิ่งขึ้น สังกะสีส่วนใหญ่จะถูกขับถ่ายออกมาทางอุจจาระ

มีถูกขับออกทางปัสสาวะเป็นส่วนน้อย โดยสังกะสีจะถูกเก็บเอาไว้มากที่สุดใน ตับ ตับอ่อน ไต กระดูกและเนื้อเยื่อที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการบังคับของจิตใจ ที่เหลืออาจถูกเก็บไว้ในต่อมลูกหมากและตัวอสุจิ ผิวหนัง ผม เล็บมือปละเล็บเท้า หากร่างกายได้รับแคลเซียมฟอสฟอรัส วิตามินดี สารไฟเตตและใยอาหารในปริมาณมากจะมีผลให้การดูดซึมของสังกะสีถูกขัดขวาง ดังนั้นหากบริโภคอาหารที่มีสารเหล่านี้สูง ก็ควรจะบริโภคอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสีเข้าไปในปริมาณที่เท่าๆ กันด้วย

อาหารที่มีธาตุสังกะสี

แร่ธาตุสังกะสี พบได้ทั่วไปในอาหารจำพวกสัตว์และพืชในสัตว์โดยเฉพาะในอาหารทะเล หอยนางรม ตับ ตับอ่อน ไข่ เนื้อสัตว์ เมล็ดฟักทอง จมูกข้าวสาลี โกโก้ ชา ถั่ว และกระถิน แต่พบไม่มากนักในผักและผลไม้ และร่างกายก็ไม่สามารถที่จะดูดซึมได้ดีนัก เพราะในผักผลไม้มีใยอาหารและมีสารไฟเตตซึ่งจะไปจับกับสังกะสีทำให้ร่างกายดูดซึมได้น้อยลง จึงได้รับสังกะสีจากผักผลไม้น้อยมากนั่นเอง

ปริมาณสังกะสีอ้างอิงที่ควรได้ต่อวันสำหรับคนไทยในแต่ละวัย
เพศ อายุ ปริมาณ หน่วย
ทารก 6-11 เดือน 3 มิลลิกรัม/วัน
เด็ก 1-3 ปี 2 มิลลิกรัม/วัน
4-5 ปี 3 มิลลิกรัม/วัน
6-8 ปี 4 มิลลิกรัม/วัน
วัยรุ่นผู้ชาย 9-12 ปี 5 มิลลิกรัม/วัน
13-15 ปี 8 มิลลิกรัม/วัน
16-18 ปี 9 มิลลิกรัม/วัน
วัยรุ่นผู้หญิง 9-12 ปี 5 มิลลิกรัม/วัน
13-15 ปี 7 มิลลิกรัม/วัน
16-18 ปี 7 มิลลิกรัม/วัน
ผู้ใหญ่ผู้ชาย 19-≥ 71 ปี 13 มิลลิกรัม/วัน
ผู้ใหญ่ผู้หญิง 19-≥ 71 ปี 7 มิลลิกรัม/วัน
ผู้หญิงตั้งครรภ์ ควรได้รับเพิ่มอีก 2 มิลลิกรัม/วัน
ผู้หญิงให้นมบุตร ควรได้รับเพิ่มอีก 1 มิลลิกรัม/วัน

จากผลการศึกษาวิจัยพบว่าหากอยู่ในภาวะตึงเครียด อยู่ในช่วงอดอาหาร หรือมีอาการเจ็บป่วย จะทำให้ร่างกายมีความต้องการสังกะสีมากขึ้น รวมทั้งผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน

สาเหตุที่ร่างกายขาดแร่ธาตุสังกะสี

1.ได้รับสังกะสีไม่พอเพียงต่อความต้องการ เช่น ไม่ค่อยรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสีมากนัก หรือรับประทานแต่อาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสีน้อย

2. ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุสังกะสีได้ลดน้อยลง ซึ่งอาจมีสาเหตุจาก

  • รับประทานอาหารที่มีใยอาหารและไฟเตตในปริมาณที่มากเกินไป
  • ได้รับแคลเซียม หรือธาตุเหล็กในปริมาณมาก
  • เป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้เล็กหรือโรคทางพันธุกรรมจึงเป็นผลให้ร่างกายดูดซึมสังกะสีได้น้อยลง
  • มีอายุเพิ่มสูงขึ้น ทำให้การดูดซึมแย่ลงไปด้วย

3. โปรตีนที่เป็นตัวนำสังกะสีในกระแสเลือดถูกผลิตออกมาน้อยลงอันเนื่องมาจากการขาดโปรตีน ทำให้ร่างกายนำสังกะสีไปใช้ได้น้อย

4. ร่างกายสูญเสียสังกะสี เช่น อาจมีอาการป่วยเป็นโรคไต ส่งผลให้สังกะสีถูกขับออกมาทางปัสสาวะ หรือผู้ป่วยที่โดนน้ำร้อนลวก โดนไฟไหม้ ก็จะทำให้สูญเสียสังกะสีไปกับน้ำเหลืองที่ออกมาทางบาดแผล

5. ร่างกายมีความต้องการธาตุสังกะสีเพิ่มมากขึ้น เช่น อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร หรือเด็กที่อยู่ในช่วงวัยเจริญเติบโต หากได้รับสังกะสีไม่พอเพียงแก่ความต้องการในช่วงที่กล่าวมาแล้ว ก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะขาดสังกะสีได้

6. การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะยาคุมกำเนิดมีผลทำให้ต้องการสังกะสีมากกว่าปกติ

ผลจากการขาดธาตุสังกะสี

การที่ร่างกายขาดธาตุสังกะสี จะส่งผลให้ระบบภูมิต้านทาน และการทำงานในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ทำให้เจริญเติบโตได้ช้า แผลหายช้า ความไวในการรับรสหย่อนประสิทธิภาพ และไม่อยากรับประทานอาหาร นอกจากนี้การได้รับแร่ธาตุที่เป็นพิษอย่างแคดเมียมเข้าสู่ร่างกายก็จะทำให้เกิดการขาดสังกะสีมากขึ้น และหากร่างกายขาดสังกะสี แคดเมียมก็จะยังคงอยู่ในร่างกายซึ่งก็จะเป็นผลให้ร่างกายเสื่อมสภาพเร็วขึ้น นอกจากนี้การขาดสังกะสียังมีโอกาสทำให้เป็นหมันและทำให้ร่างกายแคระแกรน มีความผิดปกติของต่อมลูกหมากเกิดขึ้น

อาการเป็นพิษจากธาตุสังกะสี

การได้รับแร่ธาตุสังกะสีเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปจะทำให้ร่างกายไม่สามารถนำเหล็กและทองแดงไปใช้ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้หากได้รับสังกะสีซัลเฟต ( Zine Sulfate ) ประมาณ 2 กรัมหรือมากกว่า 2 กรัมขึ้นไปจะทำให้เกิดพิษต่อร่างกาย โดยจะทำให้ระบบทางเดินอาหารมีอาการผิดปกติ มีการอาเจียน หากได้รับ 18.5 – 25 มิลลิกรัมต่อวัน จะมีผลให้ระดับทองแดงในเลือดต่ำ ( Hypocupremia ) เม็ดเลือดแดงจะเล็กลงกว่าปกติ ( Microcytosis ) และทำให้เม็ดเลือดขาวชนิด ( Neutrophil ) มีจำนวนน้อยกว่าปกติ ( Neutropenia )

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“Atomic weights of the elements 2013 (IUPAC Technical Report)”. Pure Appl. Chem. 88 (3): 265–91. 

Weast, Robert (1984). CRC, Handbook of Chemistry and Physics. Boca Raton, Florida: Chemical Rubber Company Publishing. pp. E110. ISBN 0-8493-0464-4.

Thornton, C. P. (2007). “Of brass and bronze in prehistoric Southwest Asia” (PDF). Papers and Lectures Online. Archetype Publications. ISBN 1-904982-19-0.