ต่อมลูกหมากอักเสบ ( Prostatitis ) เกิดขึ้นได้อย่างไร

0
ต่อมลูกหมากอักเสบ ( Prostatitis ) เกิดขึ้นได้อย่างไร
ต่อมลูกหมากอักเสบ ( Prostatitis ) เป็น การติดเชื้อของต่อมลูกหมาก ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียมีการแพร่กระจายไปยังกระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะและเข้าสู่ต่อมลูกหมาก ทำให้เกิดการอักเสบ
ต่อมลูกหมากอักเสบ ( Prostatitis ) เกิดขึ้นได้อย่างไร
ต่อมลูกหมากอักเสบ เป็นการติดเชื้อของต่อมลูกหมาก ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียมีการแพร่กระจายไปยังกระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะและเข้าสู่ต่อมลูกหมากทำให้เกิดการอักเสบ

ต่อมลูกหมากอักเสบ

ต่อมลูกหมากอักเสบ ( Prostatitis ) เป็น การติดเชื้อของต่อมลูกหมาก แต่การอักเสบของต่อมลูกหมากในคนไข้บางรายไม่แสดงอาการของการติดเชื้อมีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นที่เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย พบได้ในผู้ชายทุกเพศทุกวัยได้รับผลกระทบจากลูกหมาก แต่อาการนี้พบได้บ่อยในผู้ชายที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี อาจเป็นโรคต่อมลูกหมากอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียเฉียบพลัน หรือเป็นโรคต่อมลูกหมากอักเสบจากแบคทีเรียเรื้อรังได้เช่นกัน ต่อมลูกหมากเป็นส่วนหนึ่งของระบบสืบพันธุ์เพศชายทำหน้าที่ผลิตน้ำอสุจิเพื่อส่งอสุจิผ่านท่อปัสสาวะการอักเสบของต่อมลูกหมากนั้นมีหลายสาเหตุ

สาเหตุของการเกิดโรคต่อมลูกหมากอักเสบ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียมีการแพร่กระจายไปยังกระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะและเข้าสู่ต่อมลูกหมาก
ทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งสาเหตุของการอักเสบแตกต่างกันไปตามประเภท ดังต่อไปนี้
1.ต่อมลูกหมากอักเสบเรื้อรังหรือกลุ่มอาการปวดอุ้งเชิงกรานเรื้อรัง ( chronic prostatitis or chronic pelvic pain syndrome )
2.ต่อมลูกหมากอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียเฉียบพลัน (acute bacterial prostatitis)
3.ต่อมลูกหมากอักเสบจากแบคทีเรียเรื้อรัง (chronic bacterial prostatitis)
4.ไม่มีอาการอักเสบต่อมลูกหมากอักเสบ (asymptomatic inflammatory prostatitis)

ต่อมลูกหมากอักเสบ ( Prostatitis ) เป็น การติดเชื้อของต่อมลูกหมาก พบได้บ่อยในผู้ชายที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี

ปัจจัยความเสี่ยงต่อการเกิดต่อมลูกหมากอักเสบ

  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • การบาดเจ็บระหว่างถุงอัณฑะปละทวารหนัก
  • การติดเชื้อแบคทีเรียที่กระเพาะปัสสาวะหรือท่อปัสสาวะ
  • การใส่อุปกรณ์ใด ๆ เช่นสายสวนปัสสาวะเข้าไปในท่อปัสสาวะ
  • การอุดตันของกระเพาะปัสสาวะ เนื่องจากต่อมลูกหมากโต หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคต่อมลูกหมากอักเสบ

  • มีเชื้อเอชไอวี ( HIV )
  • ผู้ชายที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี
  • การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
  • การร่วมเพศทางทวารหนัก
  • นักกีฬาที่เคยได้รับบาดเจ็บ เช่น ปั่นจักรยาน หรือ ขี่ม้า
  • มีประวัติการรักษาโรคต่อมลูกหมากอักเสบก่อนหน้านี้
  • มีประวัติของโรคต่อมลูกหมากโต
  • มีการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ

อาการของโรคต่อมลูกหมากอักเสบ

  • ไข้
  • หนาวสั่น
  • ปัสสาวะขุ่นมัว
  • ปวดเมื่อยตามร่างกาย
  • มีเลือดปนมากับปัสสาวะ
  • ปวดแสบปวดร้อนขณะปัสสาวะ
  • ปัสสาวะได้ปริมาณน้อยกว่าผิดปกติ
  • ปัสสาวะบ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
  • ความเจ็บปวดบริเวณอวัยวะเพศชาย หรือลูกอัณฑะ
  • ปวดในบริเวณอวัยวะเพศ ขาหนีบ หน้าท้องลดลงหรือหลังส่วนล่าง

ควรไปพบแพทย์เมื่อใด

หากคุณมีอาการปวดในบริเวณอวัยวะเพศ ขาหนีบ หน้าท้องลดลงหรือหลังส่วนล่าง มีเลือดปนออกมาขณะปัสสาวะ ให้รีบไปพบแพทย์หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ต่อมลูกหมากอักเสบและติดเชื้อรุนแรงมากขึ้นได้

การวินิจฉัยโรคต่อมลูกหมากอักเสบ

  • การตรวจร่างกาย โดยการตรวจต่อมลูกหมากทางทวารหนักแพทย์จะใช้นิ้วสอดเข้าไปในทวารหนักและกดลงบนต่อมลูกหมาก เพื่อตรวจและประเมินขนาดของต่อมลูกหมากว่าผิดปกติหรือไม่
  • การตรวจปัสสาวะ เพื่อวิเคราะห์หาสัญญาณของการติดเชื้อในปัสสาวะทางห้องแล็บ
  • การตรวจเลือด เพื่อดูการติดเชื้อและปัญหาเกี่ยวกับต่อมลูกหมากโต และอื่น ๆ
  • การนวดบริเวณต่อมลูกหมาก เพื่อทดสอบการหลั่ง

การรักษาโรคต่อมลูกหมากอักเสบ

แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อลดการติดเชื้อและลดการอักเสบ บรรเทาอาการปวดบวมของต่อมลูกหมากการป้องกันการเกิดโรคต่อมลูกหมากอักเสบ คุณสามารถทำได้เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่อมลูกหมากอักเสบได้

  • การออกกำลังกาย
  • ควบคุมน้ำหนัก เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณ
  • รักษาความสะอาด บริเวณอวัยวะเพศสามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
  • ดื่มน้ำให้มากขึ้น ลดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่ส่งผลต่อการเป็นต่อมลูกหมากอักเสบได้
  • การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางอย่าง เช่น โรคหนองใน
  • ลดคาเฟอีน อาจทำให้ต่อมลูกหมากของคุณเกิดการระคายเคืองและทำให้อาการของต่อมลูกหมากอักเสบรุนแรงขึ้น
  • กินผักและผลไม้ให้มากขึ้น เพราะสารต้านอนุมูลอิสระวิตามินและสารอาหารอื่น ๆ ที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อและการอักเสบ

เอกสารที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Prostatitis (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.mayoclinic.org [8 เมษายน 2563].

What are Prostatitis and Related Chronic Pelvic Pain Conditions (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.urologyhealth.org [8 เมษายน 2563].

What is Prostatitis (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.webmd.com [8 เมษายน 2563].

What is prostatitis (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.niddk.nih.gov [8 เมษายน 2563].

ครรภ์เป็นพิษ ( Preeclampsia ) อันตรายหรือไม่

0
ครรภ์เป็นพิษ ( Preeclampsia ) อันตรายหรือไม่
ครรภ์เป็นพิษ ( Preeclampsia ) อันตรายหรือไม่ ครรภ์เป็นพิษ คือ การมีความดันโลหิตสูง และมีโปรตีนในปัสสาวะระหว่างตั้งครรภ์ หากอาการรุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตทั้งแม่และลูก
ครรภ์เป็นพิษ ( Preeclampsia ) อันตรายหรือไม่
ครรภ์เป็นพิษ คือ การมีความดันโลหิตสูง และมีโปรตีนในปัสสาวะระหว่างตั้งครรภ์ หากอาการรุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตทั้งแม่และลูก

ครรภ์เป็นพิษ

ครรภ์เป็นพิษ ( Preeclampsia ) คือ การมีความดันโลหิตสูง และมีโปรตีนในปัสสาวะระหว่างตั้งครรภ์ จนทำให้เกิดความผิดปกติของการฝังตัวของรก ซึ่งโดยธรรมชาติรกจะฝังบริเวณเยื่อบุผนังมดลูก แต่ในกรณีที่แม่ครรภ์เป็นพิษรกจะฝังตัวได้ไม่แน่น ส่งผลให้รกบางส่วนเกิดการขาดออกซิเจน ขาดเลือด เมื่อเลือดไปเลี้ยงรกได้น้อยลง จะเกิดการหลั่งสารที่เป็นสารพิษเข้าสู่กระแสเลือดของแม่ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อถึงจุดหนึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ทั่วร่างกาย เช่น เส้นเลือดสมองตีบ ตาพร่ามัว ตับวาย ฯลฯ พบได้บ่อยที่สุดระหว่างตั้งครรภ์ประมาณ 1 ใน 20 ของการตั้งครรภ์ หากได้รับการรักษาไม่ทันเวลาอาจเกิดอาการชักที่รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตทั้งแม่และลูก

อาการครรภ์เป็นพิษ

ครรภ์เป็นพิษส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการหรือสัญญาณใด ๆ ที่บ่งบอกถึงภาวะครรภ์เป็นพิษ จะทราบได้เมื่อแพทย์ตรวจวัดความดันโลหิต และตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะระหว่างการฝากครรภ์ อาการที่พบบ่อย ได้แก่

  • น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (เกิดจากการกักเก็บของเหลว)
  • ความดันโลหิตที่สูงกว่า 140 / 90 มิลลิเมตร
  • อาการบวมของเท้าข้อเท้าใบหน้า และมือ
  • อาการปวดในช่องท้องส่วนบนขวา
  • ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ
  • มองเห็นไม่ชัดเป็นบางครั้ง
  • ปวดใต้ซี่โครงด้านขวา
  • คลื่นไส้หรืออาเจียน
  • ตับทำงานบกพร่อง
  • ปัสสาวะได้น้อยลง
  • ปวดหัวรุนแรง
  • เกล็ดเลือดต่ำ
  • หายใจเร็ว
  • วิงเวียน

ครรภ์เป็นพิษ คือ การมีความดันโลหิตสูง และมีโปรตีนในปัสสาวะระหว่างตั้งครรภ์ หากอาการรุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตทั้งแม่และลูก

สาเหตุของครรภ์เป็นพิษ

สาเหตุที่ทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อครรภ์เป็นพิษมีดังนี้

  • โรคไต
  • โรคอ้วน
  • โรคเบาหวาน
  • โรคข้ออักเสบ
  • โรคความดันโลหิตสูงเรื้อรัง
  • มีอายุต่ำกว่า 15 ปีหรือ 35 ปีขึ้นไป
  • การตั้งครรภ์ครั้งแรกของผู้หญิง
  • เคยมีประวัติภาวะครรภ์เป็นพิษมาก่อน
  • ภาวะครรภ์เป็นพิษสามารถส่งผ่านทางพันธุกรรมของพ่อไปยังทารกในครรภ์ได้
  • ญาติหรือคนในครอบครัวมีภาวะครรภ์เป็นพิษ หรือความดันโลหิตสูงในระหว่างตั้งครรภ์
  • การตั้งครรภ์หลายครั้ง หรือเคยตั้งครรภ์ฝาแฝด ( การตั้งครรภ์เหล่านี้จะมีเนื้อเยื่อของรกจำนวนมาก )

ระดับความรุนแรงของครรภ์เป็นพิษ

  1. ครรภ์เป็นพิษระดับที่ไม่รุนแรง ( Non – Severe Pre – Eclampsia ) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท แต่ไม่เกิน 160/110 มิลลิเมตรปรอท ยังไม่พบภาวะแทรกซ้อน
  2. ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรง ( Severe Pre – Eclampsia ) แม่ตั้งครรภ์จะมีความดันโลหิตสูงกว่า 160/110 หรือตรวจพบความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับอักเสบ ไตทำงานลดลง เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดแดงแตก ฯลฯ
  3. ครรภ์เป็นพิษระดับรุนแรงและมีภาวะชัก ( Eclampsia ) แม่ตั้งครรภ์ชัก เกร็ง หมดสติ อาจมีเลือดออกในสมอง หากอยู่ในระยะนี้ต้องรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะแม่และลูกมีอันตรายถึงแก่ชีวิต

การวินิจฉัยครรภ์เป็นพิษ

  • ตรวจวัดความดัน : หญิงตั้งครรภ์ที่ระดับความดันโลหิตสูงกว่า 140 / 90 มิลลิเมตร อาจเป็นกลุ่มเสี่ยงของการเกิดครรภ์เป็นพิษได้
  • ตรวจเลือด : แพทย์จะทำการทดสอบการทำงานของตับ ทดสอบการทำงานของไต และวัดค่าเกล็ดเลือดของคุณแม่ตั้งครรภ์ระยะเริ่มต้น
  • ตรวจปัสสาวะ : แพทย์จะขอเก็บตัวอย่างปัสสาวะเป็นเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อวัดปริมาณโปรตีนในปัสสาวะของคุณ
  • อัลตราซาวนด์ : แพทย์ติดตามอย่างใกล้ชิดดูการเจริญเติบโตทารกในครรภ์ ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินน้ำหนักของทารกในครรภ์และปริมาณน้ำคร่ำในมดลูกได้

การรักษาครรภ์เป็นพิษ

การรักษาครรภ์เป็นพิษที่ดีที่สุดคือการผ่าคลอด ซึ่งแพทย์จะพิจารณาจากอายุครรภ์เป็นหลัก หากอายุครรภ์น้อยเกินไปแพทย์จะให้ยากระตุ้นปอด เพื่อประคับประคองให้อยู่ในครรภ์ได้นานที่สุด หากอายุครรภ์สามารถทำคลอดได้ แพทย์จะทำการผ่าคลอดหรือเร่งให้คลอดทางช่องคลอดเพื่อหยุดความรุนแรงของโรค แต่ภาวะแทรกซ้อนสามารถเกิดขึ้นได้หลังคลอดจึงต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด วิธีการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของครรภ์ก่อนคลอดของผู้ป่วย ดังนี้

  • ภาวะครรภ์เป็นพิษที่ไม่รุนแรง เป้าหมายของการรักษาของแพทย์ คือ ชะลอการคลอดจนกว่าทารกในครรภ์จะโตพอที่จะผ่าคลอดได้ แพทย์จะตรวจวัดความดันโลหิต ชั่งน้ำหนัก ตรวจโปรตีนในปัสสาวะ ตรวจเอนไซม์การทำงานของไตและตับของผู้ป่วย
  • ภาวะครรภ์เป็นพิษที่รุนแรง เป้าหมายของการรักษาของแพทย์ คือ การป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงต่อแม่และทารกในครรภ์ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง การคลอดก่อนกำหนดของทารกในครรภ์ โดยทั่วไปประมาณ 32 ถึง 34 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ตับและไตวาย กรณีผู้หญิงที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษรุนแรงจะต้องเฝ้าระวังตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ หรือต้องรักษาโดยการใช้ยา

การป้องกันครรภ์เป็นพิษ

คุณแม่ควรเตรียมตัวก่อนการตั้งครรภ์เพื่อป้องกันภาวะครรภ์เป็นพิษ เช่น ดูแลตัวเองให้มีสุขภาพที่ดีก่อนการตั้งครรภ์ หากมีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์วางแผนและขอคำปรึกษา เนื่องจากปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น

  • ไม่สูบบุหรี่
  • ควบคุมน้ำหนัก
  • ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
  • ควบคุมความดันโลหิต
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

คำแนะนำ

หากท่านหรือสมาชิกในครอบครัวเคยมีประวัติครรภ์เป็นพิษ ควรแจ้งแพทย์ที่ฝากครรภ์ให้ทราบเพื่อลดความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดในอนาคตได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

preeclampsia (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.mayoclinic.org [11 มีนาคม 2561].

What Is Preeclampsia? (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.webmd.com [11 มีนาคม 2561].

preeclampsia (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.healthline.com [11 มีนาคม 2561].

Preeclampsia and Eclampsia(ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.health.harvard.edu [13 มีนาคม 2561].

หญ้าหนวดแมว ( Cat’s whiskers ) สรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ

0
หญ้าหนวดแมว ( Cat's whiskers ) สมุนไพรขับปัสสาวะ
หญ้าหนวดแมว เป็น สมุนไพรพื้นบ้านแถบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใช้รักษาระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ ไตอักเสบ นิ่วในไต เบาหวาน ความดัน โรคซิฟิลิส หนองใน ข้ออักเสบ เก๊าต์ กระตุ้นให้ร่างกายกำจัดพิษ
หญ้าหนวดแมว ( Cat's whiskers ) สมุนไพรขับปัสสาวะ
หญ้าหนวดแมว ใช้รักษาระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ ไตอักเสบ กระตุ้นให้ร่างกายกำจัดพิษ

หญ้าหนวดแมว

หญ้าหนวดแมว Cat’s whiskers / Orthosiphon หรือ CAT’S WHISKER ORTHOSIPHON GRANDIFLORUS BOLDING เป็น สมุนไพรพื้นบ้านแถบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้กันมาแต่โบราณ ทั้งไทย ลาว พม่า กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย ล้วนแต่มีภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรชนิดนี้ ไปจนถึงจีน ออสเตรเลีย มีขนาดไม่สูงนักประมาณ 30-60 เซนติเมตร สามารถนำใบ กิ่งก้าน หรือทั้งต้น มาใช้ประโยชน์ในทางยา

ลักษณะหญ้าหนวดแมว

  • พืชล้มลุกขนาดเล็ก ลำต้นกิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม สูง 0.3 – 0.8 เมตร
  • ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม แผ่นใบรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ขอบใบหยัก แผ่นใบสีเขียวเข้ม
  • ดอกเป็นช่อที่ปลายยอด คล้ายดอกโหระพา มี 2 พันธุ์ ชนิดดอกสีขาวอมม่วงอ่อน กับพันธุ์ดอกสีฟ้า บานจากล่างขึ้นข้างบน เกสรเพศผู้เป็นเส้นยาวยื่นออกมานอกกลีบดอก
  • ผลเป็นผลแห้งไม่แตก ลักษณะคล้ายกับหนวดแมว ด้านในสุดมีอับเรณู 2 ช่อง เรียงขนานกัน รังไข่มี 4 ใบ

หญ้าหนวดแมว ช่วยขับปัสสาวะและกระตุ้นให้ร่างกายกำจัดพิษ

คุณค่าทางโภชนาการหญ้าหนวดแมว

หญ้าหนวดแมว 100 กรัม ให้พลังงาน : 3.45 กิโลแคลอรี่
โปรตีน : 6.8 กรัม
ไขมัน : 0.04 กรัม
คาร์โบไฮเดรต : 78 กรัม
น้ำตาล : 6 กรัม
ใยอาหาร : 17 กรัม
โซเดียม : 81.3 กรัม

สรรพคุณหญ้าหนวดแมว

  • ต้นช่วยรักษาโรคกระษัย
  • ใบลดความดันโลหิต
  • ใบรักษาโรคเบาหวาน
  • ต้นรักษาโรคเยื่อจมูกอักเสบ
  • ผลช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้
  • เปลือกฝักช่วยแก้ลำไส้พิการ
  • ผลแก้อาการท้องร่วง
  • ช่วยรักษาโรคในทางเดินปัสสาวะ ช่วยขับปัสสาวะ
  • รักษาโรคนิ่ว สลายนิ่ว หรือช่วยลดขนาดก้อนนิ่ว
  • ใบและต้นรักษาอาการอักเสบของไตและนิ่วในไต
  • ช่วยป้องกันไม่ให้แคลเซียมตกค้างในไต ช่วยขยายท่อไตให้กว้างขึ้น
  • ใบช่วยบรรเทาอาการปวด
  • ต้นช่วยขับล้างสารพิษในระบบทางเดินปัสสาวะ ไต และตับ
  • ใบและต้นช่วยรักษาโรคปวดตามสันหลังและบั้นเอว
  • ใบช่วยรักษาโรคปวดข้อ อาการปวดเมื่อย และไข้ข้ออักเสบ
  • หญ้าหนวดแมวกับการลดไขมันและควบคุมน้ำหนัก
  • แก้โรคไต และกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
  • แก้คลื่นเหียนอาเจียน
  • แก้ถุงน้ำดีอักเสบ
  • บรรเทาอาการไอ
  • ช่วยแก้หนองใน โรคซิฟิลิส
  • รักษาโรคเยื่อจมูกอักเสบ ล้างสารพิษในไต
  • กระตุ้นการงอกของผม ลดปัญหาผมหลุดร่วง ศีรษะล้าน

ประโยชน์หญ้าหนวดแมว

เชื่อว่าหญ้าหนวดแมวมีประโยชน์ต่อร่างกายในระบบต่าง ๆ ซึ่งในใบของหญ้าหนวดแมวมีสารชีวภาพ เช่น กรดโรสมารินิก กรดบิทูลินิก กรดโอลีนโนลิก กรดเออร์โซลิก และสารประกอบฟีนอลิกอื่น ๆ อีกกว่า 20 ชนิด โดยส่วนใหญ่จะใช้รักษาระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ ไตอักเสบ นิ่วในไต เบาหวาน ความดัน โรคซิฟิลิส หนองใน ข้ออักเสบ โรคเกาต์ ให้ขับปัสสาวะและกระตุ้นให้ร่างกายกำจัดพิษ ช่วยควบคุมน้ำหนัก มีฤทธิ์ต้านการแพ้ ต้านการอักเสบ ตามแบคทีเรีย ขับปัสสาวะ ช่วยลดน้ำตาล ป้องกันตับ ไต ต้านมะเร็ง และต้านอนุมูลอิสระ

ฤทธิ์ทางยาหญ้าหนวดแมว

หญ้าหนวดแมวมี สารกลุ่ม phenolic compoundsได้แก่ rosmarinic acid, 3-hydroxy-5, 6, 7,4 tetramethoxyflavone, sinensetin และeupatorin รวมทั้ง pentacyclic triterpenoid
ที่สำคัญคือ betulinic acid ช่วยการขับปัสสาวะ ลดระดับกรดยูริค ( hypouricemic activity )
ปกป้อง ตับ ไต และกระเพาะอาหาร ลดความดันโลหิต ต้านสารอนุมูลอิสระหรือปฏิกิริยาออกซิเดชัน ต้านการ
อักเสบ เบาหวาน และจุลชีพ ลดไขมัน ( antihyperlipidemic activity ) ลดความอยากรับประทานอาหาร ( anorexic activity ) และปรับสมดุลภูมิคุ้มกัน ( immunomodulation )

คำแนะนำในการใช้สมุนไพรหญ้าหนวดแมว

  • สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตหรือโรคหัวใจ ไม่ควรใช้สมุนไพรหญ้าหนวดแมว
  • สมุนไพรหญ้าหนวดแมว ไม่ควรใช้ร่วมกับยาแอสไพริน
  • ผลข้างเคียงของหญ้าหนวดแมว ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับคนปกติที่ไม่เคยเป็นโรคหัวใจมาก่อน โดยอาการที่อาจพบได้คือ ใจสั่น หายใจลำบาก

หากต้องการใช้ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนบริโภคหรือใช้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ จากหญ้าหนวดแมวเสมอ เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของตนเอง

บทความที่เกี่วข้องเพิ่มเติม

อ้างอิง

บันทึกของแผ่นดิน 10 สมุนไพรเพื่อสุขภาพผู้บ่าว พ่อเรือน. : ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร : สมุนไพรอภัยภูเบศร : บริษัท ปรมัตถ์การพิมพ์ จำกัด : สิงหาคม 2560.

หญ้าหนวดแมว สรรพคุณและประโยชน์ของหญ้าหนวดแมว 20 ข้อ ! (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://medthai.com [3 เมษายน 2563]

หญ้าหนวดแมว ขับปัสสาวะและรักษาโรคได้จริงหรือ ? (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.pobpad.com [3 เมษายน 2563]

ยุติการตั้งครรภ์ หรือการแท้งลูก ( Miscarriage ) เกิดได้อย่างไร

0
การแท้งบุตร หรือการแท้งลูก ( Miscarriage ) เกิดได้อย่างไร
การแท้งบุตร หรือการแท้งลูก ( Miscarriage ) คือ หญิงตั้งครรภ์ที่สูญเสียตัวอ่อน หรือทารกในครรภ์ช่วง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ จะเกิดขึ้นภายในสามเดือนแรก
การแท้งบุตร หรือการแท้งลูก ( Miscarriage ) เกิดได้อย่างไร
การแท้งบุตร หรือการแท้งลูก ( Miscarriage ) คือ หญิงตั้งครรภ์ที่สูญเสียตัวอ่อน หรือทารกในครรภ์ช่วง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ จะเกิดขึ้นภายในสามเดือนแรก

ยุติการตั้งครรภ์ หรือการแท้งลูก

ยุติการตั้งครรภ์ หรือการแท้งลูก ( Miscarriage ) คือ หญิงตั้งครรภ์ที่สูญเสียตัวอ่อน หรือทารกในครรภ์ช่วง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ จากการศึกษาพบว่าการแท้งลูกในหญิงตั้งครรภ์จะเกิดขึ้นภายในสามเดือนแรกคิดเป็น 10 – 25 เปอร์เซ็นต์ โดยมีแนวโน้มที่จะเกิดการแท้งบุตรน้อยลง เมื่อผ่าน 20 สัปดาห์แรกไปแล้วทางการแพทย์เรียกว่า การตั้งครรภ์ตอนปลาย

สาเหตุของการยุติการตั้งครรภ์

สำหรับผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์สุขภาพแข็งแรงดีโอกาสของการแท้งบุตร อาจอยู่ในช่วง 10 – 25 % แต่ผู้หญิงที่มีโรคประจำตัวหรืออายุมาก โดยเฉลี่ยจะมีโอกาสการแท้งลูกสูงประมาณ 20 – 35 % รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่

  • การตั้งครรภ์นอกมดลูก
  • หญิงตั้งครรภ์เป็นโรคอ้วน
  • การติดเชื้อที่รุนแรงของหญิงตั้งครรภ์
  • การบาดเจ็บที่ส่งผลโดยตรงต่อมดลูก
  • หญิงตั้งครรภ์เป็นโรคความดันโลหิตสูง
  • การใช้ยาและสารเสพติดในหญิงตั้งครรภ์
  • หญิงตั้งครรภ์เป็นโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ
  • หญิงตั้งครรภ์เป็นโรคเบาหวานประเภท 1 หรือ 2 ที่รุนแรง
  • หญิงตั้งครรภ์ที่อายุมากมีแนวโน้มที่จะแท้งลูกมากกว่าสตรีอายุน้อยกว่า
  • การสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์มากยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งลูกได้ง่าย
  • การแท้งบุตรที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมในระหว่างการปฏิสนธิ
  • การแท้งบุตรก่อนหน้ามากกว่า 2 ครั้ง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งลูกในอนาคตได้
  • ความผิดปกติทางกายวิภาคของหญิงตั้งครรภ์ เช่น เนื้องอกในมดลูก มะเร็งมดลูก มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
  • การตั้งครรภ์ในขณะที่ใช้ยาคุมกำเนิดผิดวิธี เช่น ยาคุมฉุกเฉิน ลืมกินยาคุมกำเนิด หรือใช้อุปกรณ์คุมกำเนิดไม่ถูกต้อง
  • ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและการสัมผัส หญิงตั้งครรภ์อาจไปสัมผัสกับสารพิษจากรังสี ตะกั่ว สารหนู และมลพิษทางอากาศมากเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งลูกได้ได้

ประเภทของการยุติการตั้งครรภ์

1. การแท้งคุกคาม ( threatened abortion ) คือ การมีเลือดออกทางช่องคลอดงเกิดขึ้นใน 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ พบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ประมาณ 20 – 30 เปอร์เซ็นต์ อาจมีอาการร่วมด้วยเป็นตะคริว ปวดหลัง เป็นต้น
2. การแท้งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ( Inevitable or Incomplete Miscarriage ) คือ การตั้งครรภ์ระยะแรกที่มีเลือดออกทางช่องคลอดและการขยายของปากมดลูก โดยทั่วไปแล้วเลือดออกทางช่องคลอดจะแย่กว่าการแท้งที่ถูกคุกคาม มีอาการเป็นตะคริวมากขึ้นอีกด้วย
3. การแท้งครบ ( complete abortion ) คือ มีการตกเลือดทำให้ทารกและเนื้อรกทั้งหมดออกมาจากปากมดลูกในช่วงอายุครรภ์ก่อน 20 สัปดาห์
4. การแท้งไม่ครบ ( incomplete abortion ) คือ ในระหว่างการตั้งครรภ์ตัวอ่อนและรกมีการหลุดลอกออกจากโพรงมดลูกแต่ยังมีชิ้นส่วนอื่น ๆ ยังเหลืออยู่ทำให้หญิงตั้งครรภ์มีเลือดไหลออกมากซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อมารดาได้
5. การแท้งค้าง ( missed abortion ) คือ การแท้งบุตรอย่างถาวรไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในครรภ์หยุดการเจริญเติบโต ซึ่งเนื้อเยื่อจะถูกขับออกมาจากมดลูกจนหมดโดยที่ปากมดลูกยังปิดอยู่ควรรีบไปพบแพทย์

สัญญาณที่พบบ่อยที่สุดของการแท้งบุตรจะเกิดขึ้นก่อนสัปดาห์ที่ 12 ของการตั้งครรภ์ อาจร้ายแรงเนื่องจากมีความเสี่ยงที่คุณอาจจะการแท้งลูก แต่บางครั้งก็ไม่มีอาการที่แสดงออกที่ชัดเจน

ข้อสังเกตของอาการของยุติการตั้งครรภ์

  • มีไข้
  • ท้องเสีย
  • อาเจียน
  • ปวดไหล่
  • ปวดหลังส่วนล่าง
  • หน้าซีดหรือเป็นลม
  • ตกขาวเป็นสีน้ำตาลปนเลือด และมีกลิ่น
  • หญิงตั้งครรภ์บางคนมีเลือดออกทางช่องคลอด
  • มีของเหลวหรือเนื้อเยื่อไหลออกมาจากช่องคลอด
  • มีอาการปวดหรือเป็นตะคริวบริเวณหน้าท้องหรืออุ้งเชิงกราน

การวินิจฉัยการยุติการตั้งครรภ์ของแพทย์

แพทย์ซักประวัติการแท้งลูกก่อนหน้านี้หากคุณแม่มีเลือดออกทางช่องคลอดจะใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์ผ่านหน้าท้องของคุณแม่ เพื่อตรวจประเมินพัฒนาการของตัวอ่อนหรือทารกในครรภ์ ช่วยตรวจสอบว่ามีการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์หรือไม่และถุงน้ำคร่ำที่โอบล้อมรอบตัวทารกในครรภ์เป็นปกติหรือไม่
การรักษาการแท้งบุตร การรักษาเมื่อแท้งบุตรขึ้นอยู่กับอาการของคุณเป้าหมายหลักของการรักษา เพื่อป้องกันการตกเลือดและการติดเชื้อ หากมีเลือดออกทางช่องคลอดและเป็นตะคริวบ่อยครั้งบ่งบอกถึงการแท้งลูกที่รุนแรง ในหญิงตั้งครรภ์ที่แท้งลูกบางคนร่างกายจะมีการขับเนื้อเยื่อในครรภ์ออกมาทางช่องคลอด หากรกเด็กเกิดตกค้าง รกออกไม่หมด เน่าและมีการติดเชื้อในมดลูกต้องรักษาโดยการขยายปากมดลูก และขูดเยื่อบุโพรงมดลูก หลังจากนั้นจะได้รับยาปฏิชีวนะหรืออื่น ๆ เพื่อลดการตกเลือด แพทย์จะติดตามอาการอย่างใกล้ชิดให้แน่ใจว่าไม่มีเลือดออกทางช่องคลอด

ภาวะแทรกซ้อนจากการยุติการตั้งครรภ์

แม้ว่าการแท้งลูกในช่วงแรกส่วนใหญ่จะไม่ซับซ้อน แต่ผู้หญิงบางรายมีอาการแทรกซ้อนหลังจากแท้งลูกได้ เช่น

  • มีไข้
  • น้ำหนักลด
  • รู้สึกหนาวสั่น
  • มีภาวะซึมเศร้า
  • ตกขาวมีกลิ่นเหม็น
  • รู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา
  • การแท้งบุตรซ้ำในอนาคต
  • การติดเชื้อหลังจากแท้งลูก
  • อาจมีเนื้อเยื่อบางส่วนค้างอยู่ในมดลูก
  • การตกเลือด หรือมีเลือดออกมากเกินไป
  • มีปัญหาในการนอนหลับไม่หลับ หรือนอนมากเกินไป
  • เลือดออกเป็นเวลานาน และเป็นตะคริว ( นานกว่า 2 สัปดาห์ )

วิธีป้องกันการยุติการตั้งครรภ์

ส่วนใหญ่การแท้งลูกมักเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมของทารกในครรภ์ที่ไม่สามารถป้องกันได้ แต่อย่างไรก็ตามการแท้งก็ไม่ได้เกิดจากพันธุกรรมทั้งหมดดังนั้นจึงมีวิธีป้องกันการแท้งลูกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่คุณแม่ควรรู้และปฏิบัติตาม

  • จัดการความเครียด
  • ไม่ใช้ยาเสพติดทุกชนิด
  • ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ฉีดวัคซีนป้องกันการแท้งบุตร
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ไม่สูบบุหรี่และอยู่ห่างจากควันมือสอง
  • ทานวิตามิน หรืออาหารเสริม ที่ช่วยบำรุงมดลูก
  • ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากกว่า 1 ถึง 2 แก้ว เช่น กาแฟต่อวัน
  • หลีกเลี่ยงการเล่นกีฬาที่มีความเสี่ยงสูงต่อการบาดเจ็บบริเวณหน้าท้อง
  • หลีกเลี่ยงรังสี และสารพิษ เช่น สารหนู ตะกั่ว
  • หลีกเลี่ยงอันตรายจากสิ่งแวดล้อม เช่น รังสีเอกซ์ ควันพิษ ฝุ่น PM 2.5 และโรคติดเชื้อร้ายแรง อาทิ เชื้อไวรัสโควิด -19

นอกจากนี้คุณควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการวางแผนในการมีบุตรคนต่อไปตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ที่มีสุขภาพดี ช่วยลดความเสี่ยงของการแท้งบุตรที่อาจเกิดขึ้นอีกได้ในอนาคต

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Miscarriage (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://americanpregnancy.org [6 เมษายน 2563].

Threatened Miscarriage (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.healthline.com [6 เมษายน 2563].

Understanding Miscarriage Prevention (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.webmd.com [7 เมษายน 2563].

มดลูกตก มดลูกหย่อน สาเหตุและอาการเบื้องต้น

0
มดลูกตก มดลูกหย่อน สาเหตุและอาการเบื้องต้น
มดลูกต่ำ ( Pelvic Organ Prolapse ) หรือ มดลูกหย่อน ( Prolapsed Uterus ) มีอาการอย่างไร
มดลูกต่ำ หรือ มดลูกหย่อน เกิดจากมดลูกมีการเคลื่อนย้ายต่ำลงจากตำแหน่งเดิมมาจนถึงปากมดลูก จนอาจยื่นออกมาจากช่องคลอด

มดลูกต่ำ ( Pelvic Organ Prolapse ) หรือ มดลูกหย่อน ( Prolapsed Uterus )

มดลูกต่ำ (Pelvic Organ Prolapse) หรือมดลูกหย่อน (Prolapsed Uterus) คือภาวะที่มดลูกเคลื่อนต่ำลงจากตำแหน่งปกติจนถึงปากมดลูก หรืออาจยื่นออกมาจากช่องคลอดได้ ซึ่งภาวะนี้เกิดจากความบกพร่องของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่รองรับอวัยวะในอุ้งเชิงกราน เมื่อกล้ามเนื้อเหล่านี้ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ จะทำให้มดลูกเลื่อนลงไปที่ตำแหน่งที่ไม่ควรอยู่ หากอาการรุนแรงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะอื่นในบริเวณใกล้เคียง เช่น ช่องคลอด กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ หรือทวารหนัก จึงเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังและรักษาอย่างทันท่วงทีเพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม.

สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยงของมดลูกต่ำ

สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยงของมดลูกต่ำ

  • การตั้งครรภ์อย่างน้อยหนึ่งครั้ง และการคลอดบุตรทางช่องคลอด
  • ท้องผูกเรื้อรัง หรือเครียดกับการเคลื่อนไหวของลำไส้
  • การผ่าตัดกระดูกเชิงกรานก่อนวัยหมดประจำเดือน
  • การลดระดับฮอร์โมนหญิงหลังหมดประจำเดือน
  • น้ำหนักทารกแรกเกิดที่มากกว่า 3,500 กรัม
  • รูปร่างลักษณะของกระดูกเชิงกราน
  • น้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน
  • ประวัติครอบครัวที่มีมดลูกต่ำ
  • ผู้หญิงที่มีอาชีพยกของหนัก
  • อายุที่มากขึ้น
  • การสูบบุหรี่

อาการของมดลูกต่ำ มดลูกหย่อน

อาการของมดลูกต่ำ มดลูกหย่อนผู้หญิงที่มีอาการมดลูกต่ำในอุ้งเชิงกรานมักมีอาการรู้สึกหน่วงบริเวณมดลูก ซึ่งอาจมีอยู่ตลอดเวลาหรือมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะปรากฏขึ้นหลังจากผ่านการยืนหรือออกกำลังกายหนักมาทั้งวัน ซึ่งจะมีอาการดังนี้

  • ความรู้สึกเหมือนมีอะไรโผล่ออกมาทางช่องคลอด
  • ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ขณะไอ จาม หรือกำลังออกกำลังกาย อาจปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ
  • ความรู้สึกตึงหน่วงบริเวณกระดูกอุ้งเชิงกราน
  • กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อย ๆ
  • มีเลือดออกทางช่องคลอด
  • รู้สึกเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
  • มีตกขาวมาผิดปกติ
  • ปวดหลังส่วนล่าง
  • เดินลำบาก
  • ท้องผูก

ระดับอาการมดลูกหย่อน

ระดับที่ 1 เกิดภาวะมดลูกหย่อนมาที่ช่องคลอดครึ่งหนึ่ง
ระดับที่ 2 เกิดภาวะมดลูกหย่อนมาใกล้ปากช่องคลอด
ระดับที่ 3 เกิดภาวะมดลูกหย่อนออกมานอกช่องคลอด
ระดับที่ 4 เกิดภาวะมดลูกหย่อนออกมานอกช่องคลอดทั้งหมด เรียกว่ามดลูกย้อย ( Procidentia ) ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทั้งหมดเสื่อมสภาพ

มดลูกต่ำ หรือ มดลูกหย่อน เกิดจากมดลูกมีการเคลื่อนย้ายต่ำลงจากตำแหน่งเดิมมาจนถึงปากมดลูก จนอาจยื่นออกมาจากช่องคลอด

การวินิจฉัยอาการมดลูกต่ำ

การวินิจฉัยอาการมดลูกต่ำเกิดขึ้นเมื่อผนังช่องคลอดเกิดการบาดเจ็บทำให้อวัยวะต่าง ๆ เช่น กระเพาะปัสสาวะ มดลูก หรือทวารหนักยื่นเข้าไปในช่องคลอด บางครั้งอาจเกิดจากเนื้อเยื่อกระดูกเชิงกรานและกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากการคลอดบุตร อาการไอเรื้อรัง อายุ และอาการท้องผูกอาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานได้รับบาดเจ็บได้ อาการมดลูกต่ำสามารถเกิดขึ้นได้ในผู้หญิงที่เคยมีบุตรแล้ว โดยแพทย์เริ่มต้นจากการซักประวัติของผู้ป่วยและตรวจร่างกายของอวัยวะในอุ้งเชิงกรานของผู้ป่วย อาจต้องมีการทดสอบบางอย่างเช่น การทดสอบการรั่วไหลของกระเพาะปัสสาวะ การทดสอบความแข็งแรงของอุ้งเชิงกราน ถ่ายภาพด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก ( MRI ) และวิธีการถ่ายภาพโดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อสร้างภาพของไตกระเพาะปัสสาวะและกล้ามเนื้อรอบ ๆ ทวารหนักวิธีพวกนี้ช่วยให้แพทย์ประเมินระดับความรุนแรงของอาการมดลูกต่ำได้ เพื่อกำหนดแนวทางการรักษาได้อย่างถูกต้องและแม่นยำอีกด้วย

การรักษามดลูกต่ำ

การรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการผู้ป่วย หากอวัยวะในอุ้งเชิงกรานของผู้ป่วยไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ป่วยแพทย์แนะนำให้รักษาอาการมดลูกต่ำโดยไม่ต้องผ่าตัดแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ลดน้ำหนักกรณีคนอ้วน หลีกเลี่ยงการยกของหนัก ป้องกันไม่ให้ท้องผูก

  • การบำบัดทางกายภาพของอุ้งเชิงกราน เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงโดยการฝึกขมิบช่องคลอด
  • การใช้ยาปฏิชีวนะ เพื่อลดการหย่อนของมดลูก
  • การใส่อุปกรณ์ช่วยพยุงในช่องคลอด
  • การผ่าตัด ในกรณีเกิดภาวะมดลูกหย่อนออกมานอกช่องคลอดทั้งหมด

ภาวะแทรกซ้อนจากมดลูกต่ำ

มดลูกต่ำมักจะเกี่ยวข้องกับอาการหย่อนของอวัยวะอุ้งเชิงกรานอื่น ๆ พบได้ดังนี้

  • อาการหย่อนของกระเพาะปัสสาวะก่อนหน้า เนื้อเยื่ออุ้งเชิงกรานไม่แข็งแรงแยกกระเพาะปัสสาวะและช่องคลอดอาจทำให้กระเพาะปัสสาวะโค้งตัวเข้าไปในช่องคลอด
  • หลังช่องคลอดย้อย เนื้อเยื่ออุ้งเชิงกรานไม่แข็งแรงแยกไส้ตรงและช่องคลอด อาจทำให้ไส้ตรงนูนออกมาทางช่องคลอดส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้ได้

การป้องกันเพื่อลดการเกิดมดลูกต่ำ

  • ออกกำลังกายสามารถเสริมสร้างกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหลังคลอดได้
  • กินอาหารที่มีเส้นใยสูงประเภทผัก ถั่ว และธัญพืชไม่ขัดสี ป้องกันท้องผูก
  • หลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรือยกของอย่างถูกวิธี เช่น ยกโดยใช้ขาแทนเอว หรือหลัง
  • ลดน้ำหนักอย่างจริงจัง
  • เลิกสูบบุหรี่

อย่างไรก็ตามภาวะมดลูกต่ำหรือมดลูกหย่อนสามารถเกิดขึ้นได้ในผู้หญิงทุกวัยพบบ่อยครั้งอาจส่งผลกระทบต่อสตรีวัยหมดประจำเดือนที่เคยคลอดบุตรตั้งแต่หนึ่งครั้งขึ้นไปโดยคลอดเองทางช่องคลอด

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

(ศูนย์ศรีพัมน์) เรื่องสตรีที่มีอวัยวะในอุ้งเชิงกรานหย่อน ยื่นย้อย (ออนไลน์).สืบค้นจาก : http://sriphat.med.cmu.ac.th [4 เมษายน 2563].

Pelvic Organ Prolapse (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://my.clevelandclinic.org [4 เมษายน 2563].

Pelvic organ prolapse (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.mayoclinic.org [4 เมษายน 2563].

หินเกลือดำ ( Volcanic Rock Salt ) คืออะไร

0
หินเกลือดำ ( Volcanic Rock Salt ) คืออะไร
หินเกลือดำมีลักษณะเป็นก้อนสีดำเกิดจากเถ้าหินลาวาจากภูเขาไฟปกคลุม มีรสเค็มของโซเดียมคลอไรด์กลิ่นฉุนของกำมะถัน ( Sulfur )
หินเกลือดำ ( Volcanic Rock Salt ) คืออะไร
เกลือที่ได้จากธรรมชาติอุดมไปด้วยแร่ธาตุธรรมชาติ 84 ชนิด ร่างกายสามารถดูดซึมไปยังเซลล์ได้เร็วโดยไม่ต้องผ่านระบบย่อย

หินเกลือดำ

หินเกลือดำ ( Volcanic Rock Salt ) คือ แร่ชนิดหนึ่งที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟที่พ่นเถ้าถ่านและหินร้อนออกมาจำนวนมากออกมาจนเกิดเป็นหินเกลือดำ หรือเกลือหิมาลัยสีดำ ซึ่งชาวอินเดียเรียกว่า กาลานามัค พบได้ตามแถบที่เคยเป็นภูเขาไฟมาก่อนพบมากบริเวณเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งหินเกลือดำมีลักษณะเป็นก้อนสีดำเกิดจากเถ้าหินลาวาจากภูเขาไฟปกคลุม มีรสเค็มของโซเดียมคลอไรด์กลิ่นฉุนของกำมะถัน ( Sulfur ) เกลือที่ได้จากธรรมชาติอุดมไปด้วยแร่ธาตุธรรมชาติ 84 ชนิด ร่างกายสามารถดูดซึมไปยังเซลล์ได้เร็วโดยไม่ต้องผ่านระบบย่อย ซึ่งกำมะถันมีความสำคัญต่อร่างกายสำหรับทางการแพทย์อายุรเวทของอินเดีย นิยมใช้เกลือกาลานามัคช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ ปวดท้อง กรดไหลย้อน ท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องผูก ท้องร่วง ช่วยล้างสารพิษ บำรุงผิว ผม และเล็บ เป็นต้น

หินเกลือดำต่างกับเกลือแกงทั่วไปอย่างไร

แร่ธาตุที่พบ เกลือแกง หินเกลือดำ
โซเดียม 38.7 – 39.1% 36.8 – 38.79%
โพแทสเซียม 0.09% 0.28%
แคลเซียม 0.03% 0.16%
แมกนีเซียม น้อยกว่า 0.01% 0.1%

เกลือที่ได้จากธรรมชาติอุดมไปด้วยแร่ธาตุธรรมชาติ 84 ชนิด ร่างกายสามารถดูดซึมไปยังเซลล์ได้เร็วโดยไม่ต้องผ่านระบบย่อย

สรรพคุณของหินเกลือดำ

  • ช่วยลดอาการปวดท้อง ที่เกิดจากกรดไหลย้อน ท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องผูกและท้องร่วง
  • ช่วยขับสารพิษ โลหะหนัก และสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย
  • มีไอโอดีนชนิดโมเลกุลเล็ก ช่วยป้องกันโรคคอหอยพอก
  • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยและการดูดซึมสารอาหาร
  • ช่วยปรับค่าความเป็นกรด – ด่าง ของร่างกายให้สมดุล
  • ช่วยลดความดันโลหิตสูง และโรคความดันโลหิตต่ำ
  • ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากโรคข้ออักเสบ
  • ช่วยเสริมสร้างฮอร์โมนเพศหญิงและเพศชาย
  • ช่วยฟื้นฟูพละกำลังให้ร่างกายสดชื่น สดใส
  • ช่วยบำรุงเส้นผม รักษาผมแตกปลาย
  • ช่วยบำรุงเล็บ ป้องกันเล็กฉีกขาดง่าย
  • ช่วยบำรุงผิวพรรณให้แลดูอ่อนเยาว์
  • ช่วยให้ระบบเลือดหมุนเวียนดีขึ้น
  • เพิ่มความกระชุ่มกระชวยได้ดี
  • ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน
  • ช่วยเพิ่มระดับฮีโมโกลบิน
  • ช่วยเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดแดง
  • ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ
  • ช่วยป้องกันโลหิตจาง
  • ช่วยลดการเกิดตะคริว

ข้อควรระวังในการบริโภคหินเกลือดำ

การใช้เกลือสีดำควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมไม่เกิน 6 กรัมต่อวัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ขอบคุณคลิปความรู้จาก : หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ สุขภาพดี คุณมีได้

Kala Namak (Black Salt) (ออนไลน์).สืบค้นจาก : Benefits & Side Effects https://www.ayurtimes.com [1 เมษายน 2563].

Is Black Salt Better Than Regular Salt? Benefits and Uses (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.healthline.com [2 เมษายน 2563].

Black salt and its health hazard (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.thedailystar.net [3 เมษายน 2563].

ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์บี ( Influenza B ) คืออะไร

0
ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์บี ( Influenza B ) คืออะไร
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี ( Influenza B ) เป็นเชื้อไวรัสที่เกิดกับระบบทางเดินหายใจพบการระบาดในช่วงฤดูหนาว ฤดูฝน สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย
ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์บี ( Influenza B ) คืออะไร
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี ( Influenza B ) เป็นเชื้อไวรัสที่เกิดกับระบบทางเดินหายใจพบการระบาดในช่วงฤดูหนาว ฤดูฝน สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี ( Influenza B )

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี ( Influenza B ) เป็นเชื้อไวรัสที่เกิดกับระบบทางเดินหายใจพบการระบาดในช่วงฤดูหนาว ฤดูฝน สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ซึ่งการติดเชื้อเริ่มจากปาก จมูก ลำคอ ลงไปยังปอดทำให้เกิดอาการระคายเคือง เช่น เจ็บคอ ไอ จาม น้ำมูกไหล ปวดเมื่อยร่างกาย อาจมีไข้ตั้งแต่ 37.5 ขึ้นไป

ไข้หวัดใหญ่มีอยู่ด้วยกัน 3 สายพันธุ์

1 .ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (Influenza A) มีความรุนแรงและอันตรายมากที่สุด สามารถติดต่อจากสัตว์พาหะมาสู่คน และจากคนที่ติดเชื้อไปสู่คนอื่น ๆ
2. ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B (Influenza B) มีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์ A พบการระบาดในช่วยฤดูหนาว ฤดูฝน และอากาศชื้น
3. ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ C (Influenza C) มีความรุนน้อยกว่าสารพันธุ์ A และ B มีอาการป่วยเล็กน้อยหรือไม่แสดงอาการป่วยจากการติดเชื้อทางเดินหายใจเลย

สาเหตุของการเกิดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B

ร่างกายได้รับเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่ผ่านการสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง หรือแม้แต่สัมผัสกับสิ่งของเครื่องใช้ที่มีการปนเปื้อนของสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยทำให้แพร่กระจายได้ง่ายและรวดเร็ว

อาการของโรค

  • เป็นไข้ตัวร้อน
  • เจ็บคอ
  • มีเสมหะ
  • คันคอ
  • จาม
  • ไอแห้งๆ
  • ปวดศีรษะ
  • คัดจมูกมีน้ำมูกไหล
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

หากเด็กหรือผู้สูงอายุมีอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์

ระยะฟักตัวของเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B

เมื่อร่างกายได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่ประมาณ 2 – 3 วัน จะค่อยๆแสดงอาการออกมาให้เห็นชัดขึ้นระยะเวลาการติดเชื้อมักจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์อาการจะค่อยๆดีขึ้นเอง

การแพร่กระจาย

เชื้อโรคสามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายทางจมูก ปาก และการขยี้ตา ทำให้การแพร่กระจายของเชื้อไข้หวัดใหญ่จากคนหนึ่งสู่อีกคนได้ง่ายมาก จากการสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลที่ติดเชื้อหรือสัมผัสกับเชื้อโรคที่ปนเปื้อนจากละอองน้ำไหลขณะไอ จาม เสมหะ น้ำมูก รวมถึงการหายใจรดกัน

การวินิจฉัยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B

การสถิติพบว่าคนส่วนใหญ่จะเกิดโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ การติดเชื้ออาจทำให้เกิดโรคอื่น เช่น กระเพาะและลำไส้อักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ผื่นคันตามผิวหนัง ปอดบวม หรือระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี

ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อในการเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ุB

ผู้สูงอายุหรือเด็กเล็กและผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อน อาจมีความเสี่ยงในการติดเชื้อที่รุนแรงได้ เช่น

  • ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
  • สตรีมีครรภ์
  • เด็กเล็ก
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
  • ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ
  • ผู้ที่เป็นมะเร็ง
  • ผู้ที่เป็นไซนัสติดเชื้อ
  • ผู้ที่เป็นโรคปอดบวม
  • ผู้ที่เป็นโรคหลอดลมอักเสบ
  • ผู้ที่เป็นโรคหอบหืด
  • ผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
  • เด็กที่มีอาการทางระบบประสาท เช่น ความผิดปกติทางสมอง

การรักษาโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B

คนส่วนใหญ่เมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่จะหายไปเองภายใน 2 สัปดาห์ แพทย์จะรักษาตามอาการได้แก่ ให้ยาลดไข้ ยาแก้หวัด เช็ดตัวลดไข้ในขณะที่ผู้ป่วยกำลังพักฟื้นตัวคนเป็นไข้หวัดใหญ่ ควรจะปฏิบัติตามดังนี้

  • หยุดงาน หยุดเรียนอยู่บ้าน
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการติดต่อกันคนอื่น
  • ดื่มน้ำปริมาณมาก
  • ใช้ยาต้านไวรัสที่แพทย์ใช้ในการรักษาไข้หวัดใหญ่ชนิด A หรือ B เมื่อได้รับยาต้านไวรัสผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นได้ภายใน 2-3 วัน

วิธีการป้องกันไขหวัดใหญ่สายพันธุ์ B

ในปัจจุบันมีวัคซีนสำหรับฉีดป้องกันไวรัสที่สามารถฉีดได้ปีละครั้ง ควรล้างมือให้สะอาดด้วย 7 ขั้นตอนก่อนและหลังรับประทานอาหารหรือหยิบของเข้าปาก ห้ามขยี้ตา ใส่หน้ากากอนามัยหากอยู่ในพื้นที่แออัด บนรถสาธารณะ ทำความสะอาดมือด้วยเจลล้างมือ แอลกอฮอร์เป็นต้น

คำแนะนำ และการป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B

ทุกคนที่อายุ 6 เดือนหรือมากกว่าควรเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ทุกปี

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.si.mahidol.ac.th [28 มีนาคม 2563]

โรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.chp.gov.hk [30 มีนาคม 2563]

What is influenza B and what does it do? (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.medicalnewstoday.com [28 มีนาคม 2563]

ขิง ( Ginger ) สุดยอดสมุนไพรป้องกันเซลล์มะเร็งในระยะยาวได้

0
ขิง ( Ginger ) สุดยอดสมุนไพรป้องกันเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
พืชสมุนไพรตระกูลเดียวกับขมิ้นมีรสเผ็ดร้อน อุดมไปด้วยวิตามิน ธาตุเหล็ก แคลเซียม คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส โปรตีน และเส้นใย
ขิง ( Ginger ) สุดยอดสมุนไพรป้องกันเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
พืชสมุนไพรตระกูลเดียวกับขมิ้นมีรสเผ็ดร้อน อุดมไปด้วยวิตามิน ธาตุเหล็ก แคลเซียม คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส โปรตีน และเส้นใย

ขิง

ขิง ( Ginger ) คือ พืชสมุนไพรตระกูลเดียวกับขมิ้นมีรสเผ็ดร้อน ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันคนใช้ขิงสดทั้งแบบขิงอ่อน ขิงแก่ และใช้ขิงแห้งในการประกอบอาหาร เครื่องเทศ และใช้ทั้งเป็นสมุนไพรพื้นบ้าน ยาแผนโบราณ และยาแผนปัจจุบัน จากงานวิจัยพบว่า ขิง มีสารสำคัญในเหง้าขิงสดประกอบด้วย ซิงจิเบอรีน ( zingiberene ) ฟีนอลิก ( phenolic ) ที่ทำให้ขิงมีกลิ่นหอมสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนเพื่อช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ช่วยป้องกันและรักษาโรคข้ออักเสบ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ รักษาอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง ในส่วนของขิงสดอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี ธาตุเหล็ก แคลเซียม คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส โปรตีน และเส้นใย เป็นต้น ขิง เป็นพืชเขตร้อนที่เติบโตในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinale Roscoe ลักษณะของลำต้นสีเขียวเข้มแตกหน่อขึ้นเป็นกอสูงประมาณ 50 -70 เซนติเมตร เปลือกซ้อนกันเป็นกาบยาว ใบเดี่ยวเรียวยาวออกสลับกัน ดอกสีขาว มีหัวหรือเหง้าอยู่ใต้ดิน

ตารางคุณค่าทางโภชนาการของขิง

ขิงปริมาณ 100 กรัมให้พลังงาน 25 กิโลแคลอรี

โปรตีน       0.4     กรัม
ไขมัน        0.6     กรัม
ธาตุเหล็ก   1.2     มิลลิกรัม
แคลเซียม    18    มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส   22    มิลลิกรัม
เบต้าแคโรทีน 10 ไมโครกรัม
วิตามินซี      1      มิลลิกรัม
ไทอามีน   0.02    มิลลิกรัม
ไนอะซิน  1         มิลลิกรัม
ไรโบเฟลวิล         0.02     มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรต       4.4       กรัม
เส้นใยอาหาร         0.8       กรัม

ประโยชน์ของขิง

ขิงสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนทั้งแบบสด และแบบแห้ง อาทิเช่น ต้นขิง ดอกขิง ใบขิง เหง้าขิง หัวขิง ผลขิงรากขิง ขิงต้น แก่นขิง

สรรพคุณและประโยชน์ของขิง

สรรพคุณขิงนั้น มีประโยชน์ต่อร่างกายในหลาย ๆ ด้าน เราสามารถนำมาใช้ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นราก เหง้า ต้น ใบ ดอก แก่น และผลก็ได้ทั้งนั้น

  • ขิงช่วยขับเสมหะ
  • ช่วยขับลมในกระเพราะ
  • ช่วยระบบย่อยอาหาร
  • ช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง ( ขิงแก่ )
  • ช่วยป้องกันแก๊สและอาการท้องอืดได้
  • ขิงช่วยต้านแบคทีเรียที่เกิดจากอาการท้องเสีย
  • น้ำขิงสดช่วยลดการระคายเคืองจากอาการไอ เจ็บคอ
  • การกินขิงสดช่วยลดแรงกดทับระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร
  • ช่วยเร่งการหดตัวของกระเพาะอาหารที่ใช้ในการย่อยอาหาร
  • ช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดไขข้อจากโรคข้อเข่าเสื่อม และโรคเกาต์
  • ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้
  • ช่วยบรรเทาอาการของโรคหอบหืด
  • ขิงช่วยลดการอักเสบในเซลล์กล้ามเนื้อของทางเดินหายใจ
  • ช่วยป้องกันการถูกทำลายของข้อต่อ
  • น้ำขิงช่วยลดอาการแพ้ท้องคลื่นไส้ ในหญิงตั้งครรภ์
  • ช่วยป้องกันและรักษาอาการอักเสบ
  • ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
  • ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน
  • ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระดูก มะเร็งผิวหนัง และมะเร็งเต้านม มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ และขิงยังช่วยไม่ให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังเซลล์อื่น ๆ
  • ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต
  • ขิงช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุ
  • ช่วยบรรเทาอาการมีไข้
  • ช่วยบรรเทาอาการหวัด
  • ช่วยให้นอนหลับสนิทตลอดคืน
  • ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน
  • ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
  • ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย
  • ช่วยบรรเทาอาการมึนงง และชาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
  • ขิงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
  • ช่วยลดการทำงานของเอนไซม์ในตับ
  • ช่วยป้องกันเลือดอุดตัน
  • ช่วยลดความดันโลหิตสูง
  • ช่วยให้การทำงานของสมองดีขึ้น
  • ช่วยลดความอยากอาหาร เร่งการเผาผลาญพลังงาน ลดน้ำหนัก ( ขิงสด )
  • ขิงช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนในเพศชาย
  • ช่วยเพิ่มจำนวนอสุจิและการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิในเพศชาย
  • ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในอัณฑะ

ข้อควรระวังและโทษของขิง

ผลข้างเคียงส่วนใหญ่เกิดขึ้นเนื่องจากการบริโภคขิงมากเกินไปที่กำหนดไว้ที่ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน
การรับประทาน : เมื่อทานขิงในปริมาณที่เหมาะสมผลข้างเคียงไม่รุนแรง อาจรู้สึกไม่สบายท้องหรือท้องเสีย
การใช้ขิงกับผิว : ขิงมีความปลอดภัยสูงเมื่อใช้กับผิวอย่างเหมาะสมในระยะสั้น แต่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังในบางคนหรือสำหรับคนผิวแพ้ง่าย

  • ขิงสามารถมีผลข้างเคียงหากกินมากเกินไป เช่น ก่อให้เกิดก๊าซในลำไส้ และท้องอืด
  • เกิดผดผื่นบริเวณผิวหนัง
  • ภาวะหัวใจหยุดเต้น (หากใช้เกิดขนาด)
  • ภาวะซึมเศร้าระบบประสาทส่วนกลาง (หากใช้เกิดขนาด)
  • ระคายเคืองต่อปาก หรือลำคอ (ขิงมีรสเผ็ดร้อน)
  • ในระหว่างตั้งครรภ์อาจเพิ่มความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด
  • การรับประทานขิงมากเกินไป อาจทำให้เลือดออกมากเกินไป
  • ผู้ที่ทานยาลดความดันโลหิต ควรหลีกเลี่ยงการกินขิงในปริมาณมากเกินไปอาจนำไปสู่หัวใจเต้นผิดปกติ
  • การกินขิงขณะท้องว่าง อาจกระตุ้นให้มีอาการปวดท้องได้

เมนูจากขิงสด

  • ขิงสดปอกเปลือกและสับละเอียด 1.5 ถ้วย
  • น้ำเปล่า 2 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย
  • โซดา 1 ขวด ( แช่เย็น )
  • น้ำมะนาวสด 2-3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำน้ำขิง

1. เทขิงสับละเอียดและน้ำเปล่าตั้งไฟอ่อนๆ ประมาณ 45 นาที
2. ปิดไฟและนำฝามาปิด ตั้งทิ้งไว้ให้เย็นประมาณ 20 นาที
3. เทใส่ภาชนะ เช่น หม้อ แล้วกรองแยกน้ำและเนื้อออกจากกัน
4. นำน้ำขิงที่ได้เติมน้ำตาลลงไป ตั้งไปปานกลางคนให้น้ำตาลละลายคนให้เข้ากัน ปิดไฟรอให้เย็น
5. เทน้ำขิงใส่แก้ว พร้อมเติมโซดา และบีบน้ำมะนาวลงไปตามต้องการ

การบริโภคขิง 1 – 2 กรัมต่อวัน ซึ่งขิงมีคุณสมบัติสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดเซลล์มะเร็งบางชนิดในระยะยาวได้ นอกจากนี้ยังสามารถลดความไวต่อการรักษาด้วยวิธีให้ยาเคมีบำบัด หรือการฉายรังสีของผู้ป่วยมะเร็ง และยังสามารถช่วยควบคุมน้ำหนัก และลดน้ำหนักได้ นอกจากนี้จากการศึกษาพบว่าขิงสดสามารถช่วยป้องกันและรักษาโรคระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสโควิด 19 ขิงสามารถยับยั้งและปิดกั้นเชื้อไวรัสต่าง ๆ ไม่ให้ติดกับเยื่อบุทางเดินหายใจจากการสูดดมเข้าไป

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ขอขอบคุณคลิปสาระประโยชน์จาก : หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ สุขภาพดี คุณมีได้

11 Proven Health Benefits of Ginger (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.healthline.com [26 มีนาคม 2563].

The health benefits of ginger (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.bbcgoodfood.com [26 มีนาคม 2563].

13 Health Benefits of Ginger + Side Effects (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://selfhacked.com [26 มีนาคม 2563].

ปฏิบัติตามอย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันไวรัสโควิด-19

0
ปฏิบัติตามอย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันไวรัสโควิด 19
หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ หรือเช็ดด้วยแอลกอฮอล์เจล
ปฏิบัติตามอย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันไวรัสโควิด 19
เส้นทางหลักที่ส่งผ่านการแพร่กระจายของเชื้อโรคโควิด-19ไปยังบุคคลอื่น สถานที่สาธารณะ ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ

ปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันไวรัสโควิด-19

ปฏิบัติตามอย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันไวรัสโควิด-19 การรักษาความสะอาดมือของเรา และสวมใส่หน้ากากอนามันเป็นสองในขั้นตอนที่สำคัญที่สุดที่เราสามารถทำได้ด้วยตนเอง สาเหตุของการติดเชื้อโควิด-19 จากสถิติล่าสุดทางการแพทย์พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ( Covid-19 ) เพิ่มขึ้นประมาณ 378,600 จากประเทศทั่วโลก สาเหตุหลักเกิดจากมือ ปาก จมูกของเรา ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่ส่งผ่านการแพร่กระจายของเชื้อโรคโควิด-19ไปยังบุคคลอื่น คือ สถานที่สาธารณะ ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ดังนั้นการล้างมือ และการสวมใส่หน้ากากอนามัยจึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดในตอนนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายของเชื้อโรคที่เป็นอันตราย และป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อไวรัสโควิด-19ได้

วิธีการป้องกันไวรัสโควิด-19 อย่างถูกต้อง

1. สวมใส่หน้ากากอนามัยที่สามารถป้องกันเชื้อโรคที่มีโมเลกุลขนาดเล็กได้

2. สวมใส่แว่น เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสโควิด 19 ในละอองฝอยจากการไอ จาม เสมหะหรือสารคัดหลั่งต่าง ๆ

3. หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ หรือเช็ดด้วยแอลกอฮอล์เจล ด้วย 7 ขั้นตอนต่อไปนี้

  • ฝ่ามือถูฝ้ามือ
  • ฝ่ามือถูบริเวณหลังมือสลับกันทั้ง 2 ข้าง
  • ประกบฝ่ามือถูซอกนิ้วสลับกันทั้ง 2 ข้าง
  • ฝ่ามือถูหลังมือสลับกันทั้ง 2 ข้าง
  • ถูนิ้วหัวแม่มือให้รอบทำสลับกันทั้ง 2 ข้าง
  • ขัดฝ่ามือด้วยปลายนิ้วทำสลับกันทั้ง 2 ข้าง
  • ถูกรอบข้อมือทำสลับกันทั้ง 2 ข้าง

4. ควรทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ งดทานอาหารสุกๆ ดิบๆ และเนื้อสัตว์ป่า

5. ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น ช้อน แก้วน้ำ ภาชนะใส่อาหาร ผ้าเช็ดหน้า เสื้อผ้า เป็นต้น

6. ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยที่มีอาการไอ จาม ผู้ที่มีอาการคล้ายไข้หวัด

7. หลีกเลี่ยงไปในสถานที่แออัด งดเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงโรคระบาด

8. ไม่นำมือสัมผัสกับตา จมูก ปาก

เส้นทางหลักที่เป็นการการแพร่กระจายของเชื้อโรคโควิด-19ไปยังบุคคลอื่น คือ สถานที่สาธารณะ ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ

ผัก ผลไม้ และสมุนไพร 12 ชนิด ที่ป้องกันไวรัสโควิด-19

1. ฟ้าทะลายโจร มีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการอักเสบภายในร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ บรรเทาอาการเจ็บคอจากไข้หวัด

2. มะขามป้อม มีสรรพคุณบรรเทาอาการหวัด ไอ เจ็บคอ ช่วยละลายเสมหะ ไข้หวัดใหญ่ วัณโรค ภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เป็นต้น

3. ขิง มีสรรพคุณบรรเทาอาการเจ็บคอ รักษาอาการไอ ช่วยขับเสมหะ ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ วิงเวียนศรีษะ

4. ผลมะแว้ง มีสรรพคุณป้องกันระบบหายใจ ช่วยบรรเทาอาการไอ ลดการอักเสบ ละลายและขับเสมหะ

5. มะนาว มีสรรพคุณลดไข้ บรรเทาอาการไอและเจ็บคอ ช่วยละลายเสมหะ ลดการอักเสบ ช่วยลดไข้แก้กระหายน้ำ

6. มะขามแก่ สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการไอ บรรเทาอาการไข้ ทำให้ชุ่มคอ ชื่นใจ ละลายเสมหะ

7. น้ำผึ้ง สรรพคุณเพิ่มความชุ่มคอ ช่วยบรรเทาอาการไอ และแก้อาการเจ็บคอ บรรเทาอาการแพ้อากาศ

8. ผลดีปลี สรรพคุณช่วยขับเสมหะ ลดอาการคันคอ ลดอาการไอ ช่วยลดไข้หวัด ลดอาการปวดเมื่อย ช่วยบรรเทาอาการหอบหืด

9. ผลพริกไทย สรรพคุณแก้ไอ ช่วยให้จมูกโล่งหายใจสะดวก ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค

10. กระเทียม มีรสเผ็ดร้อนสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ ช่วยลดอาการอักเสบ ช่วยขยายทางเดินหายใจทำให้หายใจสะดวกขึ้น

11. มะรุม สรรพคุณใช้ลดไข้ แก้ไอและบรรเทาอาการไอเรื้อรัง ลดอักเสบ ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค ช่วยรักษาโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด โรคโพรงจมูกอักเสบ

12. กระเจี๊ยบแดง มีสรรพคุณช่วยให้ชุ่มคอ ช่วยบรรเทาอาหารไอลดอาการระคายเคือง ช่วยป้องกันการอักเสบอย่างไรก็ตามหากพบว่าตนเองมีอาการปวดหัว มีไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย หายใจลำบาก ไอ จาม มีน้ำมูก หรือมีอาการเหนื่อยหอบ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อลดความรุนแรงของโรคโควิด-19 ( Covid-19 )

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

มะรุม สรรพคุณทางยาประโยชน์และผลข้างเคียงจากงานวิจัยม.มหิดล (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://siamherbs.blogspot.com [24 มีนาคม 2563]

13 สมุนไพรแก้ไอ ตำรับยาแผนไทยขับเสมหะ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : http://www.repaircheewit.com [25 มีนาคม 2563]

“มะรุม” พืชผักสมุนไพรพื้นบ้านสารพัดประโยชน์และมากสรรพคุณทางยา นานๆ ทานครั้งดี! ทานบ่อยระวัง “ตับ” พัง?! (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://mgronline.com [25 มีนาคม 2563]

วัยทองในผู้ชาย ( Male Menopause ) มีอาการอย่างไร

0
วัยทองในผู้ชาย ( Male Menopause ) มีอาการอย่างไร
วัยทองในผู้ชาย คือ ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในผู้ชายช่วงอายุ 45 - 50 ปีลดต่ำลงทำให้เกิดการขาดฮอร์โมน มีความสำคัญต่อระบบกระดูก มวลกล้ามเนื้อ ความจำ และระบบไหลเวียนโลหิต
วัยทองในผู้ชาย ( Male Menopause ) มีอาการอย่างไร
วัยทองในผู้ชาย คือ ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในผู้ชายลดต่ำลงทำให้เกิดการขาดฮอร์โมน มีความสำคัญต่อระบบกระดูก มวลกล้ามเนื้อ ความจำ และระบบไหลเวียนโลหิต

วัยทองในผู้ชาย

ชายวัยทอง ( Male Menopause ) คือ วัยทองในผู้ชายจะเริ่มต้นในช่วงอายุ 45 – 50 ปี โดยมีการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนเพศชายที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของระบบอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ทางการแพทย์เรียกว่า ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ( Testosterone ) เป็นฮอร์โมนผู้ชายที่มีความสำคัญต่อระบบกระดูก มวลกล้ามเนื้อ ความจำ และระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายผู้ชาย เมื่อชายวัยทองและผู้สูงอายุมีอายุมากขึ้นหลายคนมีอาการของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ ซึ่งเกิดจากการผลิตฮอร์โมนน้อยลงส่งผลทำให้ขาดฮอร์โมนในผู้ชายวัยทองนั่นเอง ในร่างกายผู้ชายปกติและจะมีฮอร์โมนเพศชายอยู่ประมาณ 300 – 1,100 ( ng / dl ) นาโนกรัมต่อเดซิลิตร

การเปลี่ยนแปลงในฮอร์โมนเพศในผู้ชายวัยทองก่อนจะเข้าสู่วัยทองของผู้ชายระดับเทสโทสเทอโรนในเลือดเพศชายลดลงประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ทุก ๆ ปีหลังจากอายุ 30 ปี เมื่อผู้ชายอายุ 70 ปีระดับฮอร์โมนเพศชายอาจลดลง 50 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นผลกระทบที่ตามมา คือ การตอบสนองต่อการหลั่งของลูกอัณฑะต่ออวัยวะสืบพันธุ์ของผู้ชายวัยทองจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ตารางวัดระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนในผู้ชายแต่ละช่วงอายุ ดังนี้

อายุ ฮอร์โมนเพศชายทั้งหมด ฮอร์โมนเพศชายอิสระ ฮอร์โมนเพศชายทางชีวภาพ
40 – 49 ปี 252 – 916 5.3 – 26.3 101 – 499
50 – 59 ปี 215 – 878 4.2 – 22.2 80 – 420
60 – 69 ปี 196 – 859 3.7 – 18.9 69 – 356
70 – 79 ปี 156 – 819 2.2 – 14.7 41 – 279

สัญญาณเตือนและอาการทั่วไปของวัยทองในเพศชาย

การเปลี่ยนแปลงในการทำงานทางเพศ

  • ความต้องการทางเพศที่ลดลง
  • การแข็งตัวของอวัยวะเพศช้าลง
  • ภาวะมีบุตรยาก
  • อัณฑะมีขนาดเล็กลง
  • จำนวนอสุจิและสเปิร์มลดลง

การเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการนอนหลับ

  • อาการนอนไม่หลับ
  • เหงื่อออกตอนกลางคืน
  • ร่างกายอ่อนเพลีย เมื่อยล้า
  • อาการซึมเศร้า

การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ

  • น้ำหนักเพิ่มขึ้น อ้วนง่าย
  • การสูญเสียเส้นผม ผมบาง ศีระษะล้าน
  • การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
  • กระดูกเปาะบาง กระดูกพรุน
  • อาการร้อนวูบวาบ
  • เบื่ออาหาร

การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์

  • อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด ขี้โมโห
  • หลงลืม ไม่มีสมาธิ
    อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นในผู้สูงอายุที่เป็นโรคหัวใจ โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง และเบาหวานชนิดที่ 2 แพทย์อาจต้องตรวจเพื่อแยกสาเหตุของอาการเหล่านี้

วัยทองในผู้ชาย คือ ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในผู้ชายลดต่ำลง ทำให้เกิดการขาดฮอร์โมน

ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุของวัยทองในผู้ชายที่พบบ่อย

  • การลดลงของฮอร์โมนผู้ชาย
  • ระดับคอเลสเตอรอลสูง
  • ความดันโลหิตสูง
  • น้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน
  • การพักผ่อนไม่เพียงพอ
  • การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์
  • การออกกำลังกายทำได้น้อยลง
  • การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • การสูบบุหรี่เป็นระยะเวลานาน
  • รับประทานอาหารประเภทน้ำตาลและไขมันมากเกินไป
  • ภาวะความเครียด

แบบทดสอบประเมินตนเองมีความเสี่ยงวัยทองในผู้ชาย

อย่างไรก็ตามหากไม่แน่ใจว่าตนเองเข้าสู่ภาวะ ” วัยทองในผู้ชาย ” แล้วหรือไม่ ท่านลองทำแบบทดสอบ 10 ข้อนี้ประเมินตนเอง มีความเสี่ยง 7 ใน 10 ข้อนี้หรือไม่ ก่อนไปพบแพทย์เพื่อตรวจยืนยัน
1. คำถาม คุณมีความรู้สึกว่าส่วนสูงลดลงหรือไม่
2. คำถาม คุณมีความต้องการทางเพศลดลงหรือไม่
3. คำถาม คุณมีความรู้สึกว่าอ่อนเพลีย หมดเรี่ยวแรงหรือไม่
4. คำถาม คุณมีความรู้สึกว่าพละกำลังและความอดทนลดลงหรือไม่
5. คำถาม คุณมีความรู้สึกว่าประสิทธิภาพในการทำงานลดลงหรือไม่
6. คำถาม คุณมีความรู้สึกว่าความสามารถในการเล่นกีฬาลดลงหรือไม่
7. คำถาม คุณมีความรู้สึกว่าการแข็งตัวของอวัยวะเพศลดน้อยลงหรือไม่
8. คำถาม คุณมีความรู้สึกเศร้า เหงา เครียดและไม่พึงพอใจต่อชีวิตหรือไม่
9. คำถาม คุณมีความรู้สึกว่ามักง่วง และหลับง่ายหลังทานอาหารเย็นหรือไม่
10. คำถาม คุณมีความรู้สึกว่าความสนุกสนาน ความร่าเริงในชีวิตลดน้อยลงหรือไม่

การวินิจฉัยวัยทองในผู้ชาย

ในการวินิจฉัยผู้ชายวัยทองแพทย์จะซักประวัติเกี่ยวกับอาการที่แสดงออกมาของฮอร์โมนเพศชายต่ำ ร่วมกับการประเมินจากแบบสอบถาม การตรวจร่างกาย รวมถึงการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยการเจาะเลือดหาระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนเพื่อยืนยันการเข้าสู่วัย
ทองในผู้ชายต่อไป

การรักษาและรับมือกับผู้ชายวัยทอง

ก่อนอื่นแพทย์จะประเมินจากหลักฐานการขาดฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนในเพศชายที่สามารถบ่งชี้ว่าเข้าสู่ “ วัยทองในผู้ชาย ” พบว่าถ้าระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำ แพทย์จะรักษาตามอาการ เช่น
1. บำบัดด้วยทดแทนฮอร์โมนเพศชาย อาจมีผลข้างเคียง เช่น ผิวมัน ขนาดอัณฑะหดตัว ปริมาณอสุจิลดลง
2. ให้ยาคลายเครียด หรือยานอนหลับ
3. บำบัดด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น การออกกำลังกาย ทำกิจกรรมที่ให้ความตื่นเต้น และมีความสุข เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ร้องเพลง เชียร์กีฬา

อาหารสำหรับผู้ชายวัยทอง

1. รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของกระดูก ฟัน กล้ามเนื้อ และหัวใจ เช่น ไข่ นม งา คะน้า ข้าวโอ๊ด ปลาซาร์ดิน ปลาเล็ก ( ที่มีกระดูก ) บร็อคโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว ร่างกายควรได้รับในปริมาณ 800 – 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน

2. รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กควรรับประทานอย่างน้อย 3 มื้อต่อวัน พบธาตุเหล็กในเนื้อแดงสด เครื่องในสัตว์หรือตับ ไก่ ปลา ไข่แดง หอยกาบ หอยนางรม หอยแมลงภู่ ผักใบเขียว อัลมอนด์ ซีเรียล ข้าวโอ๊ต ถั่วแดง ถั่วดำ แครอท ฟักทอง มะเขือเทศ และจมูกข้าวสาลี

3. รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินดี ช่วยสร้างฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน ป้องกันโรคหัวใจ พบมากในปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาทู ปลาซาร์ดีน ไข่ และนม

4. รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยใยอาหารช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขับถ่ายให้ทำงานได้ดีขึ้นในผู้ชายวัยทอง เช่น แอปเปิ้ล มะละกอ กล้วย ส้ม ควรได้รับใยอาหารในประมาณ 21 กรัมต่อวัน

5. รับประทานไขมันชนิดดี หรือไขมันไม่อิ่มตัวที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 , 6, 9 เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว น้ำมันดอกทานตะวัน

6. รับประทานช็อกโกแลต อุดมไปด้วยสารฟินิลเอทิลามีนที่มีผลต่อปฏิกิริยาทางอารมณ์ ความรู้สึก ทำให้กระฉับกระเฉง เพิ่มพลังงาน ช็อกโกแลตมีสารเอ็นโดรฟิน ช่วยกระตุ้นประสาทการรับกลิ่นทำให้รู้สึกผ่อนคลาย บรรเทาอาการเมื่อยล้า ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนความสุข รู้สึกตื่นเต้น ช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ถึงการรักษาอาการผู้ชายเข้าสู่วัยทอง หลีกเลี่ยงการซื้ออาหารเสริมต่าง ๆ ในการรักษาวัยทอง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจวายโดยเฉพาะคนเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว แพทย์สามารถช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากตัวเลือกการรักษาที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

นพ. ศุวพงษ์ ตันทสุทธานนท์. ภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชายในชายสูงอายุ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.srth.moph.go.th [19 มีนาาคม 2563]

The ‘male menopause’ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.nhs.uk [19 มีนาาคม 2563]

Male Menopause (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://www.medicinenet.com

What is Testosterone? สืบค้นจาก : https://www.livescience.com