Home Blog Page 155

สู้มะเร็งไม่ได้ ก็ตายกันไป

0
สู้มะเร็งไม่ได้ ก็ตายกันไป
มะเร็งสามารถเป็นได้ทุกคนแบบไม่ทันตั้งตัวแต่ก็สามารถรักษาหายได้ ถ้ามีกำลังใจที่เข้มแข็งก็จะสามารถเอาชนะมะเร็งได้
สู้มะเร็งไม่ได้ ก็ตายกันไป
มะเร็งสามารถเป็นได้ทุกคนแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ก็สามารถรักษาหายได้ ถ้ามีกำลังใจที่เข้มแข็งก็จะสามารถเอาชนะมะเร็งได้ง่ายๆ

สู้มะเร็งไม่ได้ ก็ตายกันไป

มะเร็ง เป็นแขกไม่ได้รับเชิญที่แอบย่องเข้ามาในร่างกายเรา ใครๆ ก็ไม่อยากเป็นมะเร็งรวมถึงตัวดิฉันด้วย แม้เราจะไม่อยากเป็นมะเร็งมากแค่ไหน แต่บางครั้งมะเร็งยังแอบย่องเข้ามาในร่างกายของเราอยู่ดี รู้มั้ยคะ!! ว่าครั้งแรกที่ดิฉันรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้ามันดับวูบชีวิตนี้มีแต่ความสิ้นหวัง ในใจร่ำร้องว่าทำไมต้องเป็นดิฉัน ทำไมไม่เป็นคนอื่น สมองไม่รับรู้อะไรแล้ว ขนาดว่าตัวเองเดินออกมาจากห้องตรวจได้ยังไงยังไม่รู้ตัวเลย มารู้สึกตัวก็ตอนที่แฟนเข้ามาถามว่าผลเป็นยังไง เท่านั้นแหละค่ะ น้ำตาที่เอ่ออยู่ที่ขอบตามันไหลพรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำ ดิฉันบอกได้เลย ณ เวลานั้น ดิฉันคิดแต่ว่าดิฉันต้องตายแน่ๆ ดิฉันต้องจากลูกอันเป็นที่รักตั้งแต่ลูกยังเล็กเหลือเกิน ได้แต่คิดว่าลูกจะอยู่กับใครถ้าดิฉันตายไป เวลาลูกร้องไห้ใครจะคอยปลอบ เวลาลูกหิวใครจะคอยป้อนข้าวป้อนน้ำ เวลานอนใครจะคอยกล่อมให้หลับ คิดแต่ว่าตัวเองต้องตายเท่านั้น และดิฉันเชื่อว่าทุกคนที่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งก็คิดว่าตัวเองต้องตายเหมือนกันใช่มั้ยค่ะ ไม่มีใครที่พอรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งแล้วจะคิดว่าตัวเองรอดแน่ๆ แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นมันได้ผ่านไปแล้ว ประสบการณ์ครั้งนั้นเป็นบทเรียนอันมีค่าสำหรับดิฉันและครอบครัว ถ้าเป็นคุณเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งจะทำยังไง ยอมรับโชคชะตาและตายไปกับมะเร็งหรือสู้กับมะเร็งจนชนะ

มะเร็ง เป็นโรคที่ร้ายแรง ใครได้ยินต่างก็กลัวกันทุกคนแต่คุณรู้หรือไม่ว่ามะเร็งเป็นโรคที่รักษาให้หายได้นะ แต่การที่จะรักษามะเร็งให้หายได้นั้น นอกจากวิทยาการทางการแพทย์และยาที่หมอใช้ในการรักษาแล้ว ยังมียาอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยรักษาโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี ยาชนิดนี้จะทำให้ยาที่เรากินเข้าไปทำลายเชื้อมะเร็งให้ตายได้ ยาชนิดนี้ช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ยาชนิดนี้ทำให้มะเร็งไม่สามารถแพร่ขยายหรือลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ ได้ ยาชนิดนี้ทำให้ก้อนมะเร็งก้อนใหญ่ๆ ฟ่อเล็กลงจนหายไปในที่สุด

คุณรู้ไหมว่ายาชนิดนี้คือยาอะไร? ยาชนิดนี้ คือ กำลังใจของผู้ป่วยโรคมะเร็งไงคะ กำลังใจของคนที่ป่วยเป็น มะเร็ง นี่เป็นยาขนานเอกที่ทำให้เราสามารถเอาชนะโรคมะเร็งได้ ดิฉันเองเคยท้อแท้และสิ้นหวังเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง แต่ดิฉันก็ผ่านสถานการณ์นั้นมาได้ด้วยกำลังใจจากสามีผู้เป็นที่รัก จากคนในครอบครัวทุกคนและกำลังใจของตัวดิฉันเอง กำลังใจที่อยากจะมีชีวิตอยู่กับคนที่รักทุกคน หลังจากที่ท้อแท้สิ้นหวังอยู่ไม่ยอมทำอะไรสักอย่างอยู่พักใหญ่ สามีก็เข้ามาเตือนสติว่า “ ถ้าคุณไม่สู้แล้วลูกจะอยู่กับใคร ไม่มีใครช่วยคุณได้ถ้าคุณไม่ลุกขึ้นสู้ด้วยตัวของคุณเอง ” ซึ่งมันก็จริงอย่างที่สามีของดิฉันพูด เพราะว่าถ้าตัวดิฉันไม่ยอมต่อสู้กับโรคมะเร็งแล้วใครจะช่วยดิฉันได้ แม้แต่ตัวดิฉันเองยังไม่ยอมช่วยตัวเองเลยและถ้าดิฉันตายไปใครอยู่กับลูก ใครจะดูแลลูกได้ดีเหมือนแม่คงไม่มีหรอกจริงไหมค่ะ คิดได้อย่างนั้นดิฉันก็ตั้งปณิธานเลยว่าดิฉันจะสู้กับโรคมะเร็ง ดิฉันต้องรักษาโรคมะเร็งให้หายให้จงได้ ดิฉันจะไม่ยอมแพ้ มะเร็ง ร้ายอย่างเด็ดขาดต่อให้การรักษามะเร็งจะต้องเจ็บปวด ทรมานมากแค่ไหนดิฉันก็จะอดทนและสู้เพื่อที่ดิฉันจะได้อยู่ต่อไป เมื่อถึงเวลาทำการรักษาดิฉันตั้งใจทำตามที่หมอบอกทุกอย่างอย่างเคร่งครัด ดิฉันอดทนต่อความเจ็บปวดและทรมานในขั้นตอนการรักษาไม่เคยท้อแท้ที่จะไม่ยอมรักษาต่อแม้แต่น้อย และในที่สุดดิฉันก็สมหวังตามที่ตั้งใจไว้ เพราะว่าตอนนี้ดิฉันหายจากโรคมะเร็งแล้ว แต่ใช่ว่าทุกคนที่จะสู้เหมือนดิฉัน เพราะยังมีคนอีกหลายคนที่พอรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งก็สิ้นหวัง หมดกำลังใจ ท้อแท้กับชีวิต ไม่ยอมต่อสู้กับมะเร็ง แม้ว่าคนรอบข้างจะเพียรบอกให้สู้ เฝ้าบอกให้มีความหวังที่จะรอดจากมะเร็งร้าย แต่สิ่งที่พูดออกไปกลับไม่เป็นผล เนื่องจากตัวผู้ป่วยเองไร้ซึ่งความหวังที่จะมีชีวิตต่อไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้กับโรคมะเร็งที่เป็นอยู่ ถ้าเป็นเช่นนั้นดิฉันขอบอกได้เลยว่ามะเร็งได้ชนะคุณขาดลอยแล้วค่ะ เชื้อมะเร็งกำลังเฉลิมฉลองอยู่ในร่างกายของคุณ มันกำลังกัดกินอวัยวะของคุณอย่างเมามันส์ ก็แม้แต่เจ้าของร่างกายยังไม่ต้องการที่จะรักษามะเร็งให้หายเลย ต่อให้ยาที่ใช้รักษานั้นดีเลิศหรือวิเศษมากแค่ไหนก็คงช่วยรักษามะเร็งให้หายไม่ได้ เพราะตัวคุณเองไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว

คุณจะเลือกได้หรือยังค่ะว่าจะเป็นแบบไหน? ระหว่างสู้กับ มะเร็ง จนหายหรือยอมตายไปกับมะเร็ง เพราะคนที่เป็นมะเร็งแล้วไม่สู้ คุณก็ต้องตายไปพร้อมกับมะเร็งนั่นแหละแต่ถ้าคุณเป็นมะเร็งแล้วสู้ คุณก็จะรอดจากมะเร็งเหมือนกับดิฉันไงค่ะ ที่สู้กับมะเร็งเต้านมจนหายเป็นปกติกลับมาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวที่รัก จากวันนั้นจนถึงวันนี้ดิฉันได้เกิดใหม่เป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ดิฉันผ่านบทเรียนชีวิตมาแล้ว รู้ว่าถ้าเราสู้เราก็มีโอกาสที่จะอยู่ต่อไป แต่ถ้าเราไม่สู้เราก็ต้องตายไป ดิฉันหวังว่าคนที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นมะเร็งจะต่อสู้กับโรคมะเร็งจนถึงที่สุด

Content by Amprohealth 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

I am text block. Click edit button to change this text. Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

แสงแดดเสริมสร้างกระดูก

0
แสงแดดกับการเสริมสร้างกระดูก
แสงแดดมีวิตามินดี ที่ใช้ในการนำแคลซียมเข้าสู่ร่างกาย
แสงแดดกับการเสริมสร้างกระดูก
แสงแดดมีวิตามินดี ที่ใช้ในการนำแคลซียมเข้าสู่ร่างกาย

แสงแดดเสริมสร้างกระดูก

แสงแดดเสริมกระดูกให้แข็งแรง เป็นอวัยวะที่มีความความแข็งมากที่สุดในร่างกาย เปรียบเสมือนเกราะกำบังให้กับอวัยวะต่างๆที่ล้วนมีแต่ความบอบบาง และกระดูกยังเป็นโครงสร้างของร่างกาย เป็นฐานที่ยึดเกาะของอวัยวะ ทำให้ร่างกายมนุษย์คงรูปอยู่ได้ แต่แม้ว่าจะมีความแข็งแรงเพียงใด กระดูกก็สามารถที่จะเสี่ยมสลายได้เช่นเดียวกัน โดยปกติกระดูกมักจะมีการเสื่อม สลายอยู่ตลอดเวลา แต่ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะทำการสร้างมวลกระดูกใหม่ขึ้นมาทดแทนอย่างเสมอ จึงทำให้ตัวเราอาจไม่เห็นความแตกต่างจากภายนอกมากนัก

เมื่อการสลายตัวของกระดูกยังคงเกิดขึ้นปกติ แต่ไม่มีการสร้างมวลกระดูกใหม่ขึ้นมาทดแทน ก็ย่อมจะทำให้สุขภาพของกระดูกผิดปกติไป โดยเราอาจเรียกสภาวะนี้วะ “โรคกระดูกพรุน” ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ โรคกระดูกพรุนมีปัจจัยในการเกิดของโรคได้จากหลายสาเหตุ แต่มีหนึ่งในสาเหตุที่สำคัญคือ การขาดวิตามินดี ซึ่งเป็นวิตามินที่มีประโยชน์ ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง

โรคกระดูกพรุน คืออะไร ?

ภาวะที่ร่างกาย มีความหนาแน่นของกระดูกลดลง เนื่องจากปริมาณแคลเซียมในกระดูกลดน้อยลง ส่งผลทำให้เกิดอาการที่เกี่ยวกระดูก เช่น กระดูกเปราะบาง แตกหักได้ง่ายกว่าปกติ โดยผลกระทบที่จะตามมาคือ การเคลื่อนไหวร่างกายอาจทำได้ยากขึ้น อาจรู้สึกปวดตามร่างกายมากขึ้น และหากปล่อยไว้ไม่รักษา อาจร้ายแรงจนส่งผลให้เกิดความพิการได้เลย โรคกระดูกพรุนมักเกิดขึ้นได้บ่อยๆ กับเพศหญิงที่อยู่ในภาวะหมดประจำเดือนแล้ว ผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย และยังรวมถึงผู้ที่ไม่ค่อยได้รับแสงแดดด้วย

แสงแดดมีผลต่อระบบกระดูกอย่างไร ?

เนื่องจากกระดูกมีสารแร่ธาตุที่เป็นปัจจัยในการซ่อมและสร้าง คือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินดี ซึ่งตัวที่มีบทบาทสำคัญมากที่สุดก็คือ แคลเซียม และ ฟอสฟอรัส โดยแคลเซียมจะเข้าสู่ร่างกายได้ดี ก็ต่อเมื่อได้รับปริมาณวิตามินดีที่เพียงพอ ซึ่งวิตามินดี ที่มีประสิทธิในการนำแคลเซียมจะเข้าสู่ร่างกาย จะต้องมาจากธรรมชาติ คือวิตามินดี ที่มาจากการได้รับแสงแดด โดยปกติ เมื่อร่างกายขอมนุษย์ได้รับแสงแดดจากพระอาทิตย์ ในปริมาณที่เหมาะสม ประมาณ 10 -15 นาทีต่อวัน จะสามารถแปรรูปแสงแดดที่ได้รับให้เป็น วิตามดีให้กับร่างกายได้อย่างเหมาะสม

ระบบกระดูกกับความสำคัญของวิตามินดี

วิตามินดี จะทำหน้าที่ไปช่วยกระตุ้นให้การดูดซึมของแคลเซียมและฟอสฟอรัส เข้าสู่ร่างกายในผนังลำไส้เล็กได้ดียิ่งขึ้น เพราถ้าวิตามินดี ที่มีคุณภาพไม่ดีเพียงพอ จะส่งผลให้แคลเซียมจะถูกขับออกจากร่างกาย ทำให้กระดูกไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้เลย นอกจากนี้ วิตามินดียังมีหน้าที่ควบคุมปริมาณแคลเซียมและฟอสฟอรัสในกระแสเลือด ไม่ให้ต่ำลงจนเกิดอันตรายต่อร่างกาย โดยค่าปกติของแคลเซียมที่ต้องมีอยู่ในกระแสเลือดต้องไม่น้อยกว่า 7 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากผู้ใดที่มีปริมาณของแคลเซียมต่ำกว่านี้ จะส่งผลให้เกิดความผิดปกติในร่างกายได้ เช่น เป็นตะคริว มี  อาการกระตุก เลือดเป็นกรด ดังนั้น ร่างกายจึงต้องทำการสลายแคลเซียมออกมาจากกระดูก เพื่อนำมาทำให้เกิดการปรับสมดุลในเลือดให้กลับเป็นปกติ ซึ่งหากเกิดขึ้นนานๆและบ่อยๆ จะเป็นสาเหตุของโรคกระดูกบาง และโรคกระดูกพรุน

แหล่งอาหารเสริมกระดูกแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินดี

จากข้อมูลข้างต้นจะพบว่า สารอาหารเสริมกระดูกให้แข็งแรงอย่าง แคลเซียมและฟอสฟอรัส รวมถึงวิตามินดี ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างกระดูก และเป็นตัวส่งเสริมทำให้กระดูกมีความแข็งแรง คงทน ไม่แตกหักง่าย ดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหาการเกิดโรคเกี่ยวกับกระดูก จึงควรบริโภคอาหารเสริมกระดูกที่มีส่วนประกอบของ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินดี ดังต่อไปนี้

  • เสริมกระดูกด้วยผักสีเขียวจัด เช่น ผักคะน้า ใบชะพลู ใบยอ ตำลึง ผักโขม และอื่นๆ ที่มีสีเขียว
  • เสริมกระดูกด้วยเมล็ดถั่ว เช่น ถั่วแดงหลวง ถั่วตาดำ ถั่วลันเตา ถั่วเหลือง ถั่วเขียว เห็ดหูหนู เม็ดบัว เต้าหู้
  • เสริมกระดูกด้วยธัญพืช เช่น เมล็ดงา ข้าวกล้อง รำข้าวทั้งหลาย จมูกข้าวทั้งหลาย งาขี้ม้อน
  • เสริมกระดูกด้วยผลไม้และผักผล เช่น กล้วยทั้งหลาย โดยเฉพาะกล้วยหอม ข้าวโพด ฟักทอง มะเขือเทศ เป็นต้น

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่างๆ ที่มีการอวดอ้างสรรพคุณเกี่ยวกับการเสริมสารอาหารที่มีผลดีต่อร่างกายและกระดูก เช่น มีการโฆษณาว่ามากไปด้วยแคลเซียม แต่แท้ที่จริงแล้วแคลเซียมในอาหารเสริมเหล่านี้ เป็นแคลเซียมจากเคมีที่ถูกสร้างขึ้น ไม่ใช่แคลเซียมจากธรรมชาติ จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการซ่อมแซมกระดูกที่สึกหรอได้เพียงแค่ 30 % เท่านั้น ส่วนแคลเซียมปริมาณที่เหลือ จะไปเกาะที่อื่นๆของร่างกาย หากโชคร้าย เจอสารออกซาเลตจากอาหารชนิดอื่นๆก็อาจทำให้เกิดเป็นโรคนิ่วได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรเลือกทานอาหารที่มากไปด้วยแคลเซียมจากธรรมชาติแทนการเสริมแคลเซียมจากอาหารเสริมต่างๆ ดังอาหารต่อไปนี้

เสริมกระดูกด้วยงาดำ

งาดำ เป็นอาหารที่มากไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น แมกนีเซียม สังกะสี ธาตุเหล็ก วิตามินอี วิตามินซี วิตามินบีชนิดต่างๆ เป็นต้น ในงาดำยังมากไปด้วยแคลเซียม ซึ่งมีปริมาณที่มากกว่าที่พบได้ในนมเสียอีก นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่ช่วยนำแคลเซียมไปสร้างกระดูกได้ เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แต่เนื่องจากงาดำ เป็นอาหารที่มีฤทธิ์ร้อนมากๆ จึงเหมาะสมกับผู้ที่อยู่ในประเทศเขตอาหารหนาวเย็น ส่วนผู้ที่อยู่ในประเทศเขตร้อน ควรทานงาดำคู่กับ กล้วยน้ำว้าสุกและรำข้าว เนื่องจากกล้วยน้ำว้าสุกและรำข้าว เป็นอาหารที่มีแคลเซียมฤทธิ์เย็น ช่วยทำให้แคลเซียมจากงานลดความร้อนลง ซึ่งวิธีการทานงาดำให้ได้ประโยชน์สูงสุดคือ นำงาดำมาคั่วแล้วตำให้ละเอียดมากที่สุดก่อนที่จะนำไปทานหรือปรุงอาหาร

เสริมกระดูกด้วยกล้วยน้ำว้า

กล้วยน้ำว้าเป็นไม้ที่นิยมปลูกกันทั่วไป มากไปด้วยสารอาหารอย่าง แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และยังประกอบไปด้วยวิตามินอีกหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี 6 และ วิตามินบี 12 เป็นต้น เป็นอาหารที่มีฤทธิ์เย็น มีสรรพคุณทางยา เช่น ช่วยเคลือบ รักษาแผล และรักษาโรคกระเพาะได้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น บำรุงสมอง นอกจากนี้ยังสามารรักษาโรคริดสีดวงได้ด้วย

เสริมกระดูกด้วยรำข้าว

รำข้าวเป็นอีกหนึ่งชนิดอาหารที่มีฤทธิ์เย็น มีหลายชนิด เช่น รำข้าวสาลี รำข้าวเจ้า โดยปกติเรามักหาซื้อรำข้าวสาลีได้ตามร้านค้าทั่วไป ไม่เหมือนรำข้าวเจ้าที่หาซื้อได้ยากกว่า รำข้าวสาลีประกอบไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อร่างกายหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็กและใยอาหารชั้นดี และยังมากไปด้วยวิตามินต่างๆ อาทิเช่น วิตามินเอ วิตามินอี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 และวิตามินซี เป็นต้น รำข้าวมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลายเช่นกัน ทั้งช่วยรักษาระดับความดันในเลือด ป้องกันโรคเหน็บชา ช่วยบำรุงเลือด บำรุงกระดูก มีสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็ง และช่วยต้านโรคเบาหวานได้

ปัจจัยที่ลดประสิทธิภาพแคลเซียม

นอกจากอาหารจะช่วยเสริมปริมาณแคลเซียมให้กับร่างกายแล้ว ก็ยังมีปัจจัยหลายๆอย่าง ที่ส่งผลเสียต่อระดับแคลเซียมในร่างกาย เพราะหากได้รับสิ่งต่างเหล่านั้นในปริมาณที่มากเกินไป อาจจะส่งผลไปลดประสิทธิภาพแคลเซียมในร่างกายได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งมีปัจจัยต่างๆ ดังนี้

1. อาหารรสเค็มจัด เนื่องจากอาหารที่มีรสเค็มจัด มักจะมากไปด้วยปริมาณของโซเดียม เมื่อร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป จะส่งผลให้ต้องทำการขับออกด้วยกระบวนการทางร่างกาย โดยปริมาณโซเดียมที่ออกไปจะมีแคลเซียมติดไปด้วยเสมอ ทำให้ร่างกายมีปริมาณแคลเซียมลดลง

2. โปรตีนจากเนื้อสัตว์ (โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ 4 ขา และสัตว์ปีก) เนื่องจากหากร่างกายได้รับอาหารประเภทนี้มากเกินไป จะส่งผลให้มีภาวะเลือดเป็นกรด จึงทำให้ร่างกายต้องดึงแคลเซียมออกจากกระดูก เพื่อปรับให้เลือดกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

3. เครื่องดื่มคาเฟอีนต่างๆ เช่น ชา กาแฟ โกโก้ เครื่องดื่มที่มากไปด้วยสารคาเฟอีน จะไปทำให้มีการขับแคลเซียมออกจากร่างกายมากขึ้น

4. เครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม เนื่องจากในน้ำอัดลมจะมากไปด้วยสารอย่างฟอสฟอรัส โดยฟอสฟอรัสจะไปรวมตัวกับแคลเซียม ก่อนที่ร่างกายจะนำแคลเซียมไปใช้ในระบบปกติ ทำให้แคลเซียมในร่างกายลดน้อยลง นอกจากนี้น้ำอัดลมบางชนิด ยังมีส่วนประกอบของสารคาเฟอีนผสมอยู่ด้วย จึงทำให้มีการสูญเสียแคลเซียมมากขึ้นไปอีก

5. สุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากแอลกอฮอล์จะไปขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย และยังไปกระตุ้น การขับแคลเซียมออกจากร่างกายทางปัสสาวะให้มากขึ้นอีกด้วย

6. บุหรี่ ในบุหรี่จะมากไปด้วยสารต่างๆ ที่เป็นโทษต่อร่างกาย รวมถึง สารนิโคติน ที่จะไปขัดขวางร่างกาย ในการนำแคลเซียมไปใช้

7. ยาบางชนิด ในยาบางชนิดอาจจะไปทำปฏิกิริยากับกับแคลเซียม ส่งผลให้ร่างกายได้รับปริมาณแคลเซียมน้อยลง เช่น ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร ยาสเตียรอยด์ ยารักษาโรคเบาหวาน ยาป้องกันอาการชัก ฮอร์โมนไทรอยด์ เป็นต้น และหากได้รับในปริมาณมากและติดต่อกันเวลานาน จะส่งผลต่อกระดูกให้เสื่อมเร็วมากขึ้น

พฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อกระดูกเสื่อม

พฤติกรรมปกติ บางอย่างในชีวิตประจำวันของมนุษย์ สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพของกระดูกได้เช่นกัน โดยเป็นสิ่งที่ควรเลี่ยงเพื่อช่วยป้องกันกระดูกไม่ให้เสื่อมก่อนเวลาอันควร ดังนี้

  • หิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ หากต้องยกของที่มีน้ำหนักมากควรใช้การยกที่เต็มมือ หรือใช้สองมือยกพร้อมกันจะดีที่สุด
  • นั่งไขว่ห้าง การนั่งไขว่ห่างบ่อยๆ สามารถส่งผลเสียต่อกระดูกได้เช่นกัน โดยจะทำให้เกิดการกดทับของเส้นประสาทและเส้นเลือดบริเวณต้นขาถูกกดทับ
  • นั่งหลังงอหรือนั่งหลังค่อม หากทำบ่อยๆ อาจส่งผลให้กระดูกสันหลังขดคอ แลเปลี่ยนรูปไป
  • นั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น ทำให้กล้าเนื้อหลัง และกระดูกหลังต้องทำงานหนักมากขึ้น จากการที่ฐาน(ก้น) รองรับน้ำหนักตัวได้ไม่เต็มที่
  • ยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว ทำให้ขาอีกข้างต้องรับน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น
  • ยืนแอ่นพุงหรือหลังค่อม ทำให้กระดูกบริเวณหลังอาจมีการขดเกิดขึ้นได้
  • ขดตัวหรือนอนตัวงอ หากทำติดต่อกันบ่อยๆ โครงสร้างกระดูกหลังอาจมีความผิดปกติเกิดขึ้นได้
  • สะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ทำให้กระดูกฝั่งที่รับน้ำหนักต้องทำงานหนัก ดังนั้นหากกระเป๋าใบใหญ่และมีน้ำหนักมากควรเปลี่ยนวิธีการสะพายเป็นแบบ 2 ฝั่ง หรือการถือด้วยมือดีกว่า
  • ใส่ส้นสูงเกิน 1.5 นิ้ว นอกจากเสี่ยงต่อการพลิกของข้อเท้า และอาการปวดบริเวณเท้าแล้ว การใส่รองเท้าที่มีส้นสูงมากๆและบ่อยๆ ก็อาจมีผลกระทบต่อโรคเข่าเสื่อมได้ด้วยเช่นกัน

กระดูกมีความสำคัญต่อร่างกายมนุษย์เป็นอย่างมาก และแม้ว่ากระดูกจะมีวันที่ต้องเสื่อมไปตามสภาพของอายุ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในผู้สูงอายุเป็นส่วนมาก แต่หากขาดการดูแลสุขภาพของกระดูกที่ดี ก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดอาการเสื่อมในกระดูกก่อนวัยอันควรได้เช่นกัน ดังนั้นหากไม่อยากให้ภาวะกระดูกเสื่อมเกิดขึ้นกับตนเอง จะต้องรู้จักดูแลสุขภาพกระดูกของตนเองให้ดีอยู่เสมอ โดยการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ และมากไปด้วยสารบำรุงกระดูกอย่าง แคลเซียมและวิตามินดี นอกจากนี้ยังควรรู้จักเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อกระดูกด้วย อย่าปล่อยให้สุขภาพกระดูกเสื่อมไปก่อนวัยอันควร เพราะแม้อาจจะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่มันก็ทำลายความสุขในชีวิตของคนเราลงไปมากเลยทีเดียว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

นิดดา หงษ์วิวัฒน์. แสงแดด โอสถมหัศจรรย์ แสงแห่งชีวิตที่เป็นยารักษาโรค. กรุงเทพฯ : บริษัท สำนักพิมพ์แสงแดด จำกัด, 2558., 223 หน้า. ISBN 978-616-284-592-5

MacAdam, David L. (1985). Color Measurement: Theme and Variations (Second Revised ed.). Springer. pp. 33–35. ISBN 0-387-15573-2.

มารู้จักฉลากโภชนาการกันเถอะ

0
มารู้จักฉลากโภชนาการกันเถอะ
ฉลากที่ถูกติดไว้บนผลิตภัณฑ์อาหารหรือเครื่องดื่มสำเร็จรูป เพื่อบอกข้อมูลส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารให้กับผู้บริโภค
มารู้จักฉลากโภชนาการกันเถอะ
ฉลากที่ถูกติดไว้บนผลิตภัณฑ์อาหารหรือเครื่องดื่มสำเร็จรูป เพื่อบอกข้อมูลส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารให้กับผู้บริโภค

ฉลากโภชนาการกันเถอะ

ฉลากโภชนาการ ในผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปต่างๆ มากมาย ที่มีขายอยู่ในปัจจุบันนี้ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมประเภทต่างๆ อาหารกล่องแช่แข็ง รวมถึง เครื่องดื่มชนิดต่างๆ เป็นต้น ล้วนแต่มีส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารที่แตกต่างกันออกไป โดยปกติแล้ว   ตัวของผู้บริโภคสามารถตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง จากการอ่านฉลากรูปทรงสี่เหลี่ยม ที่ติดอยู่บนผลิตภัณฑ์ต่างๆเหล่านั้น ซึ่งฉลากสี่เหลี่ยมที่ว่าจะนี้ถูกเรียกว่า “ ฉลากโภชนาการ ” ถูกติดไว้สำหรับเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการเลือกซื้อสินค้าให้กับผู้บริโภค

ฉลากโภชนาการ คืออะไร?

ฉลากโภชนาการ หมายถึง ฉลากที่ถูกติดไว้บนผลิตภัณฑ์อาหารหรือเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดต่างๆ เพื่อบอกข้อมูลทางด้านโภชนาการ เช่น ปริมาณและส่วนประกอบ คุณค่าทางอาหาร วันที่ผลิต สรรพคุณต่างๆ เป็นต้น โดยปกติแล้ว ฉลากโภชนาการมักเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม ติดไว้ที่ด้านหลังหรือด้านข้างของผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้นๆ ฉลากโภชนาการจะประกอบไปด้วยข้อมูลหลักๆ 3 ส่วนที่สำคัญ คือ

1. ข้อมูลภายในกรอบข้อมูลโภชนาการ

2. ข้ออ้างสรรพคุณต่อสุขภาพ เช่น มีปริมาณไขมันต่ำ ปลอดน้ำตาล (Sugar Free) ไม่มีคลอเรสตอรอล มีโปรตีนสูง และ เสริมวิตามินซี เป็นต้น

3. รายการเครื่องปรุงหรือองค์ประกอบของอาหารที่เรียงลำดับจากองค์ประกอบมากที่สุดไปจนถึงน้อยที่สุด

การแสดงฉลากโภชนาการจะต้องเป็นการแสดงโดยสมัครใจสำหรับผลิตภัณฑ์ทุกชนิด โดยที่ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป บางชนิดก็ได้รับข้อยกเว้น ให้ไม่ต้องมีฉลากโภชนาการได้ เช่น อาหารที่บรรจุในห่อขนาดเล็ก อาหารที่ทำขึ้นในร้าน หรืออาหารที่ผลิตจากผู้ผลิตรายเล็ก และผู้ผลิตที่ทำการแสดงฉลากโภชนาการบนผลิตภัณฑ์จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ถูกกำหนดไว้

ประโยชน์ของฉลากโภชนาการ

สำหรับฉลากโภชนาการที่ถูกติดไว้บนผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆ นั้น มีจุดประสงค์เพื่อให้เป็นประโยชน์โดยตรงแก่ผู้บริโภค ดังต่อไปนี้

  • เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคได้เปรียบเทียบข้อมูลสินค้าในชนิดเดียวกัน
  • เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อร่างกาย
  • เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับผู้ป่วยบางประเภท เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน สามารถดูได้ว่าผลิตภัณฑ์ชนิดใดที่ปราศจากน้ำตาล หรือ มีปริมาณน้ำตาลที่ต่ำ

ตัวอย่างความหมายของฉลากโภชนาการ

  • ขนาดหน่วยบริโภค คือ ปริมาณของผลิตภัณฑ์อาหารชนิดนั้นๆที่เหมาะสม ที่แนะนำให้บริโภคต่อหนึ่งครั้ง ซึ่งจะมีการบอกน้ำหนักหรือปริมาตรในฉลากให้เห็น
  • จำนวนหน่วยบริโภคต่อกล่อง/ถุง/ซอง คือปริมาณครั้งที่กินได้ใน 1 หน่วยบริโภคที่ระบุไว้ เช่น หากระบุไว้ว่าเท่ากับ 3 หน่วยบริโภค จะหมายถึง สามารถกินได้ 3 ครั้ง แต่ถ้ากินหมดภายในครั้งเดียว ปริมาณของโภชนาการที่ได้ต้องคูณ 3 เข้าไปด้วย
  • พลังงานต่อหน่วยบริโภค คือ ข้อมูลที่แจ้งให้ทราบว่า หากรับประทานตามปริมาณที่ระบุไว้ใน “หนึ่งหน่วยบริโภค” แล้วจะได้รับพลังงานเท่าใด และมีพลังงานจากไขมันเท่าใด เพื่อเป็นข้อมูลในการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์อาหารในประเภทเดียวกัน แต่ต่างยี่ห้อกัน ว่าผลิตภัณฑ์ใดให้พลังงานมากน้อยกว่ากัน
  • พลังงานจากไขมัน คือปริมาณของไขมันทั้งหมดในอาหารชนิดนั้นต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมและหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง โดยปริมาณไขมัน 1 กรัม จะให้พลังงานกับร่างกายเท่ากับ 9 แคลอรี่
  • ร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวัน (%DV หรือ Daily Value) คือ ค่าเฉลี่ยของสารอาหารชนิดนั้นๆ ว่ามีคุณค่าทางโภชนาการ คิดเป็นร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวันได้เท่าไร โดยจะทำการยึดระดับ 2,000 แคลอรีเป็นหลัก เช่น หากมีความต้องการได้รับสารอาหารบางชนิดต่ำ ต้องเลือกอาหารที่มี %DVต่ำ(น้อยกว่า 5 %DV)

ตัวอย่างเช่น อาหารมีไขมันรวม 3 กรัมต่อหน่วยบริโภค เท่ากับ 5% DV มีความหมายว่า เมื่อกินอาหารชนิดนี้ 1 หน่วยบริโภค จะได้ไขมัน 5% ของปริมาณไขมันที่ต้องการใน 1 วัน

  • ไขมันรวม คือปริมาณของไขมันทั้งหมดในอาหารชนิดนั้นๆ ที่มีทั้งไขมันชนิดดี และไขมันชนิดไม่ดี ต่อ 1 หน่วยบริโภค ผู้บริโภคควรเลือกอาหารที่มีปริมาณไขมันอิ่มตัวต่ำที่สุด คือพยายามให้น้อยกว่า 1 กรัม ต่อ 1 หน่วยบริโภค และสูงสุดไม่ควรเกิน 3 กรัม ต่อ 1 หน่วยบริโภค
  • ไขมันอิ่มตัว คือ ปริมาณไขมันอิ่มตัวของอาหารชนิดนั้นใน 1 หน่วยบริโภค ซึ่งผู้บริโภคควรเลือกทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวให้น้อยกว่า 1 กรัมต่อ 1 หน่วยบริโภค เนื่องจากไขมันชนิดนี้จะส่งผลต่อการเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย
  • ไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวและหลายตำแหน่ง สำหรับข้อนี้ในประเทศไทย ยังไม่มีการบังคับให้อาหารต่างๆต้องระบุ ยกเว้นสินค้าในกลุ่มของน้ำมันพืช
  • ไขมันทรานส์ คือ ไขมันชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย อาจะทำให้เกิดโรคหัวใจได้ ควรเลือกอาหารที่มีไขมัน ทรานส์น้อยหรือหากไม่มีเลยจะดีที่สุด     
  • คอเลสเตอรอล คือ ไขมันชนิดที่ไม่ดี ควรเลือกอาหารที่มีคอเลสเตอรอลปริมาณน้อยกว่า 200 มิลลิกรัม ต่อวัน เพราะจะไปส่งผลทำให้ค่า LDL ในเลือดสูงขึ้น
  • โซเดียม คือ ปริมาณโซเดียมที่มีในอาหาร หากได้รับมาก แม้จะไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด แต่จะมีผลเรื่องความดันโลหิต ดังนั้นควรเลือกอาหารที่มีโซเดียมน้อยไม่เกิน 140 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค
  • คาร์โบไฮเดรตรวม คือ ปริมาณของคาร์โบไฮเดรตที่มีในอาหารชนิดนั้นๆ นอกจากปริมาณแล้ว ในฉลากยังจะระบุปริมาณของ ใยอาหารและน้ำตาลไว้ด้วย ซึ่งถ้าในฉลากระบุว่าไม่มีการเติมน้ำตาลเลย จะหมายถึง อาหารชนิดนั้นมีส่วนผสมของน้ำตาลจากธรรมชาติ แต่ถ้าเติมน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ ปริมาณน้ำตาลที่ระบุจะหมายถึงน้ำตาลธรรมชาติรวมกับน้ำตาลที่เติม หรืออาจจะมีน้ำตาลแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ ซึ่งจะต้องระบุไว้ในรายการเครื่องปรุงหรือองค์ประกอบของอาหารเสมอ โดยข้อมูลตรงส่วนนี้จะมีประโยชน์มากกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานในการเลือกทานอาหารต่างๆเป็นอย่างมาก

ฉลากโภชนาการกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน จะต้องระมัดระวังพฤติกรรมในการทานอาหารมากกว่าคนปกติ เพื่อป้องกันและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในอยู่ในค่ามาตรฐานเสมอ ดังนั้นฉลากโภชนาการจึงมีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะค่าของปริมาณคาร์โบไฮเดรตรวม ที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ ดังต่อไปนี้

  • ถ้าฉลากโภชนาการระบุว่ามีใยอาหารปริมาณเท่าไหร่ (มากกว่า 5 กรัม) ให้นำตัวเลขนั้นไปหักออกจากปริมาณคาร์โบไฮเดรตทั้งหมด วิธีนี้ใช้กับผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องให้อินซูลิน

ตัวอย่างเช่น
คาร์โบไฮเดรตทั้งหมดเท่ากับ 12 กรัม ใยอาหาร 9 กรัม = คาร์โบไฮเดรตที่ต้องนับได้คือ 3 กรัม

  • ถ้าข้อมูลฉลากโภชนาการระบุว่ามีน้ำตาลแอลกอฮอล์ หรือ สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ซึ่งมีแคลอรีต่ำ เป็นส่วนผสม (มากกว่า 10 กรัมขึ้นไป )จำนวนครึ่งหนึ่งต้องนำไปหักออกจากคาร์โบไฮเดรตทั้งหมด

ตัวอย่างเช่น
คาร์โบไฮเดรตทั้งหมด 26 กรัม (น้ำตาลแอลกอฮอล์ 22 กรัม ÷ 2) = 15 คาร์โบไฮเดรตที่ต้องนับคือ 15 กรัม

  • ขนาดของหน่วยบริโภคในแต่ละผลิตภัณฑ์ อาจจะไม่เท่ากับขนาดของอาหาร 1 ส่วนของอาหารแลกเปลี่ยนเบาหวานที่เคยใช้กัน หรือหน่วยบริโภคที่กินตามปกติ กรณีที่กินมากว่ากว่าหนึ่งหน่วย ในการคำนวณจะต้องใช้ปริมาณที่กินเข้าไปคูณกับค่าต่างๆด้วย 

ตัวอย่างเช่น

ถ้ากินสองเท่าของหน่วยบริโภคที่ระบุไว้ ในการคำนวณจะต้องคูณปริมาณพลังงาน ไขมัน ไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล โซเดียมด้วย 2 ด้วย จึงจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ

  • ต้องระมัดระวังคำอ้างบนฉลากโภชนาการ เช่น อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ โดยปกติคำอ้างประเภทนี้ไม่ได้รับการรับรองว่าถูกต้องทั้งหมด แม้ว่าอาหารบางชนิด จะมีใยอาหารและน้ำตาลแอลกอฮอล์ซึ่งเป็นน้ำตาชนิดดี จะไม่ถูกย่อยอย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าบริโภคอาหารเหล่านี้ในปริมาณมากเกินไป ก็อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ เช่นกัน
  • ระมัดระวังส่วนประกอบอื่นๆด้วย นอกจากปริมาณของคาร์โบไฮเดรตแล้ว ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานต้องดูฉลากโภชนาการในอาหารชนิดนั้นๆ ด้วยว่ามีปริมาณส่วนประกอบอื่นๆ ที่เป็นโทษต่อร่างกายหรือไม่ เช่น ปริมาณโซเดียม ไขมัน เป็นต้น
  • สำหรับอาหารที่มีส่วนประกอบของ คาร์โบไฮเดรตน้อยกว่า 5 กรัมต่อ 1 หน่วยบริโภค และ ให้พลังงานน้อยกว่า 20 แคลอรี จะไม่มีการคิดพลังงานหรือคาร์โบไฮเดรตในกลุ่มของอาหารประเภทนี้ เช่น เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ หมากฝรั่งไร้น้ำตาล เป็นต้น
  • ผลิตภัณฑ์ที่มีคำว่า No Sugar Add ในฉลากโภชนาการ ซึ่งหมายถึงอาหารชนิดนั้นไม่มีการเติมปริมาณน้ำตาลชนิดใดเพิ่มเข้าไปในการผลิต แต่ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้อาจมีปริมาณของคาร์โบไฮเดรตในรูปของแป้งได้เช่นกัน ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานต้องทานด้วยความระมัดระวัง
  • ผลิตภัณฑ์ที่มีคำว่า Sugar Free ในฉลากโภชนาการ ซึ่งหมายถึงอาหารชนิดนั้นปราศจากน้ำตาล แต่อาจมีปริมาณของคาร์โบไฮเดรตรวมอยู่ด้วยก็ได้ ในกรณีผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่ชนิดใดชนิดหนึ่งมีคำอ้างว่า Sugar Free ให้ผู้บริโภคเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ชนิด หากมีปริมาณของคาร์โบไฮเดรตต่างกันมาก ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบบ Sugar Free จะดีที่สุด แต่หากมีปริมาณของคาร์โบไฮเดรตต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ให้ผู้บริโภคเลือกตามความพึงพอใจได้เลย โดยอาจพิจารณาจากระดับราคาและรสชาติ
  • ผลิตภัณฑ์ที่มีคำว่า Fat Free ในฉลากโภชนาการ ซึ่งหมายถึงอาหารชนิดนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ไร้ไขมัน แต่อาจมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตและให้พลังงานสูงพอๆ กับชนิดที่มีไขมัน ตัวอย่างเช่น คุกกี้ไร้ไขมันอาจมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง ฉะนั้นอาหารไร้ไขมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรเลือกเสมอไป

หลายคนที่มักละเลยและมองข้ามการอ่านฉลากโภชนาการไป โดยจะคิดกันว่าเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญและไม่จำเป็น แต่จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมด ก็จะเห็นได้ว่าการอ่านฉลากโภชนาการเป็นสิ่งที่ดี และมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ช่วยให้ผู้บริโภคอย่างเรา สามารถเลือกอาหารและเครื่องดื่มที่จะทานเข้าไปในแต่ละวันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งยังมีประโยชน์กับผู้ที่ต้องควบคุมอาหาร อย่างเช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น ช่วยทำให้ผู้ป่วยเหล่านี้ได้บริโภคอาหารที่อร่อยในปริมาณที่เหมาะสมเหมือนคนปกติอื่นๆได้ ช่วยเพิ่มความสุขในคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเหล่านี้ได้มากเลยทีเดียว ดังนั้นหากจะซื้ออาหารชนิดใดมาบริโภคก็แล้วแต่ ควรสละเวลาสักนิดในการอ่านฉลากโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่ดีและยืนยาวของตัวเราเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9

โภชนาการเพื่อสุขภาพผิวสวย

0
โภชนาการเพื่อผิวสวย
อาหารที่พบเบต้าแคโรทีนสูง ได้แก่ ผักและผลไม้ที่มีสีเหลืองและสีส้มจัด รวมถึงผักใบเขียวจัดด้วย เช่น แครอต
โภชนาการเพื่อผิวสวย
วิตามินซีในผักผลไม้ช่วยชะลอความเหี่ยวย่นของผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและทำให้ผิวดูมีความเต่งตึง ไม่หย่อนยานได้ง่าย

โภชนาการเพื่อสุขภาพผิวสวย

โภชนาการเพื่อสุขภาพ โดยปกติแล้วผิวของคนเราจะมีการผลัดเซลล์ผิวใหม่ทุก 2-3 วัน ซึ่งการผลัดเซลล์ผิวนี้ก็จะมีความสัมพันธ์กับสารอาหารด้วย โดยหากร่างกายขาดสารอาหาร ผิวก็จะสะท้อนให้เห็นได้ชัดถึงปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นเลยทีเดียว ซึ่งก็มีวิธีการสังเกตคือ หากสุขภาพดีและร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน ผิวพรรณก็จะมีความสดใส เต่งตึง และชุ่ม ชื้นไม่แห้งกร้าน แต่หากร่างกายกำลังขาดสารอาหารหรือมีปัญหาสุขภาพ ผิวก็ดูแห้งซีด เป็นขุยและดูไม่ค่อยสดใสนั่นเอง ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า การบริโภคอาหารนอกจากจะมีผลต่อสุขภาพแล้วก็มีผลต่อผิวพรรณเช่นกัน ซึ่งหากต้องการให้ผิวสวยจากภายในสู่ภายนอก ก็ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคให้ถูกต้องและเน้นการทานอาหารที่ดีต่อผิวเป็นหลัก

โภชนาการเพื่อสุขภาพจากสารอาหารที่มีส่วนช่วยในการบำรุงผิว

สารอาหารเกือบทุกชนิดล้วนมีส่วนช่วยในการดูแลสุขภาพผิวทั้งสิ้น ดังนั้นจึงควรทานอาหารให้ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน โดยหลักก็คือการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่นั่นเอง ซึ่งสารอาหารหลักๆ ที่มีความสำคัญต่อผิวก็ได้แก่ วิตามินบีรวม โปรตีน สารต้านอนุมูลอิสระ ธาตุเหล็ก สังกะสี และกรดไขมันจำเป็น เป็นต้น โดยพบว่าหากร่างกายขาดสารอาหารเหล่านี้ จะทำให้ผิวผลิตน้ำมันน้อยลงและมีการซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิวลดลง เป็นผลให้ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งกร้านและดูคล้ำเสียได้ แถมยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคผิวหนังได้ง่ายอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรละเลยการทานอาหารให้ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนเด็ดขาด

โภชนาการเพื่อสุขภาพปกป้องปัจจัยที่กระตุ้นให้ผิวเสื่อมก่อนวัย

นอกจากการขาดสารอาหารจะเป็นสาเหตุที่ทำให้สุขภาพผิวแย่ลงด้วยแล้ว ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจทำให้ผิวเสื่อมก่อนวัยได้อีกด้วย โดยหลักๆ เลยก็คือ ควันบุหรี่ แสงแดด มลพิษต่างๆ และโอโซนนั่นเอง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรามักจะต้องพบเจออยู่เป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะแสงแดดและมลพิษที่มักจะทำร้ายผิวโดยไม่รู้ตัว โดยสิ่งเหล่านี้จะเข้าไปทำลายคอลลาเจนของผิวให้เสื่อมสภาพลง จโภชนาการเพื่อสุขภาพนทำให้ผิวแห้งกร้าน หย่อนยาน ขาดความยืดหยุ่นและดูแก่เร็วในที่สุด อีกทั้งยังทำให้ผิวคล้ำ ตกกระ เป็นฝ้าและอาจเป็นมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วผิวของคนเราจะมีกลไกธรรมชาติที่จะทำหน้าที่ในการปกป้องผิวจากอันตรายต่างๆ โดยตรง ซึ่งจะมีซีลีเนียมและสารแอนติออกซิแดนต์เป็นตัวช่วยในการกำจัดอนุมูลอิสระและชะลอวัยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ เต่งตึงอยู่เสมอนั่นเอง แต่สารเหล่านี้ก็จะต้องได้รับจากการทานอาหารเช่นกัน ดังนั้นหากทานอาหารที่มีสารเหล่านี้น้อยจนทำให้ขาดก็จะทำให้ผิวถูกทำร้ายได้ง่ายในที่สุด

โดยสำหรับสารแอนติออกซิแดนต์ที่มีความสำคัญต่อผิวก็มีหลายชนิดด้วยกัน เช่น วิตามินอี ซีลีเนียม วิตามินซี เบต้าแคโรทีนและแคโรทีนอยด์ ซึ่งจะพบได้มากในผักผลไม้ และเนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างสารเหล่านี้ขึ้นมาเองได้ จึงต้องได้รับจากการทานอาหารเป็นหลักนั่นเอง โดยจากการสำรวจพบว่าผู้ที่ทานผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นประจำมากกว่าวันละ 5 ชนิด มักจะมีสุขภาพผิวที่ดีและเสื่อมช้าลงกว่าคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน และหากทานควบคู่ไปกับการดูแลผิวด้วยครีมกันแดดที่มีส่วนประกอบของสารแอนติออกซิแดนต์ด้วยแล้ว ก็จะยิ่งปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก  

โภชนาการเพื่อสุขภาพจำเป็นต้องรับวิตามินที่จำเป็นต่อสุขภาพผิว

วิตามินที่ดีต่อสุขภาพผิวมีหลายชนิดด้วยกัน ได้แก่

1. เบต้าแคโรทีนดีต่อโภชนาการเพื่อสุขภาพ

เป็นสารอาหารที่จะเปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอในร่างกายและทำหน้าที่ในการดูแลผิวพรรณโดยตรง โดยจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว จึงสามารถป้องกันการติดเชื้อและต้านอนุมูลอิสระที่เป็นตัวการทำร้ายผิวได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งยังช่วยรักษาสภาวะเยื่อบุผิวหนังจึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยและชะลอการเสื่อมจากการถูกทำร้ายด้วยปัจจัยต่างๆ อย่างเช่นแสงแดดและมลพิษได้ดีทีเดียว ดังนั้นการทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสูง ก็จะช่วยเพิ่มระดับเบต้าแคโรทีนให้กับร่างกายและลดความเสี่ยงโรคมะเร็งผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

ทั้งนี้หากร่างกายขาดเบต้าแคโรทีนหรือวิตามินเอในระยะยาว ก็จะทำให้ผิวพรรณดูเสื่อมสภาพลงไปอย่างเห็นได้ชัด เช่น เกิดผิวคางคกบริเวณไหล่ ต้นแขน คอ หลัง หน้าท้องและต้นขา เป็นต้น และหากได้รับวิตามินเอมากเกินไปในระยะเวลานานก็จะเป็นอันตรายได้เหมือนกัน โดยจะทำให้ผิวแห้งแตก มีอาการปวดศีรษะ อาเจียน กระดูกงอ ปวดกระดูกและข้อ ซึ่งในบางคนอาจร้ายแรงถึงขั้นระบบประสาทถูกทำลายได้เลยทีเดียว ดังนั้นจึงควรเสริมเบต้าแคโรทีนหรือวิตามินเออย่างพอเหมาะ ไม่มากและไม่น้อยเกินไป ที่สำคัญควรเน้นการเสริมวิตามินเอจากอาหารเป็นหลัก เพราะมักจะไม่ค่อยมีปัญหาเกิดขึ้นเหมือนกับการเสริมวิตามินเอที่ไม่ใช่อาหารนั่นเอง

อาหารที่พบเบต้าแคโรทีนสูง ได้แก่ ผักและผลไม้ที่มีสีเหลืองและสีส้มจัด รวมถึงผักใบเขียวจัดด้วย เช่น ตำลึง มะละกอ คะน้า ผักบุ้ง แครอตและฟักทอง เป็นต้น ทั้งนี้ควรกินร่วมกับอาหารที่มีไขมันเล็กน้อยเพื่อให้เกิดการดูดซึมและการย่อยที่ดียิ่งขึ้น โดยพบว่าในการกินอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนแต่ละครั้ง ร่างกายจะสามารถดูดซึมได้ที่ประมาณ 25-27 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเบต้าแคโรทีนที่พบได้ในสัตว์ ก็มักจะมีมากในตับ ไข่ น้ำมันตับปลาและนมนั่นเอง

2. วิตามินซีคือโภชนาการเพื่อสุขภาพ

เป็นสารที่จะช่วยชะลอความเหี่ยวย่นของผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและทำให้ผิวดูมีความเต่งตึง ไม่หย่อนยานได้ง่าย ทั้งยังเป็นสารแอนติออกซิแดนต์ที่มักจะพบได้มากที่สุดในผิวหนังอีกด้วย อย่างไรก็ตามวิตามินซีมักจะถูกทำลายได้ง่ายด้วยแสงแดด ซึ่งการสัมผัสกับแสงแดดเพียงเล็กน้อยก็สามารถลดปริมาณวิตามินซีได้มากถึงร้อยละ 30-55 เลยทีเดียว ดังนั้นร่างกายจึงมีความต้องการวิตามินซีสูงขึ้น โดยเฉพาะในคนที่ต้องทำงานกลางแจ้งเป็นประจำ ซึ่งสามารถเสริมวิตามินซีได้จากอาหาร ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและการใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องกันไม่ให้วิตามินซีถูกทำลายมากเกินไปนั่นเอง

และนอกจากวิตามินซีจะเป็นตัวช่วยในการดูแลผิวพรรณให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอแล้ว ก็ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันและเพิ่มความแข็งแรงให้กับหลอดเลือดอีกด้วย ดังนั้นวิตามินซีจึงมีความจำเป็นอย่างมากและควรเสริมวิตามินซีอย่าให้ขาด เพราะหากขาดวิตามินซี ผลที่ตามมาก็คือทำให้เส้นเลือดฝอยเปราะและเกิดรอยคดช้ำดำเขียวได้ง่าย และทำให้แผลบนผิวหายช้าด้วยนั่นเอง โดยสำหรับแหล่งอาหารที่พบวิตามินซีได้สูง ได้แก่ มะนาว มะขาม มะละกอสุก มะเขือเทศ มะขามป้อม ส้มและกะหล่ำปลี เป็นต้น

3. วิตามินอีคือโภชนาการเพื่อสุขภาพผิวสวย

เป็นสารแอนติออกซิแดนต์อีกชนิดหนึ่งที่จะช่วยป้องกันการถูกทำร้ายของเซลล์ผิวจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และสามารถป้องกันอันตรายจากแสงแดดที่จะทำให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้นอีกด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่าควรเสริมวิตามินอีให้ได้วันละ 400 มิลลิกรัมเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด และสำหรับอาหารที่จะพบวิตามินอีสูง ได้แก่ น้ำมันพืชต่าง ๆ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว น้ำมันงา น้ำมันรำข้าว น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันเมล็ดชาและน้ำมันสลัด เป็นต้น นอกจากนี้ก็สามารถพบวิตามินอีได้สูงในอาหารที่มีไขมันสูงเช่นกัน

4. ซีลีเนียม

เป็นสารอาหารอีกชนิดหนึ่งที่จะทำงานร่วมกับวิตามินซี เพื่อป้องกันเซลล์ผิวถูกทำลาย และป้องกันโรคร้ายต่างๆ อย่างเช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ได้ดี โดยเฉพาะโรคมะเร็งผิวหนัง นอกจากนี้ซีลีเนียมก็สามารถช่วยชะลอความเสื่อมของผิวที่เกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นได้อีกด้วย โดยสำหรับการขาดซีลีเนียมในคนนั้นยังไม่เคยมีรายงานพบ เพราะคนเรามักจะได้รับซีลีเนียมอย่างเพียงพอจากอาหารเสมอ แต่มีโอกาสที่จะได้รับซีลีเนียมมากเกินไปจนเป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะการทานซีลีเนียมเสริมในรูปของเม็ดยานั่นเอง และสำหรับอาหารที่พบซีลีเนียมสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ไต ตับ ไข่ กระเทียมและเมล็ดพืชต่างๆ ส่วนในอาหารแต่ละชนิดจะมีซีลีเนียมมากแค่ไหน กรณีที่เป็นผักผลไม้ ก็จะขึ้นอยู่กับปริมาณซีลีเนียมในดินที่ใช้ปลูกนั่นเอง โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรเสริมซีลีเนียมที่ 100-200 มิลลิกรัมต่อวันควบคู่ไปกับการเสริมวิตามินซีและวิตามินอีจะดีที่สุด

5. วิตามินบี

วิตามินบี มีส่วนช่วยในการรักษาสุขภาพผิว โดยจะทำให้ผิวแข็งแรงและมีสุขภาพผิวที่ดียิ่งขึ้น ทั้งยังทำให้แผลหายเร็วและป้องกันผิวแห้งเป็นสะเก็ดได้ดีอีกด้วย โดยวิตามินบีหลักๆ ที่มีความจำเป็นต่อผิวมากที่สุด ก็ได้แก่ วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และกรดโฟลิกนั่นเอง ซึ่งจะทำหน้าที่ในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงและเฮโมโกลบิน ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการนำออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงผิวอย่างสม่ำเสมอ เป็นผลให้ผิวมีสุขภาพดี แข็งแรงและไม่มีปัญหาผิวมากวนใจ ซึ่งหากขาดวิตามินบีพร้อมกับขาดธาตุเหล็กด้วย ก็จะทำให้ผิวดูซีดเซียวและดูไม่มีชีวิตชีวาได้ ทั้งยังเสี่ยงต่อปัญหาโลหิตจางเช่นกัน สำหรับแหล่งอาหารที่พบวิตามินบีสูง ได้แก่ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น นม ถั่วต่างๆ ข้าวซ้อมมือ เนื้อสัตว์ เป็นต้น

6. ไบโอติน

ไบโอตินเป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่มีความสำคัญมาก โดยพบว่าหากขาดไบโอตินจะทำให้เกิดความผิดปกติของหัวใจ เกิดอาการซึมเศร้า ผิวแห้งและมีอาการเบื่ออาหารได้ง่าย แต่อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วมักจะไม่ค่อยพบการขาดไบโอตินมากนัก เพราะร่างกายของคนเราสามารถดูดซึมไบโอตินได้ดีและมักจะได้รับไบโอตินจากอาหารอย่างครบถ้วนเสมอ โดยแหล่งที่พบไบโอตินสูงได้แก่ ตับ ขนมปัง ไข่ และธัญพืชไม่ขัดสี 

7. สังกะสี

เป็นธาตุอาหารที่สำคัญกับเอนไซม์มากกว่า 70 ชนิด โดยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเอนไซม์ และช่วยในการดูดซึมของกรดไลโอเลอิกได้เป็นอย่างดี โดยพบว่าหากร่างกายขาดธาตุสังกะสีจะก่อให้เกิดความผิดปกติของผิวหนังได้ และหากได้รับมากเกินไปก็จะไปขัดขวางการดูดซึมทองแดงเช่นกัน ทั้งยังทำให้ภูมิต้านทานต่ำลงและเกิดการระคายเคืองต่อระบบย่อยอาหารได้ ดังนั้นจึงควรทานอาหารที่มีสังกะสีอย่างพอเหมาะ ไม่มากและไม่น้อยเกินไปจะดีกว่า

8. กรดไลโนเลอิก

เป็นกรดไขมันที่จะช่วยฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายให้กลับคืนสู่สภาพปกติและทำให้ผิวมีความเนียนนุ่ม ชุ่มชื้นมากขึ้น ซึ่งโดยปกติร่างกายของคนเราจะมีความต้องการกรดไขมันชนิดนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องทานอาหารที่มีไขมันในปริมาณมาก แค่ทานอาหารไขมันต่ำเล็กน้อยก็ได้รับกรดไลโนเลอิกอย่างเพียงพอแล้ว สำหรับแหล่งที่พบกรดไลโนเลอิกสูงได้แก่ ดอกคำฝอย ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดทานตะวันและถั่วเหลือง เป็นต้น

9. โคเอนไซม์คิวเทน

เป็นตัวช่วยสำคัญในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง และช่วยดูแลผิวให้มีสุขภาพผิวที่ดียิ่งขึ้น ส่วนใหญ่จึงนิยมนำโคเอนไซม์คิวเทนมาใส่ลงไปในครีมทาผิวด้วยนั่นเอง ซึ่งก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับครีมดังกล่าว โดยเฉพาะคุณสมบัติในการลดริ้วรอยบนใบหน้า

10. สารฟลาโวนอยด์ดีต่อโภชนาการเพื่อสุขภาพ

เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยป้องกันโรคมะเร็งผิวหนังและลดการอักเสบของผิวหนังได้เป็นอย่างดี โดยสารชนิดนี้จะพบได้มากที่สุดในชาเขียว ดังนั้นจึงควรดื่มชาเขียวบ่อยๆ โดยดื่มเป็นประจำทุกเช้าก็ได้

11. น้ำ

เป็นอาหารที่จำเป็นต้องผิวมากที่สุด เพราะจะทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นเนียนนุ่มและลดปัญหาผิวแห้งกร้านได้เป็นอย่างดี ทั้งยังสามารถควบคุมให้ต่อมไขมันทำงานได้อย่างเป็นปกติมากขึ้นอีกด้วย โดยจากการวิจัยกล่าวว่าควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เป็นประจำทุกวัน 

โภชนาการเพื่อสุขภาพที่เหมาะสมต้องดูแลเรื่องอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

สำหรับอาหารที่เป็นตัวทำร้ายผิวและควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด ก็คืออาหารที่มีไขมันสูงนั่นเอง เพราะอาหารประเภทนี้จะเพิ่มอนุมูลอิสระให้สูงขึ้น และทำให้ร่างกายเกิดการอักเสบได้ง่าย โดยการลดปริมาณหรือเลี่ยงอาหารที่มีไขมันก็สามารถทำได้ด้วยการลดการทานอาหารทอดหรือใช้น้ำมันในการปรุงอาหารให้น้อยลง ลดการทานอาหารที่ติดมันและลดอาหารที่ใช้กะทิ รวมถึงเลี่ยงการทานเบเกอรี่ที่มีครีมมากๆ ด้วย หรือแม้แต่คาร์โบไฮเดรตขัดสี คาเฟอีนและน้ำตาลก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน

อย่างไรก็ตามการหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ก็จะต้องระมัดระวังนิดนึง เพราะจะมีผลต่อการลดน้ำหนักด้วย ซึ่งหากไม่ควบคุมน้ำหนักให้ดีหลังจากที่น้ำหนักลดลงไปแล้ว ก็จะทำให้เกิดการโยโย่จนเป็นผลให้ผิวมีรอยแตกและดูเป็นตำหนิได้ แถมยังเหี่ยวย่นก่อนวัยอีกด้วย ดังนั้นจึงต้องพยายามควบคุมน้ำหนักอย่างสม่ำเสมอไปพร้อมกันด้วยนั่นเอง

และสำหรับการทานอาหารเพื่อให้ผิวพรรณดูสวยอยู่เสมอ ก็คือการทานอาหารหลักให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นหลักการที่ว่าอาหารจะต้องมีไขมันต่ำ ใยอาหารสูง น้ำตาลต่ำและมีสารแอนติออกซิแดนต์ที่จะเป็นตัวช่วยจัดการกับอนุมูลอิสระได้อย่างดีเยี่ยม และควรเน้นการทานผักผลไม้หลากหลายชนิดเพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วนและดีต่อสุขภาพที่สุด ส่วนในคนที่จำเป็นต้องเสริมสารอาหารเนื่องจากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอหรือไม่ครบถ้วย ก็แนะนำให้เสริมวิตามินรวมที่ 100-150% ของข้อกำหนดมาตรฐานพร้อมกับกินอาหารที่มีส่วนช่วยในการดูดซึมควบคู่ไปด้วยนั่นเอง และที่สำคัญอย่าลืมดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้วเด็ดขาด

และสุดท้ายที่ควรระวังก็คือแสงแดดและมลพิษที่เป็นตัวการทำร้ายผิว เพราะนั่นอาจทำให้ผิวเสียได้ง่ายโดยที่เห็นได้ชัดก็คือผิวแห้งกร้าน ดำคล้ำและเหี่ยวย่นก่อนวัย เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดจัดในช่วง 09.00 – 15.00 น. อย่างเด็ดขาด และเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษจากท่อไอเสียรถ หรือควันบุหรี่ก็ตาม ซึ่งหากสามารถทำได้ดังนี้ ผิวสวยก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

ตรวจค่าปัสสาววะ Urine Spot MAU Creatinine Ratio ป้องกันโรคไต

0
การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine Spot MAU/creatinine ratio
Urine Spot MAU/creatinine ratio ตรวจเพื่อหาอัตราส่วนของค่าอัลบูมินขนาดเล็กต่อค่าครีเอตินีน

การตรวจค่าปัสสาวะ Urine Spot MAU / Creatinine Ratio เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยในการประเมินสุขภาพของไตและป้องกันโรคไตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การตรวจนี้วัดระดับโปรตีนอัลบูมินและคริเอตินีนในปัสสาวะ ซึ่งการมีโปรตีนอัลบูมินมากเกินไปอาจบ่งบอกถึงภาวะผิดปกติของไตได้ การตรวจ Urine Spot MAU / Creatinine Ratio นั้นสะดวกและสามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ทำให้เราสามารถดูแลสุขภาพไตได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงของโรคไตเรื้อรัง และช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Spot Urine หรือ Urine Spot MAU คือ

Spot Urine หรือ Urine Spot MAU คือSpot MAU / Creatinine Ratioหรือ Spot Urine หรือ Urine Spot MAU คือ การสุ่มตรวจจากตัวอย่างน้ำปัสสาวะ ณ เวลาใดก็ได้ เพื่อหาอัตราส่วนของค่าอัลบูมินขนาดเล็กต่อค่าครีเอตินีนซึ่งทั้งนี้การตรวจหาค่าดังกล่าวจะสามารถบ่งชี้ถึงการป่วยด้วย  โรคร้ายบางโรคได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะโรคไต

ความสำคัญของการตรวจพบอัลบูมินในปัสสาวะ

ปริมาณอัลบูมินในปัสสาวะจะเป็นตัวที่กำหนดว่าว่าผู้ใดจะกลายเป็นโรคไตวาย ผู้ที่มีไข่ขาวในปัสสาวะน้อยโอกาศเสี่ยงที่จะกลายเป็นโรคไตวายจะต่ำ ผู้ที่มีอัลบูมินในปัสสาวะสูงมีโอกาศจะกลายเป็นโรคไตวายสูง นอกจากนั้นปริมาณอัลบูมินในปัสสาวะยังสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจ อัตราการเสียชีวิต

วัตถุประสงค์ในการตรวจหาค่าปัสสาวะ Urine Spot MAU

วัตถุประสงค์ในการตรวจหาค่าปัสสาวะ Urine Spot MAU1.การตรวจ Urine Spot MAU พบค่าที่สูงในน้ำปัสสาวะเพียงอย่างเดียวก็สามารถบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพไตได้ ซึ่งส่วนใหญ่แพทย์จะวินิจฉัยว่ามีความเสี่ยงป่วยโรคไตดังนี้

ป่วยด้วยโรคไตในระยะเริ่มต้น ที่ยังไม่รุนแรง

ป่วยโรคไตที่เนื่องมาจากโรคเบาหวาน ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา ก็อาจนำไปสู่การเป็นโรคไตระยะสุดท้าย โรคตาและโรคหลอดเลือดหัวใจได้อีกด้วย

ป่วยโรคไตที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน โดยทั้งนี้บริษัทประกันชีวิตส่วนใหญ่ก็ได้ใช้ค่าการตรวจดังกล่าวในการทำนายอายุขัยของผู้เอาประกันด้วย เพราะค่าที่ได้มักจะทำนายได้อย่างแม่นยำมากทีเดียว

2.อย่างไรก็ตาม ค่า Urine Spot MAU ที่ตรวจพบในน้ำปัสสาวะอาจไม่แน่นอนเสมอไป เพราะมักจะมีการผันแปรเบี่ยงเบนอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อความแม่นยำมากขึ้นจึงได้มีการคิดสูตรขึ้นมา เพื่อนำค่าน้ำปัสสาวะที่สุ่มตรวจแล้ว มาคำนวณตัดปัจจัยเรื่องน้ำออกไป โดยมีสูตรดังนี้

Urine Spot MAU , Creatinine Ratio หมายถึงการสุ่มตรวจจากตัวอย่างน้ำปัสสาวะ ณ เวลาใดก็ได้ เพื่อหาอัตราส่วนของค่าอัลบูมินขนาดเล็กต่อค่าครีเอตินีน การตรวจหาค่า Spot MAU จะบ่งชี้ถึงการป่วยด้วยโรคร้ายบางโรคได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะโรคไต

Microalbumin / Creatinine = อัตราส่วน ( ของโปรตีน )

 

Urine Albumin Creatinine Ratio คือ

1.Albumin คือโปรตีนซึ่งตามปกติแล้วจะมีขนาดของโมเลกุลที่ใหญ่มากและยังเป็นตัวแทนของโปรตีนในหลอดเลือดมากถึง 50-60 เปอร์เซ็นต์อีกด้วย

2.ส่วนใหญ่แล้วหากไตยังคงทำงานได้อย่างปกติ ไม่มีปัญหาใดๆ มักจะทำหน้าที่ในการกรอง Albumin กลับเข้าสู่ร่างกายเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป จะมีหลงไปกับน้ำปัสสาวะก็เพียงแค่อัลบูมินที่มีขนาดเล็กเท่านั้น โดยจะถูกเรียกว่า Spot Urine หรือ MAU นั่นเอง

Microalbuminuria, Micro เล็ก
Albumin อัลบูมิน
Uria น้ำปัสสาวะ

 

Urine Spot MAU คือ อัลบูมินขนาดเล็ก การกรอง Albumin กลับเข้าสู่ร่างกายเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป จะมีหลงไปกับน้ำปัสสาวะก็เพียงแค่อัลบูมินที่มีขนาดเล็กเท่านั้น

3.MAU ที่ตรวจพบในปัสสาวะจะนับเป็นมิลลิกรัมต่อน้ำปัสสาวะ 1 ลิตร ดังนั้นหากตรวจหาค่า Urine Spot MAU ในขณะที่มีน้ำปัสสาวะน้อยหรือร่างกายกำลังอยู่ในภาวะขาดน้ำก็จะทำให้ตรวจพบค่าที่สูงผิดปกติได้นั่นเอง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการตรวจ MAU ในน้ำปัสสาวะอาจให้ผลตรวจที่ไม่แน่นอนได้ อย่างไรก็ตามบังเอิญว่าค่า Creatinine ใช้หน่วยการตรวจเป็น mg/dL จึงสามารถแปลงหน่วยเป็น mg/L ได้ไม่ยาก แล้วนำมาเทียบกับค่า MAU ที่ตรวจได้ ก็จะให้ผลลัพธ์ในการตรวจที่มีความแน่นอนและแม่นยำมากขึ้นนั่นเอง

Urine Protein Creatinine Ratio คํานวณจากอะไร

Urine Protein Creatinine Ratio คํานวณจากอะไรที่มาของอัตราส่วน MAU/creatinine Ratio สูตรคำนวณ แท้จริง คือ

อัตราส่วน ( mg / gm )  ( Microalbumin ( mg/dL) ) / (Creatinine (mg / dL) ) x 1000
คือ Ratio  (MAU ) / ( Creatinine ) mg / gm

 

ค่าปกติของ Urine Spot MAU / Creatinine Ratio

1.ค่าปกติ Urine Spot MAU ที่ตรวจได้ให้ยึดเอาตามค่าที่ได้ระบุไว้ในใบรายงานตรวจปัสสาวะ ( ถ้ามี )

2.สำหรับค่าปกติโดยทั่วไปจะอยู่ที่

Spot Urine MAU : < 20 mg / L
Spot Urine MAU/CREA Ratio : < 0 – 30 mg / L

ค่าผิดปกติ ( ค่าใดค่าหนึ่งหรือทั้งสองค่า )

หากตรวจพบค่า Urine Spot MAU น้อยกว่าปกติ ยิ่งน้อยมากเท่าไหร่ยิ่งถือว่าไม่ผิดปกติ และเป็นเรื่องดีอีกด้วย

Urine Spot MAU สูงค่าผิดปกติ แสดงว่า

1.กำลังป่วยด้วยโรคไตอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้ไตไม่สามารถทำการกรองได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเคย
2.กำลังป่วยด้วยโรคเบาหวาน ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อไปและทำให้ไตเสื่อมลง
3.เกิดโรคไตเสื่อม ซึ่งอาจเป็นเพราะการได้รับพิษจากยารักษาโรคบางชนิดเป็นเวลานาน
4.เกิดสภาวะที่หลอดเลือดตีบตัน เนื่องจากมีไขมันในหลอดเลือดสูงและหนาจนทำให้รูตีบแคบลงได้
5.มีไขมันในเลือดสูงผิดปกติหรือมีระดับความดันเลือดสูงมาก
6.เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จึงไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงไตได้อย่างเพียงพอ เป็นผลให้ไตเสื่อมประสิทธิภาพในที่สุด

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4.

พวงทอง ไกรพิบูลย์. ถาม – ตอบ มะเร็งร้ายสารพัดชนิด. กรุงเทพฯ ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557. 264 หน้า 1.มะเร็ง I.ชื่อเรื่อง. 616.994 ISBN 978-616-08-1170-0.

https://www.nhs.uk/

Urine Protein คืออะไร เช็กปัสสาวะให้รู้ทันสุขภาพไต

0
Urine Protein คืออะไร เช็กปัสสาวะให้รู้ทันสุขภาพไต
การตรวจปัสสาวะหาค่า Random Urine และ Urine Protin 24 hr
หาค่า Random Urine และ Urine Protin 24 hr เพื่อตรวจหาโปรตีนที่มีอยู่ในน้ำปัสสาวะ

โปรตีนในปัสสาวะ Urine Protein ( Random urine )

การตรวจหาค่า Urine Protein (Random Urine) หรือที่รู้จักกันในชื่ออื่น ๆ เช่น Albumin-Urine, Urine Albumin, Proteinuria และ Albuminuria มีวัตถุประสงค์เพื่อดูว่ามีโปรตีนในปัสสาวะมากน้อยเพียงใด และตรวจสอบว่าอยู่ในระดับที่ปกติหรือไม่ โดยปกติแล้ว ไตจะทำหน้าที่กรองโปรตีนออกจากเลือดและนำกลับไปใช้ประโยชน์ในร่างกาย หากไม่มีปัญหากับการทำงานของไต จึงไม่ควรพบโปรตีนในปัสสาวะ แต่ในบางกรณีอาจพบโปรตีนชนิดอัลบูมินที่มีขนาดเล็กในปัสสาวะได้บ้าง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ หากพบโปรตีนในปัสสาวะในปริมาณมาก อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติบางประการที่เกิดขึ้นกับไต ซึ่งการตรวจหาค่านี้จึงสำคัญในการตรวจสอบสุขภาพของไตและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

การตรวจหาค่า โปรตีนในปัสสาวะ

การตรวจหาค่า โปรตีนในปัสสาวะ1.การตรวจหาค่าโปรตีนในปัสสาวะ หากสุ่มตรวจในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งอาจไม่สามารถได้ข้อสรุปที่แน่ชัด เพราะการตรวจแต่ละครั้งจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป กล่าวคือหากตรวจในเวลากลางวันอาจพบค่าโปรตีนในปัสสาวะ แต่เมื่อตรวจในเวลากลางคืน ก็อาจไม่พบค่าโปรตีนเลยนั่นเอง ดังนั้นการจะตรวจหาค่าโปรตีนในปัสสาวะได้อย่างชัดเจน ก็ต้องตรวจแบบรอบระยะเวลา 24 ชั่วโมงนั่นเอง

2.การตรวจค่าโปรตีนในปัสสาวะ แม้เพียงเล็กน้อยก็อาจแสดงได้ว่าผู้ตรวจกำลังมีความผิดปกติที่ไต จึงไม่ควรละเลยอย่างเด็ดขาด โดยต้องตรวจหาโรคไตโดยด่วนเพื่อผลการตรวจที่แน่ชัด และจะได้ทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที

3.หากค่าโปรตีนในปัสสาวะที่ตรวจได้มีการกระเพื่อมสูงขึ้นเป็นครั้งคราว นั่นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การมีความเครียดอย่างรุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ การติดเชื้อบางอย่าง การออกกำลังกายที่หักโหมและการกินยารักษาโรคบางชนิดที่อาจส่งผลให้เกิดความผิดปกตินี้ได้

4.สารคัดหลั่ง ( Secretions ) จากต่อมลูกหมากของผู้ชายหรือจากช่องคลอดของผู้หญิง ที่ปนมากับน้ำปัสสาวะก็ถือเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งเช่นกัน แต่จะเรียกว่าโปรตีนนูเรีย ( Protein uria ) ซึ่งเป็นศัพท์ที่ใช้เรียกโดยเฉพาะ

5.การพบโปรตีนในปัสสาวะอาจสูงขึ้นเนื่องจากกรณีอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่นการกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานจนทำให้ปัสสาวะเข้มข้นเกินกว่าปกติและการทานอาหารที่มีโปรตีนมากเกินไป จึงทำให้โปรตีนในปัสสาวะสูงเกินและหลุดมากับน้ำปัสสาวะได้ในที่สุด

ค่าปกติของ Urine Protein ( Random Urine )

1.ค่าความปกติของ Urine Protein ( Random Urine ) ให้ยึดเอาตามค่าปกติที่ได้ระบุไว้ในใบรายงานผลการตรวจปัสสาวะ (ถ้ามี)

2.ค่าปกติโดยทั่วไปของ Urine Protein ( Random Urine ) จะอยู่ที่

Random Urine ( สุ่มตรวจ ) Urine Protein : 0 – 8 mg / dL

 

ค่าผิดปกติของ Urine Protein ( Random Urine )

1.หากค่าผิดปกติที่ตรวจได้ไปในทางน้อย ย่อมถือว่าไม่ผิดปกติ เพราะค่าโปรตีนในปัสสาวะ ไม่ควรตรวจพบเลยจะดีที่สุด

2.หากค่าผิดปกติที่ตรวจได้ไปในทางมาก อาจแสดงให้เห็นได้ว่า

  • ท่อไตที่ส่งไปยังกระเพาะปัสสาวะมีการอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นผลให้ไม่สามารถกรองเอาโปรตีนเพื่อดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกายได้ โปรตีนจึงหลุดลอยลงมาสู่น้ำปัสสาวะ เป็นผลให้ตรวจพบโปรตีนสูงในที่สุด
  • เป็นมะเร็งที่กระเพาะปัสสาวะ เป็นผลให้โปรตีนของเนื้อเยื่อหลุดปนออกมากับน้ำปัสสาวะ และตรวจพบค่า Urine Protein ( Random Urine ) สูงได้
  • หัวใจวายหรือมีความอ่อนแรงจากการขาดเลือด ( Congestive Heart Failure ) ทำให้หัวใจไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงกรวยไตได้อย่างเพียงพอ ทำให้กรวยไตไม่สามารถดูดซึมโปรตีนกลับเข้าสู่ร่างกายได้ เป็นผลให้โปรตีนที่หลุดมาปนกับน้ำปัสสาวะมีปริมาณสูงผิดปกติ
  • เป็นโรคไตที่ต่อเนื่องมาจากเบาหวาน ( Diabetic Nephropathy ) นั่นก็เพราะเมื่อน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นจนผิดปกติ จะทำให้กรวยไตเกิดการเสื่อมสภาพลงจนไม่สามารถกรองสารอาหารได้อย่างครบถ้วน ดังนั้นนอกจากจะมีน้ำตาลกลูโคสหลุดปนมากับน้ำปัสสาวะแล้ว ก็มีโปรตีนหลุดออกมากับน้ำปัสสาวะมากขึ้นเช่นกัน จึงทำให้ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะสูงเกินปกติได้ในที่สุด
  • กลุ่มเลือดแดงฝอยในไตเกิดการอักเสบ ซึ่งมีบทบาทเป็นทางผ่านของเลือดเพื่อรับการฟอกเอาของเสียออกทิ้ง ดังนั้นเมื่อเกิดการอักเสบ จึงทำให้ประสิทธิภาพในการฟอกและกรองของเสียจากเลือดของไตด้อยลง และมีโปรตีนและเลือดที่เล็ดลอดออกมาปนกับน้ำปัสสาวะได้ โดยสภาวะนี้ก็จะมีศัพท์ทางแพทย์เรียกโดยตรงว่า เฮมาตูเรีย นั่นเอง ซึ่งก็สามารถที่จะสังเกตได้ด้วยตาเปล่า จากการถ่ายปัสสาวะลงในภาชนะ แล้วพบว่ามีฟองมากกว่าปกติ หรือน้ำปัสสาวะเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีคล้ำคล้ายสนิมเหล็ก และนอกจากการสังเกตความผิดปกติจากน้ำปัสสาวะแล้วก็อาจมีอาการอื่นๆ ทางกายร่วมด้วย เช่น อาการปวดศีรษะ เหนื่อยง่าย คลื่อนไส้อาเจียน กล้ามเนื้อมีการกระตุก หดเกร็ง มือเท้าแขนขาอ่อนแรงและอาจเป็นตะคริวอีกด้วย ดังนั้นหากตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะสูง ก็อาจสรุปได้ว่ากำลังป่วยด้วยโรคดังกล่าวนั่นเอง
  • หากสังเกตจะพบว่าการที่ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะสูง ล้วนมีความสัมพันธ์กับโรคไตทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อตรวจพบค่า Urine Protein ( Random urine ) จึงไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณร้ายของการป่วยด้วยโรคไตก็ได้

การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine Protein ( Random urine ) ในรอบระยะเวลา 24 ชั่วโมง

การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine Protein ( Random urine ) ในรอบระยะเวลา 24 ชั่วโมงUrine Protein เป็นการตรวจหาโปรตีนที่ปนมากับน้ำปัสสาวะในรอบระยะเวลา 24 ชั่วโมง ว่ามีค่าผิดปกติมากน้อยเพียงใด ซึ่งผลที่ตรวจได้ก็สามารถบ่งชี้ได้ถึงการป่วยด้วยโรคไตหรือโรคอื่นๆ อีกด้วย โดยการตรวจด้วยวิธีนี้ก็จะให้ผลการตรวจที่มีความแม่นยำและแน่นอนกว่ามากทีเดียว

คำอธิบายอย่างสรุป

1. เพราะการตรวจหาค่าโปรตีนที่ได้ในปัสสาวะด้วยวิธีการสุ่มตรวจมักจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยแน่นอนมากนัก เนื่องจากในช่วงเวลาต่างๆ ค่าโปรตีนที่ได้มักจะมีความต่างกันอยู่เสมอ ในขณะที่การตรวจในรอบ 24 ชั่วโมง จะทำให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนมากกว่า ว่าในช่วงเวลานั้นมีโปรตีนในปัสสาวะมากน้อยเพียงใดและถือเป็นการผิดปกติหรือไม่ จึงนิยมตรวจหาโปรตีนในปัสสาวะด้วยการเก็บรวบรวมผลในรอบ 24 ชั่วโมงมากกว่านั่นเอง

2. จากการตรวจหาค่าโปรตีนในปัสสาวะด้วยวิธีการเก็บรวบรวมในรอบ 24 ชั่วโมง อาจทำให้ได้ค่าโปรตีนที่มากขึ้นตามระดับน้ำปัสสาวะไปด้วย แต่ก็ไม่เป็นผลกับความแม่นยำในการตรวจแต่อย่างใด เพราะโดยหลักแล้วค่าโปรตีนที่ได้ควรจะมีระดับต่ำอยู่เสมอ ไม่ว่าน้ำปัสสาวะที่นำมาตรวจจะมากน้อยเพียงใดก็ตาม

ค่าปกติของ Urine Protein 

1.ค่าปกติของ Urine Protein ( 24 hr urine ) ให้ยึดเอาตามค่าปกติที่ได้ระบุไว้ในรายงานผลการตรวจปัสสาวะ

2.ค่าปกติโดยทั่วไปจะอยู่ที่

24 hr Urine : Urine Protein : < 150 mg / 24 hr

 

ค่าผิดปกติของ Urine Protein 

1.ค่าความผิดปกติที่ตรวจได้ หากไปในทางน้อยแสดงได้ว่า ไม่ผิดปกติแต่อย่างใด เพราะยิ่งตรวจพบค่าโปรตีนต่ำมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลดีมากเท่านั้น โดยแสดงได้ว่าไตยังคงทำงานได้ดีจึงไม่ทำให้โปรตีนหลุดมาปนกับน้ำปัสสาวะเลยนั่นเอง ทั้งนี้ควรพบโปรตีนในปัสสาวะต่ำกว่า 1000 มก. ใน 1 วันจะดีที่สุด

2.ค่าความผิดปกติที่ตรวจได้ หากไปในทางมากแสดงได้ว่า

  • เป็นโรคหรือเหตุสำคัญบางอย่างที่ทำให้ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะสูงเกินค่าปกติ ซึ่งสาเหตุนี้อาจเป็นได้ทั้งการตรวจปัสสาวะแบบสุ่มและการตรวจแบบเก็บรวบรวมในรอบ 24 ชั่วโมง
  • เกิดพิษจากการที่ร่างกายได้รับสารโลหะหนักมากเกินไป โดยปกติแล้วสารโลหะหนัก ตับจะทำหน้าที่ในการเก็บไว้แล้วส่งต่อไปยังไตเพื่อปล่อยทิ้งไปกับน้ำปัสสาวะต่อไป แต่เนื่องจากพิษจากโลหะหนักจะทำลายกรวยไตให้เสื่อมสภาพลงไปเรื่อยๆ จึงเป็นผลให้ไตไม่สามารถที่จะดูดซึมกลับสารอาหารและแร่ธาตุต่างๆจากปัสสาวะเพื่อคืนสู่ร่างกายได้ในที่สุด ผลที่ตามมาจึงทำให้โปรตีนถูกปล่อยทิ้งไปกับน้ำปัสสาวะในปริมาณมาก และตรวจพบค่าโปรตีนที่สูงเกินเกณฑ์ปกติอย่างเห็นได้ชัด โดยโลหะหนักที่ก่อให้เกิดพิษก็ได้แก่ ปรอท สารหนู ตะกั่วและแคดเมียมนั่นเอง

สารโลหะหนักเหล่านี้ เข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร ?

1. ได้รับเข้าสู่ร่างกายจากการดื่มน้ำ โดยเฉพาะน้ำที่ไหลผ่านท่อประปารุ่นเก่าที่มีเป็นเหล็กเคลือบตะกั่วหรือสังกะสี สารพิษเหล่านี้จึงอาจหลุดปนมากับน้ำและเข้าสู่ร่างกายเมื่อดื่มกินได้นั่นเอง

2. ได้รับเข้าสู่ร่างกายจากอาหารที่มีสารโลหะหนักแฝงอยู่ เช่น ในเนื้อสัตว์ ในสารกันบูดและสารที่ใช้สำหรับแต่งสี กลิ่นรส เป็นต้น

3. ได้รับเข้าสู่ร่างกายจากการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีโลหะหนักปะปนอยู่ เช่น งานในโรงงานแบตเตอรี่ งานช่างกระจกเงา การเป็นพนักงานกำจัดปลวกและฉีดยาฆ่าแมลงต่างๆ เป็นต้น

4. ได้รับเข้าสู่ร่างกายจากสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว เช่น คนที่มีบ้านเรือนอยู่ท่ามกลางโรงงานหลายแห่ง ทำให้ได้รับฝุ่นละอองและสารโลหะหนักจากโรงงานโดยตรง หรือคนที่ต้องทำงานอยู่ในบริเวณโรงงานที่มีสารโลหะหนักเป็นประจำ จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

5. ได้รับเข้าสู่ร่างกายจากยาและเครื่องสำอางบางชนิด ซึ่งแม้ว่าจะมีในปริมาณน้อย แต่เมื่อใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ก็จะเกิดการสะสมอยู่ในร่างกายเป็นจำนวนมาก และก่อให้เกิดพิษแก่ร่างกายได้ในที่สุด ยกตัวอย่างสารโลหะหนักที่อยู่ในเครื่องสำอางและยาได้แก่ แมกนีเซียมในยารักษาโรคกระเพาะ ตะหั่วในน้ำยาย้อมผมและปรอทในลิปสติกทาปากบางยี่ห้อ เป็นต้น

  • ความดันเลือดขึ้นสูงเกินเกณฑ์ โดยมีศัพท์ทางการแพทย์เรียกภาวะเช่นนี้ว่า “ Malignant Hypertension ” และเนื่องจากศัพท์ดังกล่าวไปคล้องกับคำว่ามะเร็งในทางการแพทย์ จึงได้มีการบัญญัติศัพท์ขึ้นมาอีกชื่อหนึ่งเพื่อความเข้าใจตรงกันว่าเป็นความดันเลือดสูงที่ไม่ใช่มะเร็งอย่างชัดเจน โดยเรียกว่า “ Accelerated phase Hypertension ” ซึ่งแปลความหมายได้ว่า ความดันเลือดสูงยิ่งด้วยอัตราเร่ง นั่นเอง

ซึ่งทั้งนี้ระดับความดันเลือดสูงผิดปกติที่เข้าข่าย “ Malignant Hypertension ” คาดว่าจะมีความดันสูงยิ่งด้วยอัตราเร่งมากกว่า 220/120 มม.ปรอท ในขณะที่ความดันเลือดปกติของผู้ที่มีสุขภาพดีจะอยู่ที่เท่ากับหรือน้อยกว่า 130/58 มม.ปรอม และด้วยความดันเลือดที่สูงเกินปกตินี้ ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆ ในร่างกายได้สูงอีกด้วย เช่น ปอด สมอง ไตและลูกนัยน์ตา เป็นต้น ส่วนไต อาจถึงขั้นเป็นไตวายแบบเฉียบพลันจนไม่สามารถจะดูดซึมกลับโปรตีนเข้าสู่ร่างกายได้เลยทีเดียว ผลที่ตามมาจึงตรวจพบค่าโปรตีนในปัสสาวะสูงเกินไปติในที่สุด

  • เกิดสภาวะโรคไตเสื่อม ( Nephrotic Syndrome ) ทำให้ประสิทธิภาพในการดูดซึมกลับโปรตีนของกรวยไตลดต่ำลง ซึ่งอาจพบได้ว่ามีโปรตีนปนมากับปัสสาวะมากกว่า 3 กรัมต่อวันเลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อตรวจพบค่า Urine Protin ( 24 hr urine ) ในระดับนี้ แพทย์ก็จะตรวจดูสภาพไตเพื่อความแน่ชัดทันที ว่าผู้ตรวจกำลังมีปัญหาโรคไตเสื่อมหรือไม่ นอกจากนี้ก็สามารถสังเกตได้จากการที่ปัสสาวะเป็นฟองจนดูผิดปกติอีกด้วย เพราะส่วนมากแล้วปัสสาวะของคนเราจะไม่มีฟองหรือมีน้อยมาก ดังนั้นหากพบว่าปัสสาวะเป็นฟอง นั่นแสดงได้ว่าในปัสสาวะมีโปรตีนสูงและน่าจะมีสาเหตุมาจากโรคไตเสื่อมนั่นเอง

อาการของโรคไตเสื่อมที่จะปรากฏให้เห็นตามมา นอกจากการตรวจ Urine Protein ( Random urine )

1.หากมีการตรวจหาค่าโปรตีนในเลือดด้วย ก็จะพบว่าโปรตีนในเลือดต่ำมาก นั่นก็เพราะโปรตีนส่วนใหญ่ได้ถูกกรองทิ้งไปกับปัสสาวะแล้วนั่นเอง ทั้งนี้หากปล่อยไว้นานๆ ก็อาจเสี่ยงต่อภาวะร่างกายขาดโปรตีนได้เหมือนกัน

2.เมื่อมีการตรวจหาค่าคอเลสเตอรอลร่วมด้วย ก็จะพบได้ว่าคอเลสเตอรอลอยู่ในระดับที่สูงจนดูผิดปกติเช่นกัน

3.อาจมีอาการบวมตามร่างกายอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะบริเวณเท้า ข้อเท้า รอบๆนัยน์ตาและใบหน้า เป็นต้น

4.สังเกตเห็นช่องท้องบวมอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลมาจากไตเสื่อม

5.น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากการบวมน้ำ แม้ว่าจะกินอาหารน้อยหรือควบคุมการกินได้ดีเพียงใดก็ตาม

6.ความรู้สึกอยากอาหารลดลง จึงเกิดอาการอยากอาหารน้อยกว่าปกติ

7.ความดันเลือดเพิ่มสูงขึ้นจนดูผิดสังเกต ซึ่งก็ส่งผลต่อสุขภาพด้านอื่นๆ ด้วย

ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า หากตรวจพบค่า Urine Protein ( Random urine ) ภายใน 24 ชั่วโมง ที่สูงกว่า 3000 มก.ต่อวัน ก็อาจเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่าผู้ตรวจกำลังเป็นโรคไตเสื่อม โดยควรรีบตรวจให้ชัดเจนและทำการรักษาโดยด่วน

– เกิดอาการไตเสื่อมที่เป็นผลมาจากการได้รับพิษจากยารักษาโรค ( Drug-induced nephrotoxicity ) โดยภาวะดังกล่าวนี้ก็จะมีศัพท์ทางการแพทย์เรียกโดยเฉพาะว่า “ สภาวะไตเสื่อมจากพิษของยารักษาโรค ”

ยารักษาโรคกับอาการไตเสื่อม

ยารักษาโรคกับอาการไตเสื่อมยารักษาโรคอาจช่วยบรรเทาและรักษาอาการป่วยต่างๆ ให้หายเป็นปกติได้จริง แต่เนื่องจากยารักษาโรคส่วนใหญมีการผลิตขึ้นมาจากสารประกอบอนินทรีย์หรือสารเคมี จึงทำให้มีผลกระทบต่อร่างกายไม่น้อยเช่นกัน นั่นก็เพราะว่าสารเคมีเหล่านี้จะเหลือตกค้างอยู่ในร่างกาย ซึ่งตับจะถือว่าเป็นสารพิษหรือสิ่งแปลกปลอมที่ต้องกำจัดออก จึงนำสารเหล่านี้ไปเก็บรวมกันไว้ที่ตับก่อนจะเร่งลำเลียงออกทิ้งทางท่อถุงน้ำดี ไปยังลำไส้เล็กและปนไปกับอุจจาระเพื่อขับออกนอกร่างกาบนั่นเอง แต่ก็ยังคงมีสารเคมีจากยาบางส่วนที่สามารถละลายน้ำได้ ตับจึงต้องรวบรวมและส่งออกไปกับหลอดเลือดแดง เพื่อให้ไตทำหน้าที่กรองเอาสารพิษออกไปทิ้งปนกับน้ำปัสสาวะ โดยระหว่างที่สารพิษนี้ผ่านไตก็จะทำให้ไตค่อยๆ เสื่อมสภาพและด้อยประสิทธิภาพในการทำงานลง ดังนั้นเมื่อมีการกรองสารพิษนี้ผ่านไตเป็นเวลานานก็จะทำให้ไตเสื่อมได้ในที่สุด โดยความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับระบบการกรองของไตก็มีดังนี้

1.ก่อให้เกิดการขัดขวางหรือเปลี่ยนอัตราการไหลของกระแสเลือดเมื่อผ่านกลุ่มหลอดเลือดแดงฝอย ทำให้ไตไม่สามารถกรองสารของเสียจากเลือดออกมาได้เท่าที่ควร

2.ก่อให้เกิดพิษต่อเซลล์ของท่อกรวยกรอง ( Tubular cell toxicity ) ทำให้ท่อกรวยไตมีการปิด-เปิด โดยไม่มีการกรองสารใดไว้ได้เลย

3.ทำให้เกิดการอักเสบขึ้นภายในไต จึงทำให้การทำงานของไตด้อยประสิทธิภาพลงอย่างรวดเร็วและไม่สามารถกรองได้ตามปกติ

4.เกิดพยาธิสภาพภายในไต ซึ่งก็จะส่งผลเสียได้อย่างมากมายเลยทีเดียว โดยเฉพาะการปิดกั้นการไหลของปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะถูกขับทิ้งได้น้อยลง และอาจเกิดการอักเสบได้อีกด้วย

5.ไตไม่สามารถดูดซึมโปรตีนจากปัสสาวะกลับคืนเข้าสู่ร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนที่มีขนาดโมเลกุลเล็กหรือใหญ่ก็ตาม จึงทำให้ตรวจพบค่า Urine Protein ( Random urine ) ภายใน 24 ชั่วโมง ในปริมาณสูงผิดปกติ และหากนานไปก็จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดโปรตีน ที่อาจเลวร้ายถึงขั้นเกิดสภาวะโรคกล้ามเนื้อสลายได้เลยทีเดียว

จากข้อมูลดังกล่าวจึงสรุปได้ว่า การได้รับยารักษาโรคมากเกินไปเป็นเวลานาน ก็อาจทำให้เกิดปัญหาไตเสื่อมได้ง่าย และยังเป็นสาเหนุหนึ่งที่ทำให้ไตไม่สามารถดูดซึมโปรตีนกลับได้อย่างครบถ้วน จนทำให้ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะสูงอีกด้วย

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4.

Russell (2005). The Top 10 of Everything 2006: The Ultimate Book of Lists. Dk Pub. ISBN 0-7566-1321-3. Archived from the original on 2006-10-05.

การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine Magnesium

0
การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine Magnesium
Urine Magnesium เพื่อตรวจดูระดับของแมกนีเซียมที่มีอยู่ในปัสสาวะ
การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine Magnesium
Urine Magnesium เพื่อตรวจดูระดับของแมกนีเซียมที่มีอยู่ในปัสสาวะ

Urine Magnesium

การตรวจหาค่า Urine Magnesium มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจดูระดับของแมกนีเซียมที่มีอยู่ในปัสสาวะว่ามีมากน้อยเพียงใดและอยู่ในระดับที่ปกติหรือไม่ นั่นก็เพราะค่าแมกนีเซียมที่พบในปัสสาวะจะสามารถบอกได้ว่าผู้ ตรวจกำลังอยู่ในสภาวะการขาดแมกนีเซียมหรือได้รับแมกนีเซียมมากเกินจนเป็นอันตรายหรือไม่นั่นเอง โดยการตรวจหาแมกนีเซียมจากปัสสาวะจะให้ผลที่ทราบได้อย่างรวดเร็วมากกว่าการตรวจจากเลือดซะอีก

การตรวจปัสสาวะหาค่า Urine Magnesium

1. แมกนีเซียมเป็นแร่ธาตุอีกชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อร่างกายรองลงมาจาก แคลเซียม ฟอสฟอรัสและคลอไรด์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรักษาระดับของแคลเซียมให้คงที่อยู่เสมอ และต้องระวังอย่าให้ร่างกายขาดหรือพร่องแคลเซียมเด็ดขาด

2. โดยปกติแล้วร่างกายของคนเราจะได้รับแมกนีเซียมจากการดูดซึมจากอาหารที่ทานเข้าไปบริเวณลำไส้เล็ก และจะมีต่อมหมวกไตทำหน้าที่ควบคุมระดับของแมกนีเซียมในเลือดให้เป็นปกติมากที่สุด รวมถึงทำหน้าที่ในการบังคับให้เกิดการปล่อยทิ้งแมกนีเซียมปนไปกับน้ำปัสสาวะอีกด้วย ดังนั้นหากพบว่ามีแมกนีเซียมในน้ำปัสสาวะมากผิดปกติ ก็แสดงได้ว่าอาจเป็นข้อบ่งชี้ของภาวะบางอย่างที่เกิดขึ้นในร่างกายนั่นเอง

3. การตรวจหาค่า Urine Magnesium ก็เพื่อเจาะจงจะทราบผลดังต่อไปนี้

  • เพื่อตรวจดูว่าแมกนีเซียมในร่างกายอยู่ในระดับที่ปกติหรือไม่ เพราะหากพบว่าแมกนีเซียมมีระดับที่สูงหรือต่ำกว่าปกติ อาจบ่งชี้ได้ถึงโรคหรือความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้นั่นเอง
  • เพื่อวินิจฉัยกลุ่มคนที่มีอาการสติฟั่นเฟือน ว่ามาจากสาเหตุการขาดแมกนีเซียมของร่างกายหรือไม่ โดยพิจารณาจากการตรวจหาค่า Urine Magnesium จากผู้ที่มีสติฟั่นเฟือยหลายๆ คน
  • ตรวจเพื่อประเมินดูประสิทธิภาพของหลอดเลือดแดงฝอยในไต เพราะเป็นส่วนที่มีบทบาทสำคัญในการกรองของเสียออกมากับน้ำปัสสาวะ ทั้งยังทำให้ทราบว่าหลอดเลือดแดงฝอยยังคงทำงานได้อย่างปกติหรือไม่

ค่าปกติของ Urine Magnesium

  1. ค่าความปกติของ Urine Magnesium ให้ยึดเอาตามค่าที่ได้ระบุไว้ในใบรายงานผลการตรวจปัสสาวะ

2. ค่าปกติทั่วไปจะอยู่ที่

24 hr Urine Magnesium : 3 – 5 mEq/24 hr

ค่าผิดปกติของ Urine Magnesium

1. ค่าผิดปกติ Urine Magnesium ที่ได้ไปในทางน้อย แสดงได้ว่า

  • การดูดซึมสารอาหารของลำไส้มีความบกพร่อง ( Malabsorption ) จึงทำให้ดูดซึมแมกนีเซียมได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น
  • มีอาการท้องเสียแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ทำให้แมกนีเซียมส่วนใหญ่ถูกปล่อยทิ้งไปกับอุจจาระ จึงตรวจพบแมกนีเซียมในปัสสาวะน้อยลง
  • เป็นเบาหวานและเกิดสภาวะเป็นกรดขึ้นมาในเลือด ทำให้ไตมีประสิทธิภาพในการกรองแมกนีเซียมเพื่อผ่านลงสู่ปัสสาวะน้อยลงผิดปกติ
  • ร่างกายมีการขาดน้ำ เป็นผลให้เลือดที่ผ่านการกรองของไตมีปริมาณลดน้อยลง และทำให้แมกนีเซียมที่กรองลงสู่ปัสสาวะได้ อยู่ในระดับที่น้อยกว่าปกติ
  • เป็นผลมาจากภาวะตับอ่อนอักเสบ ที่ทำให้ไม่สามารถผลิตเอนไซม์ไปย่อยอาหารในลำไส้ได้อย่างเพียงพอ ร่างกายจึงดูดซึมแมกนีเซียมจากลำไส้ได้ต่กด้วย
  • เป็นโรคไตวายระยะรุนแรง ( Advanced renal failure ) ทำให้ไตขาดประสิทธิภาพในการกรองแมกนีเซียมออกจากเลือด ค่าของแมกนีเซียมที่ตรวจพบในปัสสาวะจึงน้อยกว่าปกติ
  • มีความผิดปกติของต่อมหมวกไต จึงไม่สามารถควบคุมการหลั่งฮอร์โมนที่จะช่วยบังคับให้ไตดูดซึมกลับโซเดียมเข้าสู่ร่างกายได้ เมื่อร่างกายมีฮอร์โมนตัวนี้สูงกว่าปกติ จึงทำให้มีการดูดซึมโซเดียมกลับเข้าสู่กระแสเลือดในปริมาณมาก และส่งผลให้มีการขับธาตุโพแทสเซียมออกทิ้งในปริมาณมากเกินแทน อีกทั้งยังมีการรักษาน้ำไว้ในร่างกายมากไปจนเกิดสภาวะบวมน้ำที่ทำให้ร่างกายบวมขึ้นอีกด้วย และเนื่องจากการบวมน้ำนี่เอง จึงมีการปล่อยทิ้งปัสสาวะออกมาน้อยกว่าปกติ ทำให้แมกนีเซียมถูกกรองออกมากับปัสสาวะในรอบ 24 ชั่วโมง ในปริมาณที่น้อยกว่าปกติไปด้วย
  • มีการทานอาหารที่ขาดแมกนีเซียมหรือมีแมกนีเซียมน้อยเกินไปเป็นระยะเวลา จนทำให้เกิดภาวะการขาดแทกนีเซียมในที่สุด

2. ค่าปกติของ Urine Magnesium ที่ได้ไปในทางมาก แสดงได้ว่า

  • เป็นโรคไตวายเรื้อรัง ไตจึงไม่สามารถดูดซึมกลับแร่ธาตุสำคัญเข้าสู่ร่างกายได้อย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นแมกนีเซียมจึงหลุดไปกับน้ำปัสสาวะในปริมาณมากจนดูผิดไปติ
  • ต่อมหมวกไต มีการผลิตฮอร์โมนแอลโดสเตอโรนออกมาน้อยเกิน ทำให้มีการขับโซเดียมทิ้งไปกับน้ำปัสสาวะในปริมาณมากและเป็นผลให้แมกนีเซียมก็ถูกขับทิ้งออกไปในปริมาณมากเช่นกัน
  • มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้ Urine Magnesium ในตับและไตมีการทำงานที่ผิดปกติไปจากเดิม เนื่องจากต้องทำงานหนักกับการพยายามขับแอลกอฮอล์ทิ้งลงสู่ปัสสาวะมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อไตและตับไม่สามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ ก็จะทำให้แมกนีเซียมที่ถูกขับทิ้งออกมา อาจมีปริมาณมากเช่นกัน
  • การกินยารักษาโรคกระเพาะอาหารชนิด Amtacids อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพราะยาชนิดนี้มีแมกนีเซียมเป็นส่วนผสม จึงอาจทำให้แมกนีเซียมในร่างกายสูงขึ้นได้

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4.

Russell (2005). The Top 10 of Everything 2006: The Ultimate Book of Lists. Dk Pub. ISBN 0-7566-1321-3. Archived from the original on 2006-10-05.

Housecroft, C. E.; Sharpe, A. G. (2008). Inorganic Chemistry (3rd ed.). Prentice Hall. pp. 305–306. ISBN 978-0131755536.

ชนิดของมะเร็ง และเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งชนิดต่าง ๆ ในร่างกาย

0
ชนิดของมะเร็ง และเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งชนิดต่าง ๆ ในร่างกาย
มะเร็งชนิดเร็งคาร์ซิโนมา (Carcinoma) กับมะเร็งซาร์โคมา (Sarcoma) เกิดขึ้นได้กับทุกอวัยวะของร่างกาย
ชนิดของมะเร็ง และเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งชนิดต่าง ๆ ในร่างกาย
มะเร็งชนิดเร็งคาร์ซิโนมา (Carcinoma) และมะเร็งซาร์โคมา (Sarcoma) สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกอวัยวะของร่างกาย

ชนิดของมะเร็ง และเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งในร่างกาย

ดิฉันเคยเป็นมะเร็งเต้านมถึงแม้ว่าตอนนี้ดิฉันจะหายแล้วก็ตาม แต่ยังจำความรู้สึกวันแรกที่รู้ว่าตัวเองเป็น มะเร็ง ได้ดีว่าเสียใจมากแค่ไหน จำเสียงร้องไห้ของตัวเองหน้าห้องตรวจ จำถึงความรู้สึกที่ว่าตัวเองโชคร้ายมากแค่ไหน และรู้ว่าการตั้งตัวจากมะเร็งนั้นยากขนาดไหนแต่เราก็ต้องทำให้ได้เพื่อคนที่เรารักและเพื่อคนที่รักเรา กว่าดิฉันจะตั้งสติและเรียนรู้วิธีที่จะอยู่กับมะเร็งได้ก็ต้องอาศัยกำลังใจสูงมาก หลังจากที่ทำใจยอมรับและพร้อมที่จะสู้กับมะเร็งได้แล้ว สิ่งแรกที่ดิฉันต้องทำ คือ การทำความรู้จักทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับมะเร็ง

ดิฉันพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับ มะเร็ง ทั้งจากหนังสือ จากคนรอบข้างที่เคยเป็นมะเร็ง จากในอินเตอร์เน็ตและถามจากคุณหมอด้วย ในบางเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบหรือยังไม่แน่ใจในข้อมูลที่ตัวเองได้รับมา สิ่งแรกที่ดิฉันได้รู้เกี่ยวกับมะเร็งที่ดิฉันเป็น คือ ชนิดของมะเร็ง เพราะคุณหมอบอกว่าการรักษามะเร็งจะขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งที่เราเป็นว่าเป็นมะเร็งชนิดไหนและควรจะทำการรักษาอย่างไร

ชนิดของเซลล์ที่เกิดของมะเร็ง

มะเร็ง นั้นมีหลายชนิดแต่หลักๆ แล้วจะแบ่งตามชนิดของเซลล์ที่เกิดของมะเร็ง ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ชนิด คือ

1. มะเร็งคาร์ซิโนมา ( Carcinoma )

เป็นมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เยื่อบุผิว ( Epithelium )

2. มะเร็งซาร์โคมา ( Sarcoma )

คือมะเร็งที่เกิดจากเซลล์เนื้อเยื่ออ่อน ( Soft Tissue ) เซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ( Connective Tissue ) หรือเซลล์เนื้อเยื่อเสริม ( Supportive Tissue ) กล้ามเนื้อ ไขมัน เส้นประสาท เนื้อเยี่อเกี่ยวพันและกระดูก

3. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ( Lymphoma )

คือมะเร็งที่เกิดจากการที่เม็ดเลือดขาวที่อยู่ในต่อมน้ำหลืองหรือเนื้อเยื่อของน้ำเหลือง มี

4. มะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemia ) หรือลูคีเมีย

คือมะเร็งที่เกิดจากไขกระดูกทำการผลิตตัวอ่อนเม็ดเลือดขาวออกมามากผิดปกติ

5. มะเร็งผิวหนัง ( Melanoma )

คือเป็นมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดสีผิว ( Melanocyte )

มะเร็ง ชนิดเร็งคาร์ซิโนมา ( Carcinoma ) กับมะเร็งซาร์โคมา ( Sarcoma ) เกิดขึ้นได้กับทุกอวัยวะของร่างกาย มะเร็งที่เกิดขึ้นจะร้ายแรงมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่เกิดมะเร็งและระยะของมะเร็งที่ตรวจพบ และระยะของมะเร็งที่ตรวจพบด้วย

ตัวดิฉันเองเป็นมะเร็งเต้านมชนิดคาร์ซิโนมา ( Carcinoma ) ที่อยู่ในระยะเริ่มแรกเท่านั้น ซึ่งถือว่ายังมีโอกาสที่รักษาหายได้มากถึง 90% ทีเดียว ถือว่าดิฉันเป็นคนที่โชคดีมากที่ตรวจพบได้เร็ว ที่เป็นอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณอาของดิฉันด้วย เพราะว่าอาของดิฉันเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ( อสม. ) ที่มาบังคับให้ดิฉันทำการตรวจมะเร็งเต้านม กับมะเร็งปากมดลูกทุกปี ทำให้ดิฉันตรวจเจอก้อน มะเร็ง ที่เต้านมเจอได้เร็ว ทำให้สามารถรักษาหายได้   แต่ถ้าไม่เป็นก็คงดีกว่านี้จริงมั้ยค่ะ ใครๆ ก็ไม่อยากเป็นมะเร็งทั้งนั้นแหละค่ะ พอคุยกับคุณหมอเรื่องชนิดของมะเร็งแล้ว ดิฉันก็ถามว่ามะเร็งชนิดไหนร้ายแรงที่สุด ชนิดไหนร้ายแรงมากกว่ากัน คุณหมอบอกว่าไม่สามารถบอกได้ว่ามะเร็งชนิดไหนร้ายแรงมากน้อยกว่ากัน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าความรุนแรงของมะเร็งไม่ได้อยู่ที่ชนิดเพียงอย่างเดียว ยังขึ้นอยู่กับอวัยวะที่เกิดด้วย เช่น การเกิดมะเร็งคาร์ซิโนมา ( Carcinoma ) ที่เต้านมกับที่ตับ มะเร็งที่เกิดที่ตับจะมีความร้ายแรงมากกว่ามะเร็งที่เกิดที่เต้านม แต่ก็ขึ้นกับระยะของมะเร็งที่เจอด้วย ถ้ามะเร็งที่เต้านมเจอในระยะลุกลามแต่มะเร็งที่ตับอยู่ในระยะแรก แบบนี้มะเร็งที่เต้านมก็ร้ายแรงกว่ามะเร็งที่ตับ อย่างนี้เป็นต้น เป็นไงบ้างคะ กับชนิดของมะเร็งที่ดิฉันนำมาบอกกันวันนี้ ดิฉันหวังว่าคงจะมีประโยชน์กับทุกคนบ้างนะคะ

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอาแล้วสิ เป็นมะเร็งปอดซะแล้ว

0
เอาแล้วสิ !! เป็นมะเร็งปอดซะแล้ว
มะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่พบผู้ป่วยและเสียชีวิตมากที่สุดในโลก แต่สำหรับคนไทยแล้วมะเร็งปอดเป็น 1 ใน 5 ที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุดโดยเฉพาะในผู้ชาย
เอาแล้วสิ !! เป็นมะเร็งปอดซะแล้ว
มะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่พบผู้ป่วยและเสียชีวิตมากที่สุดในโลก แต่สำหรับคนไทยแล้วมะเร็งปอดเป็น 1 ใน 5 ที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุดโดยเฉพาะในผู้ชาย

มะเร็งปอด

มะเร็งปอด เป็นมะเร็งที่พบผู้ป่วยและเสียชีวิตมากที่สุดในโลก แต่สำหรับคนไทยแล้วมะเร็งปอดเป็น 1 ใน 5 ของมะเร็งที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุดโดยเฉพาะในผู้ชาย จากสถิติพบว่ามีผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งปอดพบมากในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงถึง 2 เท่า แต่ที่น่าตกใจมากคือมีแนวโน้มการพบผู้ป่วยมะเร็งปอดที่เป็นผู้หญิงเพิ่มขึ้นอีกด้วย ที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องจากการใช้ชีวิตของผู้หญิงมีการสูบบุหรี่ การเสพสารเสพติด การทำงานที่ต้องเข้าใกล้รังสีหรือสารก่อมะเร็ง และการเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีมลพิษ ทำให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดมากขึ้น มะเร็งปอดจัดเป็นมะเร็งที่อันตรายมากอีกชนิดหนึ่ง แต่ละปีเราพบผู้ป่วยที่ป่วยเป็นมะเร็งปอดประมาณ 20,000 คนและเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดนั้นเสียชีวิต ในเมื่อมะเร็งปอดมันร้ายแรงขนาดนี้ ดิฉันว่าเรามาทำความรู้จักกับมะเร็งปอดกันดีกว่าค่ะ

การแบ่งชนิดของเซลล์มะเร็งปอด

มะเร็งปอดนั้นแบ่งตามขนาดของเซลล์ในบริเวณที่เกิดมะเร็งเป็นหลัก โดยแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

1.มะเร็งปอดชนิดเซลล์ตัวโตหรือชนิดเซลล์ไม่เล็ก (Non Small Cell Lung Cancer) มีตัวย่อว่า NSCLC มะเร็งชนิดนี้อยู่ในกลุ่มของคาร์ซิโนมา มะเร็งชนิดเซลล์ไม่เล็กมีการแพร่กระจายได้ช้าและสามารถทำการรักษาให้หายได้ ถ้ามีการตรวจพบในระยะแรก การแพร่กระจายจะแพร่กระจายอยู่ภายในปอดและเนื้อเยื่อใกล้เคียงก่อนจึงจะมีการแพร่กระจายออกไปสู่อวัยวะภายนอกและกระแสเลือด มะเร็งชนิดเซลล์ไม่เล็กเป็นมะเร็งปอดที่พบมากที่สุด มะเร็งชนิดนี้แบ่งออกเป็น 3 ชนิดย่อยๆ คือ

1.1 มะเร็งชนิด Adenocarcinoma เป็นมะเร็งที่เกิดในหลอดลมฝอย

1.2 มะเร็งชนิด Squamous Cell Carcinoma เป็นมะเร็งที่พบในบริเวณใกล้ขั้วปอด

1.3 มะเร็งชนิด Large Cell Carcinoma เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ที่มีขนาดใหญ่จะพบได้ที่บริเวณชายปอด

2.มะเร็งปอดชนิดเซลล์ตัวเล็ก (Small Cell Lung Cancer / Oat Cell Carcinoma) มีตัวย่อว่า SCLC เป็นมะเร็งชนิดคาร์ซิโนมา มะเร็งชนิดเซลล์ตัวเล็กพบเพียงร้อยละ 20 ของมะเร็งที่พบทั้งหมด ถือว่าพบได้ในปริมาณที่น้อยแต่ว่าเป็นมะเร็งที่มีความร้ายแรงมาก มะเร็งชนิดนี้แพร่กระจายและเติบโตได้เร็วกว่ามะเร็งชนิดเซลล์ไม่ใช่เซลล์เล็ก เวลาที่ตรวจพบมะเร็งชนิดนี้มักจะตรวจเจอในระยะที่มีการแพร่กระจายและลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ ทำให้ทำการรักษาได้ยาก ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งปอดชนิดนี้มีโอกาสรอดน้อยมาก

สาเหตุของมะเร็งปอด

มะเร็งปอด นี่น่ากลัวทีเดียวนะคะเนี่ย แล้วอะไรที่เป็นต้นเหตุทำให้เราเป็นมะเร็งปอด มาค่ะดิฉันจะบอกถึงต้นเหตุที่ทำให้คุณเป็นมะเร็งปอด

1.บุหรี่ บุหรี่เป็นสาหตุอันดับหนึ่งของการเกิด มะเร็งปอด ทุกชนิด ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าในบุหรี่มีสารพิษเป็นพันๆ ชนิดและในนั้นมี 60 ชนิดที่เป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งสารก่อมะเร็งเหล่านี้ทำให้เกิดมะเร็งได้ทุกที่ที่ควันบุหรี่ผ่านเข้าไปโดยเฉพาะที่ปอด นอกจากบุหรี่แล้วยังรวมถึง ซิการ์ ยาเส้น ยานัด กัญชา คนที่สูบบุหรี่ติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 10 ปีจะมีโอกาสเป็นมะเร็งและคนที่สูบบุหรี่จัดถึงวันละ 20 ม้วนต่อวันจะมีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่สูบปกติถึง 3 เท่า นอกจากคนที่สูบบุหรี่แล้วคนที่ได้รับควันบุหรี่จากคนอื่นก็จัดเป็นคนมีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปอดมากกว่าคนที่ไม่เคยได้รับควันบุหรี่เช่นกัน 

2.สารเคมี สารเคมีบางชนิดก็มีส่งผลให้เราเกิด มะเร็งปอด ได้ ส่วนมากสารเคมีนี้จะอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่ เช่น ถ่านหิน สารหนู แร่ใยหิน ถ่านโค้ก ซิลิกา นิลเกิล เบริลเลียม ก๊าซเรดอน ดังนั้นใครที่ต้องทำงานอยู่กับสารเหล่านี้จะมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดได้

3.สารพิษจากสภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อมรอบตัวเราในปัจจุบันนี้มีสาพิษที่เป็นสารก่อ มะเร็งปอด อยู่มากมาย เช่น ควันรถยนต์ ควันรถมอเตอร์ไซต์และควันจากเครื่องจักรต่างๆ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าในควันที่ออกจากเครื่องจักรที่ต้องใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงนั้นจะมีส่วนของก๊าซไนโตรเจนออกไซต์ ซึ่งก๊าซไนโตรเจนออกไซต์นี้เป็นสารพิษที่ทำให้เกิดมะเร็งปอด

4.การติดเชื้อ ปอดสามารถเกิดการติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากปอดเป็นที่กรองเอาเชื้อโรคและสิ่งสกปรกที่ปนเปื้อนมาในอากาศออกไปไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย ปอดจึงเปรียบเสมือนปราการด้านแรกที่เชื้อโรคจะทำร้าย ดังนั้นปอดหรือเนื้อเยื่อภายในปอดอาจจะถูกทำร้ายจากเชื้อโรคที่เข้ามาสู่ร่างกาย เกิดอาการติดเชื้อซึ่งการติดเชื้อหรืออาการอักเสบภายในปอด ซึ่งการติดเชื้อและการอักเสบที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้เซลล์เกิดการกลายพันธุ์เป็น มะเร็งปอด ได้

5.พันธุกรรม ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาพบว่าคนที่ป่วยเป็น มะเร็งปอด นั้น นอกจากจะมีสาเหตุมาจากปัจจัยภายนอกแล้ว สาเหตุทางพันธุกรรมก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ป่วยเป็นมะเร็งปอด ถึงไม่มีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจนแต่จากสถิติพบกว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดมักมีคนในครอบครัวเคยป่วยหรือเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดมาก่อน ดังนั้นถ้าใครมีบุคลลในครอบครัวเคยป่วยหรือเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดก็แสดงว่าคุณมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งปอดด้วยเหมือนกัน

อาการของมะเร็งปอด

แล้วต้นเหตุ มะเร็งปอด ของคุณคืออะไรคะ? ดิฉันว่าสาเหตุของมะเร็งปอดนี่ป้องกันได้ไม่ยากนะ แค่อย่าสูบบุหรี่ อย่าเข้าใกล้คนที่สูบบุหรี่หรืออยู่ในสถานที่ที่มีควันบุหรี่ เวลาทำงานก็สวมอุปกรณ์ป้องกันรังสี สารเคมีไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย แต่เรื่องมลพิษจากรถยนต์เครื่องจักรที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงนี่ สงสัยต้องให้คนเปลี่ยนมาใช้รถที่ใช้ไฟฟ้าคงจะดีไม่น้อย ไม่มีผลพิษเป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อม ร่วมกับปลูกต้นไม้มากๆ แค่นี้มลพิษรอบตัวเราก็น้อยลง ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดก็น้อยลงด้วย แต่เอ๋? แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าคุณเป็นมะเร็งปอดแล้วหรือยัง? ถ้าคุณมีอาการดังนี้

1. ไอเรื้อรัง ไอเป็นเวลานานกินยาหรือรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายหรือบางครั้งรักษาหายแล้วแต่ไม่นานก็กลับมามีอาการไอต่อเนื่องอีก อาการไอจะมีลักษณะเป็นไอแห้งหรือไอมีเสมหะในลำคอก็ได้ และเวลาที่ไอจะมีอาการเจ็บบริเวณหน้าอก หายใจไม่ทัน เหนื่อยหอบ หรือบางครั้งเสมหะมีเลือดปนออกมาด้วย 

2. รู้สึกหายใจไม่เต็มปอด เวลาที่เราหายใจเข้าหรือออก เราจะมีการหายใจอยู่สองแบบด้วยกัน คือ การหายใจสั้นๆ ต่อเนื่องเวลาที่เรารู้สึกเหนื่อยจากการทำงานหรือออกกำลังกายและหายใจยาวๆ เพื่อสูดอากาศเข้าสู่ปอดให้ได้มากที่สุด แต่ถ้าเราไม่สามารถหายใจยาวๆ เพื่อสูดอากาศเข้าปอดได้ ต้องหายใจสั้นๆ หลายๆ ครั้งแทนทั้งๆ ทีไม่ได้รู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด หายใจติดขัด หายใจเข้า – หายใจออกเท่าไหร่ก็รู้สึกว่าหายใจไม่เต็มปอด และเวลาที่หายใจมีเสียงหวีดออกมา บางคนอาจจะได้ยินไม่ชัดเจนต้องใช้หูฟังของคุณหมอช่วยฟัง แต่บางคนนั้นเวลาหายใจจะมีเสียงหวีดดังออกมาชัดเจน

3. น้ำหนักลดลง สำหรับใครที่อยู่ดีๆ น้ำหนักตัวลดลงมากผิดปกติ โดยที่คุณไม่ได้ควบคุมอาหาร ออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักหรือกินยาลดน้ำหนัก หรือบางคนที่กินอาหารมากกว่าปกติเสียด้วยซ้ำแต่น้ำหนักก็ยังลดลงอย่างน่าตกใจ ลดโดยที่ไม่รู้ว่าทำไมน้ำหนักถึงลดลงได้

ถ้าคุณมีอาการทั้ง 3 อย่างข้างต้นที่ดิฉันได้กล่าวมา ดิฉันขอแนะนำให้คุณไปหาคุณหมอเพื่อตรวจดูนะว่าคุณเป็น มะเร็งปอด หรือเป็นมะเร็งปอดระยะไหนแล้ว ยิ่งตรวจเร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งดีนะคะ อย่างที่ดิฉันได้กล่าวมาแล้วว่ามะเร็งปอดนี่อันตรายมาก มะเร็งปอดกว่าจะแสดงอาการออกมาให้เรารับรู้ก็อยู่ในขั้นที่แพร่กระจายตัวแล้ว ซึ่งทำให้การรักษาให้หายต้องใช้เวลามากถึงจะหายจากมะเร็งปอดได้

ทางที่ดีดิฉันแนะนำว่าให้ทำการตรวจสุขภาพทุกปี สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงในการเป็น มะเร็งปอด เพราะว่าถ้าเราตรวจเจอในระยะเริ่มแรกเราก็จะมีโอกาสทีรักษาหายได้มากขึ้นไงค่ะ หรือทางที่ดีก็เลิกพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งปอดเสีย ออกกำลังให้ร่างกายแข็งแรง กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดมากๆ ไม่เครียดไม่วิตก แค่นี้คุณก็ไม่ต้องเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งปอดแล้วค่ะ และที่สำคัญคุณก็ไม่ต้องถ่ายทอดพันธุกรรมมะเร็งปอดไปให้ลูกหลานของคุณด้วยนะคะ แบบนี้ดีกับตัวเรา ดีกับครอบครัวเรา ดีต่อสังคม

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ยีนส์มะเร็ง และการกลายพันธุ์ ทางพันธุกรรม

0
ยีนส์กลายพันธุ์ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมและเป็นสาเหตุของมะเร็ง คือ BRCA1 และ BRCA2
ยีนส์มะเร็ง และการกลายพันธุ์ ทางพันธุกรรม
ยีนส์กลายพันธุ์ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมและเป็นสาเหตุของมะเร็ง คือ BRCA1 และ BRCA2

ยีนส์มะเร็ง และการกลายพันธุ์ ทางพันธุกรรม

คุณรู้ไหม ยีนส์มะเร็ง ชนิดไหนที่เกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม? อย่างที่ดิฉันเคยบอกว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดมะเร็งส่วนใหญ่จะมาจากปัจจัยภายนอก แต่ว่ายังมีมะเร็งบางชนิดที่มีสาเหตุมาจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมมากกว่าสาเหตุจากปัจจัยภายนอก ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ยีนส์กลายพันธุ์ ที่ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมนั้นมีผลต่อการทำงานของเซลล์โดยตรง ทำให้ผู้ที่ได้รับยีนส์กลายพันธุ์มีความเสี่ยงในเกิดเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่ไม่ได้รับการถ่ายทอดยีนส์กลายพันธุ์นี้ ถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยภายนอกมาทำให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งมากกว่าก็ตาม ซึ่งยีนส์กลายพันธุ์ที่ถ่ายทอดทาง พันธุกรรม และเป็นสาเหตุของมะเร็ง คือ BRCA1 และ BRCA2 หลายคนคงอยากรู้จักกับยีนส์ชนิดนี้กันแล้วสิค่ะ ว่ายีนส์นี้มีหน้าทำอะไรและทำไมถึงทำให้เกิดมะเร็งได้ งั้นเรามาทำความรู้จักกับยีนส์นี้กันดีกว่าค่ะ

BRCA1 และ BRCA2 คือ ยีนส์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ (Tumor Suppressor Gene) โดยการเข้าไปซ่อมแซม DNA ที่มีหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตที่เกิดความผิดปกติให้กลับสู่สภาวะปกติป้องกันการ กลายพันธุ์ ของเซลล์ แต่ถ้ายีนส์นี้มีความผิดปกติเกิดขึ้น นั่นคือยีนส์ไม่สามารถซ่อมแซม DNA ที่ผิดปกติให้กลับสู่สภาวะปกติได้ จะทำให้ DNA ส่วนที่ควบคุมการเจริญเติบโตมีความผิดปกติเกิดการกลายพันธุ์เป็นเซลล์ที่เจริญเติบโตได้ไม่หยุดหรือกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งนั่นเอง

แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเรามียีนส์นี้อยู่หรือไม่ การที่เราจะรู้ว่าเรามี ยีนส์กลายพันธุ์ ชนิดนี้อยู่หรือไม่ เราสามารถไปตรวจได้นะคะ แต่ว่าก่อนที่เราจะไปตรวจนั้นเรามาดูความเสี่ยงที่เราจะมียีนส์กลายพันธุ์นี้กันก่อนดีกว่า คนที่จะมียีนส์กลายพันธุ์นี้ ต้องมีญาติฝ่ายพ่อหรือแม่ป่วยเป็นมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของยีนส์ BRCA1 และ BRCA2 เพราะว่ายีนส์ทั้งสองชนิดนี้สามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูกได้ โดยลูกจะได้รับยีนส์จากพ่อ 50% จากแม่ 50% ดังนั้นถ้าพบว่าคนในครอบครัวของพ่อหรือแม่ เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ที่เป็นพี่น้องโดยตรงกับพ่อหรือแม่ ถ้าคนเหล่านี้มีประวัติการป่วยเป็นมะเร็งที่มาจากความผิดปกติของยีนส์ชนิดนี้ ลูกก็จะมีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่ไม่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของยีนส์ BRCA1 และ BRCA2 มะเร็งที่เกิดจากการถ่ายทอดยีนส์กลายพันธุ์ที่พบมาก คือ มะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ในผู้หญิง มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลูกอัณฑะและมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย

มะเร็งที่เกิดจากได้รับ ยีนส์กลายพันธุ์ ทาง พันธุกรรม นี้ ต่อให้เราดูแลตัวเองดีแค่ไหน เราก็มีโอกาสที่จะเป็นมากกว่าคนปกติที่ดูแลตัวเองถึง 20 เท่าเลยค่ะ ดังนั้น ยีนส์มะเร็ง ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมนั้นน่ากลัวกว่ายีนส์กลายพันธุ์ที่เกิดจากการกระตุ้นของปัจจัยภายนอกมาก เหมือนกับดิฉันที่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านม ป้าของดิฉันเป็นมะเร็งเต้านมเหมือนกัน ดิฉันจึงมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม แล้วคุณละมีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านมหรือเปล่าคะ? ถ้ามีแสดงว่าคุณมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมแล้ว แต่ไม่ต้องตกใจไปนะเดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีที่สามารถตรวจหาความผิดปกติของยีนส์ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้แล้ว ถ้าใครอยากรู้ว่าตัวเองเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งไหมก็ไปตรวจ GENE TEST ได้นะ ตามที่ดิฉันได้เคยอธิบายได้แล้วว่า GENE TEST มีวิธีการตรวจยังไง ข้อดีของการตรวจก็คือเราจะได้หาทางป้องกันก่อนที่เราจะต้องเป็นมะเร็งไงค่ะ

Content by Amprohealth

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม